จอมศาสตราพลิกดารา 149 เรือนซอมซ่อ

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 149 เรือนซอมซ่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตรอกไล่หมู

ในเขตเรือนเล็ก

“คารวะฮูหยิน คารวะคุณชาย”

หญิงสาววัยออกเรือนคิ้วตาคมคาย ใบหน้างดงาม คารวะหลี่มู่และมารดาของเขา นางสวมชุดหรูฉวิน[1]เรียบง่ายธรรมดา ผมมีปิ่นมุกประดับ แต่งหน้าทางแป้งบางๆ สีหน้านับว่าไม่เลว ลักษณะเหมือนสาวชาวบ้านหน้าตาจิ้มลิ้ม ในอกอุ้มเด็กทารกชายไว้คนหนึ่งท่าทางเหมือนยังไม่ครบปี น่ารักน่าชังยิ่งนัก

ข้างกายของนางยังมีชายหน้าตาท่าทางซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก คิ้วหนาตาโต สวมเสื้อเกราะเบา ข้างเอวห้อยกระบี่เอาไว้

“เสวี่ยเอ๋อร์ ดีเหลือเกิน เจ้าไม่เป็นอะไรข้าก็วางใจแล้ว” มารดาหลี่มู่เช็ดน้ำตา

ในใจของหลี่มู่ก็ถอนใจโล่งอกเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงว่าตงเสวี่ย พี่ใหญ่ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ซึ่งเสียสละถูกบังคับให้แต่งงานออกไปคนแรก จะเป็นคนที่โชคดีที่สุด ถึงแม้โดนบีบให้ไปจวนสกุลหนิง แต่กลับได้แต่งงานกับหนิงจิ้งบุตรชายคนที่สามซึ่งเกิดจากอนุของขุนพลใหญ่หนิงหรูซานในวันนี้ จากสาวใช้กลายเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนสกุลหนิงไปแล้ว

ถึงแม้ชาติกำเนิดของมารดาหนิงจิ้งจะต้อยต่ำ ตำแหน่งในจวนสกุลหนิงต่ำมาก เทียบกับพี่ชายสองคนที่เกิดจากภรรยาเอกไม่ได้ แต่ตงเสวี่ยอยู่กับหนิงจิ้ง อย่างน้อยก็กินอิ่มสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนัก อีกทั้งทั้งสองยังมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น

วันนี้ ข่าวที่หลี่มู่บุกจวนสกุลโจวและถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เล่าลือออกไป ตงเสวี่ยและหนิงจิ้งผู้เป็นสามีในที่สุดก็ทำลายพันธนาการต่างๆ และมายังตรอกไล่หมูเพื่อพบหน้า

“ฮูหยิน คุณชาย หลายปีมานี้ที่ไม่กลับมาหาฮูหยิน ไม่ใช่ว่าตงเสวี่ยไม่รู้จักบุญคุณ แต่ข้าจำใจจริงๆ” ตงเสวี่ยน้ำตาไหลอาบหน้า อธิบายกับมารดาหลี่มู่ “เมื่อเข้าไปยังสกุลหนิง เสี่ยวเสวี่ยทำอะไรตามใจไม่ได้ ดีที่พี่จิ้งคอยดูแลถึงได้มีวันนี้ พ่อแม่สามีจับตาดูเข้มงวดมากนัก พ่อสามีเคยเตือนข้าไว้ หากข้ากล้าออกจากสกุลหนิงมาตรอกไล่หมู จะส่งคนมาทำลายตรอกไล่หมูให้ราบ…”

หนิงจิ้งที่คิ้วดกตาโตยืนอยู่ข้างๆ พูดเสียงใหญ่ทุ้มว่า “ฮูหยิน คุณชาย เป็นเช่นนี้จริงๆ หลายปีมานี้เสวี่ยเอ๋อร์ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ในจวนสกุลหนิงไม่น้อย หากนางไม่ฉลาดหลักแหลมคอยชี้แนะข้า เกรงว่าข้าที่เป็นลูกอนุคนนี้คง…เฮ้อ อันที่จริงเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงฮูหยิน ทุกเดือนนางจะคิดหาวิธีต่างๆ แอบช่วยฮูหยินทางนี้ขอรับ”

บุตรนอกสมรสสกุลหนิงคนนี้ ดูแล้วท่าทางซื่อๆ ทึ่มทื่อ คิ้วหนาตาโต เสียงที่พูดเต็มไปด้วยพลัง ความคิดต่างๆล้วนเขียนอยู่บนหน้า ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่นได้ง่าย

“อ้อ ข้านึกออกแล้ว สองปีก่อน ทุกเดือนจะมีคนมาจ้างพวกเราซักเสื้อ ซ่อมเสื้อ ให้ราคาสูงมาก…” ชุนเฉ่าเข้าใจในทันที

เซี่ยจวี๋ก็เอ่ยขึ้นอย่างกระจ่างแจ้ง “ใช่แล้วๆ บางทีที่มุมกำแพงหรือไม่ก็ในประตูจะมีเสบียงอาหารมากขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้าจับตาดูอยู่หลายครั้งแต่ก็หาไม่เจอว่าใครเป็นคนส่งมา ลึกลับเหลือเกิน หรือว่าจะเป็นพี่ตงเสวี่ย…”

มารดาหลี่มู่ดึงมือของตงเสวี่ย กล่าวว่า “ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ เจ้าฉลาดเฉลียวที่สุด ตอนนั้นอยู่กับข้าก็ลำบากที่สุด สกุลหลี่บีบบังคับก็เป็นเจ้าที่ก้าวออกมาคนแรก เสียสละเพื่อน้องๆ ทั้งสาม ตอนนั้นจวนสกุลหนิงทรงอิทธิพลน่าสะพรึงกลัว ใครๆ ต่างรู้ว่านั่นเป็นกองไฟ กระโดดเข้าไปอาจต้องมอดม้วย แต่เจ้าจิตใจดีงาม พวกเราล้วนห้ามเจ้าไม่ได้…” พูดแล้วนางก็น้ำตาไหลอาบ

เหล่าสตรีพากันกอดกันร้องไห้คร่ำครวญ

หลี่มู่มองเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

จะว่าไปแล้ว ตงเสวี่ยคนนี้ก็เป็นคนที่หน้าตาโดดเด่นที่สุด รูปร่างอ้อนแอ้นที่สุดในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ อีกทั้งฟังแล้วยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดด้วย คนทำดีย่อมได้ดี เสียสละตนไปสกุลหนิง แต่โอกาสกลับเหมาะเจาะถูกใจบุตรนอกสมรสของขุนพลจนกลายเป็นฮูหยินน้อย นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย แต่ว่า ฟังจากที่สามีภรรยาคู่นี้พูด เกรงว่าวันเวลาในจวนสกุลหนิงของพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่

บุตรของอนุในตระกูลใหญ่แทบจะเหมือนพ่อบ้านระดับสูง หากมารดาชาติกำเนิดต่ำต้อย ยกตัวอย่างเช่นเป็นสาวใช้ เกรงว่าเทียบกับพ่อบ้านระดับสูงยังไม่ได้ อีกทั้งท่าทางของหนิงจิ้งยังซื่อๆ ขี้ขลาด อยู่ในครอบครัวใหญ่แบบนั้นยิ่งเคลื่อนไหวลำบาก ท่าทางคงเป็นพวกที่โดนรังแกตั้งแต่เด็กจนโต แต่เขาโชคดีที่แต่งงานกับหญิงสาวจิตใจดีฉลาดหลักแหลมอย่างตงเสวี่ย นางคอยช่วยเขาวางแผนออกอุบาย ทำให้มีชีวิตรอดจากสกุลหนิงที่มีอันตรายซ่อนอยู่ราวเดินบนชั้นน้ำแข็งเปราะบางมาได้

