จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แน่นอนว่าหลี่กังไม่ได้สังหารคนของตัวเอง

องค์ชายสองช่างไร้เดียงสาเสียจริง คิดว่าขุนพลเล็กๆ ที่ย้ายมาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉินจะสามารถวางคนสนิทของตนไว้ในกองกำลังหลักเมืองฉางอัน จากนั้นก็แทรกซึมเข้ามาได้ แต่ไม่รู้เลยว่าคนที่เชี่ยวชาญการวางกับดักล่าเหยื่อ สุดท้ายมักจะตายในกับดักตัวเอง

ทหารชุดเกราะที่ถูกสังหารเบื้องหน้านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเมิ่งอู่

ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา หลี่กังมองทหารชุดเกราะที่ล้มลงราวเกี่ยวสาลี ในนั้นส่วนมากเป็นคนฉางอัน ใจของเขาไม่เกิดคลื่อนอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย

การล้างบางครั้งนี้ เขายืนอยู่เหนือจุดสูงสุดของคุณธรรมและผลประโยชน์ทั้งปวง

ด้านนอกโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ไม่นานนัก ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ที่ง่ามนิ้วแหลกก็ได้รับข่าว

เขาไม่สนการต่อสู้ของหลี่มู่กับนักพรตคิ้วยาวอีก พุ่งไปยังบริเวณหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุทันที บนพื้นเหลือเพียงศพหลายร้อยร่างเท่านั้น เลือดไหลรวมกันจนเป็นแอ่ง ควันขาวลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางความหนาวเย็นของต้นเหมันต์ฤดู โลหิตของนักรบที่เลือดลมสมบูรณ์แฝงไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ไม่มีทางแห้งแข็งไปในทันที…

ทหารชุดเกราะร้อยคนนี้คือทหารคนสนิทของเขา ปกติแล้วใช้ศาสตราวุธที่ดีที่สุด ทรัพยากรฝึกฝนที่ดีที่สุด ใช้วิชาฝึกของกองกำลังรักษาพระองค์ฝึกฝนมาหนึ่งปีกว่าๆ พูดได้ว่าเป็นลูกรักของเมิ่งอู่ ครั้งนี้เคลื่อนกำลังมาโจมตีโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ที่จริงเมิ่งอู่มีความคิดจะให้พวกเขาได้ฝึกจริง อย่างไรก็ต้องมีสูญเสียอยู่แล้ว ทว่ามีเจ้าสำนักยมบาลขั้นเหนือมนุษย์เบิกทางให้ จะสูญเสียสักเท่าไหร่กัน ไหนจะยังได้แสดงความสามารถในการนำทัพของตนให้องค์ชายสองเห็นอีก…

ทว่าตายกันหมดแล้ว

เมิ่งอู่มองหลี่กังอย่างโกรธแค้น ใช้เสียงที่แทบจะใกล้เคียงกับตวาดถามว่า “ใต้เท้าหลี่ นี่หมายความเช่นไร? เหตุใดจึงสังหารทหารของข้า? ต่อให้ท่านมีอำนาจสูงส่ง คุมกองกำลังทหารของเมืองฉางอัน เรื่องนี้ข้าก็ต้องการคำอธิบาย”

เขาถือว่าตนมาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉิน เป็นลูกศิษย์ของ ‘ดาบฟ้าคำราม’ กวนหมิ่นเหริน หนึ่งในสองบุคคลผู้เยี่ยมยอดของกองทัพ หลายปีมานี้กำแหงอวดดีเป็นอย่างมาก ในใจไม่ได้เคารพผู้กุมอำนาจเมืองฉางอันที่เก็บตัวเงียบคนนี้สักเท่าไหร่ ความนบนอบที่แสดงออกมาในยามปกติก็แค่ให้ตัวเองทำอะไรได้ง่ายเท่านั้น ตอนนี้ความโกรธแค้นทำให้เขาไม่คิดจะปกปิดความในใจอีกต่อไป

ทว่า หลี่กังหัวเราะเสียงเรียบ “ข้าต้องอธิบายอะไรกับเจ้า?”

แสงกระบี่มาอีกสายหนึ่ง

ฉัวะ!

