จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 357 ขี่วาฬคว้าจันทร์

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 357 ขี่วาฬคว้าจันทร์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประเทศจีนสมัยโบราณ คนบนดาวโลกออกมานอกดวงดาวด้วยหรือ?

ฟังแล้วเหมือนไร้สาระ ซ้ำยังไร้สาระอย่างแปลกประหลาดไม่มีหลักการอีกด้วย

แต่หลี่มู่มาคิดๆ ดู เรื่องที่ตนเองถูกส่งจากดาวโลกมายังโลกใบนี้ ก็เพียงพอจะเป็นกรณีตัวอย่างได้แล้ว

ในเมื่อซินแสเฒ่าสามารถส่งตนออกมาในยุคมืดที่พลังวิญญาณบนโลกกำลังแห้งขอดได้ ก็รับรองได้ยากว่าในยุคที่พลังวิญญาณยังไม่เหือดแห้งจะมีคนถูกส่งออกมาได้จริง หากพวกตำนานเรื่องเล่าในนิยายห้องสินเป็นเรื่องจริงละก็ เงื่อนไขข้อแรกนี้ก็เหมือนจะได้รับการยืนยันจากลานแสดงธรรมที่หลี่มู่พบในฟ้านิจนิรันดร์แล้ว ถึงอย่างไรวิชาเทพอย่างปาจิ่วเสวียนและขี่เมฆาเหินฟ้า เขาก็ได้รับมาเรียบร้อย เขาหลิงไถฟางชุ่นก็เห็นมากับตาด้วยเช่นกัน

ส่วนคำว่า ‘ดาวโลก’ ที่ออกมาจากปากอวี๋ฮว่าหลงคนสมัยราชวงศ์ถังฟังแล้วดูผิดปกติ แต่ความจริงก็เข้าใจได้ไม่ยาก

เพราะในยุคชุนชิวจั้นกั๋ว[1] ข้อความที่สลักไว้บนเครื่องสำริดมีการอธิบายถึงคำว่า ‘ประเทศจีน’ เอาไว้แล้ว ดังนั้นสำหรับปรัชญาเมธีที่เดินทางออกจากโลกรวมไปถึงระบบสุริยะเหล่านั้น เมื่อเทียบกับเรื่องที่คนบนดาวโลกใช้คำว่า ‘โลก’ มาช้านานกว่า จึงไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้อะไร อย่างไรเสียเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นรูปทรงของโลกกลมเหมือนลูกบอลในจักรวาล อาจเกิดขึ้นนานแสนนานก่อนที่คนบนโลกจะเห็นรูปทรงดาวโลกหลังจากสร้างยานอวกาศขึ้นได้เสียอีก

หลี่มู่เกาหัวอย่างห่อเหี่ยวใจ

จังหวะนี้มันไม่ค่อยจะถูกต้องนา

ข้าแค่มานั่งเผือกเฉยๆ หรอก

เดิมทีข้าก็มาเป็นผู้ชม มาดูรัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยคนนี้แสดงละคร แล้วทำไมเผือกนี้กินไปกินมา ตนเองจึงถูกดึงเข้าไปในละครด้วยเสียอย่างนั้น

หลี่มู่พบว่าใจตนเองค่อยๆ ยอมรับตรรกะของอวี๋ฮว่าหลง เชื่อเรื่องราวที่เขาเล่าทั้งหมด

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้าไปผจญภัยในฟ้านิจนิรันดร์ละก็ หลี่มู่คงหลุดหัวเราะไปแล้ว

แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิในฟ้านิจนิรันดร์ หลี่มู่รู้สึกว่าตนเองอาจต้องเปลี่ยนท่าทีในการมองตำนานเทพปีศาจมากมายของจีนเสียใหม่

หลี่มู่ขยี้ผมและเอ่ยขึ้น “ชื่อของปรัชญาเมธีเหล่านั้น เจ้าไม่รู้จักเลยแม้แต่ชื่อเดียวหรือ?”

อวี๋ฮว่าหลงยิ้มบางๆ ตอบกลับว่า “นี่ไม่ใช่ความลับอะไร หากเจ้าคิดอย่างละเอียด จะพบว่าในประวัติศาสตร์สมัยโบราณของประเทศจีนมักจะมีคนบางกลุ่มมีอิทธิพลต่อยุคสมัยหนึ่ง แต่จุดจบสุดท้ายของพวกเขา บางคนไม่ชัดเจน บางคนความตายท้ายสุดก็เต็มไปด้วยเรื่องอัศจรรย์ไม่ใช่หรือไร? จริงๆ แล้วในกลุ่มพวกเขา มีหลายคนไม่ได้ตายลงอย่างคนธรรมดา แต่ออกจากดาวโลกมา”

หลี่มู่ใจสั่นวูบหนึ่ง

อันดับแรก เขาคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาทันที

“อย่างเช่น?” หลี่มู่ย้อนถาม

“เช่นเหลาจื่อ (เล่าจื๊อ) ผู้ประพันธ์คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ‘เต้าเต๋อจิง’[2] เจ้ารู้ไหมว่าจุดจบของเขาคืออะไร?” อวี๋ฮว่าหลงย้อนถามหลี่มู่

เป็นคนนี้จริงๆ ด้วย

หลี่มู่ตอบ “ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แค่ว่า เหลาจื่อออกจากด่านหานกู่ มีเมฆมงคลลอยมาจากตะวันออก และต่อมาเหลาจื่อก็ขี่วัวดำไปทางตะวันตก ไม่ได้เจ็บป่วยตาย ไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ หรือว่า…”

หรือว่าเหลาจื่อจะขี่วัวดำข้ามแม่น้ำดารามายังดาวดวงนี้?