นี่คงเรียกว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่กระมัง

ระหว่างการสนทนาของเหล่าสตรี ตงเสวี่ยรู้ข่าวการตายของชิวอี้ จึงเศร้าโศกเสียใจจนเกือบเป็นลม

หลี่มู่ดูอยู่ข้างๆ ก็ทอดถอนใจอยู่ข้างใน

จากบทสนทนาของพวกนาง เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้สกุลหนิงได้ยินข่าวที่ตนถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์และคฤหาสน์สกุลโจวแล้ว ทั่วทั้งเมืองลือกันว่าฮูหยินตกอับที่อยู่ในตรอกไล่หมู บุตรชายที่จากไปแปดปีของนางกลับมาเป็นยอดปรมาจารย์ ขุนพลหนิงหรูซานจึงเรียกคู่สามีภรรยาตงเสวี่ยและหนิงจิ้งมาด้วยตนเอง เตรียมของกำนัลบางอย่าง แล้วให้พวกเขานำกลับบ้านแม่[2]มายังตรอกไล่หมู

“ท่านพ่อแค่ให้พวกเรากลับมาเยี่ยมเยือน ไม่ได้สั่งอะไรมา น้องหญิงคิดถึงฮูหยินมานานมากแล้ว ข้าจึงพานางมาด้วย” หนิงจิ้งพูดเสียงต่ำทุ้ม

หลี่มู่หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร

หนิงหรูซานเป็นขุนพลใหญ่น่าเกรงขาม อยู่ในเมืองฉางอันได้โดยไม่สั่นคลอนมานานหลายปี จะต้องมีฝีมืออยู่บ้างแน่นอน ครั้งนี้ให้ตงเสวี่ยมา คาดว่าเพียงเพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตร นี่เป็นการดึงไปเป็นพวกอย่างหนึ่ง อีกทั้งดูจากร่องรอยก็ไม่เหมือนการรีบร้อนสร้างผลประโยชน์ด้วย

จากข้อมูลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนให้มา จวนขุนพลใหญ่และจวนเจ้าเมืองหลี่กังตลอดมาไม่ได้มีท่าทีใดต่อกันนัก

ขณะคนกลุ่มนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้น สีหน้าของหลี่มู่ก็เปลี่ยนไป

เขาสัมผัสได้ว่าตรอกไล่หมูมีแขกมาเยือน

ซ้ำยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย

คนหนึ่งในนั้นกลิ่นอายประหลาด ตัดสินยากว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แม้กระทั่งเขาอาศัยพลังจากค่ายกลก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงขั้นพลังที่แน่นอนได้

……

“ลูกพี่ นี่ก็คือที่ที่ท่านบอกว่าจะมาทำการใหญ่อย่างนั้นรึ?” ‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงยืนอยู่หน้าตรอกไล่หมู พูดหน้าดำคร่ำเครียด “ลูกพี่ท่านอย่าคิดไม่ตกสิ หลี่มู่เป็นยอดปรมาจารย์หนุ่ม หากท่านสู้กับเขาลำพังได้แพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่”

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถลึงตามองเขา กล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า? ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาสู้กับเขาเสียหน่อย”

‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงยิ่งตะลึงกว่าเดิม “หรือท่านเตรียมจะแต่งงานกับหลี่มู่จริงๆ? ลูกพี่ ท่านอย่าได้วู่วามเชียวนะ ปีนี้ท่านก็ยี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว ว่ากันว่าหลี่มู่เพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น ท่านสองคนอายุห่างกันมากเกินไป อีกอย่างนิสัยของท่านฉุนเฉียวถึงขนาดนี้ ต่อให้แต่งสำเร็จจริง ต่อไปในวันข้างหน้าเรื่องในครอบครัวของพวกท่านใครจะเป็นคนมีสิทธิ์ชี้ขาด? หากทะเลาะกันขึ้นมา ถ้าลงมือท่านก็สู้เขาไม่ได้ ถึงตอนนั้นโดนซัดเข้า ต่อให้พี่น้องโรงฝึกยุทธ์คิดช่วยท่านระบายอารมณ์ก็จนปัญญานะ…”

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลย” ใบหน้างดงามของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์ดำคล้ำ “ใครว่าข้าจะแต่งกับเขา”

“เอ๋? ลูกพี่ ท่านไม่ได้เตรียมจะแต่งกับเขาหรอกหรือ เช่นนั้นท่านจะมาทำการใหญ่อะไรที่นี่?” ‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงถาม ในใจบ่นพึมพำว่าทั่วทั้งเมืองฉางอันมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกพี่เป็นผู้หญิงที่อยากแต่งงานเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าข้าย่อมคิดเช่นนี้

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะลากหลี่มู่เข้ามาอยู่ในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุของพวกเรา ฮี่ๆ ตอนนี้ชื่อเสียงของเสี่ยวหลี่จื่อดังปานนี้ นับเป็นการป่าวประกาศที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราก็จะครองเมืองฉางอัน รับลูกศิษย์เป็นพันๆ หมื่นๆ คน ศิษย์คนหนึ่งเก็บเงินสิบตำลึง พวกเราก็รวยกันแล้ว ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะไม่มีกิน วะฮ่าๆๆ…”

“เสี่ยวหลี่จื่อเป็นใคร?”

“หลี่มู่ไง”

“อ่า ลูกพี่ ท่านพูดแบบนี้หลี่มู่เขาตอบตกลงแล้วหรือ?”

“ไม่เป็นไร เขาตกลงแน่”

ทั้งสองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับเดินเข้าไปในตรอกไล่หมู

ถนนในตรอกแต่เดิมเป็นโคลนเฉอะแฉะนัก เต็มไปด้วยแอ่งน้ำเหม็นๆ แต่ภายหลังเจิ้งฉุนเจี้ยนตั้งใจประจบหลี่มู่ จึงสั่งให้คนปูพื้นหินไปบนทางโคลนในตรอกแห่งนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นตรอกไล่หมูแห่งนี้ดูไปแล้วจึงสะอาดเป็นระเบียบขึ้นมาก

“เจ้าพบอะไรหรือไม่?” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเดินไปได้ครึ่งทางก็พลันเอ่ย

เทพพยากรณ์พูดอย่างงงๆ “พบอะไร?”

“พลังวิญญาณที่นี่เหมือนจะมีมากกว่าข้างนอกเล็กน้อย”

“เอ๋? จริงด้วย ไม่สิ ไม่ใช่มากกว่าเล็กน้อย แต่เข้มข้นกว่ามาก อย่างน้อยก็สองสามเท่าขึ้นไป”

ใบหน้าของทั้งสองฉายแววจริงจังและเคร่งขรึม

พวกเขามองไปยังเรือนหลังนั้นที่อยู่สุดตรอก ไผ่เขียวชอุ่มล้อมรอบ ไอหมอกปกคลุม ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่ามีอยู่แต่ก็คล้ายไม่มี และห่างไกลไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้หมอกขาวที่ปกคลุม ยิ่งรู้สึกเหมือนแดนเซียนลอยล่อง ราวกับว่าเดินอยู่ในถนนพื้นหินสายนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่มีวันเดินจนถึงสุดทาง

อีกทั้งที่ประตูหลักของเรือนยังมีป้ายแผ่นใหญ่แขวนอยู่

อักษรที่อยู่บนป้ายมีสองคำ….

เรือนซอมซ่อ!

ชื่อของเขตเรือนแห่งนี้คือเรือนซอมซ่อ

แน่นอนว่าชื่อเป็นเอกลักษณ์มาก แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือทั่วทั้งเรือนไผ่เขียวชวนให้คนรู้สึกแปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนกับโลกความจริง ทว่าเหมือนความฝัน มองเห็นแต่ไม่อาจเข้าใกล้ได้

“นี่คือค่ายกล?”

