จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 348 วิชาปาจิ่วเสวียน

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 348 วิชาปาจิ่วเสวียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่มู่ตัวสั่นเหมือนคนแก่อายุเจ็ดแปดสิบปี ประคองม้วนหนังสือเปิดอ่านรอบหนึ่ง ใจอดสะท้านขึ้นมาไม่ได้

เป็นวิชาฝึก ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ จริงๆ ด้วย

ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์ฝึกฝนกับตัวเอง แต่เมื่อกวาดไปคร่าวๆ แล้ว ด้วยความเข้าใจในวิถียุทธ์ของหลี่มู่ โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถตัดสินได้ว่าวิชาที่บันทึกอยู่ในนี้เป็นวิชาขี่เมฆ ว่องไวเป็นที่สุด เร็วจนตีลังกาหนึ่งครั้งไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้หรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้ แต่เร็วกว่าวิชาดาบเหินหาวที่หลี่มู่คิดค้นขึ้นเองแน่นอน…นี่เป็นวิชาที่เหนือกว่าระดับวิถียุทธ์ที่สูงที่สุดของดาวดวงนี้

เป็นวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัว

หลี่มู่อ่านจบ ในใจก็รู้สึกยิ่งตกใจ

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

หากบอกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเห็นป้ายศิลา ‘เขาหลิงไถฟางชุ่น ถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยว’ ภายหลังยังได้เห็นลายแสดงธรรมร้างและวิหาร ‘วิชาทำนายทายทัก’ ‘วิชานอกรีต’ พวกนี้ เขาก็เดาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหากที่นี่เป็นลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้กล่าวได้ว่าม้วนตำราวิชา ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ ยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาได้แล้ว

ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่ เกี่ยวกับโลกในไซอิ๋วจริงๆ

พระอาจารย์โพธิและซุนหงอคงมีตัวตนอยู่จริง?

ทุกสิ่งที่บรรยายอยู่ในไซอิ๋วเป็นจริงใช่หรือไม่?

หลี่มู่รู้สึกงงงันเล็กน้อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิชาลับ ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ เล่มนี้ เขาสามารถฝึกมันได้

ตีลังกาครั้งหนึ่งเดินทางได้ไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เชียวนะ

นี่เป็นความเร็วมากเพียงใดกัน

ถึงแม้จะบอกว่าในฐานะมนุษย์ ทุกครั้งก่อนขี่เมฆเดินทางต้องตีลังกาตลบหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ดูแล้วน่าขบขันเหลือทน แต่ขอแค่ไปได้เร็วก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? นี่เป็นวิธีหลบหนีอันดับหนึ่งชัดๆ หากตีลังกาส่งๆ ไม่กี่สิบร้อยพันครั้ง ไม่ใช่ว่าจะข้ามห้วงจักรวาลได้เลยหรือ?

เขาเก็บวิชาลับเอาไว้ จากนั้นก็เปิดอ่านม้วนบันทึกไม้ไผ่และม้วนหนังสืออีกบางส่วน

“วิชาลมหายใจขุนเขามหาสมุทร? ท่าทางจะเป็นวิชากำหนดลมหายใจ…”

“ทฤษฎีกระบี่? อ้อ วิชากระบี่ตำรากระบี่รึ”

“ตำราหอก? ชื่อนี้ฟังแล้วมักง่ายเกินไปหน่อย เคล็ดวิชาหอกสินะ”

“ไขปัญหาสวรรค์? นี่…อ้อ ทำไมดูเหมือนจะเป็นวิชาโหราศาสตร์”

“กระบองมารคลั่ง…วิชาต่อสู้”

หลี่มู่เปิดอ่านม้วนบันทึกไผ่และม้วนตำราหนังสือ เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนและวิชาต่อสู้อย่างที่คิดจริงๆ