อวี๋ฮว่าหลงพยักหน้า เอ่ยว่า “บันทึกประวัติศาสตร์เดิมกล่าวไว้ เหลาจื่อเขียนคัมภีร์เต้าเต๋อจิง เนื้อหาคำสอนไม่ได้ทำเพื่อแสวงหาชื่อเสียง เขาอาศัยอยู่ในเมืองโจวมานาน ครั้นเห็นว่าราชวงศ์โจวนับวันยิ่งเสื่อมถอยจึงออกมาจากที่นั่น ขณะที่เดินผ่านด่าน นายด่านทักขึ้นอย่างยินดีว่า ‘ท่านจะปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษแล้ว เขียนหนังสือให้ข้าสักเล่มเถิด’ เหลาจื่อจึงเขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง แบ่งเป็นสองบท บรรยายถึงคุณธรรมไว้ห้าพันอักษร จากนั้นจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย…บันทึกส่วนนี้เจ้าที่เป็นคนรุ่นหลังน่าจะรู้จักกระมัง?”

หลี่มู่พยักหน้า

ตอนเขาอยู่กับซินแสเฒ่าที่หมู่บ้านวัดหรานเติง ซินแสเฒ่าสนใจคัมภีร์เต๋ามาก โดยเฉพาะของปรัชญาเมธีเหลาจื่อยิ่งเทิดทูนอย่างยิ่งยวด

จากการที่ฟังและเห็นจนซึมซับ เขาจึงคุ้นเคยกับเรื่องน่าสนใจบางส่วนของเหลาจื่อ

และในตำนานที่เกี่ยวข้องกับเหลาจื่อทั้งหมด สิ่งที่หลี่มู่สนใจมากที่สุดก็คือจุดจบสุดท้ายของเหลาจื่อ ในบันทึกประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่าท่านประพันธ์เต้าเต๋อจิงแล้วก็หายสาบสูญไป ในหมู่ประชาชนเล่าลือกันว่า เหลาจื่อผ่านด่านหานกู่ไปทางตะวันตก มีเมฆาม่วงลอยมาจากตะวันออก จากนั้นจึงขี่วัวดำลอยขึ้นฟ้าไป หลี่มู่รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นเพราะความเคารพเลื่อมใสที่ชาวบ้านมีต่อปรัชญาเมธีเหลาจื่อจึงแต่งเรื่องเช่นนี้ออกมา ไม่คิดเลยว่า…ตำนานนี้จะเป็นเรื่องจริง

หรือก็คือเหลาจื่อจริงๆ แล้วทะลวงสวรรค์ออกมาจากดาวโลกแล้วนั่นเอง

ขั้นทะลวงสวรรค์

เหลาจื่อเป็นยอดยุทธ์คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?

ยังดีที่ผ่านการปูพื้นฐานก่อนหน้ามาบ้าง หลี่มู่ค่อยๆ เห็นเรื่องแปลกเป็นไม่แปลกไปแล้ว

“ยังมีใครอีก?” หลี่มู่สูดลมหายใจลึก ถามขึ้นอีก “ก่อนนี้เจ้าเคยบอกว่าปรัชญาเมธีที่ออกมาจากโลกไม่ได้มีคนเดียว หรือว่า…ท่านขงจื่อก็ใช่ด้วย?”

อวี๋ฮว่าหลงส่ายศีรษะ “ท่านขงจื่อเดินคนละสายกับท่านเหลาจื่อ เขาเลือกต่อสู้อยู่บนดาวโลก จึงไม่ได้ออกมาสู่นอกดวงดาว”

หลี่มู่พยักหน้า

บันทึกประวัติศาสตร์ว่าไว้ หลู่ไอกงปีที่สิบหก ขงจื่ออายุเจ็ดสิบสามล้มป่วยและจากไป

ไม่เหมือนกับจุดจบสุดท้ายอันน่ามหัศจรรย์ของเหลาจื่อ แต่บันทึกปีเกิดและตายของขงจื๊อไว้อย่างชัดเจน ทว่าหลี่มู่ก็รู้ หากเหลาจื่อมีพลังฝึกเหยียบเข้าสู่ห้วงดาราได้ ขงจื่อที่มีชื่อเสียงเท่ากับเหลาจื่อจะไม่มีพลังฝึกเช่นนี้หรือ? อายุเจ็ดสิบสามปี สำหรับขั้นเทวะแล้วแทบจะเหมือนช่วงของเด็กน้อย อาการป่วยประเภทไหนกันที่ทำให้เทวะดับสูญจากไปได้?

อวี๋ฮว่าหลงเอ่ยมาอีก “ปัญญาชนยุคชุนชิว จั้นกั๋ว ฉินฮั่น เหล่าปรัชญาเมธีร้อยสำนัก ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง ล้วนเป็นยอดคนกันทั้งสิ้น ครึ่งหนึ่งเดินตามรอยเท้าปราชญ์เมธีเหลาจื่อ เข้าสู่วิถีเซียน คิดหาหนทางกอบกู้ ทว่าบางส่วนเลือกทางเดียวกับปราชญ์ขงจื่อ อยู่ที่ดาวโลกเพื่อต่อสู้กับศัตรู…ราชวงศ์ต้าเยวี่ยก็คือเชื้อไฟอารยธรรมที่ถูกสร้างขึ้นบนดาวดวงนี้โดยปรัชญาเมธีเหลาจื่อและผู้ติดตามรุ่นหลัง ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วสินะ?”

