จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 290 ฝากไปบอกหน่อย

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 290 ฝากไปบอกหน่อย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่เข้าใจ แต่ก็ตามหลี่มู่มาที่หน้าประตูห้องหนังสือ

พื้นที่บริเวณที่ว่าการเก่า หลังจากผ่านการขยายพื้นที่ของหลี่มู่แล้ว อาณาเขตก็กว้างขวางมาก อีกทั้งทัศนวิสัยกว้างโล่ง ภายในไม่มีกำแพงสูง ส่วนมากมีต้นไม้ ลำธารและภูเขาจำลองเป็นหลัก ยามยืนหน้าประตูห้องหนังสือของหลี่มู่ แค่มองออกไปก็เห็นพื้นที่บริเวณด้านหน้ากว่าครึ่งได้หมด

ลมอ่อนๆ พัดโชย ต้นไม้ต้องลมไหวเอน

ทิวทัศน์ในอาณาเขตที่ว่าการอำเภองดงามเป็นอย่างมาก

สายตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกวาดไปในลานที่พักอาศัย ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย

เพียงแต่จู่ๆ ในเขตที่พักอาศัยก็เงียบเกินเหตุ

มุมปากหลี่มุมยกยิ้มเยาะหยัน งอนิ้วดีดออกไป

พลังดัชนีสายหนึ่งดีดเข้าไปในลานที่พักอาศัย

เรื่องประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองอย่างตื่นตะลึง ภายในเขตพักอาศัยที่แต่เดิมเงียบสงบไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ พลันแผ่ระลอกคลื่นหลายชั้นราวภาพม้วนคลื่นน้ำ จากนั้นภาพทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้น เห็นร่างเงาสี่ร่างอยู่ท่ามกลางสวนเหมือนคนตาบอดหลงทาง เดินวนสะเปะสะปะไปมา ทำหน้าตาฉุนเฉียว ตะโกนอะไรเสียงดัง แต่ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย…

ค่ายกลมายา?

มีคนแฝงตัวเข้ามาในเขตที่ว่าการ?

คราวนี้เขาเข้าใจความหมายของหนูที่หลี่มู่พูดถึงแล้ว

ทุกสิ่งก่อนหน้านี้ถูกค่ายกลบดบังเอาไว้

คนพวกนี้ตกอยู่ในค่ายกล เดินออกมาไม่ได้

พวกเขามาบุกเขตที่ว่าการเก่าเพื่ออะไร?

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพุ่งเป้ามาที่หลี่มู่

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองเห็นร่างเงาหนึ่งในนั้นยกมือซัดพลัง พลังมหาศาลทางหนึ่งทะลักออกมา กลิ่นอายแข็งแกร่ง ไม่นึกว่าจะเป็นพลังฝึกขั้นฟ้าประทานสูงสุด แต่เมื่อฝ่ามือนั้นซัดไปยังหินผาภูเขาจำลองเบื้องหน้าก็ราวโคลนจมทะเล ไม่มีผลอะไรเลย

อีกสามคนที่เหลือก็ร้อนรนอย่างยิ่ง เที่ยวฟันโจมตีสะเปะสะปะ แต่กลับไม่มีความหมายใด พลังโหมกระหน่ำราวคลื่นคลั่งถูกพลังลึกลับบางอย่างสลายไป ไม่อาจสะเทือนให้ใบไม้หลุดร่วงแม้แต่ใบเดียว แปลกประหลาดนัก

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองหลี่มู่ด้วยใจที่ตกตะลึงยิ่งนัก

เขารู้ว่าหลี่มู่เชี่ยวชาญค่ายกล จุดนี้ ที่เรือนซอมซ่อมในเมืองฉางอันก็ได้พิสูจน์แล้ว ช่วงนั้นเขตเรือนซอมซ่อเป็นรองแค่เขตต้องห้ามที่ว่าการเจ้าเมืองเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครฝ่าเข้าไปได้

ทว่าถึงจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นความล้ำลึกด้านค่ายกลของหลี่มู่ก็ไม่ได้น่ากลัวจนถึงระดับนี้

สี่คนที่ถูกกักขังอยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุด ตัวตนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็เป็นผู้ที่มีพลังน่าเกรงขาม แต่กลับติดอยู่ในค่ายกลที่ว่าการราวกับคนตาบอดตกบ่อ ไม่อาจสร้างระลอกคลื่นอะไรได้เลย แม้แต่เสียงก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้

หากก่อนหน้านี้หลี่มู่ไม่ชี้ให้เห็น เจิ้งฉุนเจี้ยนเชื่อว่าต่อให้ตนเดินออกไปจากอาณาบริเวณก็ไม่มีทางสังเกตเห็นเด็ดขาด