เมิ่งอู่อกสั่นขวัญแขวน

รู้สึกแค่กระบี่โจมตีมาราวเทพลงมาเยือน พลังและท่วงท่าของกระบี่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหลบหลีกและต้านทานได้เลย อานุภาพสูงส่งบริสุทธิ์ ชั่วขณะที่พลังไหลวนมา เขาเกิดความคิดยินยอมที่จะตายภายใต้กระบี่นี้

นี่ไม่ใช่กระบี่ที่มนุษย์จะสำแดงออกมาได้

ชั่วขณะนี้ เมิ่งอู่พลันเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าสำนักยมบาลผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ถึงได้ถูกกระบี่เบื้องหน้าสังหารในพริบตา ขณะเดียวกันเขาก็พลันตระหนักได้ว่า สิ่งที่องค์ชายสองพูดและชื่อ ‘กระบี่เซียน’ ของหลี่กังในอดีตที่เขาดูถูกเป็นเรื่องจริงแค่ไหน

เมิ่งอู่สัมผัสได้ถึงการมาเยือนของความตาย

แต่ทว่า ในเสี้ยวขณะนี้เอง…

“จิตสังหารของใต้เท้าหลี่จะรุนแรงเกินไปหน่อยกระมัง”

เสียงขององค์ชายสองดังขึ้น

สิ่งที่มากับเสียงคือตราดัชนีมังกรทองสายหนึ่ง ลายเกล็ดคมชัดเจน กรงเล็บแหวกอากาศ กะพริบวูบวาบมากดแสงกระบี่เทพเอาไว้อย่างแม่นยำในเวลาและระยะที่ยากจะเข้าใจได้

บึ้ม!

คลื่นพลังที่น่ากลัวก่อให้เกิดคลื่นอากาศเป็นชั้นๆ ราวกับคลื่นที่ตาเปล่ามองเห็นได้

ระลอกคลื่นกลุ่มนี้สะเทือนจนร่างทหารที่ตายอยู่บนพื้นกลายเป็นผุยผง ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เหล่าผู้แข็งแกร่งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุรู้สึกแค่พลังดั่งคลื่นคลั่งบดขยี้มา หายใจไม่ออกเป็นระลอกๆ จำต้องโคจรพลังต้านทานและล่าถอยไป 

ร่างถานเยี่ยนจือกะพริบวูบมาปกป้องถังฮูหยินสามแม่ลูก แขนทั้งสองไขว้กลางอก จากนั้นนวมทองปล่อยโล่แสงสีทองที่มีลายค่ายกลดาราสีทองลึกลับชั้นหนึ่งหมุนวน

“ถอย”

นางตะโกนบอก

คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุต่างพากันถอยเข้าไปในโถงใหญ่หอบวงสรวง ก่อนกระตุ้นค่ายกลดาราป้องกันโถงใหญ่ ต้านทานควันหลงพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ที่ประมือกันไว้

“ไม่เลวๆ ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ขององค์ชายสองพัฒนาไปกว่าเมื่อก่อนแล้ว” หลี่กังเอ่ยชม

เขาก้าวเข้าสู่ขั้นกระบี่และจิตรวมเป็นหนึ่งนานแล้ว เมื่อความคิดขยับกระบี่ทะยาน เมื่อกระบี่ทะยานทุกอย่างพินาศ ถึงแม้จะเป็นกระบี่ที่ฟันออกไปง่ายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยจิตกระบี่มหาศาล เพียงตราประทับกรงเล็บมังกรทะยานทางเดียวขององค์ชายสองก็ทำลายปราณกระบี่ของเขาได้ คลื่นลูกหลังมาแรงกว่าคลื่นลูกก่อนจริงๆ

“กระบี่ธุลีแดงของใต้เท้าหลี่ก็ด้อยลงทุกทีแล้ว” เสียงขององค์ชายสองลอยมาจากหอที่อยู่ห่างไปไกล แฝงร่องรอยหยอกล้อและเสียดสีเบาๆ “ในอดีต ‘กระบี่ธุลีแดง’ สะท้านไปทั่วเมืองฉิน เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานทั้ง ทว่าวันนี้กระบี่ของใต้เท้าหลี่ไม่คมเหมือนในอดีตแล้ว”

หลี่กังหัวเราะ ไม่กล่าวอะไร

องค์ชายสองพูดขึ้นอีก “เมิ่งอู่เป็นลูกศิษย์ของผู้บัญชาการกวน ‘ดาบฟ้าคำราม’ มาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉิน เป็นดาวดวงใหม่ทางทหารของจักรวรรดิ อนาคตยาวไกล ใต้เท้าหลี่ไยจึงสังหารอย่างไร้สาเหตุ?”