หลี่มู่พยักหน้าโดยจิตใต้สำนึก

เขายังไม่แน่ใจส่วนหนึ่ง และเข้าใจอีกส่วนหนึ่ง

ยุคก่อนราชวงศ์ฉินไปจนถึงก่อนจักรพรรดิฮั่นอู่ สำนักศึกษาต่างๆ ในจีนล้วนเป็นเหล่าปรัชญาเมธีร้อยสำนัก ต่อมาจักรพรรดิฮั่นอู่ปฏิเสธร้อยสำนัก ยกย่องเพียงปรัชญาขงจื่อ ภายหลังเริ่มไม่ยอมรับความรุ่งเรืองของร้อยบุปผาบานสะพรั่ง นอกจากนโยบายของราชวงศ์แล้ว น่ากลัวว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ท่านเมธีจากไปและปัจจัยเรื่องพลังวิญญาณแห้งขอด เมื่อมาถึงยุคหลัง ก็มียอดคนด้านวรรณกรรมปรากฏบ้างเป็นครั้งคราว แต่ผู้ที่จะทัดเทียมได้กับเหล่าเมธีนั้นมีน้อยถึงน้อยมาก

ดูเหมือนว่าชนรุ่นหลังที่เป็นมหาปราชญ์ได้ จะมีเพียงหวังหยางหมิง[3]ที่สร้างแนวคิดจิตนิยมขึ้นมา?

ชะงักไปครู่หนึ่ง หลี่มู่คิดถึงคำพูดแรกที่อวี๋ฮว่าหลงกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนจากสมัยถัง ติดตามอาจารย์มาที่นี่ เช่นนั้นขอถามหน่อย อาจารย์ของเจ้าคือ?”

อวี๋ฮว่าหลงได้ยิน ใบหน้าก็ปรากฏความภาคภูมิใจ

สีหน้าเช่นนี้ไม่ใช่หยิ่งทะนงหรือภาคภูมิใจในตนเอง แต่เป็นท่าทีเลื่อมใสเทิดทูนอาจารย์ของตนลึกไปถึงจิตวิญญาณอย่างเป็นธรรมชาติ

เขามีสีหน้านอบน้อม คำนับต่อท้องฟ้า จากนั้นจึงเอ่ย “ชื่อของอาจารย์ข้ายิ่งใหญ่เจิดจ้ามาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เหอะๆ ท่านอ๋องหลี่ก็ไม่ใช่ว่าอ่านบทประพันธ์ที่สืบทอดกันมาของอาจารย์ข้าจนคุ้นเคยแล้วหรือ?”

หลี่มู่อ้าปากค้าง “หลี่ไป๋?”

หลี่ไป๋ นามไท่ไป๋ ฉายาอุบาสกแห่งชิงเหลียนหรือเซียนเดินดิน

คนผู้นี้คือกวีนิยมพเนจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน คนรุ่นหลังเรียกกันว่าเซียนกวี

เซียนกวีผู้นี้กลายเป็นเซียนโบยบินไปแล้วจริงๆ?

สำหรับเซียนกวีหลี่ไป๋ คนจีนบนดาวโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้หนังสือ คนที่ไม่รู้จักเขาก็มีอยู่ไม่มากนัก

หลี่มู่รู้สึกว่านักกวีที่เป็นเอกด้านวรรณกรรมในแต่ละราชวงศ์ใหญ่ของจีนโบราณตามประวัติศาสตร์ เกรงว่าหลี่ไท่ไป๋จะเป็นบุคคลที่ยืนอยู่แนวหน้า อาศัยเพียงบทกวีจนประสบความสำเร็จ สามารถแย่งชิงความรุ่งโรจน์กับใครและวงการใดก็ตามได้อย่างทัดเทียม ในมุมมองของชาวจีน บรรดาจักรพรรดิขุนนางหรือนายทหารที่เลื่องชื่อตลอดกาล ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีมนุษยสัมพันธ์ดีได้มากกว่าหลี่ไป๋

ส่วนจุดจบสุดท้ายของหลี่ไป๋ มีเล่าขานกันต่างๆ นานา

แต่เรื่องที่เล่าลือกันมากที่สุดในหมู่คน ก็คือในช่วงบั้นปลายหลี่ไป๋ล่องเรือไปตามฉางเจียง (แม่น้ำแยงซี) จนมาถึงฝั่งไฉ่สือจี เห็นเงาสะท้อนในน้ำสวยงามจับใจราวกับแดนเซียน จึงจอดเรือที่ไฉ่สือจีนี้ ร่ำสุราแต่งกวี หลังจากฟ้ามืด จันทร์สว่างเหนือฟ้า มีวาฬตัวหนึ่งลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ หลี่ไป๋จึงกระโดดขึ้นหลังวาฬ ขี่ขึ้นฟ้าไปคว้าจันทรา และหายลับไปบนท้องฟ้า ไม่กลับมาอีกเลย

นี่คือตำนานหลี่ไป๋ขี่วาฬคว้าจันทร์

ตำนานนี้ เทียบกับเรื่องที่เหลาจื่อขี่วัวดำขึ้นเมฆาม่วงสู่สวรรค์แล้วแทบจะเหมือนงานชิ้นเดียวกัน

ดังนั้น ตำนานที่ชาวบ้านเล่าขานมักจะแฝงความจริงด้านประวัติศาสตร์เอาไว้หรือ?