โดยเฉพาะวิชาต่อสู้ที่มีมากที่สุด

ครั้นเห็นเคล็ดวิชาพวกนี้ หลี่มู่พลันนึกถึงคำถามอีกข้อหนึ่งขึ้นได้

ซุนหงอคงสามารถท่องไปในใต้หล้าได้ สิ่งที่คนส่วนมากได้เห็นคือวิชาขี่เมฆและการแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง แต่ล้วนหลงลืมไปสิ่งหนึ่ง ต่อให้ไม่ต้องใช้วิชาแปลงกายและกลวิชาอภินิหารพวกนี้ ไม่ว่าหงอคงจะสู้ตัวต่อตัวหรือสู้หมู่ ในด้านการต่อสู้ซึ่งหน้าก็แทบจะใกล้เคียงกับไร้เทียมทาน กองทัพสวรรค์หนึ่งแสนนายไม่มีใครต้านทานได้ เทพจวี้หลิงเสิน (เทพขวานยักษ์) หรือนาจาก็ไม่กล้าสู้กันซึ่งหน้า มีเพียงเทพเอ้อร์หลาง (เทพสามตา) ถึงจะต่อกรกับเขาได้

นี่เป็นการบอกว่า ซุนหงอคงนอกจากจะมีกลวิชาอภินิหารแล้ว วิชาต่อสู้ยังอยู่ในระดับสูงสุดอีกด้วย

‘ความสามารถของหงอคง นอกจากพลังเทพที่มีมาแต่กำเนิดแล้ว เคล็ดวิชาต่อสู้อื่นๆ ล้วนมาจากพระอาจารย์โพธิ หรือก็คือกำลังต่อสู้วรยุทธ์ของพระอาจารย์โพธิน่ากลัวเป็นอย่างมาก เคล็ดวิชาต่อสู้เบื้องหน้าพวกนี้น่าจะเป็นวิชาที่พระอาจารย์โพธิทิ้งเอาไว้ ไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน’ ความคิดในใจหลี่มู่ชัดเจนมาก

เขาถือตำราวิชาลับพวกนี้ขึ้นมา

ถึงแม้ในสิบแปดศาสตราวุธเขาชอบเพียงดาบอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ฝึกฝนหรือศึกษาอาวุธอื่นๆ ด้วย

ศาสตราวิทยายุทธ์ต่างๆ ล้วนต้องศึกษาบรรลุ ถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ วิชาดาบจะได้โดดเด่นไร้เทียบเทียม

หงอคงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันมิใช่หรือ?

เขากวาดค้นอาวุธมากมายขนาดนั้นไปจากคลังอาวุธในโลกมนุษย์ ทั้งหมดล้วนใช้ได้ชำนาญ เพียงแต่อาวุธเหล่านั้นเบาเกินไปจึงไม่ชอบ ภายหลังเมื่อมาวังมังกร ไม่ว่าดาบ ขวาน ทวนวงเดือนก็เอามาใช้ได้อย่างสบายๆ ทั้งสิ้น แต่ก็เพราะเบาเกินไปอีก ภายหลังจึงใช้เสาเทวะค้ำสมุทรเป็นกระบอง ถึงจะนับว่าได้อาวุธที่เหมาะมือแล้ว ลองถามดู หากหงอคงไม่เป็นวิชากระบอง นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาครอบครองเสาเทวะค้ำสมุทรเสียของเปล่าหรอกหรือ?

