จอมศาสตราพลิกดารา 228 สัญญายืม • บดขยี้

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 228 สัญญายืม • บดขยี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หอหมายเลขสิบห้า ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงทองครั้งที่หนึ่ง…มีใครเพิ่มราคาอีกหรือไม่?” ผู้ดำเนินการประมูลเคาะค้อน เพราะตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ สีหน้าของเขาจึงแทบจะบิดเบี้ยว

สถิติราคาสูงลิ่วกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

หวางเฉินมององค์หญิงฉินเจินด้วยสีหน้าร้อนรน

หงส์ปีกหักสู้ไก่ก็ยังไม่ได้ กลุ่มอำนาจขององค์หญิงฉินเจินเมื่อก่อนก็นับว่ามีพลังในระดับหนึ่งในจักรวรรดิฉินตะวันตก แต่ทว่าจากการตายของถังฉง และพันธมิตรฝั่งต่างๆ ถูกโจมตีแตกกระสานซ่านเซ็นกันไป ตอนนี้แม้แต่เงินไม่กี่ล้านตำลึงทองก็รวมมาไม่ได้

องค์หญิงฉินเจินหันหลังพิงประตู คิ้วขมวดมุ่น

ราคาของพี่น้องสกุลถังถูกปั่นจนสูงลิ่ว เกินกว่าการคาดการณ์ของนางไป

ทุนที่นางสามารถรวมได้นางก็พยายามแล้ว ทั้งยังจำนำของมีค่าติดตัวหลายชิ้น ว่ากันว่าคนจากไปชาก็เย็นชืด สมาพันธ์การค้าที่ในอดีตเคยรู้จัก แต่ก่อนเสนอหน้าพยายามจะมอบเงินให้นาง แต่ตอนนี้พอสูญเสียอำนาจ แค่ได้ยินว่านางจะยืมเงินก็ไม่ยอมแม้แต่จะพบหน้าแล้ว

ทำอย่างไรดี?

แน่นอนว่าฉินเจินฉลาดปราดเปรื่อง แต่ภรรยาดีหากไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหารได้

นางลูบกระบี่ยาวในมือ สีหน้าฉายแววเด็ดขาด บอกกับข้างนอกห้องว่า “ใช้สิ่งของมัดจำได้หรือไม่?”

หวางเฉินแค่มองก็เข้าใจความหมายของนาง จึงร้องอย่างตกใจ “องค์หญิง กระบี่เล่มนี้ในตอนนั้นเป็นถึง…”

ฉินเจินโบกมือ ส่งสัญญาณว่าเขาไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว

กระนั้นแล้ว เสียงของผู้ดูแลหน่วยเลี้ยงรับรองที่อยู่ด้านนอกคนนั้นก็ตอบกลับมา “หากท่านลูกค้ามีของล้ำค่าย่อมนำมาวางมัดจำได้ แต่จำต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ หลังจากนั้นถึงจะเสนอราคาได้ แต่เกรงว่าท่านลูกค้าจะไล่ราคาการประมูลครั้งนี้ไม่ทันแล้ว”

……

“หอหมายเลขสิบห้า ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงครั้งที่สอง มีใครจะเสนอราคาเพิ่มอีกหรือไม่?”

เสียงของผู้ดำเนินการประมูลสั่นเครือ

“โอกาสสุดท้ายแล้ว โอกาสสุดท้าย…นี่เป็นถึงธิดาของขุนพลเจิ้นกั๋ว มีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ ซ้ำยังเป็นสาวพรหมจรรย์ เป็นสตรีฐานะสูงที่สุดที่หน่วยเลี้ยงรับรองเคยประมูลมา หากพลาดไป ในอนาคตอาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้…” เขามองไปทางหอหมายเลขสิบ หวังว่าทางนั้นจะเสนอราคาเพิ่ม ยกสถิติให้สูงขึ้นอีกนิด

แต่ทว่าหอหมายเลขสิบที่ก่อนหน้านี้ท่าทางทรงอำนาจครั้งนี้กลับนิ่งงัน ไม่เสนอราคาอีกเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสีย ท่าทางเหมือนยอมแพ้แล้ว

ในหอหมายเลขสิบห้า ไป๋หย่วนโมโหจนกัดฟันกรอด “มารดามันสิ ยังไม่รีบเคาะราคาอีก ไอ้หมาแก่นี่ตั้งใจถ่วงเวลายั่วคนอื่นให้มาแข่งกับเรา”

มุมปากของหานเฝ่ยหรานยิ้มเย็นชาน่ากลัว “หึ หมายเลขสิบน่าจะไม่มีเงินแล้ว…ส่งคนไปจับตาดูไว้ ดูซิว่าข้างในเป็นใครกันแน่ กล้ามาแข่งกับพวกเรา ข้าจะให้มันจ่ายค่าเสียหายของพวกเราเป็นเท่าตัว”