อวี๋ฮว่าหลงเอ่ยขึ้นอีก “ตั้งแต่สมัยต้าถัง พลังวิญญาณในฟ้าดินเริ่มเหือดแห้ง อาจารย์เสาะหาวิถีเซียน ก้าวเข้าสู่เส้นทางปรัชญาเมธี หวังจะเดินตามรอยเท้าเหล่านักปราชญ์ เพื่อค้นหาคำตอบที่ตนเองไล่ตามอย่างยากลำบาก ค้นหาหนทางการกอบกู้ตามตำนาน ท่านพาสหายสนิทสองคนรวมถึงผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งข้ามดาราสมุทร ไล่ตามเบาะแสบางส่วนจนมาถึงต้าเยวี่ย น่าเสียดาย ในตอนนั้นมีทหารศัตรูไล่ตามมา สถานการณ์คับขันมาก อาจารย์จึงใช้วิชาลับปทุมเขียวกำเนิดใหม่ ผนึกศิษย์พี่น้องห้าคนรวมข้าไว้ในแท่นบวงสรวงจันทร์แห่งราชวงศ์ต้าเยวี่ยเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเราเอาไว้ ส่วนท่านและสหายสนิทเข้ารับมือกับศัตรู…จนกระทั่งข้าฟื้นตื่นขึ้น ก็พบว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป หนึ่งพันสามร้อยกว่าปีให้หลัง ราชวงศ์ต้าเยวี่ยอันรุ่งโรจน์กลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านไปแล้ว”

ระหว่างที่พูด เขาถอนหายใจและปลงอนิจจัง มีความรู้สึกคิดถึงเพื่อนเก่าอย่างแรงกล้า

ถ้านี่เป็นการแสดงละครแล้วทำได้ถึงขั้นนี้ เขาสามารถเอาชนะอาจารย์จางอี้ซานที่แค่สิบเท้าก้าวเข้ากล้องก็เล่นบทรักระดับเรื่องบุปผาในกุณฑีทองได้ในพริบตาเลยนะนั่น

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หลี่มู่ก็ยอมแล้ว

เวลานี้ หลี่มู่เชื่อเรื่องราวทั้งหมดที่อวี๋ฮว่าหลงพูดอย่างหมดใจ

ศิษย์ของหลี่ไป๋เลยนะ ตนเองที่คัดลอกกวีของอาจารย์คนอื่นมาตั้งเยอะ…แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจหลี่ที่วางมาดเป็นคนหน้าหนา ตอนนี้ก็ยังอดหน้าแดงไม่ได้ อารมณ์เหมือนทุจริตการสอบ แม้จะไม่ถูกอาจารย์จับได้แต่กลับมีอาการเหมือนถูกคู่แข่งในการเรียนเหลือบมองมาเห็น

หลี่มู่เลยรีบสูดลมหายใจลึก ทำสีหน้าประมาณว่าอย่าเพิ่งพูดหรือรบกวนอะไร ข้ากำลังใช้ความคิด

ถ้าหากสิ่งที่อวี๋ฮว่าหลงพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นั่นก็ยิ่งมีปริศนาอีกมากที่จะปรากฏตามมา

“เจ้าบอกไว้ก่อนหน้า ศิษย์พี่น้องที่ถูกปิดผนึกทั้งหมดมีห้าคน แล้วทำไมตอนนี้จึงมีเจ้าเพียงคนเดียว?” หลี่มู่ถามขึ้น

อวี๋ฮว่าหลงตอบ “ตอนนั้นในหมู่พวกเราศิษย์พี่น้องห้าคน ข้าเป็นคนเล็กสุด ทุกคนจึงเรียกข้าว่าเสี่ยวอู่ (น้องห้า)” ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกพวกไช่ไช่และอู๋เป่ยเฉินว่าตนเองชื่อเสี่ยวอู่จึงไม่ได้เป็นการโกหก เขาเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่หลังจากข้าตื่นขึ้นที่แท่นบวงสรวงจันทร์ กลับพบว่าศิษย์พี่ทั้งสี่ตื่นหมดแล้ว เมื่อออกจากแท่นบวงสรวง หลายปีมานี้ข้าก็ตามหาพวกเขา น่าเสียดายที่เบาะแสมีน้อยมาก”

“มีน้อย? แสดงว่ามีอยู่บ้างน่ะสิ?” หลี่มู่ถาม

อวี๋ฮว่าหลงตอบ “เกี่ยวข้องกับเก้าสำนักเทพและจักรวรรดิใหญ่ทั้งสาม แต่ว่ายังไม่ได้เรียบเรียงให้ชัดเจน”

หลี่มู่พยักหน้า ไม่ได้พัวพันกับคำถามนี้นานนัก เขาถามถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดในจุดเริ่มต้นของตรรกะทั้งหมด “เจ้าเคยพูดไว้ว่าปรัชญาเมธีออกจากดาวโลกมาเพื่อค้นหาวิถีแห่งการกอบกู้ ถึงขั้นมีคนรั้งอยู่ต่อไปเพื่อต่อสู้…นั่นเพื่อกอบกู้อะไรกันแน่? แล้วต่อสู้กับอะไร? ศัตรูอยู่ที่ไหนกัน?”

……………………………………….

[1] ยุคชุนชิวจั้นกั๋ว (ราว 770-221 ปีก่อนคริสตกาล) ชุนชิวเป็นยุคแห่งปราชญ์ร้อยสำนัก ให้ความสำคัญกับปัญญาชน จั้นกั๋วเป็นยุคแห่งการสู้รบแย่งชิงดินแดนของแคว้นใหญ่ทั้งเจ็ด ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการขึ้นเป็นใหญ่ของอิ๋งเจิ้งแห่งแคว้นฉินหรือจิ๋นซีฮ่องเต้

[2] คัมภีร์เต้าเต๋อจิง ประพันธ์โดยเหลาจื่อ มีเนื้อหาด้านปรัชญาบุคคล ความกลมกลืนต่อการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ไปจนถึงปรัชญาการเมือง

[3] หวังหยางหมิง ผู้ก่อตั้งแนวคิดจิตนิยม ปรัชญาขงจื๊อสมัยใหม่ในราชวงศ์หมิง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 357 ขี่วาฬคว้าจันทร์

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 357 ขี่วาฬคว้าจันทร์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประเทศจีนสมัยโบราณ คนบนดาวโลกออกมานอกดวงดาวด้วยหรือ?