อีกอย่าง ต่อให้ไม่ได้ใช้ก็ต้องเก็บเอาไว้สิ

โจรย่อมไม่กลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว

หลี่มู่ยัดม้วนตำราและม้วนบันทึกไม้ไผ่ที่อยู่บนชั้นหนังสือราวสิบกว่าม้วนเข้าไปในแหวนเก็บของ

จากนั้นเขาก็มากลางโถงใหญ่ คุกเข่าลงบนเบาะนั่งผ้า ทำความเคารพชั้นหนังสืออย่างนอบน้อม

เอาของของคนอื่นมาก็ต้องขอบคุณ

คุกเข่าคำนับ ยามหน้าผากแตะกับพื้น ก็พลันมีวงแสงชั้นหนึ่งแผ่ขยายอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งโถงใหญ่ ราวกับก้อนหินทุ่มลงผิวน้ำราบเรียบ จากนั้นจึงแผ่ไปยังประตูห้องหินอื่นๆ รอบๆ ว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหายไปในเสี้ยวพริบตา ประหนึ่งความฝันภาพมายา หลี่มู่เกือบจะตั้งตัวกลับมาไม่ทัน

เขารู้สึกเหมือนตัวเองตาพร่ามัว

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ระหว่างที่กำลังอึ้งตะลึง เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและอ่อนโยนก็ดังขึ้นมาในห้องหิน…

“คำนับขอบคุณก็เข้าสำนักของข้า เข้าสำนักของข้า จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์อยู่ที่ตัวเจ้า”

เสียงนี้เหมือนดังอยู่ข้างหูเขา แต่ก็เหมือนดังมาจากสรวงสวรรค์ แปลกประหลาดยิ่งนัก

หลี่มู่ค่อนข้างงุนงง

หา?

โขกหัวคำนับก็ฝากตัวเป็นศิษย์เข้าสำนักแล้ว?

เดี๋ยวก่อนพี่ชาย ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นพระอาจารย์โพธิหรือเปล่า

หลี่มู่รู้สึกว่าเรื่องนี้…ค่อนข้างแปลกพิลึกนอกรีตนอกรอย

เขากระโดดขึ้นมา มองประเมินไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาใครสักคน และสัมผัสถึงคลื่นของพลังวิญญาณหรือค่ายกลใดๆ ไม่ได้แม้แต่น้อย…มารดามันสิ ในห้องหินแห่งนี้คงไม่ได้มีเครื่องเล่นเสียงซ่อนอยู่หรอกนะ

นี่นับว่าเป็นโชคโอกาสหรือไม่?

หากที่นี่เป็นลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิจริงๆ แล้วละก็ ไม่ใช่ว่า…

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของหลี่มู่

นั่นไม่ได้หมายความว่าซุนหงอคงผู้ยิ่งใหญ่เป็นศิษย์พี่ของตนหรอกหรือ?

เรื่องนี้มันจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

แต่ก็เหมือนว่า…จะไม่เลวเหมือนกัน?

เขาสะกดความประหลาดใจไว้ ไม่ไปคิดมากอีก ปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เขาหันฝีเท้าเดินไปยังห้องหินห้องหนึ่งเยื้องไปทางด้านขวาทันที

แต่เดิมยังระแวงว่าห้องหินแห่งนี้จะมีค่ายกลพันธนาการอะไรพวกนี้หรือไม่ แต่หลังจากเข้ามาใกล้ๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเดินเข้าไปอย่างสบายๆ ยิ่ง

หลี่มู่เดินเข้าไปก็เห็นว่าห้องหินนี้น่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าของที่พำนักในอดีต มีเตียงหินที่ส่องแสงอ่อนๆ เก้าอี้หินและโต๊ะน้ำชา บนโต๊ะชามีจอกหิน ชามหิน กาน้ำชาหิน อีกข้างหนึ่งของเตียงหินมีโต๊ะหมากล้อมสี่เหลี่ยม ทั้งสองฝั่งมีหมุดศิลาประดับ…ล้วนแต่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่เรียบหรู รูปทรงเรียบง่ายไม่หวือหวา เหมือนใช้ก้อนหินแกะออกมาคล้ายแกะสลักแครอท

นอกจากของพวกนี้แล้ว ข้างเตียงหินยังมีโคมหิน เพียงแต่ข้างในไม่มีไส้ตะเกียง น้ำมันตะเกียงก็แห้งไปหมดแล้ว