ในใจของทั้งสองเข้าใจอะไรทันที

ก่อนที่หลี่มู่จะมาถึง ที่นี่ไม่มีค่ายกลอะไรใดๆ แน่ นี่เป็นเรื่องที่แน่ใจได้ เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือ หลี่มู่วางค่ายกลไว้ที่นี่…หรือว่ายอดปรมาจารย์สายยุทธ์คนนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนวิชาเวทด้วย?

ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และวิชาเวท?

ผู้ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และพลังเวทอายุเพียงสิบห้าปี ทั้งยังไปถึงขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว…นี่ไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจใช่กระมัง?

คนทั้งสองมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็มีเสียงรถม้าดังขึ้นจากข้างหลัง และยังมีเสียงฝีเท้าห้อตะบึงราวคลื่นถาโถมมุ่งมายังตรอกไล่หมู

“ถอยไป ถอยไปเร็วเข้า” รถม้าที่อยู่ข้างหน้าสุด คนขับรถม้าสะบัดแส้ สีหน้าร้อนใจ พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า

“มารดามันสิ ข้า…” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุอ้าปากด่าทันที เก็บอารมณ์ฉุนเฉียวไว้ไม่อยู่

เทพพยากรณ์รีบลากนางเอาไว้อยู่ข้างๆ “ลูกพี่ นั่นคนของสกุลโจว ใจเย็นๆ พวกเราคอยดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก่อน”

ทั้งสองหลบอยู่ด้านหนึ่ง สกุลโจวส่งรถม้ามาทั้งหมดสี่คัน ห้อตะบึงมาถึงยังหน้าเรือน

“หัวหน้าตระกูลโจวโจวเต๋อเต้า ขอพบยอดปรมาจารย์หลี่มู่” ยอดฝีมือก้งเฟิ่งคนหนึ่งของสกุลโจวเอ่ยเสียงดังอยู่ที่หน้าประตูเรือน

แต่ทว่า ในเรือนไม่มีเสียงตอบรับใดๆ

ในรถม้ามีเสียงโหยหวนน่าสังเวชราวกับหมูถูกเชือดลอยออกมา ทำให้ตื่นตกใจกันทั้งตรอก

ประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลโจวเต๋อเต้าออกมาด้วยตัวเอง ร้องขอเข้าพบเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู “ท่านหลี่มู่ สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลล่วงเกินท่าน ได้โปรดเปิดประตูให้เข้าพบเถิด ข้ายินดีจ่ายค่าชดใช้ทุกอย่าง ขอท่านโปรดยั้งมือไว้ชีวิตลูกชายข้า ข้าได้ลูกชายมายามแก่ ตามใจเขามาตลอดจนเสียคน…ต่อจากนี้จะให้เขากลับเนื้อกลับตัวอย่างแน่นอน”

ท่าทางของโจวเต๋อเต้าจริงใจยิ่งนัก

ทว่า ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนอย่างไร จนแล้วจนรอดในเรือนก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ออกมา

กำแพงไผ่เขียวบางๆ ประหนึ่งธารสวรรค์ ไม่อาจข้ามไปได้

เพราะหลังกำแพงต้นไผ่คือเด็กหนุ่มขั้นยอดปรมาจารย์คนหนึ่ง

คนสกุลโจวอ้อนวอนอยู่หน้ากำแพงต้นไผ่ครึ่งชั่วยาม โจวเต๋อเต้าตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับใด สีหน้าจึงย่ำแย่ กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมา ทั้งยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนขอร้องอ้อนวอน เพราะโจวอวี่เหมือนเสียสติไปแล้ว ครวญครางราวหมูโดนเชือด ใกล้จะไม่ไหวแล้วเต็มที

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและเทพพยากรณ์นั่งยองๆ อยู่ข้างหลังคนสกุลโจว ไม่รู้ว่าไปหาซื้อเมล็ดแตงโมมาจากไหน แต่ละคนกำเมล็ดแตงโมไว้กำใหญ่ แทะไปดูเรื่องสนุกไป ตื่นเต้นสนอกสนใจ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ชาวบ้านในตรอกไล่หมูก็ปีนกำแพงขึ้นไปดูเรื่องสนุกเช่นกัน

ในตอนนี้เอง ทันใดนั้น ลำแสงสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าด้านตะวันออกพุ่งมายังเรือนหลังเล็ก

แสงกระบี่!

แสงกระบี่สายหนึ่ง

แสงกระบี่ที่น่ากลัวเกินบรรยาย

แสงแห่งกระบี่สวรรค์

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและเทพพยากรณ์หน้าเปลี่ยนสีทันใด

คนของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์มาแล้ว

……………………………………………………

[1] หรูฉวิน เครื่องแต่งกายจีนโบราณชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายชุดฮันบก ข้างบนเป็นเสื้อรัดอกแบบสั้น นิยมใส่คู่กับเสื้อตัวในแขนยาว แล้วค่อยคาดกระโปรงสอบ

[2] กลับบ้านแม่ ตามธรรมเนียมของคนจีนคือ เมื่อหญิงสาวแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะต้องพาภรรยากลับบ้านพร้อมกับของขวัญกลับบ้านของฝ่ายหญิง ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเหลือแต่บิดาก็ยังคงเรียกว่ากลับบ้านแม่ ไม่เรียกว่ากลับบ้านพ่อ

ตรอกไล่หมู

ในเขตเรือนเล็ก

“คารวะฮูหยิน คารวะคุณชาย”

หญิงสาววัยออกเรือนคิ้วตาคมคาย ใบหน้างดงาม คารวะหลี่มู่และมารดาของเขา นางสวมชุดหรูฉวิน[1]เรียบง่ายธรรมดา ผมมีปิ่นมุกประดับ แต่งหน้าทางแป้งบางๆ สีหน้านับว่าไม่เลว ลักษณะเหมือนสาวชาวบ้านหน้าตาจิ้มลิ้ม ในอกอุ้มเด็กทารกชายไว้คนหนึ่งท่าทางเหมือนยังไม่ครบปี น่ารักน่าชังยิ่งนัก

ข้างกายของนางยังมีชายหน้าตาท่าทางซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก คิ้วหนาตาโต สวมเสื้อเกราะเบา ข้างเอวห้อยกระบี่เอาไว้

“เสวี่ยเอ๋อร์ ดีเหลือเกิน เจ้าไม่เป็นอะไรข้าก็วางใจแล้ว” มารดาหลี่มู่เช็ดน้ำตา

ในใจของหลี่มู่ก็ถอนใจโล่งอกเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงว่าตงเสวี่ย พี่ใหญ่ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ซึ่งเสียสละถูกบังคับให้แต่งงานออกไปคนแรก จะเป็นคนที่โชคดีที่สุด ถึงแม้โดนบีบให้ไปจวนสกุลหนิง แต่กลับได้แต่งงานกับหนิงจิ้งบุตรชายคนที่สามซึ่งเกิดจากอนุของขุนพลใหญ่หนิงหรูซานในวันนี้ จากสาวใช้กลายเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนสกุลหนิงไปแล้ว

ถึงแม้ชาติกำเนิดของมารดาหนิงจิ้งจะต้อยต่ำ ตำแหน่งในจวนสกุลหนิงต่ำมาก เทียบกับพี่ชายสองคนที่เกิดจากภรรยาเอกไม่ได้ แต่ตงเสวี่ยอยู่กับหนิงจิ้ง อย่างน้อยก็กินอิ่มสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนัก อีกทั้งทั้งสองยังมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น

วันนี้ ข่าวที่หลี่มู่บุกจวนสกุลโจวและถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เล่าลือออกไป ตงเสวี่ยและหนิงจิ้งผู้เป็นสามีในที่สุดก็ทำลายพันธนาการต่างๆ และมายังตรอกไล่หมูเพื่อพบหน้า