ฟังแล้วเหมือนไร้สาระ ซ้ำยังไร้สาระอย่างแปลกประหลาดไม่มีหลักการอีกด้วย

แต่หลี่มู่มาคิดๆ ดู เรื่องที่ตนเองถูกส่งจากดาวโลกมายังโลกใบนี้ ก็เพียงพอจะเป็นกรณีตัวอย่างได้แล้ว

ในเมื่อซินแสเฒ่าสามารถส่งตนออกมาในยุคมืดที่พลังวิญญาณบนโลกกำลังแห้งขอดได้ ก็รับรองได้ยากว่าในยุคที่พลังวิญญาณยังไม่เหือดแห้งจะมีคนถูกส่งออกมาได้จริง หากพวกตำนานเรื่องเล่าในนิยายห้องสินเป็นเรื่องจริงละก็ เงื่อนไขข้อแรกนี้ก็เหมือนจะได้รับการยืนยันจากลานแสดงธรรมที่หลี่มู่พบในฟ้านิจนิรันดร์แล้ว ถึงอย่างไรวิชาเทพอย่างปาจิ่วเสวียนและขี่เมฆาเหินฟ้า เขาก็ได้รับมาเรียบร้อย เขาหลิงไถฟางชุ่นก็เห็นมากับตาด้วยเช่นกัน

ส่วนคำว่า ‘ดาวโลก’ ที่ออกมาจากปากอวี๋ฮว่าหลงคนสมัยราชวงศ์ถังฟังแล้วดูผิดปกติ แต่ความจริงก็เข้าใจได้ไม่ยาก

เพราะในยุคชุนชิวจั้นกั๋ว[1] ข้อความที่สลักไว้บนเครื่องสำริดมีการอธิบายถึงคำว่า ‘ประเทศจีน’ เอาไว้แล้ว ดังนั้นสำหรับปรัชญาเมธีที่เดินทางออกจากโลกรวมไปถึงระบบสุริยะเหล่านั้น เมื่อเทียบกับเรื่องที่คนบนดาวโลกใช้คำว่า ‘โลก’ มาช้านานกว่า จึงไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้อะไร อย่างไรเสียเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นรูปทรงของโลกกลมเหมือนลูกบอลในจักรวาล อาจเกิดขึ้นนานแสนนานก่อนที่คนบนโลกจะเห็นรูปทรงดาวโลกหลังจากสร้างยานอวกาศขึ้นได้เสียอีก

หลี่มู่เกาหัวอย่างห่อเหี่ยวใจ

จังหวะนี้มันไม่ค่อยจะถูกต้องนา

ข้าแค่มานั่งเผือกเฉยๆ หรอก

เดิมทีข้าก็มาเป็นผู้ชม มาดูรัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยคนนี้แสดงละคร แล้วทำไมเผือกนี้กินไปกินมา ตนเองจึงถูกดึงเข้าไปในละครด้วยเสียอย่างนั้น

หลี่มู่พบว่าใจตนเองค่อยๆ ยอมรับตรรกะของอวี๋ฮว่าหลง เชื่อเรื่องราวที่เขาเล่าทั้งหมด

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้าไปผจญภัยในฟ้านิจนิรันดร์ละก็ หลี่มู่คงหลุดหัวเราะไปแล้ว

แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิในฟ้านิจนิรันดร์ หลี่มู่รู้สึกว่าตนเองอาจต้องเปลี่ยนท่าทีในการมองตำนานเทพปีศาจมากมายของจีนเสียใหม่

หลี่มู่ขยี้ผมและเอ่ยขึ้น “ชื่อของปรัชญาเมธีเหล่านั้น เจ้าไม่รู้จักเลยแม้แต่ชื่อเดียวหรือ?”

อวี๋ฮว่าหลงยิ้มบางๆ ตอบกลับว่า “นี่ไม่ใช่ความลับอะไร หากเจ้าคิดอย่างละเอียด จะพบว่าในประวัติศาสตร์สมัยโบราณของประเทศจีนมักจะมีคนบางกลุ่มมีอิทธิพลต่อยุคสมัยหนึ่ง แต่จุดจบสุดท้ายของพวกเขา บางคนไม่ชัดเจน บางคนความตายท้ายสุดก็เต็มไปด้วยเรื่องอัศจรรย์ไม่ใช่หรือไร? จริงๆ แล้วในกลุ่มพวกเขา มีหลายคนไม่ได้ตายลงอย่างคนธรรมดา แต่ออกจากดาวโลกมา”

หลี่มู่ใจสั่นวูบหนึ่ง

อันดับแรก เขาคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาทันที

“อย่างเช่น?” หลี่มู่ย้อนถาม

“เช่นเหลาจื่อ (เล่าจื๊อ) ผู้ประพันธ์คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ‘เต้าเต๋อจิง’[2] เจ้ารู้ไหมว่าจุดจบของเขาคืออะไร?” อวี๋ฮว่าหลงย้อนถามหลี่มู่

เป็นคนนี้จริงๆ ด้วย

หลี่มู่ตอบ “ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แค่ว่า เหลาจื่อออกจากด่านหานกู่ มีเมฆมงคลลอยมาจากตะวันออก และต่อมาเหลาจื่อก็ขี่วัวดำไปทางตะวันตก ไม่ได้เจ็บป่วยตาย ไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ หรือว่า…”

หรือว่าเหลาจื่อจะขี่วัวดำข้ามแม่น้ำดารามายังดาวดวงนี้?