บนเวทีหลัก ถังถังที่ถูกพันธนาการอยู่บนกางเขนเหล็กน้ำตาไหลจนแทบจะหมดตัวแล้ว

สีหน้าของนางไร้ความรู้สึกขึ้นเรื่อยๆ ไปตามเสียงตะโกนจนคอแทบแตกของผู้ดำเนินการประมูลและเสียงโห่ร้องของผู้ชมรอบด้าน ความหวาดกลัวและอ่อนแอในดวงตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นกรุ่นโกรธ นางสัมผัสได้ถึงเมล็ดพันธุ์ของความชั่วร้ายและอาฆาตของโลกใบนี้ที่กำลังเติบโตแผ่ลามไปในใจนางอย่างบ้าคลั่ง

มีเพียงยามมองแผ่นหลังของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินที่ยืนอยู่ข้างกายเท่านั้น สายตาของนางถึงจะสงบลงบ้างเล็กน้อย ในยามที่มืดมิดที่สุด คนแปลกหน้าคนนี้ปกป้องศักดิ์ศรีของนางไว้

“ครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้าย ยังมีใครเสนอราคาเพิ่มอีกหรือไม่? หากไม่มี ธิดาคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วคนนี้ก็จะตกเป็นของท่านลูกค้าหมายเลขสิบห้าแล้ว…” ผู้ดำเนินการประมูลหัวขาวยกค้อนประมูลขึ้นสูง

หลี่มู่ที่สวมหน้ากากยืนอยู่ข้างกายถังถังมองไปยังหอหมายเลขสิบ

น่าแปลก พวกหวางเฉินยอมแพ้แล้วรึ?

เมื่อเขากระตุ้นค่ายกลที่แอบวางเอาไว้ในใจ ก็มองเห็นทุกสิ่งในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินที่ใบหน้าร้อนรน แล้วก็ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบ รูปร่างผอมบางสวมชุดคลุมยาวสีขาว สวมหน้ากากปกปิดใบหน้า มือถือกระบี่…

“ที่แท้ก็…ไม่มีเงินแล้ว”

จากการแอบสอดแนม หลี่มู่รู้เหตุการณ์ภายในอย่างกระจ่างแจ้ง

ท่าทางองค์หญิงที่หวางเฉินติดตามคนนี้จะค่อนข้างเสียเปรียบแฮะ จนขนาดนี้เชียว

แต่ว่านางนำกระบี่คู่กายของตนออกมามัดจำเพียงเพื่อช่วยคน นี่ทำให้หลี่มู่ต้องมองนางใหม่ ดูแล้วองค์หญิงที่ว่านี่จะเป็นคนมีมโนธรรมเหมือนกัน

“เอาละ ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาประมูลแข่งอีก เช่นนั้นข้าขอประกาศ ถังถัง ธิดาคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วตกเป็นของ…” ผู้ดำเนินการประมูลยกค้อนประมูลสูง จะเคาะลงมาแล้ว

“ช้าก่อน” หลี่มู่เอ่ยปาก

ค้อนประมูลหยุดอยู่กลางอากาศ

ผู้ดำเนินการประมูลหัวขาวมองคนสวมหน้าหน้าผียิ้มสีเงินอย่างหวาดกลัว “ท่านหมายความเช่นไร?”

เขากลัวว่าจู่ๆ ผู้แข็งแกร่งโดยกำเนิดคนนี้จะคลั่งเปิดฉากสังหาร

หลี่มู่ตอบว่า “ข้าเสนอราคา…ห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทอง”

รอบๆ ส่งเสียงฮือฮาไปทั่ว

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินจะร่วมประมูลด้วย?

ผู้ดำเนินการประมูลอึ้งตะลึง และส่ายหน้าหลังจากตั้งสติกลับมาได้ “ต้องเป็นแขกผู้มีเกียรติที่มีป้ายสัญลักษณ์และได้รับการพิสูจน์ทรัพย์สินเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เสนอราคาได้ ถึงท่านจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน แต่ว่า…” ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ใครจะไปรู้ว่าเจ้าไม่ใช่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรือเปล่า ถ้าจ่ายเงินห้าแสนแปดหมื่นตำลึงไม่ได้จะทำอย่างไร?