“ฮูหยิน คุณชาย หลายปีมานี้ที่ไม่กลับมาหาฮูหยิน ไม่ใช่ว่าตงเสวี่ยไม่รู้จักบุญคุณ แต่ข้าจำใจจริงๆ” ตงเสวี่ยน้ำตาไหลอาบหน้า อธิบายกับมารดาหลี่มู่ “เมื่อเข้าไปยังสกุลหนิง เสี่ยวเสวี่ยทำอะไรตามใจไม่ได้ ดีที่พี่จิ้งคอยดูแลถึงได้มีวันนี้ พ่อแม่สามีจับตาดูเข้มงวดมากนัก พ่อสามีเคยเตือนข้าไว้ หากข้ากล้าออกจากสกุลหนิงมาตรอกไล่หมู จะส่งคนมาทำลายตรอกไล่หมูให้ราบ…”

หนิงจิ้งที่คิ้วดกตาโตยืนอยู่ข้างๆ พูดเสียงใหญ่ทุ้มว่า “ฮูหยิน คุณชาย เป็นเช่นนี้จริงๆ หลายปีมานี้เสวี่ยเอ๋อร์ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ในจวนสกุลหนิงไม่น้อย หากนางไม่ฉลาดหลักแหลมคอยชี้แนะข้า เกรงว่าข้าที่เป็นลูกอนุคนนี้คง…เฮ้อ อันที่จริงเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงฮูหยิน ทุกเดือนนางจะคิดหาวิธีต่างๆ แอบช่วยฮูหยินทางนี้ขอรับ”

บุตรนอกสมรสสกุลหนิงคนนี้ ดูแล้วท่าทางซื่อๆ ทึ่มทื่อ คิ้วหนาตาโต เสียงที่พูดเต็มไปด้วยพลัง ความคิดต่างๆล้วนเขียนอยู่บนหน้า ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่นได้ง่าย

“อ้อ ข้านึกออกแล้ว สองปีก่อน ทุกเดือนจะมีคนมาจ้างพวกเราซักเสื้อ ซ่อมเสื้อ ให้ราคาสูงมาก…” ชุนเฉ่าเข้าใจในทันที

เซี่ยจวี๋ก็เอ่ยขึ้นอย่างกระจ่างแจ้ง “ใช่แล้วๆ บางทีที่มุมกำแพงหรือไม่ก็ในประตูจะมีเสบียงอาหารมากขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้าจับตาดูอยู่หลายครั้งแต่ก็หาไม่เจอว่าใครเป็นคนส่งมา ลึกลับเหลือเกิน หรือว่าจะเป็นพี่ตงเสวี่ย…”

มารดาหลี่มู่ดึงมือของตงเสวี่ย กล่าวว่า “ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ เจ้าฉลาดเฉลียวที่สุด ตอนนั้นอยู่กับข้าก็ลำบากที่สุด สกุลหลี่บีบบังคับก็เป็นเจ้าที่ก้าวออกมาคนแรก เสียสละเพื่อน้องๆ ทั้งสาม ตอนนั้นจวนสกุลหนิงทรงอิทธิพลน่าสะพรึงกลัว ใครๆ ต่างรู้ว่านั่นเป็นกองไฟ กระโดดเข้าไปอาจต้องมอดม้วย แต่เจ้าจิตใจดีงาม พวกเราล้วนห้ามเจ้าไม่ได้…” พูดแล้วนางก็น้ำตาไหลอาบ

เหล่าสตรีพากันกอดกันร้องไห้คร่ำครวญ

หลี่มู่มองเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

จะว่าไปแล้ว ตงเสวี่ยคนนี้ก็เป็นคนที่หน้าตาโดดเด่นที่สุด รูปร่างอ้อนแอ้นที่สุดในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ อีกทั้งฟังแล้วยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดด้วย คนทำดีย่อมได้ดี เสียสละตนไปสกุลหนิง แต่โอกาสกลับเหมาะเจาะถูกใจบุตรนอกสมรสของขุนพลจนกลายเป็นฮูหยินน้อย นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย แต่ว่า ฟังจากที่สามีภรรยาคู่นี้พูด เกรงว่าวันเวลาในจวนสกุลหนิงของพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่

บุตรของอนุในตระกูลใหญ่แทบจะเหมือนพ่อบ้านระดับสูง หากมารดาชาติกำเนิดต่ำต้อย ยกตัวอย่างเช่นเป็นสาวใช้ เกรงว่าเทียบกับพ่อบ้านระดับสูงยังไม่ได้ อีกทั้งท่าทางของหนิงจิ้งยังซื่อๆ ขี้ขลาด อยู่ในครอบครัวใหญ่แบบนั้นยิ่งเคลื่อนไหวลำบาก ท่าทางคงเป็นพวกที่โดนรังแกตั้งแต่เด็กจนโต แต่เขาโชคดีที่แต่งงานกับหญิงสาวจิตใจดีฉลาดหลักแหลมอย่างตงเสวี่ย นางคอยช่วยเขาวางแผนออกอุบาย ทำให้มีชีวิตรอดจากสกุลหนิงที่มีอันตรายซ่อนอยู่ราวเดินบนชั้นน้ำแข็งเปราะบางมาได้

นี่คงเรียกว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่กระมัง

ระหว่างการสนทนาของเหล่าสตรี ตงเสวี่ยรู้ข่าวการตายของชิวอี้ จึงเศร้าโศกเสียใจจนเกือบเป็นลม

หลี่มู่ดูอยู่ข้างๆ ก็ทอดถอนใจอยู่ข้างใน

จากบทสนทนาของพวกนาง เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้สกุลหนิงได้ยินข่าวที่ตนถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์และคฤหาสน์สกุลโจวแล้ว ทั่วทั้งเมืองลือกันว่าฮูหยินตกอับที่อยู่ในตรอกไล่หมู บุตรชายที่จากไปแปดปีของนางกลับมาเป็นยอดปรมาจารย์ ขุนพลหนิงหรูซานจึงเรียกคู่สามีภรรยาตงเสวี่ยและหนิงจิ้งมาด้วยตนเอง เตรียมของกำนัลบางอย่าง แล้วให้พวกเขานำกลับบ้านแม่[2]มายังตรอกไล่หมู

“ท่านพ่อแค่ให้พวกเรากลับมาเยี่ยมเยือน ไม่ได้สั่งอะไรมา น้องหญิงคิดถึงฮูหยินมานานมากแล้ว ข้าจึงพานางมาด้วย” หนิงจิ้งพูดเสียงต่ำทุ้ม

หลี่มู่หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร

หนิงหรูซานเป็นขุนพลใหญ่น่าเกรงขาม อยู่ในเมืองฉางอันได้โดยไม่สั่นคลอนมานานหลายปี จะต้องมีฝีมืออยู่บ้างแน่นอน ครั้งนี้ให้ตงเสวี่ยมา คาดว่าเพียงเพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตร นี่เป็นการดึงไปเป็นพวกอย่างหนึ่ง อีกทั้งดูจากร่องรอยก็ไม่เหมือนการรีบร้อนสร้างผลประโยชน์ด้วย

จากข้อมูลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนให้มา จวนขุนพลใหญ่และจวนเจ้าเมืองหลี่กังตลอดมาไม่ได้มีท่าทีใดต่อกันนัก

ขณะคนกลุ่มนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้น สีหน้าของหลี่มู่ก็เปลี่ยนไป

เขาสัมผัสได้ว่าตรอกไล่หมูมีแขกมาเยือน

ซ้ำยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย

คนหนึ่งในนั้นกลิ่นอายประหลาด ตัดสินยากว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แม้กระทั่งเขาอาศัยพลังจากค่ายกลก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงขั้นพลังที่แน่นอนได้