จะน่ากลัวเกินไปแล้ว

นี่เป็นค่ายกลและความช่ำชองด้านค่ายกลที่น่ากลัวอะไรปานนี้

เจิ้งฉุนเจียนนึกหวาดกลัวขึ้นมา

อาณาเขตที่ว่าการที่ดูเหมือนสุขสงบแอบซ่อนกลไกเช่นนี้เอาไว้

ครั้นมองเด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มข้างกายคนนี้ ความหวาดกลัวและยำเกรงในใจเจิ้งฉุนเจี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งคิดว่าตัวเองเข้าใจเขาดี กลับยิ่งพบว่าที่จริงแล้วห่างกันไกลเหลือเกิน ไม่อาจมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ใจจึงยิ่งหวาดกลัวเขา และในใจเจิ้งฉุนเจี้ยน หลี่มู่เป็นคนประเภทนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“จิ้วๆ…จิ้วๆๆๆ” เสียงใสกังวานของจิ้งจอกดังขึ้น

สายฟ้าสีขาวสายหนึ่งพุ่งจากด้านข้างมาอยู่ในอ้อมกอดหลี่มู่ เป็นจิ้งจอกขาวตัวน้อยนั่นเอง

“จิ้วๆ” จิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่เลียหลังมือเขาอย่างสนิทสนม

หลี่มู่ลูบเจ้าตัวน้อย จากนั้นจึงถามเจิ้งฉุนเจี้ยน “รู้จักสี่คนนี้หรือไม่?”

เขาตอบ “ไม่รู้จักขอรับ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” หลี่มู่หัวเราะ จากนั้นขยับความคิด

ในอากาศ ระลอกลวดลายค่ายกลเต๋ากระเพื่อมไหว ลายเส้นเต๋าสีทองถี่ยิบในอากาศกะพริบแล้วหายวับไป สี่คนที่วิ่งพล่านเหมือนแมลงวันไร้หัวต่างส่งเสียงร้องยินดี รู้สึกเหมือนหมอกคลุมเครือเบื้องหน้าทั้งหมดหายไปในชั่วพริบตา ชัดกระจ่างขึ้นทันที

ทั้งสี่คนแทบจะเห็นหลี่มู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือในขณะเดียวกัน

“จัดการ!”

คนที่ตั้งตัวได้เป็นคนแรกคือยอดฝีมือร่างผอมเล็กคนหนึ่ง ท่าร่างรวดเร็วนัก พุ่งมาหาหลี่มู่ดั่งลำแสง ยกมือโยนห่วงเงินห่วงทองคู่หนึ่งออกไป เงาห่วงทับซ้อนเป็นร้อยเป็นพันเต็มท้องฟ้าทันใด และล้อมหลี่มู่เอาไว้เหมือนพายุฝนลมกรด

เป็นพายุโจมตีสังหารอันน่าหวาดกลัวที่ขั้นฟ้าประทานสูงสุดสำแดงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ดวงตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกระตุกระรัว ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

เขามองออกว่าเงาห่วงทุกห่วงล้วนเป็นของจริง ไม่ใช่เพียงเงา นี่เป็นวิชาต่อสู้ที่เหี้ยมโหดถึงขีดสุด

ชื่อเหี้ยมโหดเป็นที่เลื่องลือชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเขาทันที

“เป็นเขา…” เจิ้งฉุนเจี้ยนอ้าปากร้องออกมา

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

แสงดาบหลายสายหมุนวนอยู่ข้างกายหลี่มู่ ดาบบินยี่สิบสี่เล่มถาโถมสอดประสานกันดั่งลำแสง ชั่วขณะที่แสงดาบกะพริบวูบ ก็ฟันเงาห่วงเงินทองที่อยู่ห่างจากหลี่มู่หนึ่งจั้งทั้งหมดจนกลายเป็นผุยผง ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย

ขณะเดียวกัน เงาร่างที่พุ่งมาหาหลี่มู่ปานสายอัสนีกลางท้องฟ้าก็กระเด็นตีลังกาออกไป เมื่อกระแทกกับพื้นเต็มแรงก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก คอของเขามีดาบบินสีเงินวาววับปักอยู่

ป้องกัน โจมตีกลับ

แค่ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุดคนหนึ่งถูกสังหารลงอย่างรวดเร็ว

“เขาคือ ‘ห่วงคู่ปลิดชีพ’ เลี่ยวจื้อ หนึ่งในสิบหกทหารเดนตายข้างกายเจิ้นซีอ๋อง…” เสียงตกใจของเจิ้งฉุนเจี้ยนเพิ่งจะตะโกนจบ การต่อสู้ก็เสร็จสิ้นแล้ว

