จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 288 เพิ่งจะขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 288 เพิ่งจะขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกเดือน

ทุกคนในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ต่างรู้สึกคล้ายสิ่งแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนไป

อากาศเหมือนจะสดชื่นขึ้น น้ำหวานกว่าเดิม ต้นไม้ที่เฉาไปแล้วก็เริ่มแตกหน่องอกกิ่งใหม่ หิมะปกคลุมในฤดูวสันต์ หญ้าเขียวขจีที่เดิมทีตายไปหมดงอกออกมาใหม่อีกครั้ง สิงสาราสัตว์ที่เคยหายไปในฤดูกาลนี้และเหล่าสัตว์ปีกยังปรากฏให้เห็นด้านนอกเมืองอำเภอ น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งค่อยๆ กลับมาไหลอีกครั้ง ตาน้ำที่ไม่มีน้ำไหลนับสิบปี ตอนนี้กลับมีน้ำผุดออกมา…

คนแก่คนเฒ่าหลายคนที่เกือบจะหมดลม ไม่มีทางรอดพ้นฤดูนี้ไปได้ สีหน้ากลับแดงระเรื่อขึ้นวันต่อวัน จนท้ายสุดก็สามารถลุกเดินขึ้นมาเองได้ ผู้มีโรครุมเร้าบางคนก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าอาการป่วยดีวันดีคืน สิบวันผ่านไป อาการเหล่านั้นหายเป็นปลิดทิ้ง!

เรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวนี้ทำให้คนมากมายประหลาดยิ่ง และดีใจเป็นล้นพ้นด้วย

ภายในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่ถูกเรียกว่าคุณชายน้อยย่อมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน

ในฐานะที่เป็นคนสนิทที่สุดของหลี่มู่ เขารู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับที่คุณชายยุ่งหัวหมุนในช่วงหลายวันนี้เป็นแน่

จากนั้นเขาเรียกพวกเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งเข้ามา หลังจากหารือไปหนึ่งรอบ ทุกคนก็ได้ข้อสรุป

เพียงไม่นาน ผู้คนทั่วอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็ได้ยินว่าที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สาเหตุมาจากการคุ้มครองของใต้เท้าขุนนางเมือง ใต้เท้าขุนนางเมืองฝีมือเหนือชั้น สามารถพูดคุยกับเซียนบนฟ้าได้ และได้ขอพรให้ประชาชนในเมืองอำเภอ ขอแค่ทุกคนประพฤติตัวเหมาะสม ไม่ทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม ก็จะได้รับพรคุ้มครองนี้จากขุนนางเมือง

“ใต้เท้าขุนนางเมืองเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ”

“เป็นบุญของอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว”

“หวังว่าใต้เท้าจะอยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์นี้ตลอดไป”

“ข้าไม่กล้าหวังมากเกินเลย ใต้เท้าขุนนางเมืองรักประชาชนเยี่ยงลูก ผลงานก็มากมาย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เพียงไม่นานคงจะได้เลื่อนขั้น…”

เช้าตรู่ หิมะเริ่มโปรยปราย

ขณะที่ไปรับยาที่ร้านยาเสินหนง หมอยาหญิงจ้าวหลิงได้ยินคำพูดทำนองเดียวกันมาตลอดทาง

นางมาใช้ชีวิตในอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้หลายเดือนแล้ว จากความขัดแย้ง การต่อต้าน ความเจ็บปวด และการระมัดระวังตัวในตอนแรก ยามนี้นางปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้แล้ว ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น อีกทั้งนางฝึกฝนด้วยตนเอง เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน กลับทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว เหนือกว่าการฝึกอย่างยากลำบากในหลายปีมานี้ และเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นรวมจิตแล้ว ไม่กี่วันนี้ก็มีสัญญาณว่าใกล้จะทะลวงสู่ขั้นปรมาจารย์ด้วย

เมื่อได้ยินผู้คนพูดคุยกันเช่นนี้ ในใจจ้าวหลิงแอบรู้สึกภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ

ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง เพราะสามารถเข้าออกที่ว่าการอำเภอได้ตลอด ชาวบ้านจึงเข้าใจว่าเป็นคนข้างกายของใต้เท้าขุนนางเมือง ไม่ว่าไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับขับสู้และสายตาอิจฉาอยู่เนืองนิจ ทุกๆ สามวัน จ้าวหลิงจะออกตรวจที่หน้าประตูที่ว่าการ รักษาอาการบาดเจ็บให้ผู้ป่วยมากมาย นางจึงถูกเรียกว่าเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีตำแหน่งทรงเกียรติ ซ้ำยังทำให้วิชาแพทย์ของนางได้พิสูจน์ทดลองนับไม่ถ้วน จนหลุดพ้นจากขอบเขตตำราวิชาไปแล้ว

ถ้าใช้คำของท่านขุนนางเมืองมาพูด จะเป็นอะไรนะ?