“ไม่มีคำสั่งของข้า เคลื่อนพลกองกำลังคมโลหิตโดยพลการ โทษคือประหาร” หลี่กังตอบ

การเคลื่อนพลกองกำลังหลักทั้งสามในเมืองฉางอัน ผู้บัญชาการมีอำนาจเคลื่อนย้ายในระดับหนึ่ง การปราบโจรหรือฝึกทัพ ไม่จำเป็นต้องผ่านคำสั่งทหารจากเจ้าเมือง แต่เคลื่อนย้ายกองกำลังเข้าเมืองมาต้องผ่านได้รับคำอนุญาต พูดจากจุดนี้ เมิ่งอู่เคลื่อนพลกองกำลังคมโลหิตโดยพลการ แล้วจัดเป็นหน่วยลาดตระเวนเข้ามาในเมืองฉางอัน นี่คือโทษประหาร

หลายวันมานี้ หลี่กังเงียบงันราวไม่มีตัวตน ไม่ได้โมโหเดือดดาลเพราะเรื่องนี้ และยิ่งไม่ได้ออกคำสั่งขัดขวาง ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้คิดอะไร แต่หลายครั้งไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไรแล้วจะไม่เป็นไรจริงๆ ยามหลี่กังประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างจริงจัง เมิ่งอู่ตระหนักได้ว่าตัวเองเหมือน…ตกอยู่ในหลุมพราง

คราวนี้แม้แต่องค์ชายสองก็อึ้งไปเหมือนกัน

“เมิ่งอู่รับคำสั่งของข้าถึงได้เคลื่อนกำลังพล” องค์ชายสองเปลี่ยนน้ำเสียง กล่าวว่า “เขาเป็นคนของข้า” เช่นนี้ค่อนข้างจะระรานกันแล้ว เมื่อสู้ด้วยหลักกฎหมายไม่ได้ก็เริ่มใช้อำนาจ และด้วยฐานะกับความคิดขององค์ชายสอง เอ่ยแบบนี้ออกมาเห็นได้ชัดว่าแฝงความท้าทายไว้มากกว่า ทั้งยังใช้ตำแหน่งข่มหลี่กังอยู่กลายๆ

เขาคิดจะยั่วโมโหหลี่กัง

ทว่าหลี่กังกลับหัวเราะเรียบๆ “เพราะเป็นคนขององค์ชาย ดังนั้นถึงต้องตาย”

พูดจบ

ฟุ่บ!

แสงกระบี่อีกสายหนึ่งตรงมา

แสงกระบี่ดุจแสงดาว กะพริบวูบไหว คล้ายมวลเมฆหมู่ดาวเคลื่อนคล้อย และคล้ายห้วงดาราสมุทรดับสลาย

แสงกระบี่พุ่งทะลุร่างเมิ่งอู่ทันที จากนั้นร่างชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวผู้งามสง่าก็ค่อยๆ จางไป เค้าร่างรางเลือน เหมือนเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งซึ่งค่อยๆ สลายไปจากโลก สีหน้าที่ทั้งตกใจและสิ้นหวังค่อยๆ เลือนหาย ไม่ต่างจากความฝันที่แหลกสลายไป

กระบี่ธุลีแดง สลายโลกโลกีย์

และครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสองลงมือช่วยไม่ทัน

หรือจะบอกว่าเขาไม่คิดช่วยเมิ่งอู่เป็นครั้งที่สองก็ว่าได้

“ข้าบอกแล้วว่าเมิ่งอู่คือศิษย์ของผู้บัญชาการกวน ‘ดาบฟ้าคำราม’ ” องค์ชายสองเอ่ยอย่างเฉยชา หลี่กังสังหารเมิ่งอู่ ยิ่งเป็นประโยชน์สำหรับเขา เพราะเขาสามารถยืมสาเหตุนี้สร้างความแค้นระหว่างผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระองค์แปดแสนนายแห่งเมืองฉินได้ นี่เป็นเพียงจุดหักเหเล็กๆ แต่ได้ผลดีเยี่ยม หากวันนี้สังหารหลี่กัง ยามกลับเมืองฉิน ผู้บัญชาการคนนี้อย่างน้อยก็ไม่มีทางขัดผลประโยชน์กับเขามากมายนักจากการตายของเมิ่งอู่

แต่ใบหน้ายังคงฉายโทสะ

เขาโมโหไม่ใช่เพราะเมิ่งอู่ตาย แต่เป็นเพราะเขามีท่าทีจะปกป้องเมิ่งอู่ แต่เมิ่งอู่ก็ยังตาย

หลี่กังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ขุนนางควรมี

ครั้นได้ยินคำขององค์ชายสอง หลี่กังหัวเราะ สีหน้าท่าทางยิ่งเยือกเย็นสง่างาม “ยี่สิบปีที่แล้ว ข้าเหยียบกวนหมิ่นเหรินไว้แทบเท้า ยี่สิบปีต่อมาข้ายิ่งไม่ต้องหวาดกลัว อย่าว่าแต่ศิษย์ตัวเล็กๆ ของเขาเลย ต่อให้เป็นตัวเขาเอง หากสมควรตาย ข้าก็จะส่งเขาไปปรโลก”