หลี่มู่กระจ่างแจ้งทันที

ผู้แข็งแกร่งสามคนที่เหลือก็ต้องเป็นคนของอ๋องเจิ้นซีแน่นอน

ในที่สุดก็มาจนได้

“สมควรตาย”

“บุกไปพร้อมกัน”

“จัดการ”

สุดยอดผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุดทั้งสามตั้งสติกลับมาได้ พากันลงมือสังหารหลี่มู่พร้อมกัน เคล็ดวิชาต่อสู้ชั้นยอดต่างๆ นานา ปราณแท้ฟ้าประทานราวคลื่นคลั่งโจมตีสังหารมาอย่างรวดเร็ว เหมือนจะโจมตีหลี่มู่ให้เป็นผุยผงในพริบตาไปพร้อมกับห้องหนังสือข้างหลังเขา

หลี่มู่กล่าวพลางหมุนตัวจากไป “ส่งสี่ศพนี้ไปให้เจ้าเมืองสารเลวด้วย”

“เอ๋?” เจิ้งฉุนเจี้ยนประหลาดใจ

ยังไม่ทันขาดคำ

แสงดาบสามสายส่องกะพริบ

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

เสียงแหวกอากาศเพิ่งจะดังขึ้น

ผู้แข็งแกร่งสามคนที่พุ่งมาสังหารตีลังกาลอยออกไปเหมือนหุ่นไล่กาถูกหน้าไม้ยิง ก่อนกระแทกลงข้างกาย ‘ห่วงคู่ปลิดชีพ’ เลี่ยวจื้อที่ถูกดาบปักคอคนแรกสุด นอนเรียงสี่คนเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับมีคนมาจัดเรียงโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น

รูม่านตาเจิ้งฉุนเจี้ยนหดเล็กลง

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ดาบบินสี่เล่มพุ่งจากคอของขั้นฟ้าประทานทั้งสี่ บินเฉียดจอนผมของเจิ้งฉุนเจี้ยนไปดุจสายน้ำไหลยามฤดูใบไม้ร่วง แล้วกลับมายังข้างกายหลี่มู่

เสี้ยวขณะนั้น เจิ้งฉุนเจี้ยนมีความรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

ดาบบินบินผ่านราวเทพแห่งความตายเป่าลมเย็นข้างหู น่าขนลุกขนพอง

เมื่อเขาตั้งสติกลับมาได้ ร่างของหลี่มู่ก็หายลับไปแล้ว

เขามาด้านหน้าศพทั้งสี่ ดูอย่างละเอียดก็จำได้ว่าสี่คนนี้เป็นทหารเดนตายข้างกายอ๋องเจิ้นซี ทางจักรวรรดิออกหมายจับสี่คนนี้แล้ว ล้วนเป็นคนสำคัญในหมายจับทั้งสิ้น และก็เป็นบุคคลร้ายกาจที่เดินออกมาจากกองซากศพทะเลเลือด เชี่ยวชาญการอำพราง ลอบฆ่า วางยาพิษ เป็นพวกนักฆ่า ตามหลักแล้วสี่คนนี้แฝงตัวเข้ามาลอบสังหารหลี่มู่ในเขตที่ว่าการ อัตราความสำเร็จสูงมากทีเดียว ทว่า…

เจิ้นซีอ๋องยังประเมินหลี่มู่ต่ำไป

เจิ้งฉุนเจี้ยนตอนนี้มองไพ่ตายของหลี่มู่ไม่ออกแล้วโดยสิ้นเชิง

ในขณะที่ใจยังหวาดหวั่น เขาจัดการศพทั้งสี่เรียบร้อย

ตอนนำสี่ศพออกไปข้างนอก เจิ้งฉุนเจี้ยนมองเขาจำลอง ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า และลำธารตามรายทาง ก็ไม่เห็นระลอกคลื่นค่ายกลเลย แต่เขารู้ว่าขอแค่หลี่มู่ต้องการ เขาก็จะเหมือนมดหลงทาง ตกอยู่ในค่ายกลนี้และออกไปไม่ได้ตลอดกาลทันที

เมื่อออกไปจากเขตที่ว่าการอำเภอ เจิ้งฉุนเจี้ยนเหงื่อโชกไปทั้งตัว

เขาพบว่าที่หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นรอเขาอยู่

“อาจารย์เจิ้ง คุณชายข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งรบกวนท่าน” เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงเอ่ยเรียบๆ

สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย เพราะขาทั้งสองของชิงเฟิงพิการก็เพราะเขา ตอนนี้เขาทำงานให้หลี่มู่ ย่อมรู้แน่นอนว่าตำแหน่งของชิงเฟิงในใจหลี่มู่เป็นคนสนิทอันดับหนึ่ง ได้รับความเชื่อใจอย่างมาก ยากจะรับประกันได้ว่าในใจชิงเฟิงไม่เคียดแค้นเขา

“คุณชายน้อยเชิญบัญชา มีเรื่องอะไรหรือ?” เขาไม่กล้าเพิกเฉย เอ่ยอย่างนอบน้อม

ชิงเฟิงโบกมือ องครักษ์กลุ่มหนึ่งพาคนผู้หนึ่งมาจากที่ไกลๆ

“อาจารย์เจิ้ง อาจารย์เจิ้งช่วยข้าด้วย…” คนคนนี้ดิ้นรน ร้องขอความช่วยเหลือ เป็นหลี่ปิงที่ติดอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์นั่นเอง หลายวันมานี้บุตรชายคนเล็กของเจ้าเมืองหลี่กังถูกคุมขังอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลี่กังเองก็ไม่ได้ถามถึง ถูกลืมไปแล้วโดยแท้

“คุณชายข้าขอให้อาจารย์พาคนผู้นี้กลับไป” ชิงเฟิงกล่าว

แค้นขาพิการของเขาก็มีส่วนของหลี่ปิงด้วย

แต่หลายวันนี้ หลี่ปิงถูกใช้แรงงานในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็ได้รับความทรมานไปไม่น้อย ทำให้เขาว่าง่ายขึ้นเยอะ ไม่ว่าอย่างไรหลี่ปิงก็เป็นพี่น้องพ่อเดียวกันของหลี่มู่ จึงไม่มีทางฆ่าแกงกันจริงๆ…แน่นอน เด็กรับใช้บัณฑิตยังไม่รู้ว่าหลี่มู่ไม่ใช่หลี่มู่

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้ารับปาก

“คุณชายข้าฝากอาจารย์ไปบอกใต้เท้าเจ้าเมืองด้วยว่า คนทางนั้นอย่าได้มาก่อกวนที่อำเภอขาวพิสุทธิ์อีก มิฉะนั้น…” เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยพูดไม่จบ แต่ความหมายในนั้นชัดเจนยิ่ง

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งตะลึง นอกจากพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็พูดอะไรไม่ออก

……

เมืองฉางอัน

หน่วยเลี้ยงรับรอง หอสดับเซียน

นับจากเมื่อสามวันก่อน หอคณิกาที่ขึ้นชื่อที่สุดในหน่วยเลี้ยงรับรองแห่งนี้มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ลึกลับคนหนึ่งมาเหมาทั้งหอ

ย่ำค่ำ โคมวิจิตรเพิ่งแขวนประดับ

ชายหนุ่มรูปงามผมสยายในชุดดำคนหนึ่งดื่มเหล้าไปพลางร้องเพลงไปพลาง ท่าทางสนุกเต็มที่

รอบกายมีคนใหญ่คนโตของเมืองฉางอันหลายคนอยู่เป็นเพื่อน ในนั้นมีที่ปรึกษาเถียนแห่งที่ว่าการเจ้าเมืองอยู่ด้วย รวมถึงผู้บัญชาการกองรักษาการณ์ประจำเขตเมืองใหญ่ต่างๆ และจินเฉิงหวาผู้ดูแลหน่วยเลี้ยงรับรองที่ได้รับตำแหน่งใหม่ ก็ยิ้มประจบอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน

สาวน้อยที่หน้าตาโดดเด่นที่สุดหลายคนของหอสดับเซียนอยู่ด้านข้าง

“คุณชายหวงมาถึงเมืองฉางอันได้หลายวันแล้ว เหตุใดจึงไม่ไปรับตำแหน่งขุนนางเมืองที่อำเภอขาวพิสุทธิ์เล่า” ที่ปรึกษาเถียนยิ้มประจบ ถามขึ้นเหมือนไม่ได้จงใจ ชายหนุ่มที่เหมือนคนคลุ้มคลั่งคนนี้คือหวงเหวินหย่วน ศิษย์จากทุ่งปิดภูผา ขุนนางใหม่แห่งจักรวรรดิที่พลังฝึกลึกล้ำเกินหยั่งนั่นเอง

หลายคนก็คิดไม่ออกว่าทำไมหวงเหวินหย่วนที่มีฐานะภูมิหลังน่าตกใจแบบนี้ กลับต้องไปรับตำแหน่งขุนนางเมืองเล็กๆ ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์

แรกสุดตัวเขาเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 290 ฝากไปบอกหน่อย