หลี่มู่ตอบน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ารู้”

เขาหันไปยังหอหมายเลขสิบแปด “เสนอราคาตาม”

จากนั้นหอหมายเลขสิบแปดก็มีเสียงเสนอราคาตามขึ้นมาจริงๆ “ห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทอง”

รอบด้านส่งเสียงตกใจฮือฮา

คราวนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินคนนี้ที่แท้เป็นแขกผู้มีเกียรติลึกลับของหอหมายเลขสิบแปดนั่นเอง

ผู้ดำเนินการประมูลหลังจากอึ้งไปชั่วขณะก็ลิงโลด แบบนี้ก็ง่ายเลย ไม่ว่าใครจะเสนอราคา หากราคาพุ่งขึ้นไปก็มีประโยชน์ต่อหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งนั้น เขาตะเบ็งเสียงประกาศลั่น “เอาละ แขกจากหอหมายเลขสิบแปดเสนอราคาห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทอง…ห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทองครั้งที่หนึ่ง…”

……

“เป็นหลี่มู่!”

ในหอหมายเลขหนึ่ง หลิวเฉิงหลงตกใจอย่างมาก

เจ้านายของหอหมายเลขสิบแปดก็คือหลี่มู่ ก่อนหน้านี้เขาก็สืบจนกระจ่างแล้ว และตอนนี้คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินควบคุมการเสนอราคาของหอหมายเลขสิบแปดได้ มีเพียงคำอธิบายเดียว เขาก็คือหลี่มู่นั่นเอง

ดวงตาขององค์ชายสองหรี่ลง

เขาพลาดไปเสียแล้ว

หลี่มู่คนนี้ช่างไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ กล้ากระโดดออกมาทำลายเรื่องของเขาที่นี่

ในหัวของเขาคิดคำนวนอย่างรวดเร็ว หากหลี่มู่ประมูลถังถังไปได้จริงๆ เช่นนั้นจะเกิดเรื่องอะไรต่อไป?

ลู่หลีจื่อที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางมองไปยังเวทีหลัก “เขาก็คือหลี่มู่?” ลู่หลี่จื่อนึกถึงฉากที่หลี่มู่ใช้ความตายของหยวนอู่มาทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส ในใจเกิดความรู้สึกเย็นเยือกขึ้นไม่ได้ หลี่มู่คนนี้กำเริบถึงขั้นนี้เชียวหรือ

……

“หืม? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินและองค์หญิงฉินเจินรู้สึกประหลาดใจนัก

พวกเขามั่นใจแล้วว่าในหอหมายเลขสิบห้าจะต้องเป็นศัตรูของขุนพลถังในยามเมื่อมีชีวิตอยู่แน่นอน พวกเขามางานประมูลก็เพื่อหยามหมิ่นระบายอารมณ์ ตอนนี้ทำไมจู่ๆ มีหมายเลขสิบแปดโผล่มา หมายเลขสิบแปดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?

สถานการณ์ทำเอาคนมองแล้วไม่ค่อยเข้าใจ

แต่ว่า ก่อนหน้านี้คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินช่วยถังถังปกป้องศักดิ์ศรีของนาง ดูไปแล้วคล้ายจะเป็นคนดี?

ความคิดมากมายผุดขึ้นในสมองของฉินเจินอย่างเร็วจี๋

แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ หากถังถังตกอยู่ในมือของคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินย่อมดีกว่าพวกกากเดนในหอหมายเลขสิบห้าอย่างมหาศาลแน่นอน บางทีอาจจะยังพอดึงสถานการณ์กลับมาได้?

ในขณะนี้เองก็พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น สาวใช้ด้านนอกส่งเสียงเข้ามา “แขกผู้มีเกียรติ แขกจากหอหมายเลขสิบแปดใช้คนมาส่งกล่องให้ท่านกล่องหนึ่ง จะให้นำเข้ามาหรือไม่?”

ฉินเจินสีหน้าเคร่งเครียด “ส่งเข้ามา”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กล่องหยกสีขาววิจิตรกล่องหนึ่งก็ส่งมาถึงมือฉินเจิน

ครั้นเปิดกล่องออกดูก็เห็นในกล่องแบ่งเป็นซ้ายขวาสองช่อง ช่องด้านซ้ายมีตั๋วทองของสมาพันธ์การค้าใต้หล้าหนึ่งล้านตำลึงทองพอดี หากเป็นของปลอมรับเปลี่ยนให้ ส่วนช่องด้านขวามีกระดาษใบเล็กๆ แผ่นหนึ่ง บนนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘ไม่ต้องกังวล อีกครู่หนึ่งจะส่งตัวถังถังไปให้ หากท่านต้องการยืมเงิน เช่นนั้นก็เขียนสัญญายืมซะ ลงนามให้เรียบร้อยแล้วให้คนส่งกลับมา เงินหนึ่งล้านตำลึงทองนี้จะให้ท่านยืม ไม่ต้องขอบคุณข้า’