……

“ลูกพี่ นี่ก็คือที่ที่ท่านบอกว่าจะมาทำการใหญ่อย่างนั้นรึ?” ‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงยืนอยู่หน้าตรอกไล่หมู พูดหน้าดำคร่ำเครียด “ลูกพี่ท่านอย่าคิดไม่ตกสิ หลี่มู่เป็นยอดปรมาจารย์หนุ่ม หากท่านสู้กับเขาลำพังได้แพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่”

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถลึงตามองเขา กล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า? ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาสู้กับเขาเสียหน่อย”

‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงยิ่งตะลึงกว่าเดิม “หรือท่านเตรียมจะแต่งงานกับหลี่มู่จริงๆ? ลูกพี่ ท่านอย่าได้วู่วามเชียวนะ ปีนี้ท่านก็ยี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว ว่ากันว่าหลี่มู่เพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น ท่านสองคนอายุห่างกันมากเกินไป อีกอย่างนิสัยของท่านฉุนเฉียวถึงขนาดนี้ ต่อให้แต่งสำเร็จจริง ต่อไปในวันข้างหน้าเรื่องในครอบครัวของพวกท่านใครจะเป็นคนมีสิทธิ์ชี้ขาด? หากทะเลาะกันขึ้นมา ถ้าลงมือท่านก็สู้เขาไม่ได้ ถึงตอนนั้นโดนซัดเข้า ต่อให้พี่น้องโรงฝึกยุทธ์คิดช่วยท่านระบายอารมณ์ก็จนปัญญานะ…”

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลย” ใบหน้างดงามของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์ดำคล้ำ “ใครว่าข้าจะแต่งกับเขา”

“เอ๋? ลูกพี่ ท่านไม่ได้เตรียมจะแต่งกับเขาหรอกหรือ เช่นนั้นท่านจะมาทำการใหญ่อะไรที่นี่?” ‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงถาม ในใจบ่นพึมพำว่าทั่วทั้งเมืองฉางอันมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกพี่เป็นผู้หญิงที่อยากแต่งงานเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าข้าย่อมคิดเช่นนี้

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะลากหลี่มู่เข้ามาอยู่ในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุของพวกเรา ฮี่ๆ ตอนนี้ชื่อเสียงของเสี่ยวหลี่จื่อดังปานนี้ นับเป็นการป่าวประกาศที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราก็จะครองเมืองฉางอัน รับลูกศิษย์เป็นพันๆ หมื่นๆ คน ศิษย์คนหนึ่งเก็บเงินสิบตำลึง พวกเราก็รวยกันแล้ว ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะไม่มีกิน วะฮ่าๆๆ…”

“เสี่ยวหลี่จื่อเป็นใคร?”

“หลี่มู่ไง”

“อ่า ลูกพี่ ท่านพูดแบบนี้หลี่มู่เขาตอบตกลงแล้วหรือ?”

“ไม่เป็นไร เขาตกลงแน่”

ทั้งสองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับเดินเข้าไปในตรอกไล่หมู

ถนนในตรอกแต่เดิมเป็นโคลนเฉอะแฉะนัก เต็มไปด้วยแอ่งน้ำเหม็นๆ แต่ภายหลังเจิ้งฉุนเจี้ยนตั้งใจประจบหลี่มู่ จึงสั่งให้คนปูพื้นหินไปบนทางโคลนในตรอกแห่งนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นตรอกไล่หมูแห่งนี้ดูไปแล้วจึงสะอาดเป็นระเบียบขึ้นมาก

“เจ้าพบอะไรหรือไม่?” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเดินไปได้ครึ่งทางก็พลันเอ่ย

เทพพยากรณ์พูดอย่างงงๆ “พบอะไร?”

“พลังวิญญาณที่นี่เหมือนจะมีมากกว่าข้างนอกเล็กน้อย”

“เอ๋? จริงด้วย ไม่สิ ไม่ใช่มากกว่าเล็กน้อย แต่เข้มข้นกว่ามาก อย่างน้อยก็สองสามเท่าขึ้นไป”

ใบหน้าของทั้งสองฉายแววจริงจังและเคร่งขรึม

พวกเขามองไปยังเรือนหลังนั้นที่อยู่สุดตรอก ไผ่เขียวชอุ่มล้อมรอบ ไอหมอกปกคลุม ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่ามีอยู่แต่ก็คล้ายไม่มี และห่างไกลไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้หมอกขาวที่ปกคลุม ยิ่งรู้สึกเหมือนแดนเซียนลอยล่อง ราวกับว่าเดินอยู่ในถนนพื้นหินสายนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่มีวันเดินจนถึงสุดทาง

อีกทั้งที่ประตูหลักของเรือนยังมีป้ายแผ่นใหญ่แขวนอยู่

อักษรที่อยู่บนป้ายมีสองคำ….

เรือนซอมซ่อ!

ชื่อของเขตเรือนแห่งนี้คือเรือนซอมซ่อ

แน่นอนว่าชื่อเป็นเอกลักษณ์มาก แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือทั่วทั้งเรือนไผ่เขียวชวนให้คนรู้สึกแปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนกับโลกความจริง ทว่าเหมือนความฝัน มองเห็นแต่ไม่อาจเข้าใกล้ได้

“นี่คือค่ายกล?”

ในใจของทั้งสองเข้าใจอะไรทันที

ก่อนที่หลี่มู่จะมาถึง ที่นี่ไม่มีค่ายกลอะไรใดๆ แน่ นี่เป็นเรื่องที่แน่ใจได้ เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือ หลี่มู่วางค่ายกลไว้ที่นี่…หรือว่ายอดปรมาจารย์สายยุทธ์คนนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนวิชาเวทด้วย?

ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และวิชาเวท?

ผู้ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และพลังเวทอายุเพียงสิบห้าปี ทั้งยังไปถึงขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว…นี่ไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจใช่กระมัง?

คนทั้งสองมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็มีเสียงรถม้าดังขึ้นจากข้างหลัง และยังมีเสียงฝีเท้าห้อตะบึงราวคลื่นถาโถมมุ่งมายังตรอกไล่หมู

“ถอยไป ถอยไปเร็วเข้า” รถม้าที่อยู่ข้างหน้าสุด คนขับรถม้าสะบัดแส้ สีหน้าร้อนใจ พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า

“มารดามันสิ ข้า…” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุอ้าปากด่าทันที เก็บอารมณ์ฉุนเฉียวไว้ไม่อยู่

เทพพยากรณ์รีบลากนางเอาไว้อยู่ข้างๆ “ลูกพี่ นั่นคนของสกุลโจว ใจเย็นๆ พวกเราคอยดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก่อน”

ทั้งสองหลบอยู่ด้านหนึ่ง สกุลโจวส่งรถม้ามาทั้งหมดสี่คัน ห้อตะบึงมาถึงยังหน้าเรือน

“หัวหน้าตระกูลโจวโจวเต๋อเต้า ขอพบยอดปรมาจารย์หลี่มู่” ยอดฝีมือก้งเฟิ่งคนหนึ่งของสกุลโจวเอ่ยเสียงดังอยู่ที่หน้าประตูเรือน

แต่ทว่า ในเรือนไม่มีเสียงตอบรับใดๆ

ในรถม้ามีเสียงโหยหวนน่าสังเวชราวกับหมูถูกเชือดลอยออกมา ทำให้ตื่นตกใจกันทั้งตรอก

ประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลโจวเต๋อเต้าออกมาด้วยตัวเอง ร้องขอเข้าพบเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู “ท่านหลี่มู่ สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลล่วงเกินท่าน ได้โปรดเปิดประตูให้เข้าพบเถิด ข้ายินดีจ่ายค่าชดใช้ทุกอย่าง ขอท่านโปรดยั้งมือไว้ชีวิตลูกชายข้า ข้าได้ลูกชายมายามแก่ ตามใจเขามาตลอดจนเสียคน…ต่อจากนี้จะให้เขากลับเนื้อกลับตัวอย่างแน่นอน”