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 290 ฝากไปบอกหน่อย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่เข้าใจ แต่ก็ตามหลี่มู่มาที่หน้าประตูห้องหนังสือ

พื้นที่บริเวณที่ว่าการเก่า หลังจากผ่านการขยายพื้นที่ของหลี่มู่แล้ว อาณาเขตก็กว้างขวางมาก อีกทั้งทัศนวิสัยกว้างโล่ง ภายในไม่มีกำแพงสูง ส่วนมากมีต้นไม้ ลำธารและภูเขาจำลองเป็นหลัก ยามยืนหน้าประตูห้องหนังสือของหลี่มู่ แค่มองออกไปก็เห็นพื้นที่บริเวณด้านหน้ากว่าครึ่งได้หมด

ลมอ่อนๆ พัดโชย ต้นไม้ต้องลมไหวเอน

ทิวทัศน์ในอาณาเขตที่ว่าการอำเภองดงามเป็นอย่างมาก

สายตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกวาดไปในลานที่พักอาศัย ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย

เพียงแต่จู่ๆ ในเขตที่พักอาศัยก็เงียบเกินเหตุ

มุมปากหลี่มุมยกยิ้มเยาะหยัน งอนิ้วดีดออกไป

พลังดัชนีสายหนึ่งดีดเข้าไปในลานที่พักอาศัย

เรื่องประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองอย่างตื่นตะลึง ภายในเขตพักอาศัยที่แต่เดิมเงียบสงบไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ พลันแผ่ระลอกคลื่นหลายชั้นราวภาพม้วนคลื่นน้ำ จากนั้นภาพทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้น เห็นร่างเงาสี่ร่างอยู่ท่ามกลางสวนเหมือนคนตาบอดหลงทาง เดินวนสะเปะสะปะไปมา ทำหน้าตาฉุนเฉียว ตะโกนอะไรเสียงดัง แต่ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย…

ค่ายกลมายา?

มีคนแฝงตัวเข้ามาในเขตที่ว่าการ?

คราวนี้เขาเข้าใจความหมายของหนูที่หลี่มู่พูดถึงแล้ว

ทุกสิ่งก่อนหน้านี้ถูกค่ายกลบดบังเอาไว้

คนพวกนี้ตกอยู่ในค่ายกล เดินออกมาไม่ได้

พวกเขามาบุกเขตที่ว่าการเก่าเพื่ออะไร?

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพุ่งเป้ามาที่หลี่มู่

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองเห็นร่างเงาหนึ่งในนั้นยกมือซัดพลัง พลังมหาศาลทางหนึ่งทะลักออกมา กลิ่นอายแข็งแกร่ง ไม่นึกว่าจะเป็นพลังฝึกขั้นฟ้าประทานสูงสุด แต่เมื่อฝ่ามือนั้นซัดไปยังหินผาภูเขาจำลองเบื้องหน้าก็ราวโคลนจมทะเล ไม่มีผลอะไรเลย

อีกสามคนที่เหลือก็ร้อนรนอย่างยิ่ง เที่ยวฟันโจมตีสะเปะสะปะ แต่กลับไม่มีความหมายใด พลังโหมกระหน่ำราวคลื่นคลั่งถูกพลังลึกลับบางอย่างสลายไป ไม่อาจสะเทือนให้ใบไม้หลุดร่วงแม้แต่ใบเดียว แปลกประหลาดนัก

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองหลี่มู่ด้วยใจที่ตกตะลึงยิ่งนัก

เขารู้ว่าหลี่มู่เชี่ยวชาญค่ายกล จุดนี้ ที่เรือนซอมซ่อมในเมืองฉางอันก็ได้พิสูจน์แล้ว ช่วงนั้นเขตเรือนซอมซ่อเป็นรองแค่เขตต้องห้ามที่ว่าการเจ้าเมืองเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครฝ่าเข้าไปได้

ทว่าถึงจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นความล้ำลึกด้านค่ายกลของหลี่มู่ก็ไม่ได้น่ากลัวจนถึงระดับนี้

สี่คนที่ถูกกักขังอยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุด ตัวตนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็เป็นผู้ที่มีพลังน่าเกรงขาม แต่กลับติดอยู่ในค่ายกลที่ว่าการราวกับคนตาบอดตกบ่อ ไม่อาจสร้างระลอกคลื่นอะไรได้เลย แม้แต่เสียงก็ยังเปล่งออกมาไม่ได้

หากก่อนหน้านี้หลี่มู่ไม่ชี้ให้เห็น เจิ้งฉุนเจี้ยนเชื่อว่าต่อให้ตนเดินออกไปจากอาณาบริเวณก็ไม่มีทางสังเกตเห็นเด็ดขาด