รูปร่างของโคมดวงนี้ค่อนข้างงดงามหรูหรา รูปทรงแบน ข้างบนมีมังกรคาบแก้ว มีหางมังกรเป็นฐาน หัวมังกรมีไส้ตะเกียงยื่นออกมา ราวประติมากรรมอันวิจิตรเลิศล้ำ

นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก

หลี่มู่ค่อนข้างผิดหวัง

แต่ว่า หลังจากที่เขาสำรวจเคาะๆ ตบๆ รอบหนึ่ง ก็พบว่าเตียงหินที่ส่องแสงสีขาวเรืองไม่ธรรมดาเลย

‘ในมังกรหยกตอนจอมยุทธ์เจ้าอินทรี เตียงหยกเย็นช่วยให้คนฝึกวรยุทธ์ได้ เตียงหินที่เปล่งแสงเตียงนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถแบบเดียวกัน รวบรวมสมาธิให้สงบจิต ช่วยเรื่องการเข้าฌาน ขจัดกิเลสในใจ?’ หลี่มู่ลูบคางพลางขบคิด

ส่วนโคมหินดูแล้วก็ไม่ใช่ของธรรมดาเหมือนกัน หากมีไส้ตะเกียงและน้ำมันแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจจเป็น…โคมดอกบัววิเศษ?

ราชาปีศาจหลี่มู่ขบคิดแล้ว ยังถือคติโจรไม่กลับบ้านมือเปล่าเช่นเคย สุดท้ายจึงยัดเตียงหิน โคมหิน และโต๊ะหมากล้อม เก้าอี้หิน และโต๊ะน้ำชาพวกนั้นลงไปในแหวนเก็บของ ห้องหินที่ตบแต่งไว้อย่างดีถูกยกเค้าจนเกลี้ยง

จากนั้นเขาถึงเดินออกไปอย่างเบิกบาน ไปยังห้องหินอีกห้องหนึ่งที่สุดทางโถงหิน

ห้องหินนี้ว่างโล่ง ไม่มีอะไรเลย มีแค่กลิ่นกำยานอ่อนๆ ที่ยังอบอวลไม่จางหายไป น่าจะเป็นเจ้าของคนเก่าจุดกำยานบูชาหรือไม่ก็เป็นสถานที่สำหรับนั่งสมาธิ

หลี่มู่เดินออกมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังห้องหินสุดท้ายที่เหลืออยู่

ทั้งโถงหินมีสามห้องหนึ่งโถง

ห้องหินสุดท้ายมีพื้นที่มากที่สุด ข้างในมีหยกแกะสลักเป็นรูปร่างชายชราท่าทางอย่างนักพรต ใบหน้ามีเมตตา เสื้อแขนยาวตัวกว้าง รูปร่างผอมเพรียว ยืนเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังมองดูจักรวาลเวิ้งว้าง ใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ยินดี ดูมีชีวิตสมจริง ราวกับว่าเสี้ยวขณะต่อไปจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

หลี่มู่มองไปก็ตกใจ

หรือนี่จะเป็นรูปปั้นของพระอาจารย์โพธิ?

เมื่อคิดถึงว่าก่อนหน้านี้หยิบของของเขามามากมายขนาดนั้น แม้แต่เตียงนอนยังขนเอาไปด้วย ก็รู้สึกผิดทันที  

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรเสียคุกเข่าไปแล้วครั้งหนึ่ง อย่างดีก็แค่คุกเข่าอีกสักครั้ง

ดังนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงอย่างเคารพนอบน้อม โขกศีรษะคำนับต่อหน้ารูปสลักหินสามครั้ง ใจก็คิดว่า ‘หยิบของล้ำค่าและตำราวิชาลับของท่านไป ขออย่าได้กล่าวโทษกันเลย วันหนึ่งหากศิษย์ร่ำรวย ออกไปจากห้วงดาราสมุทร ช่วยชะตาของโลกได้แล้ว จะกลับมาซ่อมแซมอารามของท่านแล้วก็เปิดสำนักให้อีกครั้งแน่…’