องค์ชายสองขมวดคิ้ว

จู่ๆ เขาพลันรู้สึกเหมือนมีบางจุดไม่เหมือนกับที่ตนคิดเอาไว้

“ใต้เท้าหลี่เหมือนจะจมอยู่กับความรุ่งเรืองในอดีตเลย” องค์ชายสองเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอยากรู้พลังของ ‘กระบี่ธุลีแดง’ หนึ่งในสี่ยอดตำนานในอดีตมาโดยตลอด อยากจะรู้ว่ากระบี่เซียนธุลีแดงจริงสมคำร่ำลือหรือไม่”

นี่คือการท้าทาย

แสงทองทะลักล้นทั่วร่างของเขา กลิ่นอายที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งโหมซัดออกมา

พลังฟ้าดินหมุนวน

ร่างขององค์ชายสองมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังมีของวิเศษของราชวงศ์ช่วยเพิ่มพลัง โคจรพลังฟ้าดินได้ตามใจ จึงย่อมไม่ต้องกังวลกฎห้ามขับเคลื่อนพลังฟ้าดินในเมือง และยิ่งไม่ถูกสะกดพลังจาก ‘กระจกสยบฟ้าา’ อาวุธเทพที่สะกดเมืองฉางอัน

หลี่กังส่ายหน้า “ขุนนางมิอาจลบหลู่เบื้องสูง”

เขาปฏิเสธที่จะประมือกับองค์ชายสอง

องค์ชายสองแค่นหัวเราะ “งั้นรึ? เช่นนั้นจักรพรรดิสั่งให้ตาย ขุนนางก็ต้องตาย ใต้เท้าหลี่ หากข้าสั่งให้เจ้าตาย…”

หลี่กังตัดบทกลางปล้อง “ท่านเป็นองค์ชาย หาใช่จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตก มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้ คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร?”

สีหน้าขององค์ชายสองเคร่งเครียดทันใด

เขาพบว่าความสามารถด้านการพูดของตน สู้คนผู้นี้ที่เปรียบดั่งมุกส่องสว่างที่สุดในการสอบเคอจวี่ครั้งนั้นไม่ได้เลย

ในตอนนี้เอง…

“อ๊าก…”

เสียงร้องน่าสังเวชดังขึ้น เลือดสาดกระจายทั่วฟ้า

นักพรตคิ้วยาวแขนขาดไปข้างหนึ่ง ถอยร่นมาด้วยใบหน้าซีดขาว

เมื่อสู้กับหลี่มู่ เขาที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์กลับไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายที่ยังไม่ถึงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง ช่างอัปยศอดสูยิ่งนัก ทว่าเขากลับไม่มีความกล้าที่จะลงมืออีก

หลี่มู่ตอนนี้ร่อนลงถึงพื้นดินแล้ว

ดาบบินยี่สิบเล่มลอยอยู่รอบกาย งดงามอ่อนช้อยราวประกายเทพ เสียงสายฟ้าคำราม ปราณดาบไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลังน่าตกใจยิ่งนัก เขาหัวเราะร่ากล่าวว่า “ขั้นเหนือมนุษย์ก็แค่นี้เอง อ่อนแอยิ่งนัก”

ในสายตาของคนอื่น ศึกนี้ถูกการประจันหน้าสนทนาของเจ้าเมืองชายชั่วกับองค์ชายสองดึงดูดไป แต่สำหรับหลี่มู่ เขากำลังสำแดงแก่นแท้วิถียุทธ์ที่บรรลุจากการเก็บตัวฝึกในหลายวันนี้อย่างหนำใจนัก โดยเฉพาะวิชาดาบเหินหาว หนึ่งดาบแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าสังหารยี่สิบสี่ดาบซึ่งก้าวกระโดดขึ้นมาก นี่พิสูจน์ความคาดหวังของเขาแล้วว่า วิชาดาบเหินหาวสามารถสู้ขั้นเหนือมนุษย์ได้

“หึ หากไม่ใช่ว่า ‘กระจกสยบฟ้าา’ อาวุธเทพเมืองฉางอันสะกดไว้ทั่วเมือง ข้าจึงขับเคลื่อนพลังฟ้าดินไม่ได้ จะมาพ่ายแพ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบเจ้าเสียที่ไหน?” นักพรตคิ้วยาวโมโหจนกระอักเลือด ดั่งคนใบ้กินหวงเหลียน เขามีเรื่องทุกข์ใจแต่พูดไม่ออกจริงๆ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ใด เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เจ้าเมืองหลี่กังจะปรากฏตัวก็ขับเคลื่อนพลังใช้งานอาวุธเทพ ‘กระจกสยบฟ้า’ เอาไว้แล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอัน พลังฝึกของขั้นเหนือมนุษย์ถูกลดทอนเป็นอย่างมาก ถึงได้ทำให้เขาพ่ายแพ้แก่หลี่มู่

หลี่มู่หัวเราะ “เช่นนั้นก็โทษได้แค่ว่าเจ้าซวยเท่านั้นแหละ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 273 กระบี่ธุลีแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แน่นอนว่าหลี่กังไม่ได้สังหารคนของตัวเอง