อวี๋ฮว่าหลงพยักหน้า เอ่ยว่า “บันทึกประวัติศาสตร์เดิมกล่าวไว้ เหลาจื่อเขียนคัมภีร์เต้าเต๋อจิง เนื้อหาคำสอนไม่ได้ทำเพื่อแสวงหาชื่อเสียง เขาอาศัยอยู่ในเมืองโจวมานาน ครั้นเห็นว่าราชวงศ์โจวนับวันยิ่งเสื่อมถอยจึงออกมาจากที่นั่น ขณะที่เดินผ่านด่าน นายด่านทักขึ้นอย่างยินดีว่า ‘ท่านจะปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษแล้ว เขียนหนังสือให้ข้าสักเล่มเถิด’ เหลาจื่อจึงเขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง แบ่งเป็นสองบท บรรยายถึงคุณธรรมไว้ห้าพันอักษร จากนั้นจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย…บันทึกส่วนนี้เจ้าที่เป็นคนรุ่นหลังน่าจะรู้จักกระมัง?”

หลี่มู่พยักหน้า

ตอนเขาอยู่กับซินแสเฒ่าที่หมู่บ้านวัดหรานเติง ซินแสเฒ่าสนใจคัมภีร์เต๋ามาก โดยเฉพาะของปรัชญาเมธีเหลาจื่อยิ่งเทิดทูนอย่างยิ่งยวด

จากการที่ฟังและเห็นจนซึมซับ เขาจึงคุ้นเคยกับเรื่องน่าสนใจบางส่วนของเหลาจื่อ

และในตำนานที่เกี่ยวข้องกับเหลาจื่อทั้งหมด สิ่งที่หลี่มู่สนใจมากที่สุดก็คือจุดจบสุดท้ายของเหลาจื่อ ในบันทึกประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่าท่านประพันธ์เต้าเต๋อจิงแล้วก็หายสาบสูญไป ในหมู่ประชาชนเล่าลือกันว่า เหลาจื่อผ่านด่านหานกู่ไปทางตะวันตก มีเมฆาม่วงลอยมาจากตะวันออก จากนั้นจึงขี่วัวดำลอยขึ้นฟ้าไป หลี่มู่รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นเพราะความเคารพเลื่อมใสที่ชาวบ้านมีต่อปรัชญาเมธีเหลาจื่อจึงแต่งเรื่องเช่นนี้ออกมา ไม่คิดเลยว่า…ตำนานนี้จะเป็นเรื่องจริง

หรือก็คือเหลาจื่อจริงๆ แล้วทะลวงสวรรค์ออกมาจากดาวโลกแล้วนั่นเอง

ขั้นทะลวงสวรรค์

เหลาจื่อเป็นยอดยุทธ์คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?

ยังดีที่ผ่านการปูพื้นฐานก่อนหน้ามาบ้าง หลี่มู่ค่อยๆ เห็นเรื่องแปลกเป็นไม่แปลกไปแล้ว

“ยังมีใครอีก?” หลี่มู่สูดลมหายใจลึก ถามขึ้นอีก “ก่อนนี้เจ้าเคยบอกว่าปรัชญาเมธีที่ออกมาจากโลกไม่ได้มีคนเดียว หรือว่า…ท่านขงจื่อก็ใช่ด้วย?”

อวี๋ฮว่าหลงส่ายศีรษะ “ท่านขงจื่อเดินคนละสายกับท่านเหลาจื่อ เขาเลือกต่อสู้อยู่บนดาวโลก จึงไม่ได้ออกมาสู่นอกดวงดาว”

หลี่มู่พยักหน้า

บันทึกประวัติศาสตร์ว่าไว้ หลู่ไอกงปีที่สิบหก ขงจื่ออายุเจ็ดสิบสามล้มป่วยและจากไป

ไม่เหมือนกับจุดจบสุดท้ายอันน่ามหัศจรรย์ของเหลาจื่อ แต่บันทึกปีเกิดและตายของขงจื๊อไว้อย่างชัดเจน ทว่าหลี่มู่ก็รู้ หากเหลาจื่อมีพลังฝึกเหยียบเข้าสู่ห้วงดาราได้ ขงจื่อที่มีชื่อเสียงเท่ากับเหลาจื่อจะไม่มีพลังฝึกเช่นนี้หรือ? อายุเจ็ดสิบสามปี สำหรับขั้นเทวะแล้วแทบจะเหมือนช่วงของเด็กน้อย อาการป่วยประเภทไหนกันที่ทำให้เทวะดับสูญจากไปได้?

อวี๋ฮว่าหลงเอ่ยมาอีก “ปัญญาชนยุคชุนชิว จั้นกั๋ว ฉินฮั่น เหล่าปรัชญาเมธีร้อยสำนัก ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง ล้วนเป็นยอดคนกันทั้งสิ้น ครึ่งหนึ่งเดินตามรอยเท้าปราชญ์เมธีเหลาจื่อ เข้าสู่วิถีเซียน คิดหาหนทางกอบกู้ ทว่าบางส่วนเลือกทางเดียวกับปราชญ์ขงจื่อ อยู่ที่ดาวโลกเพื่อต่อสู้กับศัตรู…ราชวงศ์ต้าเยวี่ยก็คือเชื้อไฟอารยธรรมที่ถูกสร้างขึ้นบนดาวดวงนี้โดยปรัชญาเมธีเหลาจื่อและผู้ติดตามรุ่นหลัง ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วสินะ?”