ท่าทางของโจวเต๋อเต้าจริงใจยิ่งนัก

ทว่า ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนอย่างไร จนแล้วจนรอดในเรือนก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ออกมา

กำแพงไผ่เขียวบางๆ ประหนึ่งธารสวรรค์ ไม่อาจข้ามไปได้

เพราะหลังกำแพงต้นไผ่คือเด็กหนุ่มขั้นยอดปรมาจารย์คนหนึ่ง

คนสกุลโจวอ้อนวอนอยู่หน้ากำแพงต้นไผ่ครึ่งชั่วยาม โจวเต๋อเต้าตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับใด สีหน้าจึงย่ำแย่ กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมา ทั้งยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนขอร้องอ้อนวอน เพราะโจวอวี่เหมือนเสียสติไปแล้ว ครวญครางราวหมูโดนเชือด ใกล้จะไม่ไหวแล้วเต็มที

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและเทพพยากรณ์นั่งยองๆ อยู่ข้างหลังคนสกุลโจว ไม่รู้ว่าไปหาซื้อเมล็ดแตงโมมาจากไหน แต่ละคนกำเมล็ดแตงโมไว้กำใหญ่ แทะไปดูเรื่องสนุกไป ตื่นเต้นสนอกสนใจ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ชาวบ้านในตรอกไล่หมูก็ปีนกำแพงขึ้นไปดูเรื่องสนุกเช่นกัน

ในตอนนี้เอง ทันใดนั้น ลำแสงสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าด้านตะวันออกพุ่งมายังเรือนหลังเล็ก

แสงกระบี่!

แสงกระบี่สายหนึ่ง

แสงกระบี่ที่น่ากลัวเกินบรรยาย

แสงแห่งกระบี่สวรรค์

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและเทพพยากรณ์หน้าเปลี่ยนสีทันใด

คนของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์มาแล้ว

……………………………………………………

[1] หรูฉวิน เครื่องแต่งกายจีนโบราณชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายชุดฮันบก ข้างบนเป็นเสื้อรัดอกแบบสั้น นิยมใส่คู่กับเสื้อตัวในแขนยาว แล้วค่อยคาดกระโปรงสอบ

[2] กลับบ้านแม่ ตามธรรมเนียมของคนจีนคือ เมื่อหญิงสาวแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะต้องพาภรรยากลับบ้านพร้อมกับของขวัญกลับบ้านของฝ่ายหญิง ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเหลือแต่บิดาก็ยังคงเรียกว่ากลับบ้านแม่ ไม่เรียกว่ากลับบ้านพ่อ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 149 เรือนซอมซ่อ

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 149 เรือนซอมซ่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตรอกไล่หมู

ในเขตเรือนเล็ก

“คารวะฮูหยิน คารวะคุณชาย”

หญิงสาววัยออกเรือนคิ้วตาคมคาย ใบหน้างดงาม คารวะหลี่มู่และมารดาของเขา นางสวมชุดหรูฉวิน[1]เรียบง่ายธรรมดา ผมมีปิ่นมุกประดับ แต่งหน้าทางแป้งบางๆ สีหน้านับว่าไม่เลว ลักษณะเหมือนสาวชาวบ้านหน้าตาจิ้มลิ้ม ในอกอุ้มเด็กทารกชายไว้คนหนึ่งท่าทางเหมือนยังไม่ครบปี น่ารักน่าชังยิ่งนัก

ข้างกายของนางยังมีชายหน้าตาท่าทางซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก คิ้วหนาตาโต สวมเสื้อเกราะเบา ข้างเอวห้อยกระบี่เอาไว้

“เสวี่ยเอ๋อร์ ดีเหลือเกิน เจ้าไม่เป็นอะไรข้าก็วางใจแล้ว” มารดาหลี่มู่เช็ดน้ำตา

ในใจของหลี่มู่ก็ถอนใจโล่งอกเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงว่าตงเสวี่ย พี่ใหญ่ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ซึ่งเสียสละถูกบังคับให้แต่งงานออกไปคนแรก จะเป็นคนที่โชคดีที่สุด ถึงแม้โดนบีบให้ไปจวนสกุลหนิง แต่กลับได้แต่งงานกับหนิงจิ้งบุตรชายคนที่สามซึ่งเกิดจากอนุของขุนพลใหญ่หนิงหรูซานในวันนี้ จากสาวใช้กลายเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนสกุลหนิงไปแล้ว

ถึงแม้ชาติกำเนิดของมารดาหนิงจิ้งจะต้อยต่ำ ตำแหน่งในจวนสกุลหนิงต่ำมาก เทียบกับพี่ชายสองคนที่เกิดจากภรรยาเอกไม่ได้ แต่ตงเสวี่ยอยู่กับหนิงจิ้ง อย่างน้อยก็กินอิ่มสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนัก อีกทั้งทั้งสองยังมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น

วันนี้ ข่าวที่หลี่มู่บุกจวนสกุลโจวและถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เล่าลือออกไป ตงเสวี่ยและหนิงจิ้งผู้เป็นสามีในที่สุดก็ทำลายพันธนาการต่างๆ และมายังตรอกไล่หมูเพื่อพบหน้า

“ฮูหยิน คุณชาย หลายปีมานี้ที่ไม่กลับมาหาฮูหยิน ไม่ใช่ว่าตงเสวี่ยไม่รู้จักบุญคุณ แต่ข้าจำใจจริงๆ” ตงเสวี่ยน้ำตาไหลอาบหน้า อธิบายกับมารดาหลี่มู่ “เมื่อเข้าไปยังสกุลหนิง เสี่ยวเสวี่ยทำอะไรตามใจไม่ได้ ดีที่พี่จิ้งคอยดูแลถึงได้มีวันนี้ พ่อแม่สามีจับตาดูเข้มงวดมากนัก พ่อสามีเคยเตือนข้าไว้ หากข้ากล้าออกจากสกุลหนิงมาตรอกไล่หมู จะส่งคนมาทำลายตรอกไล่หมูให้ราบ…”

หนิงจิ้งที่คิ้วดกตาโตยืนอยู่ข้างๆ พูดเสียงใหญ่ทุ้มว่า “ฮูหยิน คุณชาย เป็นเช่นนี้จริงๆ หลายปีมานี้เสวี่ยเอ๋อร์ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ในจวนสกุลหนิงไม่น้อย หากนางไม่ฉลาดหลักแหลมคอยชี้แนะข้า เกรงว่าข้าที่เป็นลูกอนุคนนี้คง…เฮ้อ อันที่จริงเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงฮูหยิน ทุกเดือนนางจะคิดหาวิธีต่างๆ แอบช่วยฮูหยินทางนี้ขอรับ”

บุตรนอกสมรสสกุลหนิงคนนี้ ดูแล้วท่าทางซื่อๆ ทึ่มทื่อ คิ้วหนาตาโต เสียงที่พูดเต็มไปด้วยพลัง ความคิดต่างๆล้วนเขียนอยู่บนหน้า ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่นได้ง่าย

“อ้อ ข้านึกออกแล้ว สองปีก่อน ทุกเดือนจะมีคนมาจ้างพวกเราซักเสื้อ ซ่อมเสื้อ ให้ราคาสูงมาก…” ชุนเฉ่าเข้าใจในทันที

เซี่ยจวี๋ก็เอ่ยขึ้นอย่างกระจ่างแจ้ง “ใช่แล้วๆ บางทีที่มุมกำแพงหรือไม่ก็ในประตูจะมีเสบียงอาหารมากขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ข้าจับตาดูอยู่หลายครั้งแต่ก็หาไม่เจอว่าใครเป็นคนส่งมา ลึกลับเหลือเกิน หรือว่าจะเป็นพี่ตงเสวี่ย…”