อ้อ ใช่แล้ว คงจะเป็น ‘ต้องเข้าไปศึกษาค้นคว้าจากตัวผู้คน การทดลองเป็นมาตรฐานอย่างเดียวที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้’

ความจริงแล้วก็มีเหตุผลอยู่มาก

และชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ เป็นประสบการณ์ที่นางไม่เคยพบในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้นางมีความสุขนัก

ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่นางเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากรีบกลับไปสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์แล้ว

ร้านเสินหนงในตอนนี้เป็นร้านยาอันดับหนึ่งในเมือง แน่นอนว่าไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพรรคเสินหนงที่ชั่วร้ายในสมัยก่อนอีก ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากรังมารพรรคเสินหนง มีบุตรสาวของหมอใหญ่จากโรงหมอที่เคยถูกพรรคเสินหนงทำร้ายเป็นผู้ดูแล ได้การสนับสนุนให้เปิดกิจการต่อจากขุนนางเมือง ทำการค้าสุจริต ชาวบ้านชื่นชมกันมาก

ขณะที่จ้าวหลิงมาถึง มู่ชิงเอ๋อร์จัดเตรียมตัวยาของนางเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว

“พี่จ้าว ใบสั่งยาที่ท่านให้มาเมื่อวานนี้ ใช้ได้ดีมากจริงๆ…” มู่ชิงเอ๋อร์ที่ค่อยๆ เดินออกมาจากความเจ็บปวดกลับมาสดใสร่าเริงดังเดิมแล้ว นางมีพรสวรรค์ด้านยามาก ด้วยเหตุนี้จ้าวหลิงจึงมักจะถ่ายทอดวิชาแพทย์บางส่วนให้ หมายจะชุบเลี้ยงอบรมนาง

ทั้งคู่คุยกันอยู่พักหนึ่ง จ้าวหลิงใช้เวลาไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม เพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยโรคประหลาดหายากที่มานั่งรออยู่ในร้านนานแล้ว จากนั้นจึงรับยาแล้วกลับไป

เพราะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ภายในเมืองช่วงนี้ ผู้ป่วยในเมืองจึงลดน้อยลงทุกวัน ผู้ที่มาขอการรักษาส่วนใหญ่เป็นคนจากเขตรอบอำเภอ และพวกที่มาจากสถานที่ห่างไกลเนื่องจากได้ยินชื่อเสียง

จ้าวหลิงที่เป็นหมอยาก็เป็นจอมยุทธ์ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่านางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเมือง

ในความเห็นนาง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากพลังฟ้าดินรวมตัวกันจนเข้มข้นมากกว่าสิ่งแวดล้อมปกติหลายร้อยเท่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นจุดไหน ความเข้มข้นของพลังธาตุฟ้าดินก็ยังมากกว่าพื้นที่ฝึกวิชาลับบางส่วนของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เสียอีก ทำให้นางไม่เข้าใจเอาเสียเลย

แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ชัดเจนมาก และแน่ใจยิ่ง

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องที่ขุนนางเมืองหลี่มู่สร้างขึ้น

บนตัวของหนุ่มน้อยคนนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมายเหลือเกิน พูดได้ว่าฝีมือฝืนลิขิตฟ้าโดยแท้

ในใจของนางยิ่งอยากรู้อยากเห็นขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่เดินไป จู่ๆ ด้านหน้าก็ปรากฏร่างคนเข้ามาขวางทางไว้

จ้าวหลิงเงยหน้าขึ้น แค่เห็นก็ตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“ทะ…ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร? รีบไปก่อน…”

……

“การฝึกฝนจริงมากมาย เป็นวิธีพัฒนาการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดจริงๆ”

หลี่มู่จบการเก็บตัวฝึกตนครั้งนี้ เดินออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

ช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา เขาเอาแต่วางค่ายกลในตำแหน่งต่างๆ ตามเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ ขี่ดาบเหินหาว ใช้ดาบวัฏจักรแทนพู่กัน คอยสลักค่ายกลตามกำแพงหิน พื้นดิน หินผา ใต้แม่น้ำ หรือในถ้ำ เรียกว่าเป็นม้วนภาพขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้ หนำซ้ำบางครั้งถึงกับต้องเคลื่อนย้ายยอดเขา กระทั่งขุดลอกร่องน้ำขึ้นมาใหม่…