องค์ชายสองช่างไร้เดียงสาเสียจริง คิดว่าขุนพลเล็กๆ ที่ย้ายมาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉินจะสามารถวางคนสนิทของตนไว้ในกองกำลังหลักเมืองฉางอัน จากนั้นก็แทรกซึมเข้ามาได้ แต่ไม่รู้เลยว่าคนที่เชี่ยวชาญการวางกับดักล่าเหยื่อ สุดท้ายมักจะตายในกับดักตัวเอง

ทหารชุดเกราะที่ถูกสังหารเบื้องหน้านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเมิ่งอู่

ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา หลี่กังมองทหารชุดเกราะที่ล้มลงราวเกี่ยวสาลี ในนั้นส่วนมากเป็นคนฉางอัน ใจของเขาไม่เกิดคลื่อนอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย

การล้างบางครั้งนี้ เขายืนอยู่เหนือจุดสูงสุดของคุณธรรมและผลประโยชน์ทั้งปวง

ด้านนอกโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ไม่นานนัก ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ที่ง่ามนิ้วแหลกก็ได้รับข่าว

เขาไม่สนการต่อสู้ของหลี่มู่กับนักพรตคิ้วยาวอีก พุ่งไปยังบริเวณหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุทันที บนพื้นเหลือเพียงศพหลายร้อยร่างเท่านั้น เลือดไหลรวมกันจนเป็นแอ่ง ควันขาวลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางความหนาวเย็นของต้นเหมันต์ฤดู โลหิตของนักรบที่เลือดลมสมบูรณ์แฝงไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ไม่มีทางแห้งแข็งไปในทันที…

ทหารชุดเกราะร้อยคนนี้คือทหารคนสนิทของเขา ปกติแล้วใช้ศาสตราวุธที่ดีที่สุด ทรัพยากรฝึกฝนที่ดีที่สุด ใช้วิชาฝึกของกองกำลังรักษาพระองค์ฝึกฝนมาหนึ่งปีกว่าๆ พูดได้ว่าเป็นลูกรักของเมิ่งอู่ ครั้งนี้เคลื่อนกำลังมาโจมตีโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ที่จริงเมิ่งอู่มีความคิดจะให้พวกเขาได้ฝึกจริง อย่างไรก็ต้องมีสูญเสียอยู่แล้ว ทว่ามีเจ้าสำนักยมบาลขั้นเหนือมนุษย์เบิกทางให้ จะสูญเสียสักเท่าไหร่กัน ไหนจะยังได้แสดงความสามารถในการนำทัพของตนให้องค์ชายสองเห็นอีก…

ทว่าตายกันหมดแล้ว

เมิ่งอู่มองหลี่กังอย่างโกรธแค้น ใช้เสียงที่แทบจะใกล้เคียงกับตวาดถามว่า “ใต้เท้าหลี่ นี่หมายความเช่นไร? เหตุใดจึงสังหารทหารของข้า? ต่อให้ท่านมีอำนาจสูงส่ง คุมกองกำลังทหารของเมืองฉางอัน เรื่องนี้ข้าก็ต้องการคำอธิบาย”

เขาถือว่าตนมาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉิน เป็นลูกศิษย์ของ ‘ดาบฟ้าคำราม’ กวนหมิ่นเหริน หนึ่งในสองบุคคลผู้เยี่ยมยอดของกองทัพ หลายปีมานี้กำแหงอวดดีเป็นอย่างมาก ในใจไม่ได้เคารพผู้กุมอำนาจเมืองฉางอันที่เก็บตัวเงียบคนนี้สักเท่าไหร่ ความนบนอบที่แสดงออกมาในยามปกติก็แค่ให้ตัวเองทำอะไรได้ง่ายเท่านั้น ตอนนี้ความโกรธแค้นทำให้เขาไม่คิดจะปกปิดความในใจอีกต่อไป

ทว่า หลี่กังหัวเราะเสียงเรียบ “ข้าต้องอธิบายอะไรกับเจ้า?”

แสงกระบี่มาอีกสายหนึ่ง

ฉัวะ!