มารดาหลี่มู่ดึงมือของตงเสวี่ย กล่าวว่า “ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ เจ้าฉลาดเฉลียวที่สุด ตอนนั้นอยู่กับข้าก็ลำบากที่สุด สกุลหลี่บีบบังคับก็เป็นเจ้าที่ก้าวออกมาคนแรก เสียสละเพื่อน้องๆ ทั้งสาม ตอนนั้นจวนสกุลหนิงทรงอิทธิพลน่าสะพรึงกลัว ใครๆ ต่างรู้ว่านั่นเป็นกองไฟ กระโดดเข้าไปอาจต้องมอดม้วย แต่เจ้าจิตใจดีงาม พวกเราล้วนห้ามเจ้าไม่ได้…” พูดแล้วนางก็น้ำตาไหลอาบ

เหล่าสตรีพากันกอดกันร้องไห้คร่ำครวญ

หลี่มู่มองเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

จะว่าไปแล้ว ตงเสวี่ยคนนี้ก็เป็นคนที่หน้าตาโดดเด่นที่สุด รูปร่างอ้อนแอ้นที่สุดในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ อีกทั้งฟังแล้วยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดด้วย คนทำดีย่อมได้ดี เสียสละตนไปสกุลหนิง แต่โอกาสกลับเหมาะเจาะถูกใจบุตรนอกสมรสของขุนพลจนกลายเป็นฮูหยินน้อย นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย แต่ว่า ฟังจากที่สามีภรรยาคู่นี้พูด เกรงว่าวันเวลาในจวนสกุลหนิงของพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่

บุตรของอนุในตระกูลใหญ่แทบจะเหมือนพ่อบ้านระดับสูง หากมารดาชาติกำเนิดต่ำต้อย ยกตัวอย่างเช่นเป็นสาวใช้ เกรงว่าเทียบกับพ่อบ้านระดับสูงยังไม่ได้ อีกทั้งท่าทางของหนิงจิ้งยังซื่อๆ ขี้ขลาด อยู่ในครอบครัวใหญ่แบบนั้นยิ่งเคลื่อนไหวลำบาก ท่าทางคงเป็นพวกที่โดนรังแกตั้งแต่เด็กจนโต แต่เขาโชคดีที่แต่งงานกับหญิงสาวจิตใจดีฉลาดหลักแหลมอย่างตงเสวี่ย นางคอยช่วยเขาวางแผนออกอุบาย ทำให้มีชีวิตรอดจากสกุลหนิงที่มีอันตรายซ่อนอยู่ราวเดินบนชั้นน้ำแข็งเปราะบางมาได้

นี่คงเรียกว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่กระมัง

ระหว่างการสนทนาของเหล่าสตรี ตงเสวี่ยรู้ข่าวการตายของชิวอี้ จึงเศร้าโศกเสียใจจนเกือบเป็นลม

หลี่มู่ดูอยู่ข้างๆ ก็ทอดถอนใจอยู่ข้างใน

จากบทสนทนาของพวกนาง เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้สกุลหนิงได้ยินข่าวที่ตนถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์และคฤหาสน์สกุลโจวแล้ว ทั่วทั้งเมืองลือกันว่าฮูหยินตกอับที่อยู่ในตรอกไล่หมู บุตรชายที่จากไปแปดปีของนางกลับมาเป็นยอดปรมาจารย์ ขุนพลหนิงหรูซานจึงเรียกคู่สามีภรรยาตงเสวี่ยและหนิงจิ้งมาด้วยตนเอง เตรียมของกำนัลบางอย่าง แล้วให้พวกเขานำกลับบ้านแม่[2]มายังตรอกไล่หมู

“ท่านพ่อแค่ให้พวกเรากลับมาเยี่ยมเยือน ไม่ได้สั่งอะไรมา น้องหญิงคิดถึงฮูหยินมานานมากแล้ว ข้าจึงพานางมาด้วย” หนิงจิ้งพูดเสียงต่ำทุ้ม

หลี่มู่หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร

หนิงหรูซานเป็นขุนพลใหญ่น่าเกรงขาม อยู่ในเมืองฉางอันได้โดยไม่สั่นคลอนมานานหลายปี จะต้องมีฝีมืออยู่บ้างแน่นอน ครั้งนี้ให้ตงเสวี่ยมา คาดว่าเพียงเพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตร นี่เป็นการดึงไปเป็นพวกอย่างหนึ่ง อีกทั้งดูจากร่องรอยก็ไม่เหมือนการรีบร้อนสร้างผลประโยชน์ด้วย

จากข้อมูลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนให้มา จวนขุนพลใหญ่และจวนเจ้าเมืองหลี่กังตลอดมาไม่ได้มีท่าทีใดต่อกันนัก

ขณะคนกลุ่มนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้น สีหน้าของหลี่มู่ก็เปลี่ยนไป

เขาสัมผัสได้ว่าตรอกไล่หมูมีแขกมาเยือน

ซ้ำยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย

คนหนึ่งในนั้นกลิ่นอายประหลาด ตัดสินยากว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แม้กระทั่งเขาอาศัยพลังจากค่ายกลก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงขั้นพลังที่แน่นอนได้

……

“ลูกพี่ นี่ก็คือที่ที่ท่านบอกว่าจะมาทำการใหญ่อย่างนั้นรึ?” ‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงยืนอยู่หน้าตรอกไล่หมู พูดหน้าดำคร่ำเครียด “ลูกพี่ท่านอย่าคิดไม่ตกสิ หลี่มู่เป็นยอดปรมาจารย์หนุ่ม หากท่านสู้กับเขาลำพังได้แพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่”

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถลึงตามองเขา กล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า? ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาสู้กับเขาเสียหน่อย”

‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงยิ่งตะลึงกว่าเดิม “หรือท่านเตรียมจะแต่งงานกับหลี่มู่จริงๆ? ลูกพี่ ท่านอย่าได้วู่วามเชียวนะ ปีนี้ท่านก็ยี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว ว่ากันว่าหลี่มู่เพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น ท่านสองคนอายุห่างกันมากเกินไป อีกอย่างนิสัยของท่านฉุนเฉียวถึงขนาดนี้ ต่อให้แต่งสำเร็จจริง ต่อไปในวันข้างหน้าเรื่องในครอบครัวของพวกท่านใครจะเป็นคนมีสิทธิ์ชี้ขาด? หากทะเลาะกันขึ้นมา ถ้าลงมือท่านก็สู้เขาไม่ได้ ถึงตอนนั้นโดนซัดเข้า ต่อให้พี่น้องโรงฝึกยุทธ์คิดช่วยท่านระบายอารมณ์ก็จนปัญญานะ…”

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลย” ใบหน้างดงามของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์ดำคล้ำ “ใครว่าข้าจะแต่งกับเขา”

“เอ๋? ลูกพี่ ท่านไม่ได้เตรียมจะแต่งกับเขาหรอกหรือ เช่นนั้นท่านจะมาทำการใหญ่อะไรที่นี่?” ‘เทพพยากรณ์’ หลี่ฉุนเฟิงถาม ในใจบ่นพึมพำว่าทั่วทั้งเมืองฉางอันมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกพี่เป็นผู้หญิงที่อยากแต่งงานเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าข้าย่อมคิดเช่นนี้

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะลากหลี่มู่เข้ามาอยู่ในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุของพวกเรา ฮี่ๆ ตอนนี้ชื่อเสียงของเสี่ยวหลี่จื่อดังปานนี้ นับเป็นการป่าวประกาศที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราก็จะครองเมืองฉางอัน รับลูกศิษย์เป็นพันๆ หมื่นๆ คน ศิษย์คนหนึ่งเก็บเงินสิบตำลึง พวกเราก็รวยกันแล้ว ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะไม่มีกิน วะฮ่าๆๆ…”

“เสี่ยวหลี่จื่อเป็นใคร?”

“หลี่มู่ไง”

“อ่า ลูกพี่ ท่านพูดแบบนี้หลี่มู่เขาตอบตกลงแล้วหรือ?”