หนึ่งเดือนแรก ค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ขั้นต้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนก็คอยปรับแต่ง แก้ไข จัดเรียง

นี่เป็นงานที่สิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณและปราณแท้อย่างมาก

ค่ายกลอีกมากมายที่เหมือนกันหรือเชื่อมโยงถึงกัน จำเป็นต้องสลักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เหมือนกับเด็กนักเรียนที่ต้องต่อสู้กับการบ้านมากมาย เมื่อชำนิชำนาญ ผลงานก็ยกระดับ เมื่อเทียบกับสองเดือนก่อนหน้า ทักษะด้านสร้างค่ายกลและวิชาฮวงจุ้ยของหลี่มู่ข้ามขั้นจากประถมไปสู่มัธยมปลายแล้วเรียบร้อย

นับเป็นการก้าวกระโดดเลยทีเดียว

วิชาดาบเหินหาวเมื่อผสานลายค่ายกลวิชาเต๋าลงไป รวมเข้ากับสิ่งที่ได้รับมาจากการสังเกตศึกของขั้นเหนือมนุษย์ระดับสูงสุดทั้งสามที่เมืองฉางอันในวันนั้น เขาก็เริ่มเข้าใจต้นแบบของจิตแห่งดาบบ้างแล้ว ความประณีตในการควบคุมดาบถลาลมทั้งยี่สิบสี่เล่ม ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าตอนแรกกี่เท่า ไม่ใช่การอาศัยแต่ความเร็วเพื่อเอาชนะแล้ว ในตอนนี้ ถึงแม้จะต้องรับมือกับขั้นเหนือมนุษย์ระดับต้น หลี่มู่ก็มั่นใจว่าสู้ได้

สิ่งที่สำคัญกว่าคือเขาเหนี่ยวนำค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ได้สำเร็จ ทำให้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ใต้การปกคลุมของค่ายกลทั้งหมด ภายใต้ค่ายกลเต๋าน้อยใหญ่นับพันนับหมื่น ขอแค่หลี่มู่ไม่อนุญาต ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถฝ่าเข้ามาในเมืองได้

พูดได้ว่า หลี่มู่จัดการทั้งเมืองจนแน่นหนาเหมือนถังเหล็กอย่างไรอย่างนั้น

อำเภอขาวพิสุทธิ์ในตอนนี้กลายเป็นที่ส่วนตัวของหลี่มู่เรียบร้อยแล้ว

ต่อให้ขั้นเหนือมนุษย์อย่างเซียนกระบี่ธุลีแดงหลี่กังเข้ามา หลี่มู่ก็ยังมั่นใจว่าพลังของค่ายกลต้านออกไปตรงๆ ได้

“ในที่สุด ก็มีต้นทุนที่แข็งแกร่งในโลกใบนี้เสียที”

หลี่มู่ผ่อนลมหายใจโล่งอก

สองเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ ความตึงเครียดที่อยู่ในหัวสมองของเขาเส้นนั้น ในที่สุดก็หายไปแล้ว

ตอนนี้ ต่อให้การแก้แค้นจากพวกขององค์ชายสองมาเยือน หรือจะเป็นบทลงโทษของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิก็ตามที หลี่มู่ต้อนรับขับสู้ได้หมด

พลังจิตของเขาหลอมรวมเข้ากับค่ายกล หลังจากเพิ่มขนาดพื้นที่ก็เป็นดั่งเรดาห์ขนาดใหญ่ สามารถกวาดตรวจสอบครอบคลุมได้ทั้งเมืองอำเภอ เพียงแค่ขยับความคิด กลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งอ่อนแอต่างๆ ในเมืองจะปรากฏขึ้นในหัว เมื่อมีผู้แข็งแกร่งจากภายนอกปรากฏกายในอำเภอขาวพิสุทธิ์โดยไม่คาดคิด หลี่มู่ก็จะวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว

“เอ๋? กลิ่นอายพลังนี้…เป็นเขานี่เอง น่าสนใจ”

หลี่มู่พลันสัมผัสได้ กลางเมืองมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของจอมยุทธ์แปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งจุด

เขาหัวเราะขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นาน หมอหญิงจ้าวหลิงก็ขอเข้าพบ

“ใต้เท้า ข้า…” คำพูดของจ้าวหลิงสะดุดกึก ท่าทางลังเล

หลี่มู่หัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหมอหญิงเย่อหยิ่งที่นิสัยเหมือนผู้ชายและยังเห็นคนอื่นเป็นศัตรูอยู่ตลอดมีสีหน้าลังเลตัดสินใจไม่ได้เช่นนี้ เขาพูดออกมาว่า “จ้าวอวี่พี่ชายของเจ้าจะมาขอพบข้าใช่ไหม? เรียกเขาเข้ามาสิ”