คิดจบเขาก็ยืนขึ้น คิดอยากจะตรวจค้นอีกสักรอบว่าในห้องหินนี้ยังมีของล้ำค่าอื่นอีกหรือไม่

ใครจะรู้ว่าพอเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องตกใจจนร้องออกมาอย่างกับหมู

“เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เขาพบว่ารูปสลักหยกขาวที่เมื่อครู่ยังยืนเอามือไพล่หลัง ตอนนี้เปลี่ยนท่าทางไปแล้ว มือทั้งสองอยู่ระดับหน้าท้อง ฝ่ามือซ้ายขวามีม้วนบันทึกหยกเปล่งประกายแสงอ่อนๆ

บนม้วนบันทึกหยกด้านขวามีอักษรจ้วนโบราณเขียนเอาไว้ว่าวิชาปาจิ่วเสวียน (เจ็ดสิบสองอภินิหาร)

ส่วนที่ม้วนบันทึกหยกด้านซ้ายมีอักษรจ้วนโบราณเขียนเอาไว้ว่าคัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ

หลี่มู่ตาลุกวาวทันที

เคล็ดวิชา? ตำราลับ?

แค่โขกหัวคำนับก็ได้มาแล้ว?

เขารู้จักวิชาปาจิ่วเสวียน

นี่เป็นสุดยอดวิชาที่เทพเอ้อร์หลางแม่ทัพสวรรค์อันดับหนึ่งใช้จับผู้ยิ่งใหญ่ซุนหงอคง หากฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์จะฟันแทงไม่เข้า กายเนื้อเป็นเทพ ถอดวิญญาณจากร่างได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องห้องสินหรือในไซอิ๋วหนึ่งในสี่วรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ ก็พูดได้ว่าวิชาปาจิ่วเสวียนเป็นวิชาฝึกกายระดับสูงสุด และเป็นวิชาเทพพิทักษ์สำนักของลัทธิเต๋าด้วย

ผู้คนคิดว่าวิชาวิชาปาจิ่วเสวียนคือการแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะสูตรคูณที่ท่องกันติดปากแปดเก้าเป็นเจ็ดสิบสองนั่นอย่างไรเล่า

เพื่อการนี้ ตอนที่หลี่มู่อยู่บนโลกแล้วว่างจนไม่มีอะไรทำก็ยังเคยศึกษาเป็นพิเศษอยู่ช่วงหนึ่งด้วย

ในความคิดหลี่มู่ นอกจากฝึกฝนกายแล้ว วิชาปาจิ่วเสวียนยังสามารถแปลงกายได้ และยิ่งมีวิชาภาพมายาด้วย เมื่อรวมกับวีรกรรมของเทพเอ้อร์หลางในไซอิ๋วและห้องสิน พลังของวิชาปาจิ่วเสวียนน่าจะอยู่เหนือดาราพิฆาตแปลงกายเจ็ดสิบสองร่างเสียอีก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 348 วิชาปาจิ่วเสวียน

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 348 วิชาปาจิ่วเสวียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่มู่ตัวสั่นเหมือนคนแก่อายุเจ็ดแปดสิบปี ประคองม้วนหนังสือเปิดอ่านรอบหนึ่ง ใจอดสะท้านขึ้นมาไม่ได้

เป็นวิชาฝึก ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ จริงๆ ด้วย

ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์ฝึกฝนกับตัวเอง แต่เมื่อกวาดไปคร่าวๆ แล้ว ด้วยความเข้าใจในวิถียุทธ์ของหลี่มู่ โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถตัดสินได้ว่าวิชาที่บันทึกอยู่ในนี้เป็นวิชาขี่เมฆ ว่องไวเป็นที่สุด เร็วจนตีลังกาหนึ่งครั้งไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้หรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้ แต่เร็วกว่าวิชาดาบเหินหาวที่หลี่มู่คิดค้นขึ้นเองแน่นอน…นี่เป็นวิชาที่เหนือกว่าระดับวิถียุทธ์ที่สูงที่สุดของดาวดวงนี้