เมิ่งอู่อกสั่นขวัญแขวน

รู้สึกแค่กระบี่โจมตีมาราวเทพลงมาเยือน พลังและท่วงท่าของกระบี่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหลบหลีกและต้านทานได้เลย อานุภาพสูงส่งบริสุทธิ์ ชั่วขณะที่พลังไหลวนมา เขาเกิดความคิดยินยอมที่จะตายภายใต้กระบี่นี้

นี่ไม่ใช่กระบี่ที่มนุษย์จะสำแดงออกมาได้

ชั่วขณะนี้ เมิ่งอู่พลันเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าสำนักยมบาลผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ถึงได้ถูกกระบี่เบื้องหน้าสังหารในพริบตา ขณะเดียวกันเขาก็พลันตระหนักได้ว่า สิ่งที่องค์ชายสองพูดและชื่อ ‘กระบี่เซียน’ ของหลี่กังในอดีตที่เขาดูถูกเป็นเรื่องจริงแค่ไหน

เมิ่งอู่สัมผัสได้ถึงการมาเยือนของความตาย

แต่ทว่า ในเสี้ยวขณะนี้เอง…

“จิตสังหารของใต้เท้าหลี่จะรุนแรงเกินไปหน่อยกระมัง”

เสียงขององค์ชายสองดังขึ้น

สิ่งที่มากับเสียงคือตราดัชนีมังกรทองสายหนึ่ง ลายเกล็ดคมชัดเจน กรงเล็บแหวกอากาศ กะพริบวูบวาบมากดแสงกระบี่เทพเอาไว้อย่างแม่นยำในเวลาและระยะที่ยากจะเข้าใจได้

บึ้ม!

คลื่นพลังที่น่ากลัวก่อให้เกิดคลื่นอากาศเป็นชั้นๆ ราวกับคลื่นที่ตาเปล่ามองเห็นได้

ระลอกคลื่นกลุ่มนี้สะเทือนจนร่างทหารที่ตายอยู่บนพื้นกลายเป็นผุยผง ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เหล่าผู้แข็งแกร่งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุรู้สึกแค่พลังดั่งคลื่นคลั่งบดขยี้มา หายใจไม่ออกเป็นระลอกๆ จำต้องโคจรพลังต้านทานและล่าถอยไป 

ร่างถานเยี่ยนจือกะพริบวูบมาปกป้องถังฮูหยินสามแม่ลูก แขนทั้งสองไขว้กลางอก จากนั้นนวมทองปล่อยโล่แสงสีทองที่มีลายค่ายกลดาราสีทองลึกลับชั้นหนึ่งหมุนวน

“ถอย”

นางตะโกนบอก

คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุต่างพากันถอยเข้าไปในโถงใหญ่หอบวงสรวง ก่อนกระตุ้นค่ายกลดาราป้องกันโถงใหญ่ ต้านทานควันหลงพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ที่ประมือกันไว้

“ไม่เลวๆ ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ขององค์ชายสองพัฒนาไปกว่าเมื่อก่อนแล้ว” หลี่กังเอ่ยชม

เขาก้าวเข้าสู่ขั้นกระบี่และจิตรวมเป็นหนึ่งนานแล้ว เมื่อความคิดขยับกระบี่ทะยาน เมื่อกระบี่ทะยานทุกอย่างพินาศ ถึงแม้จะเป็นกระบี่ที่ฟันออกไปง่ายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยจิตกระบี่มหาศาล เพียงตราประทับกรงเล็บมังกรทะยานทางเดียวขององค์ชายสองก็ทำลายปราณกระบี่ของเขาได้ คลื่นลูกหลังมาแรงกว่าคลื่นลูกก่อนจริงๆ

“กระบี่ธุลีแดงของใต้เท้าหลี่ก็ด้อยลงทุกทีแล้ว” เสียงขององค์ชายสองลอยมาจากหอที่อยู่ห่างไปไกล แฝงร่องรอยหยอกล้อและเสียดสีเบาๆ “ในอดีต ‘กระบี่ธุลีแดง’ สะท้านไปทั่วเมืองฉิน เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานทั้ง ทว่าวันนี้กระบี่ของใต้เท้าหลี่ไม่คมเหมือนในอดีตแล้ว”

หลี่กังหัวเราะ ไม่กล่าวอะไร

องค์ชายสองพูดขึ้นอีก “เมิ่งอู่เป็นลูกศิษย์ของผู้บัญชาการกวน ‘ดาบฟ้าคำราม’ มาจากกองกำลังรักษาพระองค์เมืองฉิน เป็นดาวดวงใหม่ทางทหารของจักรวรรดิ อนาคตยาวไกล ใต้เท้าหลี่ไยจึงสังหารอย่างไร้สาเหตุ?”