“ทะ…ทำไมเจ้ารู้ล่ะ?” จ้าวหลิงถลึงตาโต ใบหน้างดงามปรากฏสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

หลี่มู่หัวเราะหึๆ “จะก่อนหน้าห้าพันปีหรือภายหลังอีกห้าพันปี ข้าก็ล่วงรู้ได้หมด ทั้งเมืองในตอนนี้หนีไม่พ้นการควบคุมของข้าหรอก”

จ้าวหลิงร้องฮึขึ้นเบาๆ ก่อนหันหลังเดินออกไป

เย่อหยิ่งจริงๆ เลย

หลี่มู่ทำปากจิ๊จ๊ะ

ครู่ต่อมา ศิษย์พี่ใหญ่จ้าวอวี่แห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็ถูกพาตัวเข้ามา

“คุณชายหลี่” จ้าวอวี่ค้อมตัวคารวะ ไม่ถ่อมตัวหรือถือตัวเกินไป

หลี่มู่หัวเราะร่า “ตั้งแต่จากกันที่เมืองฉางอันก็สองเดือนกว่าแล้ว สหายจ้าวรุดหน้าไปมาก เข้าสู่ระดับต้นของขั้นฟ้าประทานแล้ว ซ้ำฝึกปราณแท้ฟ้าประทานได้ ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร…สหายจ้าวเชิญนั่ง” เขารู้สึกตกใจเช่นกัน อัจฉริยะด้านต่อสู้คนนี้เป็นตัวร้ายจริงๆ ด้วย พัฒนาไปได้รวดเร็วมาก

ใบหน้าของจ้าวอวี่ปรากฏความภาคภูมิใจเล็กๆ

ศึกในวันนั้น เขาได้รับการชี้แนะอย่างลึกซึ้ง หลังกลับไปที่สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็ปิดด่านฝึกฝนทันที สองเดือนถึงจะออกมา จนก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน กลายเป็นศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อายุน้อยที่สุดที่บรรลุขั้นฟ้าประทานได้ในประวัติศาสตร์ ทำลายสถิติมากมาย ทำให้ทั้งสำนักตื่นเต้นยินดี ทั้งยังถูกกำหนดให้เป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้สืบทอดรุ่นต่อไป เรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้จริงๆ

“ไม่ทราบว่าคุณชายหลี่ได้อะไรมาบ้าง?” จ้าวอวี่ถามขึ้น

หลี่มู่ถอนใจยาว ท่าทีเจ็บปวดจำใจเหลือประมาณ “เฮ้อ หลังจากข้ากลับมาที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็เอาแต่วุ่นเรื่องในอำเภอกับชาวบ้าน ไม่มีเวลาไปฝึกฝนเลย ดังนั้นเรื่องขั้นพลังยุทธ์จึงล่าช้าไปบ้าง…”

จ้าวอวี่อึ้งไป เอ่ยต่อว่า “จริงๆ แล้วคุณชายหลี่น่าจะละทิ้งเรื่องทางโลกบ้าง…”

เขาคิดจะเตือนหลี่มู่จริงๆ เพราะหลี่มู่มีบุญคุณช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เสียแต่ได้ยินมาว่าหลี่มู่ชมชอบนารี บังคับเอาคณิกาชั้นหนึ่งฮวาเสี่ยงหรงมาจากหน่วยเลี้ยงรับรอง ไหนจะยังบรรดาสาวงามกว่าสิบคนในงานประมูลนั่นอีก…ตัณหาก็เหมือนกับคมดาบ จิตจะกล้าแกร่งเพียงไหน ก็ยังยากจะต่อกรกับสาวงามได้ นับประสาอะไรกับหลี่มู่ที่ต้องดูแลบริหารงานในอำเภออีก

แต่เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินหลี่มู่กล่าวต่อว่า “สองเดือนมานี้ ข้าเพิ่งจะขั้นฟ้าประทานระดับสมบูรณ์เท่านั้น…”

พรวด!

จ้าวอวี่แทบจะกระอักเลือดออกมา

ระดับสมบูรณ์ของขั้นฟ้าประทาน?

เพิ่งจะระดับสมบูรณ์ของขั้นฟ้าประทาน?