หลี่มู่พยักหน้าโดยจิตใต้สำนึก

เขายังไม่แน่ใจส่วนหนึ่ง และเข้าใจอีกส่วนหนึ่ง

ยุคก่อนราชวงศ์ฉินไปจนถึงก่อนจักรพรรดิฮั่นอู่ สำนักศึกษาต่างๆ ในจีนล้วนเป็นเหล่าปรัชญาเมธีร้อยสำนัก ต่อมาจักรพรรดิฮั่นอู่ปฏิเสธร้อยสำนัก ยกย่องเพียงปรัชญาขงจื่อ ภายหลังเริ่มไม่ยอมรับความรุ่งเรืองของร้อยบุปผาบานสะพรั่ง นอกจากนโยบายของราชวงศ์แล้ว น่ากลัวว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ท่านเมธีจากไปและปัจจัยเรื่องพลังวิญญาณแห้งขอด เมื่อมาถึงยุคหลัง ก็มียอดคนด้านวรรณกรรมปรากฏบ้างเป็นครั้งคราว แต่ผู้ที่จะทัดเทียมได้กับเหล่าเมธีนั้นมีน้อยถึงน้อยมาก

ดูเหมือนว่าชนรุ่นหลังที่เป็นมหาปราชญ์ได้ จะมีเพียงหวังหยางหมิง[3]ที่สร้างแนวคิดจิตนิยมขึ้นมา?

ชะงักไปครู่หนึ่ง หลี่มู่คิดถึงคำพูดแรกที่อวี๋ฮว่าหลงกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนจากสมัยถัง ติดตามอาจารย์มาที่นี่ เช่นนั้นขอถามหน่อย อาจารย์ของเจ้าคือ?”

อวี๋ฮว่าหลงได้ยิน ใบหน้าก็ปรากฏความภาคภูมิใจ

สีหน้าเช่นนี้ไม่ใช่หยิ่งทะนงหรือภาคภูมิใจในตนเอง แต่เป็นท่าทีเลื่อมใสเทิดทูนอาจารย์ของตนลึกไปถึงจิตวิญญาณอย่างเป็นธรรมชาติ

เขามีสีหน้านอบน้อม คำนับต่อท้องฟ้า จากนั้นจึงเอ่ย “ชื่อของอาจารย์ข้ายิ่งใหญ่เจิดจ้ามาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เหอะๆ ท่านอ๋องหลี่ก็ไม่ใช่ว่าอ่านบทประพันธ์ที่สืบทอดกันมาของอาจารย์ข้าจนคุ้นเคยแล้วหรือ?”

หลี่มู่อ้าปากค้าง “หลี่ไป๋?”

หลี่ไป๋ นามไท่ไป๋ ฉายาอุบาสกแห่งชิงเหลียนหรือเซียนเดินดิน

คนผู้นี้คือกวีนิยมพเนจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน คนรุ่นหลังเรียกกันว่าเซียนกวี

เซียนกวีผู้นี้กลายเป็นเซียนโบยบินไปแล้วจริงๆ?

สำหรับเซียนกวีหลี่ไป๋ คนจีนบนดาวโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้หนังสือ คนที่ไม่รู้จักเขาก็มีอยู่ไม่มากนัก

หลี่มู่รู้สึกว่านักกวีที่เป็นเอกด้านวรรณกรรมในแต่ละราชวงศ์ใหญ่ของจีนโบราณตามประวัติศาสตร์ เกรงว่าหลี่ไท่ไป๋จะเป็นบุคคลที่ยืนอยู่แนวหน้า อาศัยเพียงบทกวีจนประสบความสำเร็จ สามารถแย่งชิงความรุ่งโรจน์กับใครและวงการใดก็ตามได้อย่างทัดเทียม ในมุมมองของชาวจีน บรรดาจักรพรรดิขุนนางหรือนายทหารที่เลื่องชื่อตลอดกาล ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีมนุษยสัมพันธ์ดีได้มากกว่าหลี่ไป๋

ส่วนจุดจบสุดท้ายของหลี่ไป๋ มีเล่าขานกันต่างๆ นานา

แต่เรื่องที่เล่าลือกันมากที่สุดในหมู่คน ก็คือในช่วงบั้นปลายหลี่ไป๋ล่องเรือไปตามฉางเจียง (แม่น้ำแยงซี) จนมาถึงฝั่งไฉ่สือจี เห็นเงาสะท้อนในน้ำสวยงามจับใจราวกับแดนเซียน จึงจอดเรือที่ไฉ่สือจีนี้ ร่ำสุราแต่งกวี หลังจากฟ้ามืด จันทร์สว่างเหนือฟ้า มีวาฬตัวหนึ่งลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ หลี่ไป๋จึงกระโดดขึ้นหลังวาฬ ขี่ขึ้นฟ้าไปคว้าจันทรา และหายลับไปบนท้องฟ้า ไม่กลับมาอีกเลย

นี่คือตำนานหลี่ไป๋ขี่วาฬคว้าจันทร์

ตำนานนี้ เทียบกับเรื่องที่เหลาจื่อขี่วัวดำขึ้นเมฆาม่วงสู่สวรรค์แล้วแทบจะเหมือนงานชิ้นเดียวกัน

ดังนั้น ตำนานที่ชาวบ้านเล่าขานมักจะแฝงความจริงด้านประวัติศาสตร์เอาไว้หรือ?