“ไม่มีคำสั่งของข้า เคลื่อนพลกองกำลังคมโลหิตโดยพลการ โทษคือประหาร” หลี่กังตอบ

การเคลื่อนพลกองกำลังหลักทั้งสามในเมืองฉางอัน ผู้บัญชาการมีอำนาจเคลื่อนย้ายในระดับหนึ่ง การปราบโจรหรือฝึกทัพ ไม่จำเป็นต้องผ่านคำสั่งทหารจากเจ้าเมือง แต่เคลื่อนย้ายกองกำลังเข้าเมืองมาต้องผ่านได้รับคำอนุญาต พูดจากจุดนี้ เมิ่งอู่เคลื่อนพลกองกำลังคมโลหิตโดยพลการ แล้วจัดเป็นหน่วยลาดตระเวนเข้ามาในเมืองฉางอัน นี่คือโทษประหาร

หลายวันมานี้ หลี่กังเงียบงันราวไม่มีตัวตน ไม่ได้โมโหเดือดดาลเพราะเรื่องนี้ และยิ่งไม่ได้ออกคำสั่งขัดขวาง ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้คิดอะไร แต่หลายครั้งไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไรแล้วจะไม่เป็นไรจริงๆ ยามหลี่กังประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างจริงจัง เมิ่งอู่ตระหนักได้ว่าตัวเองเหมือน…ตกอยู่ในหลุมพราง

คราวนี้แม้แต่องค์ชายสองก็อึ้งไปเหมือนกัน

“เมิ่งอู่รับคำสั่งของข้าถึงได้เคลื่อนกำลังพล” องค์ชายสองเปลี่ยนน้ำเสียง กล่าวว่า “เขาเป็นคนของข้า” เช่นนี้ค่อนข้างจะระรานกันแล้ว เมื่อสู้ด้วยหลักกฎหมายไม่ได้ก็เริ่มใช้อำนาจ และด้วยฐานะกับความคิดขององค์ชายสอง เอ่ยแบบนี้ออกมาเห็นได้ชัดว่าแฝงความท้าทายไว้มากกว่า ทั้งยังใช้ตำแหน่งข่มหลี่กังอยู่กลายๆ

เขาคิดจะยั่วโมโหหลี่กัง

ทว่าหลี่กังกลับหัวเราะเรียบๆ “เพราะเป็นคนขององค์ชาย ดังนั้นถึงต้องตาย”

พูดจบ

ฟุ่บ!

แสงกระบี่อีกสายหนึ่งตรงมา

แสงกระบี่ดุจแสงดาว กะพริบวูบไหว คล้ายมวลเมฆหมู่ดาวเคลื่อนคล้อย และคล้ายห้วงดาราสมุทรดับสลาย

แสงกระบี่พุ่งทะลุร่างเมิ่งอู่ทันที จากนั้นร่างชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวผู้งามสง่าก็ค่อยๆ จางไป เค้าร่างรางเลือน เหมือนเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งซึ่งค่อยๆ สลายไปจากโลก สีหน้าที่ทั้งตกใจและสิ้นหวังค่อยๆ เลือนหาย ไม่ต่างจากความฝันที่แหลกสลายไป

กระบี่ธุลีแดง สลายโลกโลกีย์

และครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสองลงมือช่วยไม่ทัน

หรือจะบอกว่าเขาไม่คิดช่วยเมิ่งอู่เป็นครั้งที่สองก็ว่าได้

“ข้าบอกแล้วว่าเมิ่งอู่คือศิษย์ของผู้บัญชาการกวน ‘ดาบฟ้าคำราม’ ” องค์ชายสองเอ่ยอย่างเฉยชา หลี่กังสังหารเมิ่งอู่ ยิ่งเป็นประโยชน์สำหรับเขา เพราะเขาสามารถยืมสาเหตุนี้สร้างความแค้นระหว่างผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระองค์แปดแสนนายแห่งเมืองฉินได้ นี่เป็นเพียงจุดหักเหเล็กๆ แต่ได้ผลดีเยี่ยม หากวันนี้สังหารหลี่กัง ยามกลับเมืองฉิน ผู้บัญชาการคนนี้อย่างน้อยก็ไม่มีทางขัดผลประโยชน์กับเขามากมายนักจากการตายของเมิ่งอู่

แต่ใบหน้ายังคงฉายโทสะ

เขาโมโหไม่ใช่เพราะเมิ่งอู่ตาย แต่เป็นเพราะเขามีท่าทีจะปกป้องเมิ่งอู่ แต่เมิ่งอู่ก็ยังตาย

หลี่กังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ขุนนางควรมี

ครั้นได้ยินคำขององค์ชายสอง หลี่กังหัวเราะ สีหน้าท่าทางยิ่งเยือกเย็นสง่างาม “ยี่สิบปีที่แล้ว ข้าเหยียบกวนหมิ่นเหรินไว้แทบเท้า ยี่สิบปีต่อมาข้ายิ่งไม่ต้องหวาดกลัว อย่าว่าแต่ศิษย์ตัวเล็กๆ ของเขาเลย ต่อให้เป็นตัวเขาเอง หากสมควรตาย ข้าก็จะส่งเขาไปปรโลก”