เขาอยากกระโดดเข้าไปกัดหลี่มู่ให้ตายเสีย

ไปถึงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์แล้ว ยังจะมาทำหน้านิ่วปวดใจแบบนี้อยู่อีก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 288 เพิ่งจะขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 288 เพิ่งจะขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกเดือน

ทุกคนในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ต่างรู้สึกคล้ายสิ่งแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนไป

อากาศเหมือนจะสดชื่นขึ้น น้ำหวานกว่าเดิม ต้นไม้ที่เฉาไปแล้วก็เริ่มแตกหน่องอกกิ่งใหม่ หิมะปกคลุมในฤดูวสันต์ หญ้าเขียวขจีที่เดิมทีตายไปหมดงอกออกมาใหม่อีกครั้ง สิงสาราสัตว์ที่เคยหายไปในฤดูกาลนี้และเหล่าสัตว์ปีกยังปรากฏให้เห็นด้านนอกเมืองอำเภอ น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งค่อยๆ กลับมาไหลอีกครั้ง ตาน้ำที่ไม่มีน้ำไหลนับสิบปี ตอนนี้กลับมีน้ำผุดออกมา…

คนแก่คนเฒ่าหลายคนที่เกือบจะหมดลม ไม่มีทางรอดพ้นฤดูนี้ไปได้ สีหน้ากลับแดงระเรื่อขึ้นวันต่อวัน จนท้ายสุดก็สามารถลุกเดินขึ้นมาเองได้ ผู้มีโรครุมเร้าบางคนก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าอาการป่วยดีวันดีคืน สิบวันผ่านไป อาการเหล่านั้นหายเป็นปลิดทิ้ง!

เรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวนี้ทำให้คนมากมายประหลาดยิ่ง และดีใจเป็นล้นพ้นด้วย

ภายในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่ถูกเรียกว่าคุณชายน้อยย่อมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน

ในฐานะที่เป็นคนสนิทที่สุดของหลี่มู่ เขารู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับที่คุณชายยุ่งหัวหมุนในช่วงหลายวันนี้เป็นแน่

จากนั้นเขาเรียกพวกเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งเข้ามา หลังจากหารือไปหนึ่งรอบ ทุกคนก็ได้ข้อสรุป

เพียงไม่นาน ผู้คนทั่วอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็ได้ยินว่าที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สาเหตุมาจากการคุ้มครองของใต้เท้าขุนนางเมือง ใต้เท้าขุนนางเมืองฝีมือเหนือชั้น สามารถพูดคุยกับเซียนบนฟ้าได้ และได้ขอพรให้ประชาชนในเมืองอำเภอ ขอแค่ทุกคนประพฤติตัวเหมาะสม ไม่ทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม ก็จะได้รับพรคุ้มครองนี้จากขุนนางเมือง

“ใต้เท้าขุนนางเมืองเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ”

“เป็นบุญของอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว”

“หวังว่าใต้เท้าจะอยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์นี้ตลอดไป”

“ข้าไม่กล้าหวังมากเกินเลย ใต้เท้าขุนนางเมืองรักประชาชนเยี่ยงลูก ผลงานก็มากมาย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เพียงไม่นานคงจะได้เลื่อนขั้น…”

เช้าตรู่ หิมะเริ่มโปรยปราย

ขณะที่ไปรับยาที่ร้านยาเสินหนง หมอยาหญิงจ้าวหลิงได้ยินคำพูดทำนองเดียวกันมาตลอดทาง

นางมาใช้ชีวิตในอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้หลายเดือนแล้ว จากความขัดแย้ง การต่อต้าน ความเจ็บปวด และการระมัดระวังตัวในตอนแรก ยามนี้นางปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้แล้ว ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น อีกทั้งนางฝึกฝนด้วยตนเอง เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน กลับทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว เหนือกว่าการฝึกอย่างยากลำบากในหลายปีมานี้ และเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นรวมจิตแล้ว ไม่กี่วันนี้ก็มีสัญญาณว่าใกล้จะทะลวงสู่ขั้นปรมาจารย์ด้วย

เมื่อได้ยินผู้คนพูดคุยกันเช่นนี้ ในใจจ้าวหลิงแอบรู้สึกภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ

ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง เพราะสามารถเข้าออกที่ว่าการอำเภอได้ตลอด ชาวบ้านจึงเข้าใจว่าเป็นคนข้างกายของใต้เท้าขุนนางเมือง ไม่ว่าไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับขับสู้และสายตาอิจฉาอยู่เนืองนิจ ทุกๆ สามวัน จ้าวหลิงจะออกตรวจที่หน้าประตูที่ว่าการ รักษาอาการบาดเจ็บให้ผู้ป่วยมากมาย นางจึงถูกเรียกว่าเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีตำแหน่งทรงเกียรติ ซ้ำยังทำให้วิชาแพทย์ของนางได้พิสูจน์ทดลองนับไม่ถ้วน จนหลุดพ้นจากขอบเขตตำราวิชาไปแล้ว

ถ้าใช้คำของท่านขุนนางเมืองมาพูด จะเป็นอะไรนะ?