อวี๋ฮว่าหลงเอ่ยขึ้นอีก “ตั้งแต่สมัยต้าถัง พลังวิญญาณในฟ้าดินเริ่มเหือดแห้ง อาจารย์เสาะหาวิถีเซียน ก้าวเข้าสู่เส้นทางปรัชญาเมธี หวังจะเดินตามรอยเท้าเหล่านักปราชญ์ เพื่อค้นหาคำตอบที่ตนเองไล่ตามอย่างยากลำบาก ค้นหาหนทางการกอบกู้ตามตำนาน ท่านพาสหายสนิทสองคนรวมถึงผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งข้ามดาราสมุทร ไล่ตามเบาะแสบางส่วนจนมาถึงต้าเยวี่ย น่าเสียดาย ในตอนนั้นมีทหารศัตรูไล่ตามมา สถานการณ์คับขันมาก อาจารย์จึงใช้วิชาลับปทุมเขียวกำเนิดใหม่ ผนึกศิษย์พี่น้องห้าคนรวมข้าไว้ในแท่นบวงสรวงจันทร์แห่งราชวงศ์ต้าเยวี่ยเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเราเอาไว้ ส่วนท่านและสหายสนิทเข้ารับมือกับศัตรู…จนกระทั่งข้าฟื้นตื่นขึ้น ก็พบว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป หนึ่งพันสามร้อยกว่าปีให้หลัง ราชวงศ์ต้าเยวี่ยอันรุ่งโรจน์กลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านไปแล้ว”

ระหว่างที่พูด เขาถอนหายใจและปลงอนิจจัง มีความรู้สึกคิดถึงเพื่อนเก่าอย่างแรงกล้า

ถ้านี่เป็นการแสดงละครแล้วทำได้ถึงขั้นนี้ เขาสามารถเอาชนะอาจารย์จางอี้ซานที่แค่สิบเท้าก้าวเข้ากล้องก็เล่นบทรักระดับเรื่องบุปผาในกุณฑีทองได้ในพริบตาเลยนะนั่น

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หลี่มู่ก็ยอมแล้ว

เวลานี้ หลี่มู่เชื่อเรื่องราวทั้งหมดที่อวี๋ฮว่าหลงพูดอย่างหมดใจ

ศิษย์ของหลี่ไป๋เลยนะ ตนเองที่คัดลอกกวีของอาจารย์คนอื่นมาตั้งเยอะ…แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจหลี่ที่วางมาดเป็นคนหน้าหนา ตอนนี้ก็ยังอดหน้าแดงไม่ได้ อารมณ์เหมือนทุจริตการสอบ แม้จะไม่ถูกอาจารย์จับได้แต่กลับมีอาการเหมือนถูกคู่แข่งในการเรียนเหลือบมองมาเห็น

หลี่มู่เลยรีบสูดลมหายใจลึก ทำสีหน้าประมาณว่าอย่าเพิ่งพูดหรือรบกวนอะไร ข้ากำลังใช้ความคิด

ถ้าหากสิ่งที่อวี๋ฮว่าหลงพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นั่นก็ยิ่งมีปริศนาอีกมากที่จะปรากฏตามมา

“เจ้าบอกไว้ก่อนหน้า ศิษย์พี่น้องที่ถูกปิดผนึกทั้งหมดมีห้าคน แล้วทำไมตอนนี้จึงมีเจ้าเพียงคนเดียว?” หลี่มู่ถามขึ้น

อวี๋ฮว่าหลงตอบ “ตอนนั้นในหมู่พวกเราศิษย์พี่น้องห้าคน ข้าเป็นคนเล็กสุด ทุกคนจึงเรียกข้าว่าเสี่ยวอู่ (น้องห้า)” ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกพวกไช่ไช่และอู๋เป่ยเฉินว่าตนเองชื่อเสี่ยวอู่จึงไม่ได้เป็นการโกหก เขาเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่หลังจากข้าตื่นขึ้นที่แท่นบวงสรวงจันทร์ กลับพบว่าศิษย์พี่ทั้งสี่ตื่นหมดแล้ว เมื่อออกจากแท่นบวงสรวง หลายปีมานี้ข้าก็ตามหาพวกเขา น่าเสียดายที่เบาะแสมีน้อยมาก”

“มีน้อย? แสดงว่ามีอยู่บ้างน่ะสิ?” หลี่มู่ถาม

อวี๋ฮว่าหลงตอบ “เกี่ยวข้องกับเก้าสำนักเทพและจักรวรรดิใหญ่ทั้งสาม แต่ว่ายังไม่ได้เรียบเรียงให้ชัดเจน”

หลี่มู่พยักหน้า ไม่ได้พัวพันกับคำถามนี้นานนัก เขาถามถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดในจุดเริ่มต้นของตรรกะทั้งหมด “เจ้าเคยพูดไว้ว่าปรัชญาเมธีออกจากดาวโลกมาเพื่อค้นหาวิถีแห่งการกอบกู้ ถึงขั้นมีคนรั้งอยู่ต่อไปเพื่อต่อสู้…นั่นเพื่อกอบกู้อะไรกันแน่? แล้วต่อสู้กับอะไร? ศัตรูอยู่ที่ไหนกัน?”

……………………………………….

[1] ยุคชุนชิวจั้นกั๋ว (ราว 770-221 ปีก่อนคริสตกาล) ชุนชิวเป็นยุคแห่งปราชญ์ร้อยสำนัก ให้ความสำคัญกับปัญญาชน จั้นกั๋วเป็นยุคแห่งการสู้รบแย่งชิงดินแดนของแคว้นใหญ่ทั้งเจ็ด ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการขึ้นเป็นใหญ่ของอิ๋งเจิ้งแห่งแคว้นฉินหรือจิ๋นซีฮ่องเต้

[2] คัมภีร์เต้าเต๋อจิง ประพันธ์โดยเหลาจื่อ มีเนื้อหาด้านปรัชญาบุคคล ความกลมกลืนต่อการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ไปจนถึงปรัชญาการเมือง

[3] หวังหยางหมิง ผู้ก่อตั้งแนวคิดจิตนิยม ปรัชญาขงจื๊อสมัยใหม่ในราชวงศ์หมิง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+