จะน่ากลัวเกินไปแล้ว

นี่เป็นค่ายกลและความช่ำชองด้านค่ายกลที่น่ากลัวอะไรปานนี้

เจิ้งฉุนเจียนนึกหวาดกลัวขึ้นมา

อาณาเขตที่ว่าการที่ดูเหมือนสุขสงบแอบซ่อนกลไกเช่นนี้เอาไว้

ครั้นมองเด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มข้างกายคนนี้ ความหวาดกลัวและยำเกรงในใจเจิ้งฉุนเจี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งคิดว่าตัวเองเข้าใจเขาดี กลับยิ่งพบว่าที่จริงแล้วห่างกันไกลเหลือเกิน ไม่อาจมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ใจจึงยิ่งหวาดกลัวเขา และในใจเจิ้งฉุนเจี้ยน หลี่มู่เป็นคนประเภทนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“จิ้วๆ…จิ้วๆๆๆ” เสียงใสกังวานของจิ้งจอกดังขึ้น

สายฟ้าสีขาวสายหนึ่งพุ่งจากด้านข้างมาอยู่ในอ้อมกอดหลี่มู่ เป็นจิ้งจอกขาวตัวน้อยนั่นเอง

“จิ้วๆ” จิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่เลียหลังมือเขาอย่างสนิทสนม

หลี่มู่ลูบเจ้าตัวน้อย จากนั้นจึงถามเจิ้งฉุนเจี้ยน “รู้จักสี่คนนี้หรือไม่?”

เขาตอบ “ไม่รู้จักขอรับ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” หลี่มู่หัวเราะ จากนั้นขยับความคิด

ในอากาศ ระลอกลวดลายค่ายกลเต๋ากระเพื่อมไหว ลายเส้นเต๋าสีทองถี่ยิบในอากาศกะพริบแล้วหายวับไป สี่คนที่วิ่งพล่านเหมือนแมลงวันไร้หัวต่างส่งเสียงร้องยินดี รู้สึกเหมือนหมอกคลุมเครือเบื้องหน้าทั้งหมดหายไปในชั่วพริบตา ชัดกระจ่างขึ้นทันที

ทั้งสี่คนแทบจะเห็นหลี่มู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือในขณะเดียวกัน

“จัดการ!”

คนที่ตั้งตัวได้เป็นคนแรกคือยอดฝีมือร่างผอมเล็กคนหนึ่ง ท่าร่างรวดเร็วนัก พุ่งมาหาหลี่มู่ดั่งลำแสง ยกมือโยนห่วงเงินห่วงทองคู่หนึ่งออกไป เงาห่วงทับซ้อนเป็นร้อยเป็นพันเต็มท้องฟ้าทันใด และล้อมหลี่มู่เอาไว้เหมือนพายุฝนลมกรด

เป็นพายุโจมตีสังหารอันน่าหวาดกลัวที่ขั้นฟ้าประทานสูงสุดสำแดงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ดวงตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกระตุกระรัว ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

เขามองออกว่าเงาห่วงทุกห่วงล้วนเป็นของจริง ไม่ใช่เพียงเงา นี่เป็นวิชาต่อสู้ที่เหี้ยมโหดถึงขีดสุด

ชื่อเหี้ยมโหดเป็นที่เลื่องลือชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเขาทันที

“เป็นเขา…” เจิ้งฉุนเจี้ยนอ้าปากร้องออกมา

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

แสงดาบหลายสายหมุนวนอยู่ข้างกายหลี่มู่ ดาบบินยี่สิบสี่เล่มถาโถมสอดประสานกันดั่งลำแสง ชั่วขณะที่แสงดาบกะพริบวูบ ก็ฟันเงาห่วงเงินทองที่อยู่ห่างจากหลี่มู่หนึ่งจั้งทั้งหมดจนกลายเป็นผุยผง ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย

ขณะเดียวกัน เงาร่างที่พุ่งมาหาหลี่มู่ปานสายอัสนีกลางท้องฟ้าก็กระเด็นตีลังกาออกไป เมื่อกระแทกกับพื้นเต็มแรงก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก คอของเขามีดาบบินสีเงินวาววับปักอยู่

ป้องกัน โจมตีกลับ

แค่ชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุดคนหนึ่งถูกสังหารลงอย่างรวดเร็ว

“เขาคือ ‘ห่วงคู่ปลิดชีพ’ เลี่ยวจื้อ หนึ่งในสิบหกทหารเดนตายข้างกายเจิ้นซีอ๋อง…” เสียงตกใจของเจิ้งฉุนเจี้ยนเพิ่งจะตะโกนจบ การต่อสู้ก็เสร็จสิ้นแล้ว