ฉินเจินและหวางเฉินทั้งสองคนต่างอึ้งตะลึง

ถึงแม้เนื้อหาที่เขียนอยู่บนกระดาษจะเผยกลิ่นอายหลงตัวเองอย่างเข้มข้น แต่การกระทำแบบนี้เป็นการมอบถ่านร้อนให้กลางหิมะจริงๆ

มีเงินหนึ่งล้านตำลึงทองนี้ รวมกับเงินทุนที่ยังเหลืออยู่ในมือ จะพอสำหรับแข่งประมูลช่วยฮูหยินถังรอบต่อไปแน่นอน

อีกทั้งอีกฝ่ายก็บอกชัดแล้วว่าจะส่งถังถังมา ซึ่งก็หมายความว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินร่วมแข่งประมูลไม่ใช่อยากได้เอง แต่เพื่อลงมือแทนพวกเขา…คนคนนี้เป็นใคนกันแน่ ไยจึงช่วยตนเช่นนี้?

เป็นเพียงแค่จอมยุทธ์ผดุงความยุติธรรมจริงๆ หรือ?

ไม่มีทางง่ายดายเช่นนั้น

หากเป็นเพียงจอมยุทธ์ผู้สูงส่งที่บังเอิญพบกัน ทำไมถึงต้องช่วยพวกตนด้วย?

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินมั่นใจว่าพวกตนเป็นคนดี มาเพื่อช่วยฮูหยินถังและลูกสาวถังสองคนขนาดนั้นเชียวหรือ?

เขาจะต้องรู้เรื่องภายในอะไรบางอย่างเป็นแน่

แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปคิดอะไรมากมายแบบนี้

หลังจากฉินเจินลังเลเล็กน้อย นางก็หยิบพู่กันแล้วเขียนสัญญายืมเงินหนึ่งล้านเจ็ดแสนตำลึงทอง หยดเลือดของตนไปบนนั้นไว้เป็นหลักฐาน เมื่อพับสัญญายืมเรียบร้อยก็ให้คนส่งกลับไปหอหมายเลขสิบแปด แต่เก็บกล่องหยกและตั๋วทองของสมาพันธ์การค้าใต้หล้าหนึ่งล้านตำลึงทองเอาไว้

หวางเฉินไม่ได้พูดอะไร

เขารู้ องค์หญิงฉินเจินเขียนจำนวนหนึ่งล้านเจ็ดแสนตำลึง หนึ่งล้านตำลึงคือยืม ส่วนเจ็ดแสนที่เหลือคือค่าใช้จ่ายมหาศาลที่อีกฝ่ายร่วมแข่งประมูลเพื่อช่วยถังถัง

ถึงแม้ตอนนี้การประมูลจะยังไม่จบดี หมายเลขสิบแปดและสิบห้ายังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่องค์หญิงเลือกเชื่อคนแปลกหน้าสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินที่ไม่เคยพบเจอคนนี้ และเชื่อความหวังดีของเขา นี่คือความกล้าและความเด็ดเดี่ยวอย่างหนึ่ง

ก็เหมือนกับคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน ยังไม่ทันได้รับสัญญายืมก็สั่งให้คนส่งเงินมาหนึ่งล้านตำลึงทองแล้ว ความเชื่อใจในสถานการณ์แบบนี้ช่างเป็นสิ่งล้ำค่านัก

หวางเฉินทอดถอนอย่างอดไม่ได้ “คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดนัก ฟังจากเสียงดูจากการกระทำน่าจะไม่เกินสามสิบ ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานอายุสามสิบเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะได้แน่นอน นี่สิถึงจะเป็นจอมยุทธ์มีน้ำใจอย่างแท้จริง เทียบกับหลี่มู่ที่ข้าชื่นชมเป็นอย่างมากก็ห่างกันราวฟ้ากับเหว ช่างทำให้ผิดหวังนัก…”

ฉินเจินไม่ได้พูดอะไร

……

“หกแสนสี่หมื่นตำลึงทอง” ในหอหมายเลขสิบห้า พวกไป๋หย่วนเพิ่มราคาอย่างโมโหจนกัดฟันกรอด

แต่เดิมชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินโผล่มาทำลายเรื่องดีๆ ของพวกเขา ราคานี้เกินการประมาณการแต่แรกของเขาไปมาก ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังรู้สึกปวดใจเป็นระลอกๆ