“ไม่เป็นไร เขาตกลงแน่”

ทั้งสองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับเดินเข้าไปในตรอกไล่หมู

ถนนในตรอกแต่เดิมเป็นโคลนเฉอะแฉะนัก เต็มไปด้วยแอ่งน้ำเหม็นๆ แต่ภายหลังเจิ้งฉุนเจี้ยนตั้งใจประจบหลี่มู่ จึงสั่งให้คนปูพื้นหินไปบนทางโคลนในตรอกแห่งนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นตรอกไล่หมูแห่งนี้ดูไปแล้วจึงสะอาดเป็นระเบียบขึ้นมาก

“เจ้าพบอะไรหรือไม่?” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเดินไปได้ครึ่งทางก็พลันเอ่ย

เทพพยากรณ์พูดอย่างงงๆ “พบอะไร?”

“พลังวิญญาณที่นี่เหมือนจะมีมากกว่าข้างนอกเล็กน้อย”

“เอ๋? จริงด้วย ไม่สิ ไม่ใช่มากกว่าเล็กน้อย แต่เข้มข้นกว่ามาก อย่างน้อยก็สองสามเท่าขึ้นไป”

ใบหน้าของทั้งสองฉายแววจริงจังและเคร่งขรึม

พวกเขามองไปยังเรือนหลังนั้นที่อยู่สุดตรอก ไผ่เขียวชอุ่มล้อมรอบ ไอหมอกปกคลุม ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่ามีอยู่แต่ก็คล้ายไม่มี และห่างไกลไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้หมอกขาวที่ปกคลุม ยิ่งรู้สึกเหมือนแดนเซียนลอยล่อง ราวกับว่าเดินอยู่ในถนนพื้นหินสายนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่มีวันเดินจนถึงสุดทาง

อีกทั้งที่ประตูหลักของเรือนยังมีป้ายแผ่นใหญ่แขวนอยู่

อักษรที่อยู่บนป้ายมีสองคำ….

เรือนซอมซ่อ!

ชื่อของเขตเรือนแห่งนี้คือเรือนซอมซ่อ

แน่นอนว่าชื่อเป็นเอกลักษณ์มาก แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือทั่วทั้งเรือนไผ่เขียวชวนให้คนรู้สึกแปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนกับโลกความจริง ทว่าเหมือนความฝัน มองเห็นแต่ไม่อาจเข้าใกล้ได้

“นี่คือค่ายกล?”

ในใจของทั้งสองเข้าใจอะไรทันที

ก่อนที่หลี่มู่จะมาถึง ที่นี่ไม่มีค่ายกลอะไรใดๆ แน่ นี่เป็นเรื่องที่แน่ใจได้ เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือ หลี่มู่วางค่ายกลไว้ที่นี่…หรือว่ายอดปรมาจารย์สายยุทธ์คนนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนวิชาเวทด้วย?

ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และวิชาเวท?

ผู้ฝึกฝนทั้งวิชายุทธ์และพลังเวทอายุเพียงสิบห้าปี ทั้งยังไปถึงขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว…นี่ไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจใช่กระมัง?

คนทั้งสองมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็มีเสียงรถม้าดังขึ้นจากข้างหลัง และยังมีเสียงฝีเท้าห้อตะบึงราวคลื่นถาโถมมุ่งมายังตรอกไล่หมู

“ถอยไป ถอยไปเร็วเข้า” รถม้าที่อยู่ข้างหน้าสุด คนขับรถม้าสะบัดแส้ สีหน้าร้อนใจ พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า

“มารดามันสิ ข้า…” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุอ้าปากด่าทันที เก็บอารมณ์ฉุนเฉียวไว้ไม่อยู่

เทพพยากรณ์รีบลากนางเอาไว้อยู่ข้างๆ “ลูกพี่ นั่นคนของสกุลโจว ใจเย็นๆ พวกเราคอยดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก่อน”

ทั้งสองหลบอยู่ด้านหนึ่ง สกุลโจวส่งรถม้ามาทั้งหมดสี่คัน ห้อตะบึงมาถึงยังหน้าเรือน

“หัวหน้าตระกูลโจวโจวเต๋อเต้า ขอพบยอดปรมาจารย์หลี่มู่” ยอดฝีมือก้งเฟิ่งคนหนึ่งของสกุลโจวเอ่ยเสียงดังอยู่ที่หน้าประตูเรือน

แต่ทว่า ในเรือนไม่มีเสียงตอบรับใดๆ

ในรถม้ามีเสียงโหยหวนน่าสังเวชราวกับหมูถูกเชือดลอยออกมา ทำให้ตื่นตกใจกันทั้งตรอก

ประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลโจวเต๋อเต้าออกมาด้วยตัวเอง ร้องขอเข้าพบเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู “ท่านหลี่มู่ สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลล่วงเกินท่าน ได้โปรดเปิดประตูให้เข้าพบเถิด ข้ายินดีจ่ายค่าชดใช้ทุกอย่าง ขอท่านโปรดยั้งมือไว้ชีวิตลูกชายข้า ข้าได้ลูกชายมายามแก่ ตามใจเขามาตลอดจนเสียคน…ต่อจากนี้จะให้เขากลับเนื้อกลับตัวอย่างแน่นอน”

ท่าทางของโจวเต๋อเต้าจริงใจยิ่งนัก

ทว่า ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนอย่างไร จนแล้วจนรอดในเรือนก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ออกมา

กำแพงไผ่เขียวบางๆ ประหนึ่งธารสวรรค์ ไม่อาจข้ามไปได้

เพราะหลังกำแพงต้นไผ่คือเด็กหนุ่มขั้นยอดปรมาจารย์คนหนึ่ง

คนสกุลโจวอ้อนวอนอยู่หน้ากำแพงต้นไผ่ครึ่งชั่วยาม โจวเต๋อเต้าตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับใด สีหน้าจึงย่ำแย่ กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมา ทั้งยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนขอร้องอ้อนวอน เพราะโจวอวี่เหมือนเสียสติไปแล้ว ครวญครางราวหมูโดนเชือด ใกล้จะไม่ไหวแล้วเต็มที

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและเทพพยากรณ์นั่งยองๆ อยู่ข้างหลังคนสกุลโจว ไม่รู้ว่าไปหาซื้อเมล็ดแตงโมมาจากไหน แต่ละคนกำเมล็ดแตงโมไว้กำใหญ่ แทะไปดูเรื่องสนุกไป ตื่นเต้นสนอกสนใจ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ชาวบ้านในตรอกไล่หมูก็ปีนกำแพงขึ้นไปดูเรื่องสนุกเช่นกัน

ในตอนนี้เอง ทันใดนั้น ลำแสงสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าด้านตะวันออกพุ่งมายังเรือนหลังเล็ก

แสงกระบี่!

แสงกระบี่สายหนึ่ง

แสงกระบี่ที่น่ากลัวเกินบรรยาย

แสงแห่งกระบี่สวรรค์

หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและเทพพยากรณ์หน้าเปลี่ยนสีทันใด

คนของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์มาแล้ว

……………………………………………………

[1] หรูฉวิน เครื่องแต่งกายจีนโบราณชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายชุดฮันบก ข้างบนเป็นเสื้อรัดอกแบบสั้น นิยมใส่คู่กับเสื้อตัวในแขนยาว แล้วค่อยคาดกระโปรงสอบ

[2] กลับบ้านแม่ ตามธรรมเนียมของคนจีนคือ เมื่อหญิงสาวแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะต้องพาภรรยากลับบ้านพร้อมกับของขวัญกลับบ้านของฝ่ายหญิง ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเหลือแต่บิดาก็ยังคงเรียกว่ากลับบ้านแม่ ไม่เรียกว่ากลับบ้านพ่อ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+