องค์ชายสองขมวดคิ้ว

จู่ๆ เขาพลันรู้สึกเหมือนมีบางจุดไม่เหมือนกับที่ตนคิดเอาไว้

“ใต้เท้าหลี่เหมือนจะจมอยู่กับความรุ่งเรืองในอดีตเลย” องค์ชายสองเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอยากรู้พลังของ ‘กระบี่ธุลีแดง’ หนึ่งในสี่ยอดตำนานในอดีตมาโดยตลอด อยากจะรู้ว่ากระบี่เซียนธุลีแดงจริงสมคำร่ำลือหรือไม่”

นี่คือการท้าทาย

แสงทองทะลักล้นทั่วร่างของเขา กลิ่นอายที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งโหมซัดออกมา

พลังฟ้าดินหมุนวน

ร่างขององค์ชายสองมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังมีของวิเศษของราชวงศ์ช่วยเพิ่มพลัง โคจรพลังฟ้าดินได้ตามใจ จึงย่อมไม่ต้องกังวลกฎห้ามขับเคลื่อนพลังฟ้าดินในเมือง และยิ่งไม่ถูกสะกดพลังจาก ‘กระจกสยบฟ้าา’ อาวุธเทพที่สะกดเมืองฉางอัน

หลี่กังส่ายหน้า “ขุนนางมิอาจลบหลู่เบื้องสูง”

เขาปฏิเสธที่จะประมือกับองค์ชายสอง

องค์ชายสองแค่นหัวเราะ “งั้นรึ? เช่นนั้นจักรพรรดิสั่งให้ตาย ขุนนางก็ต้องตาย ใต้เท้าหลี่ หากข้าสั่งให้เจ้าตาย…”

หลี่กังตัดบทกลางปล้อง “ท่านเป็นองค์ชาย หาใช่จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตก มีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้ คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร?”

สีหน้าขององค์ชายสองเคร่งเครียดทันใด

เขาพบว่าความสามารถด้านการพูดของตน สู้คนผู้นี้ที่เปรียบดั่งมุกส่องสว่างที่สุดในการสอบเคอจวี่ครั้งนั้นไม่ได้เลย

ในตอนนี้เอง…

“อ๊าก…”

เสียงร้องน่าสังเวชดังขึ้น เลือดสาดกระจายทั่วฟ้า

นักพรตคิ้วยาวแขนขาดไปข้างหนึ่ง ถอยร่นมาด้วยใบหน้าซีดขาว

เมื่อสู้กับหลี่มู่ เขาที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์กลับไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายที่ยังไม่ถึงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง ช่างอัปยศอดสูยิ่งนัก ทว่าเขากลับไม่มีความกล้าที่จะลงมืออีก

หลี่มู่ตอนนี้ร่อนลงถึงพื้นดินแล้ว

ดาบบินยี่สิบเล่มลอยอยู่รอบกาย งดงามอ่อนช้อยราวประกายเทพ เสียงสายฟ้าคำราม ปราณดาบไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลังน่าตกใจยิ่งนัก เขาหัวเราะร่ากล่าวว่า “ขั้นเหนือมนุษย์ก็แค่นี้เอง อ่อนแอยิ่งนัก”

ในสายตาของคนอื่น ศึกนี้ถูกการประจันหน้าสนทนาของเจ้าเมืองชายชั่วกับองค์ชายสองดึงดูดไป แต่สำหรับหลี่มู่ เขากำลังสำแดงแก่นแท้วิถียุทธ์ที่บรรลุจากการเก็บตัวฝึกในหลายวันนี้อย่างหนำใจนัก โดยเฉพาะวิชาดาบเหินหาว หนึ่งดาบแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าสังหารยี่สิบสี่ดาบซึ่งก้าวกระโดดขึ้นมาก นี่พิสูจน์ความคาดหวังของเขาแล้วว่า วิชาดาบเหินหาวสามารถสู้ขั้นเหนือมนุษย์ได้

“หึ หากไม่ใช่ว่า ‘กระจกสยบฟ้าา’ อาวุธเทพเมืองฉางอันสะกดไว้ทั่วเมือง ข้าจึงขับเคลื่อนพลังฟ้าดินไม่ได้ จะมาพ่ายแพ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบเจ้าเสียที่ไหน?” นักพรตคิ้วยาวโมโหจนกระอักเลือด ดั่งคนใบ้กินหวงเหลียน เขามีเรื่องทุกข์ใจแต่พูดไม่ออกจริงๆ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ใด เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เจ้าเมืองหลี่กังจะปรากฏตัวก็ขับเคลื่อนพลังใช้งานอาวุธเทพ ‘กระจกสยบฟ้า’ เอาไว้แล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอัน พลังฝึกของขั้นเหนือมนุษย์ถูกลดทอนเป็นอย่างมาก ถึงได้ทำให้เขาพ่ายแพ้แก่หลี่มู่

หลี่มู่หัวเราะ “เช่นนั้นก็โทษได้แค่ว่าเจ้าซวยเท่านั้นแหละ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+