“เจ็ดแสนตำลึงทอง” คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ

เพิ่มสูงขึ้นทันทีหกหมื่นตำลึงทอง

นี่คือรัศมีอำนาจ การบดขยี้ และการท้าทายอย่างหนึ่ง

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 228 สัญญายืม • บดขยี้

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 228 สัญญายืม • บดขยี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หอหมายเลขสิบห้า ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงทองครั้งที่หนึ่ง…มีใครเพิ่มราคาอีกหรือไม่?” ผู้ดำเนินการประมูลเคาะค้อน เพราะตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ สีหน้าของเขาจึงแทบจะบิดเบี้ยว

สถิติราคาสูงลิ่วกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

หวางเฉินมององค์หญิงฉินเจินด้วยสีหน้าร้อนรน

หงส์ปีกหักสู้ไก่ก็ยังไม่ได้ กลุ่มอำนาจขององค์หญิงฉินเจินเมื่อก่อนก็นับว่ามีพลังในระดับหนึ่งในจักรวรรดิฉินตะวันตก แต่ทว่าจากการตายของถังฉง และพันธมิตรฝั่งต่างๆ ถูกโจมตีแตกกระสานซ่านเซ็นกันไป ตอนนี้แม้แต่เงินไม่กี่ล้านตำลึงทองก็รวมมาไม่ได้

องค์หญิงฉินเจินหันหลังพิงประตู คิ้วขมวดมุ่น

ราคาของพี่น้องสกุลถังถูกปั่นจนสูงลิ่ว เกินกว่าการคาดการณ์ของนางไป

ทุนที่นางสามารถรวมได้นางก็พยายามแล้ว ทั้งยังจำนำของมีค่าติดตัวหลายชิ้น ว่ากันว่าคนจากไปชาก็เย็นชืด สมาพันธ์การค้าที่ในอดีตเคยรู้จัก แต่ก่อนเสนอหน้าพยายามจะมอบเงินให้นาง แต่ตอนนี้พอสูญเสียอำนาจ แค่ได้ยินว่านางจะยืมเงินก็ไม่ยอมแม้แต่จะพบหน้าแล้ว

ทำอย่างไรดี?

แน่นอนว่าฉินเจินฉลาดปราดเปรื่อง แต่ภรรยาดีหากไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหารได้

นางลูบกระบี่ยาวในมือ สีหน้าฉายแววเด็ดขาด บอกกับข้างนอกห้องว่า “ใช้สิ่งของมัดจำได้หรือไม่?”

หวางเฉินแค่มองก็เข้าใจความหมายของนาง จึงร้องอย่างตกใจ “องค์หญิง กระบี่เล่มนี้ในตอนนั้นเป็นถึง…”

ฉินเจินโบกมือ ส่งสัญญาณว่าเขาไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว

กระนั้นแล้ว เสียงของผู้ดูแลหน่วยเลี้ยงรับรองที่อยู่ด้านนอกคนนั้นก็ตอบกลับมา “หากท่านลูกค้ามีของล้ำค่าย่อมนำมาวางมัดจำได้ แต่จำต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ หลังจากนั้นถึงจะเสนอราคาได้ แต่เกรงว่าท่านลูกค้าจะไล่ราคาการประมูลครั้งนี้ไม่ทันแล้ว”

……

“หอหมายเลขสิบห้า ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงครั้งที่สอง มีใครจะเสนอราคาเพิ่มอีกหรือไม่?”

เสียงของผู้ดำเนินการประมูลสั่นเครือ

“โอกาสสุดท้ายแล้ว โอกาสสุดท้าย…นี่เป็นถึงธิดาของขุนพลเจิ้นกั๋ว มีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ ซ้ำยังเป็นสาวพรหมจรรย์ เป็นสตรีฐานะสูงที่สุดที่หน่วยเลี้ยงรับรองเคยประมูลมา หากพลาดไป ในอนาคตอาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้…” เขามองไปทางหอหมายเลขสิบ หวังว่าทางนั้นจะเสนอราคาเพิ่ม ยกสถิติให้สูงขึ้นอีกนิด

แต่ทว่าหอหมายเลขสิบที่ก่อนหน้านี้ท่าทางทรงอำนาจครั้งนี้กลับนิ่งงัน ไม่เสนอราคาอีกเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสีย ท่าทางเหมือนยอมแพ้แล้ว

ในหอหมายเลขสิบห้า ไป๋หย่วนโมโหจนกัดฟันกรอด “มารดามันสิ ยังไม่รีบเคาะราคาอีก ไอ้หมาแก่นี่ตั้งใจถ่วงเวลายั่วคนอื่นให้มาแข่งกับเรา”

มุมปากของหานเฝ่ยหรานยิ้มเย็นชาน่ากลัว “หึ หมายเลขสิบน่าจะไม่มีเงินแล้ว…ส่งคนไปจับตาดูไว้ ดูซิว่าข้างในเป็นใครกันแน่ กล้ามาแข่งกับพวกเรา ข้าจะให้มันจ่ายค่าเสียหายของพวกเราเป็นเท่าตัว”