หลี่มู่กระจ่างแจ้งทันที

ผู้แข็งแกร่งสามคนที่เหลือก็ต้องเป็นคนของอ๋องเจิ้นซีแน่นอน

ในที่สุดก็มาจนได้

“สมควรตาย”

“บุกไปพร้อมกัน”

“จัดการ”

สุดยอดผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสูงสุดทั้งสามตั้งสติกลับมาได้ พากันลงมือสังหารหลี่มู่พร้อมกัน เคล็ดวิชาต่อสู้ชั้นยอดต่างๆ นานา ปราณแท้ฟ้าประทานราวคลื่นคลั่งโจมตีสังหารมาอย่างรวดเร็ว เหมือนจะโจมตีหลี่มู่ให้เป็นผุยผงในพริบตาไปพร้อมกับห้องหนังสือข้างหลังเขา

หลี่มู่กล่าวพลางหมุนตัวจากไป “ส่งสี่ศพนี้ไปให้เจ้าเมืองสารเลวด้วย”

“เอ๋?” เจิ้งฉุนเจี้ยนประหลาดใจ

ยังไม่ทันขาดคำ

แสงดาบสามสายส่องกะพริบ

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

เสียงแหวกอากาศเพิ่งจะดังขึ้น

ผู้แข็งแกร่งสามคนที่พุ่งมาสังหารตีลังกาลอยออกไปเหมือนหุ่นไล่กาถูกหน้าไม้ยิง ก่อนกระแทกลงข้างกาย ‘ห่วงคู่ปลิดชีพ’ เลี่ยวจื้อที่ถูกดาบปักคอคนแรกสุด นอนเรียงสี่คนเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับมีคนมาจัดเรียงโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น

รูม่านตาเจิ้งฉุนเจี้ยนหดเล็กลง

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ดาบบินสี่เล่มพุ่งจากคอของขั้นฟ้าประทานทั้งสี่ บินเฉียดจอนผมของเจิ้งฉุนเจี้ยนไปดุจสายน้ำไหลยามฤดูใบไม้ร่วง แล้วกลับมายังข้างกายหลี่มู่

เสี้ยวขณะนั้น เจิ้งฉุนเจี้ยนมีความรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

ดาบบินบินผ่านราวเทพแห่งความตายเป่าลมเย็นข้างหู น่าขนลุกขนพอง

เมื่อเขาตั้งสติกลับมาได้ ร่างของหลี่มู่ก็หายลับไปแล้ว

เขามาด้านหน้าศพทั้งสี่ ดูอย่างละเอียดก็จำได้ว่าสี่คนนี้เป็นทหารเดนตายข้างกายอ๋องเจิ้นซี ทางจักรวรรดิออกหมายจับสี่คนนี้แล้ว ล้วนเป็นคนสำคัญในหมายจับทั้งสิ้น และก็เป็นบุคคลร้ายกาจที่เดินออกมาจากกองซากศพทะเลเลือด เชี่ยวชาญการอำพราง ลอบฆ่า วางยาพิษ เป็นพวกนักฆ่า ตามหลักแล้วสี่คนนี้แฝงตัวเข้ามาลอบสังหารหลี่มู่ในเขตที่ว่าการ อัตราความสำเร็จสูงมากทีเดียว ทว่า…

เจิ้นซีอ๋องยังประเมินหลี่มู่ต่ำไป

เจิ้งฉุนเจี้ยนตอนนี้มองไพ่ตายของหลี่มู่ไม่ออกแล้วโดยสิ้นเชิง

ในขณะที่ใจยังหวาดหวั่น เขาจัดการศพทั้งสี่เรียบร้อย

ตอนนำสี่ศพออกไปข้างนอก เจิ้งฉุนเจี้ยนมองเขาจำลอง ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า และลำธารตามรายทาง ก็ไม่เห็นระลอกคลื่นค่ายกลเลย แต่เขารู้ว่าขอแค่หลี่มู่ต้องการ เขาก็จะเหมือนมดหลงทาง ตกอยู่ในค่ายกลนี้และออกไปไม่ได้ตลอดกาลทันที

เมื่อออกไปจากเขตที่ว่าการอำเภอ เจิ้งฉุนเจี้ยนเหงื่อโชกไปทั้งตัว

เขาพบว่าที่หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นรอเขาอยู่

“อาจารย์เจิ้ง คุณชายข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งรบกวนท่าน” เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงเอ่ยเรียบๆ

สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย เพราะขาทั้งสองของชิงเฟิงพิการก็เพราะเขา ตอนนี้เขาทำงานให้หลี่มู่ ย่อมรู้แน่นอนว่าตำแหน่งของชิงเฟิงในใจหลี่มู่เป็นคนสนิทอันดับหนึ่ง ได้รับความเชื่อใจอย่างมาก ยากจะรับประกันได้ว่าในใจชิงเฟิงไม่เคียดแค้นเขา

“คุณชายน้อยเชิญบัญชา มีเรื่องอะไรหรือ?” เขาไม่กล้าเพิกเฉย เอ่ยอย่างนอบน้อม

ชิงเฟิงโบกมือ องครักษ์กลุ่มหนึ่งพาคนผู้หนึ่งมาจากที่ไกลๆ

“อาจารย์เจิ้ง อาจารย์เจิ้งช่วยข้าด้วย…” คนคนนี้ดิ้นรน ร้องขอความช่วยเหลือ เป็นหลี่ปิงที่ติดอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์นั่นเอง หลายวันมานี้บุตรชายคนเล็กของเจ้าเมืองหลี่กังถูกคุมขังอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลี่กังเองก็ไม่ได้ถามถึง ถูกลืมไปแล้วโดยแท้

“คุณชายข้าขอให้อาจารย์พาคนผู้นี้กลับไป” ชิงเฟิงกล่าว

แค้นขาพิการของเขาก็มีส่วนของหลี่ปิงด้วย

แต่หลายวันนี้ หลี่ปิงถูกใช้แรงงานในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็ได้รับความทรมานไปไม่น้อย ทำให้เขาว่าง่ายขึ้นเยอะ ไม่ว่าอย่างไรหลี่ปิงก็เป็นพี่น้องพ่อเดียวกันของหลี่มู่ จึงไม่มีทางฆ่าแกงกันจริงๆ…แน่นอน เด็กรับใช้บัณฑิตยังไม่รู้ว่าหลี่มู่ไม่ใช่หลี่มู่

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้ารับปาก

“คุณชายข้าฝากอาจารย์ไปบอกใต้เท้าเจ้าเมืองด้วยว่า คนทางนั้นอย่าได้มาก่อกวนที่อำเภอขาวพิสุทธิ์อีก มิฉะนั้น…” เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยพูดไม่จบ แต่ความหมายในนั้นชัดเจนยิ่ง

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งตะลึง นอกจากพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็พูดอะไรไม่ออก

……

เมืองฉางอัน

หน่วยเลี้ยงรับรอง หอสดับเซียน

นับจากเมื่อสามวันก่อน หอคณิกาที่ขึ้นชื่อที่สุดในหน่วยเลี้ยงรับรองแห่งนี้มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ลึกลับคนหนึ่งมาเหมาทั้งหอ

ย่ำค่ำ โคมวิจิตรเพิ่งแขวนประดับ

ชายหนุ่มรูปงามผมสยายในชุดดำคนหนึ่งดื่มเหล้าไปพลางร้องเพลงไปพลาง ท่าทางสนุกเต็มที่

รอบกายมีคนใหญ่คนโตของเมืองฉางอันหลายคนอยู่เป็นเพื่อน ในนั้นมีที่ปรึกษาเถียนแห่งที่ว่าการเจ้าเมืองอยู่ด้วย รวมถึงผู้บัญชาการกองรักษาการณ์ประจำเขตเมืองใหญ่ต่างๆ และจินเฉิงหวาผู้ดูแลหน่วยเลี้ยงรับรองที่ได้รับตำแหน่งใหม่ ก็ยิ้มประจบอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน

สาวน้อยที่หน้าตาโดดเด่นที่สุดหลายคนของหอสดับเซียนอยู่ด้านข้าง

“คุณชายหวงมาถึงเมืองฉางอันได้หลายวันแล้ว เหตุใดจึงไม่ไปรับตำแหน่งขุนนางเมืองที่อำเภอขาวพิสุทธิ์เล่า” ที่ปรึกษาเถียนยิ้มประจบ ถามขึ้นเหมือนไม่ได้จงใจ ชายหนุ่มที่เหมือนคนคลุ้มคลั่งคนนี้คือหวงเหวินหย่วน ศิษย์จากทุ่งปิดภูผา ขุนนางใหม่แห่งจักรวรรดิที่พลังฝึกลึกล้ำเกินหยั่งนั่นเอง

หลายคนก็คิดไม่ออกว่าทำไมหวงเหวินหย่วนที่มีฐานะภูมิหลังน่าตกใจแบบนี้ กลับต้องไปรับตำแหน่งขุนนางเมืองเล็กๆ ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์

แรกสุดตัวเขาเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+