อ้อ ใช่แล้ว คงจะเป็น ‘ต้องเข้าไปศึกษาค้นคว้าจากตัวผู้คน การทดลองเป็นมาตรฐานอย่างเดียวที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้’

ความจริงแล้วก็มีเหตุผลอยู่มาก

และชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ เป็นประสบการณ์ที่นางไม่เคยพบในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้นางมีความสุขนัก

ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่นางเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากรีบกลับไปสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์แล้ว

ร้านเสินหนงในตอนนี้เป็นร้านยาอันดับหนึ่งในเมือง แน่นอนว่าไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพรรคเสินหนงที่ชั่วร้ายในสมัยก่อนอีก ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากรังมารพรรคเสินหนง มีบุตรสาวของหมอใหญ่จากโรงหมอที่เคยถูกพรรคเสินหนงทำร้ายเป็นผู้ดูแล ได้การสนับสนุนให้เปิดกิจการต่อจากขุนนางเมือง ทำการค้าสุจริต ชาวบ้านชื่นชมกันมาก

ขณะที่จ้าวหลิงมาถึง มู่ชิงเอ๋อร์จัดเตรียมตัวยาของนางเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว

“พี่จ้าว ใบสั่งยาที่ท่านให้มาเมื่อวานนี้ ใช้ได้ดีมากจริงๆ…” มู่ชิงเอ๋อร์ที่ค่อยๆ เดินออกมาจากความเจ็บปวดกลับมาสดใสร่าเริงดังเดิมแล้ว นางมีพรสวรรค์ด้านยามาก ด้วยเหตุนี้จ้าวหลิงจึงมักจะถ่ายทอดวิชาแพทย์บางส่วนให้ หมายจะชุบเลี้ยงอบรมนาง

ทั้งคู่คุยกันอยู่พักหนึ่ง จ้าวหลิงใช้เวลาไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม เพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยโรคประหลาดหายากที่มานั่งรออยู่ในร้านนานแล้ว จากนั้นจึงรับยาแล้วกลับไป

เพราะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ภายในเมืองช่วงนี้ ผู้ป่วยในเมืองจึงลดน้อยลงทุกวัน ผู้ที่มาขอการรักษาส่วนใหญ่เป็นคนจากเขตรอบอำเภอ และพวกที่มาจากสถานที่ห่างไกลเนื่องจากได้ยินชื่อเสียง

จ้าวหลิงที่เป็นหมอยาก็เป็นจอมยุทธ์ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่านางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเมือง

ในความเห็นนาง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากพลังฟ้าดินรวมตัวกันจนเข้มข้นมากกว่าสิ่งแวดล้อมปกติหลายร้อยเท่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นจุดไหน ความเข้มข้นของพลังธาตุฟ้าดินก็ยังมากกว่าพื้นที่ฝึกวิชาลับบางส่วนของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เสียอีก ทำให้นางไม่เข้าใจเอาเสียเลย

แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ชัดเจนมาก และแน่ใจยิ่ง

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องที่ขุนนางเมืองหลี่มู่สร้างขึ้น

บนตัวของหนุ่มน้อยคนนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมายเหลือเกิน พูดได้ว่าฝีมือฝืนลิขิตฟ้าโดยแท้

ในใจของนางยิ่งอยากรู้อยากเห็นขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่เดินไป จู่ๆ ด้านหน้าก็ปรากฏร่างคนเข้ามาขวางทางไว้

จ้าวหลิงเงยหน้าขึ้น แค่เห็นก็ตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“ทะ…ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร? รีบไปก่อน…”

……

“การฝึกฝนจริงมากมาย เป็นวิธีพัฒนาการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดจริงๆ”

หลี่มู่จบการเก็บตัวฝึกตนครั้งนี้ เดินออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

ช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา เขาเอาแต่วางค่ายกลในตำแหน่งต่างๆ ตามเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ ขี่ดาบเหินหาว ใช้ดาบวัฏจักรแทนพู่กัน คอยสลักค่ายกลตามกำแพงหิน พื้นดิน หินผา ใต้แม่น้ำ หรือในถ้ำ เรียกว่าเป็นม้วนภาพขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้ หนำซ้ำบางครั้งถึงกับต้องเคลื่อนย้ายยอดเขา กระทั่งขุดลอกร่องน้ำขึ้นมาใหม่…