บนเวทีหลัก ถังถังที่ถูกพันธนาการอยู่บนกางเขนเหล็กน้ำตาไหลจนแทบจะหมดตัวแล้ว

สีหน้าของนางไร้ความรู้สึกขึ้นเรื่อยๆ ไปตามเสียงตะโกนจนคอแทบแตกของผู้ดำเนินการประมูลและเสียงโห่ร้องของผู้ชมรอบด้าน ความหวาดกลัวและอ่อนแอในดวงตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นกรุ่นโกรธ นางสัมผัสได้ถึงเมล็ดพันธุ์ของความชั่วร้ายและอาฆาตของโลกใบนี้ที่กำลังเติบโตแผ่ลามไปในใจนางอย่างบ้าคลั่ง

มีเพียงยามมองแผ่นหลังของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินที่ยืนอยู่ข้างกายเท่านั้น สายตาของนางถึงจะสงบลงบ้างเล็กน้อย ในยามที่มืดมิดที่สุด คนแปลกหน้าคนนี้ปกป้องศักดิ์ศรีของนางไว้

“ครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้าย ยังมีใครเสนอราคาเพิ่มอีกหรือไม่? หากไม่มี ธิดาคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วคนนี้ก็จะตกเป็นของท่านลูกค้าหมายเลขสิบห้าแล้ว…” ผู้ดำเนินการประมูลหัวขาวยกค้อนประมูลขึ้นสูง

หลี่มู่ที่สวมหน้ากากยืนอยู่ข้างกายถังถังมองไปยังหอหมายเลขสิบ

น่าแปลก พวกหวางเฉินยอมแพ้แล้วรึ?

เมื่อเขากระตุ้นค่ายกลที่แอบวางเอาไว้ในใจ ก็มองเห็นทุกสิ่งในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินที่ใบหน้าร้อนรน แล้วก็ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบ รูปร่างผอมบางสวมชุดคลุมยาวสีขาว สวมหน้ากากปกปิดใบหน้า มือถือกระบี่…

“ที่แท้ก็…ไม่มีเงินแล้ว”

จากการแอบสอดแนม หลี่มู่รู้เหตุการณ์ภายในอย่างกระจ่างแจ้ง

ท่าทางองค์หญิงที่หวางเฉินติดตามคนนี้จะค่อนข้างเสียเปรียบแฮะ จนขนาดนี้เชียว

แต่ว่านางนำกระบี่คู่กายของตนออกมามัดจำเพียงเพื่อช่วยคน นี่ทำให้หลี่มู่ต้องมองนางใหม่ ดูแล้วองค์หญิงที่ว่านี่จะเป็นคนมีมโนธรรมเหมือนกัน

“เอาละ ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาประมูลแข่งอีก เช่นนั้นข้าขอประกาศ ถังถัง ธิดาคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วตกเป็นของ…” ผู้ดำเนินการประมูลยกค้อนประมูลสูง จะเคาะลงมาแล้ว

“ช้าก่อน” หลี่มู่เอ่ยปาก

ค้อนประมูลหยุดอยู่กลางอากาศ

ผู้ดำเนินการประมูลหัวขาวมองคนสวมหน้าหน้าผียิ้มสีเงินอย่างหวาดกลัว “ท่านหมายความเช่นไร?”

เขากลัวว่าจู่ๆ ผู้แข็งแกร่งโดยกำเนิดคนนี้จะคลั่งเปิดฉากสังหาร

หลี่มู่ตอบว่า “ข้าเสนอราคา…ห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทอง”

รอบๆ ส่งเสียงฮือฮาไปทั่ว

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินจะร่วมประมูลด้วย?

ผู้ดำเนินการประมูลอึ้งตะลึง และส่ายหน้าหลังจากตั้งสติกลับมาได้ “ต้องเป็นแขกผู้มีเกียรติที่มีป้ายสัญลักษณ์และได้รับการพิสูจน์ทรัพย์สินเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เสนอราคาได้ ถึงท่านจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน แต่ว่า…” ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ใครจะไปรู้ว่าเจ้าไม่ใช่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรือเปล่า ถ้าจ่ายเงินห้าแสนแปดหมื่นตำลึงไม่ได้จะทำอย่างไร?

หลี่มู่ตอบน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ารู้”

เขาหันไปยังหอหมายเลขสิบแปด “เสนอราคาตาม”

จากนั้นหอหมายเลขสิบแปดก็มีเสียงเสนอราคาตามขึ้นมาจริงๆ “ห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทอง”

รอบด้านส่งเสียงตกใจฮือฮา

คราวนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินคนนี้ที่แท้เป็นแขกผู้มีเกียรติลึกลับของหอหมายเลขสิบแปดนั่นเอง

ผู้ดำเนินการประมูลหลังจากอึ้งไปชั่วขณะก็ลิงโลด แบบนี้ก็ง่ายเลย ไม่ว่าใครจะเสนอราคา หากราคาพุ่งขึ้นไปก็มีประโยชน์ต่อหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งนั้น เขาตะเบ็งเสียงประกาศลั่น “เอาละ แขกจากหอหมายเลขสิบแปดเสนอราคาห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทอง…ห้าแสนแปดหมื่นตำลึงทองครั้งที่หนึ่ง…”

……

“เป็นหลี่มู่!”

ในหอหมายเลขหนึ่ง หลิวเฉิงหลงตกใจอย่างมาก

เจ้านายของหอหมายเลขสิบแปดก็คือหลี่มู่ ก่อนหน้านี้เขาก็สืบจนกระจ่างแล้ว และตอนนี้คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินควบคุมการเสนอราคาของหอหมายเลขสิบแปดได้ มีเพียงคำอธิบายเดียว เขาก็คือหลี่มู่นั่นเอง

ดวงตาขององค์ชายสองหรี่ลง

เขาพลาดไปเสียแล้ว

หลี่มู่คนนี้ช่างไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ กล้ากระโดดออกมาทำลายเรื่องของเขาที่นี่

ในหัวของเขาคิดคำนวนอย่างรวดเร็ว หากหลี่มู่ประมูลถังถังไปได้จริงๆ เช่นนั้นจะเกิดเรื่องอะไรต่อไป?

ลู่หลีจื่อที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางมองไปยังเวทีหลัก “เขาก็คือหลี่มู่?” ลู่หลี่จื่อนึกถึงฉากที่หลี่มู่ใช้ความตายของหยวนอู่มาทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส ในใจเกิดความรู้สึกเย็นเยือกขึ้นไม่ได้ หลี่มู่คนนี้กำเริบถึงขั้นนี้เชียวหรือ

……

“หืม? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินและองค์หญิงฉินเจินรู้สึกประหลาดใจนัก

พวกเขามั่นใจแล้วว่าในหอหมายเลขสิบห้าจะต้องเป็นศัตรูของขุนพลถังในยามเมื่อมีชีวิตอยู่แน่นอน พวกเขามางานประมูลก็เพื่อหยามหมิ่นระบายอารมณ์ ตอนนี้ทำไมจู่ๆ มีหมายเลขสิบแปดโผล่มา หมายเลขสิบแปดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?

สถานการณ์ทำเอาคนมองแล้วไม่ค่อยเข้าใจ

แต่ว่า ก่อนหน้านี้คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินช่วยถังถังปกป้องศักดิ์ศรีของนาง ดูไปแล้วคล้ายจะเป็นคนดี?

ความคิดมากมายผุดขึ้นในสมองของฉินเจินอย่างเร็วจี๋

แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ หากถังถังตกอยู่ในมือของคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินย่อมดีกว่าพวกกากเดนในหอหมายเลขสิบห้าอย่างมหาศาลแน่นอน บางทีอาจจะยังพอดึงสถานการณ์กลับมาได้?

ในขณะนี้เองก็พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น สาวใช้ด้านนอกส่งเสียงเข้ามา “แขกผู้มีเกียรติ แขกจากหอหมายเลขสิบแปดใช้คนมาส่งกล่องให้ท่านกล่องหนึ่ง จะให้นำเข้ามาหรือไม่?”

ฉินเจินสีหน้าเคร่งเครียด “ส่งเข้ามา”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กล่องหยกสีขาววิจิตรกล่องหนึ่งก็ส่งมาถึงมือฉินเจิน

ครั้นเปิดกล่องออกดูก็เห็นในกล่องแบ่งเป็นซ้ายขวาสองช่อง ช่องด้านซ้ายมีตั๋วทองของสมาพันธ์การค้าใต้หล้าหนึ่งล้านตำลึงทองพอดี หากเป็นของปลอมรับเปลี่ยนให้ ส่วนช่องด้านขวามีกระดาษใบเล็กๆ แผ่นหนึ่ง บนนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘ไม่ต้องกังวล อีกครู่หนึ่งจะส่งตัวถังถังไปให้ หากท่านต้องการยืมเงิน เช่นนั้นก็เขียนสัญญายืมซะ ลงนามให้เรียบร้อยแล้วให้คนส่งกลับมา เงินหนึ่งล้านตำลึงทองนี้จะให้ท่านยืม ไม่ต้องขอบคุณข้า’