หนึ่งเดือนแรก ค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ขั้นต้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนก็คอยปรับแต่ง แก้ไข จัดเรียง

นี่เป็นงานที่สิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณและปราณแท้อย่างมาก

ค่ายกลอีกมากมายที่เหมือนกันหรือเชื่อมโยงถึงกัน จำเป็นต้องสลักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เหมือนกับเด็กนักเรียนที่ต้องต่อสู้กับการบ้านมากมาย เมื่อชำนิชำนาญ ผลงานก็ยกระดับ เมื่อเทียบกับสองเดือนก่อนหน้า ทักษะด้านสร้างค่ายกลและวิชาฮวงจุ้ยของหลี่มู่ข้ามขั้นจากประถมไปสู่มัธยมปลายแล้วเรียบร้อย

นับเป็นการก้าวกระโดดเลยทีเดียว

วิชาดาบเหินหาวเมื่อผสานลายค่ายกลวิชาเต๋าลงไป รวมเข้ากับสิ่งที่ได้รับมาจากการสังเกตศึกของขั้นเหนือมนุษย์ระดับสูงสุดทั้งสามที่เมืองฉางอันในวันนั้น เขาก็เริ่มเข้าใจต้นแบบของจิตแห่งดาบบ้างแล้ว ความประณีตในการควบคุมดาบถลาลมทั้งยี่สิบสี่เล่ม ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าตอนแรกกี่เท่า ไม่ใช่การอาศัยแต่ความเร็วเพื่อเอาชนะแล้ว ในตอนนี้ ถึงแม้จะต้องรับมือกับขั้นเหนือมนุษย์ระดับต้น หลี่มู่ก็มั่นใจว่าสู้ได้

สิ่งที่สำคัญกว่าคือเขาเหนี่ยวนำค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ได้สำเร็จ ทำให้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ใต้การปกคลุมของค่ายกลทั้งหมด ภายใต้ค่ายกลเต๋าน้อยใหญ่นับพันนับหมื่น ขอแค่หลี่มู่ไม่อนุญาต ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถฝ่าเข้ามาในเมืองได้

พูดได้ว่า หลี่มู่จัดการทั้งเมืองจนแน่นหนาเหมือนถังเหล็กอย่างไรอย่างนั้น

อำเภอขาวพิสุทธิ์ในตอนนี้กลายเป็นที่ส่วนตัวของหลี่มู่เรียบร้อยแล้ว

ต่อให้ขั้นเหนือมนุษย์อย่างเซียนกระบี่ธุลีแดงหลี่กังเข้ามา หลี่มู่ก็ยังมั่นใจว่าพลังของค่ายกลต้านออกไปตรงๆ ได้

“ในที่สุด ก็มีต้นทุนที่แข็งแกร่งในโลกใบนี้เสียที”

หลี่มู่ผ่อนลมหายใจโล่งอก

สองเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ ความตึงเครียดที่อยู่ในหัวสมองของเขาเส้นนั้น ในที่สุดก็หายไปแล้ว

ตอนนี้ ต่อให้การแก้แค้นจากพวกขององค์ชายสองมาเยือน หรือจะเป็นบทลงโทษของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิก็ตามที หลี่มู่ต้อนรับขับสู้ได้หมด

พลังจิตของเขาหลอมรวมเข้ากับค่ายกล หลังจากเพิ่มขนาดพื้นที่ก็เป็นดั่งเรดาห์ขนาดใหญ่ สามารถกวาดตรวจสอบครอบคลุมได้ทั้งเมืองอำเภอ เพียงแค่ขยับความคิด กลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งอ่อนแอต่างๆ ในเมืองจะปรากฏขึ้นในหัว เมื่อมีผู้แข็งแกร่งจากภายนอกปรากฏกายในอำเภอขาวพิสุทธิ์โดยไม่คาดคิด หลี่มู่ก็จะวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว

“เอ๋? กลิ่นอายพลังนี้…เป็นเขานี่เอง น่าสนใจ”

หลี่มู่พลันสัมผัสได้ กลางเมืองมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของจอมยุทธ์แปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งจุด

เขาหัวเราะขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นาน หมอหญิงจ้าวหลิงก็ขอเข้าพบ

“ใต้เท้า ข้า…” คำพูดของจ้าวหลิงสะดุดกึก ท่าทางลังเล

หลี่มู่หัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหมอหญิงเย่อหยิ่งที่นิสัยเหมือนผู้ชายและยังเห็นคนอื่นเป็นศัตรูอยู่ตลอดมีสีหน้าลังเลตัดสินใจไม่ได้เช่นนี้ เขาพูดออกมาว่า “จ้าวอวี่พี่ชายของเจ้าจะมาขอพบข้าใช่ไหม? เรียกเขาเข้ามาสิ”