ฉินเจินและหวางเฉินทั้งสองคนต่างอึ้งตะลึง

ถึงแม้เนื้อหาที่เขียนอยู่บนกระดาษจะเผยกลิ่นอายหลงตัวเองอย่างเข้มข้น แต่การกระทำแบบนี้เป็นการมอบถ่านร้อนให้กลางหิมะจริงๆ

มีเงินหนึ่งล้านตำลึงทองนี้ รวมกับเงินทุนที่ยังเหลืออยู่ในมือ จะพอสำหรับแข่งประมูลช่วยฮูหยินถังรอบต่อไปแน่นอน

อีกทั้งอีกฝ่ายก็บอกชัดแล้วว่าจะส่งถังถังมา ซึ่งก็หมายความว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินร่วมแข่งประมูลไม่ใช่อยากได้เอง แต่เพื่อลงมือแทนพวกเขา…คนคนนี้เป็นใคนกันแน่ ไยจึงช่วยตนเช่นนี้?

เป็นเพียงแค่จอมยุทธ์ผดุงความยุติธรรมจริงๆ หรือ?

ไม่มีทางง่ายดายเช่นนั้น

หากเป็นเพียงจอมยุทธ์ผู้สูงส่งที่บังเอิญพบกัน ทำไมถึงต้องช่วยพวกตนด้วย?

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินมั่นใจว่าพวกตนเป็นคนดี มาเพื่อช่วยฮูหยินถังและลูกสาวถังสองคนขนาดนั้นเชียวหรือ?

เขาจะต้องรู้เรื่องภายในอะไรบางอย่างเป็นแน่

แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปคิดอะไรมากมายแบบนี้

หลังจากฉินเจินลังเลเล็กน้อย นางก็หยิบพู่กันแล้วเขียนสัญญายืมเงินหนึ่งล้านเจ็ดแสนตำลึงทอง หยดเลือดของตนไปบนนั้นไว้เป็นหลักฐาน เมื่อพับสัญญายืมเรียบร้อยก็ให้คนส่งกลับไปหอหมายเลขสิบแปด แต่เก็บกล่องหยกและตั๋วทองของสมาพันธ์การค้าใต้หล้าหนึ่งล้านตำลึงทองเอาไว้

หวางเฉินไม่ได้พูดอะไร

เขารู้ องค์หญิงฉินเจินเขียนจำนวนหนึ่งล้านเจ็ดแสนตำลึง หนึ่งล้านตำลึงคือยืม ส่วนเจ็ดแสนที่เหลือคือค่าใช้จ่ายมหาศาลที่อีกฝ่ายร่วมแข่งประมูลเพื่อช่วยถังถัง

ถึงแม้ตอนนี้การประมูลจะยังไม่จบดี หมายเลขสิบแปดและสิบห้ายังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่องค์หญิงเลือกเชื่อคนแปลกหน้าสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินที่ไม่เคยพบเจอคนนี้ และเชื่อความหวังดีของเขา นี่คือความกล้าและความเด็ดเดี่ยวอย่างหนึ่ง

ก็เหมือนกับคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน ยังไม่ทันได้รับสัญญายืมก็สั่งให้คนส่งเงินมาหนึ่งล้านตำลึงทองแล้ว ความเชื่อใจในสถานการณ์แบบนี้ช่างเป็นสิ่งล้ำค่านัก

หวางเฉินทอดถอนอย่างอดไม่ได้ “คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดนัก ฟังจากเสียงดูจากการกระทำน่าจะไม่เกินสามสิบ ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานอายุสามสิบเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะได้แน่นอน นี่สิถึงจะเป็นจอมยุทธ์มีน้ำใจอย่างแท้จริง เทียบกับหลี่มู่ที่ข้าชื่นชมเป็นอย่างมากก็ห่างกันราวฟ้ากับเหว ช่างทำให้ผิดหวังนัก…”

ฉินเจินไม่ได้พูดอะไร

……

“หกแสนสี่หมื่นตำลึงทอง” ในหอหมายเลขสิบห้า พวกไป๋หย่วนเพิ่มราคาอย่างโมโหจนกัดฟันกรอด

แต่เดิมชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินโผล่มาทำลายเรื่องดีๆ ของพวกเขา ราคานี้เกินการประมาณการแต่แรกของเขาไปมาก ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังรู้สึกปวดใจเป็นระลอกๆ

“เจ็ดแสนตำลึงทอง” คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ

เพิ่มสูงขึ้นทันทีหกหมื่นตำลึงทอง

นี่คือรัศมีอำนาจ การบดขยี้ และการท้าทายอย่างหนึ่ง

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+