“ทะ…ทำไมเจ้ารู้ล่ะ?” จ้าวหลิงถลึงตาโต ใบหน้างดงามปรากฏสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

หลี่มู่หัวเราะหึๆ “จะก่อนหน้าห้าพันปีหรือภายหลังอีกห้าพันปี ข้าก็ล่วงรู้ได้หมด ทั้งเมืองในตอนนี้หนีไม่พ้นการควบคุมของข้าหรอก”

จ้าวหลิงร้องฮึขึ้นเบาๆ ก่อนหันหลังเดินออกไป

เย่อหยิ่งจริงๆ เลย

หลี่มู่ทำปากจิ๊จ๊ะ

ครู่ต่อมา ศิษย์พี่ใหญ่จ้าวอวี่แห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็ถูกพาตัวเข้ามา

“คุณชายหลี่” จ้าวอวี่ค้อมตัวคารวะ ไม่ถ่อมตัวหรือถือตัวเกินไป

หลี่มู่หัวเราะร่า “ตั้งแต่จากกันที่เมืองฉางอันก็สองเดือนกว่าแล้ว สหายจ้าวรุดหน้าไปมาก เข้าสู่ระดับต้นของขั้นฟ้าประทานแล้ว ซ้ำฝึกปราณแท้ฟ้าประทานได้ ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร…สหายจ้าวเชิญนั่ง” เขารู้สึกตกใจเช่นกัน อัจฉริยะด้านต่อสู้คนนี้เป็นตัวร้ายจริงๆ ด้วย พัฒนาไปได้รวดเร็วมาก

ใบหน้าของจ้าวอวี่ปรากฏความภาคภูมิใจเล็กๆ

ศึกในวันนั้น เขาได้รับการชี้แนะอย่างลึกซึ้ง หลังกลับไปที่สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็ปิดด่านฝึกฝนทันที สองเดือนถึงจะออกมา จนก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน กลายเป็นศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อายุน้อยที่สุดที่บรรลุขั้นฟ้าประทานได้ในประวัติศาสตร์ ทำลายสถิติมากมาย ทำให้ทั้งสำนักตื่นเต้นยินดี ทั้งยังถูกกำหนดให้เป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้สืบทอดรุ่นต่อไป เรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้จริงๆ

“ไม่ทราบว่าคุณชายหลี่ได้อะไรมาบ้าง?” จ้าวอวี่ถามขึ้น

หลี่มู่ถอนใจยาว ท่าทีเจ็บปวดจำใจเหลือประมาณ “เฮ้อ หลังจากข้ากลับมาที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็เอาแต่วุ่นเรื่องในอำเภอกับชาวบ้าน ไม่มีเวลาไปฝึกฝนเลย ดังนั้นเรื่องขั้นพลังยุทธ์จึงล่าช้าไปบ้าง…”

จ้าวอวี่อึ้งไป เอ่ยต่อว่า “จริงๆ แล้วคุณชายหลี่น่าจะละทิ้งเรื่องทางโลกบ้าง…”

เขาคิดจะเตือนหลี่มู่จริงๆ เพราะหลี่มู่มีบุญคุณช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เสียแต่ได้ยินมาว่าหลี่มู่ชมชอบนารี บังคับเอาคณิกาชั้นหนึ่งฮวาเสี่ยงหรงมาจากหน่วยเลี้ยงรับรอง ไหนจะยังบรรดาสาวงามกว่าสิบคนในงานประมูลนั่นอีก…ตัณหาก็เหมือนกับคมดาบ จิตจะกล้าแกร่งเพียงไหน ก็ยังยากจะต่อกรกับสาวงามได้ นับประสาอะไรกับหลี่มู่ที่ต้องดูแลบริหารงานในอำเภออีก

แต่เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินหลี่มู่กล่าวต่อว่า “สองเดือนมานี้ ข้าเพิ่งจะขั้นฟ้าประทานระดับสมบูรณ์เท่านั้น…”

พรวด!

จ้าวอวี่แทบจะกระอักเลือดออกมา

ระดับสมบูรณ์ของขั้นฟ้าประทาน?

เพิ่งจะระดับสมบูรณ์ของขั้นฟ้าประทาน?

เขาอยากกระโดดเข้าไปกัดหลี่มู่ให้ตายเสีย

ไปถึงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์แล้ว ยังจะมาทำหน้านิ่วปวดใจแบบนี้อยู่อีก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+