เป็นวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัว

หลี่มู่อ่านจบ ในใจก็รู้สึกยิ่งตกใจ

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

หากบอกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเห็นป้ายศิลา ‘เขาหลิงไถฟางชุ่น ถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยว’ ภายหลังยังได้เห็นลายแสดงธรรมร้างและวิหาร ‘วิชาทำนายทายทัก’ ‘วิชานอกรีต’ พวกนี้ เขาก็เดาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหากที่นี่เป็นลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้กล่าวได้ว่าม้วนตำราวิชา ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ ยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาได้แล้ว

ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่ เกี่ยวกับโลกในไซอิ๋วจริงๆ

พระอาจารย์โพธิและซุนหงอคงมีตัวตนอยู่จริง?

ทุกสิ่งที่บรรยายอยู่ในไซอิ๋วเป็นจริงใช่หรือไม่?

หลี่มู่รู้สึกงงงันเล็กน้อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิชาลับ ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ เล่มนี้ เขาสามารถฝึกมันได้

ตีลังกาครั้งหนึ่งเดินทางได้ไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เชียวนะ

นี่เป็นความเร็วมากเพียงใดกัน

ถึงแม้จะบอกว่าในฐานะมนุษย์ ทุกครั้งก่อนขี่เมฆเดินทางต้องตีลังกาตลบหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ดูแล้วน่าขบขันเหลือทน แต่ขอแค่ไปได้เร็วก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? นี่เป็นวิธีหลบหนีอันดับหนึ่งชัดๆ หากตีลังกาส่งๆ ไม่กี่สิบร้อยพันครั้ง ไม่ใช่ว่าจะข้ามห้วงจักรวาลได้เลยหรือ?

เขาเก็บวิชาลับเอาไว้ จากนั้นก็เปิดอ่านม้วนบันทึกไม้ไผ่และม้วนหนังสืออีกบางส่วน

“วิชาลมหายใจขุนเขามหาสมุทร? ท่าทางจะเป็นวิชากำหนดลมหายใจ…”

“ทฤษฎีกระบี่? อ้อ วิชากระบี่ตำรากระบี่รึ”

“ตำราหอก? ชื่อนี้ฟังแล้วมักง่ายเกินไปหน่อย เคล็ดวิชาหอกสินะ”

“ไขปัญหาสวรรค์? นี่…อ้อ ทำไมดูเหมือนจะเป็นวิชาโหราศาสตร์”

“กระบองมารคลั่ง…วิชาต่อสู้”

หลี่มู่เปิดอ่านม้วนบันทึกไผ่และม้วนตำราหนังสือ เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนและวิชาต่อสู้อย่างที่คิดจริงๆ

โดยเฉพาะวิชาต่อสู้ที่มีมากที่สุด

ครั้นเห็นเคล็ดวิชาพวกนี้ หลี่มู่พลันนึกถึงคำถามอีกข้อหนึ่งขึ้นได้

ซุนหงอคงสามารถท่องไปในใต้หล้าได้ สิ่งที่คนส่วนมากได้เห็นคือวิชาขี่เมฆและการแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง แต่ล้วนหลงลืมไปสิ่งหนึ่ง ต่อให้ไม่ต้องใช้วิชาแปลงกายและกลวิชาอภินิหารพวกนี้ ไม่ว่าหงอคงจะสู้ตัวต่อตัวหรือสู้หมู่ ในด้านการต่อสู้ซึ่งหน้าก็แทบจะใกล้เคียงกับไร้เทียมทาน กองทัพสวรรค์หนึ่งแสนนายไม่มีใครต้านทานได้ เทพจวี้หลิงเสิน (เทพขวานยักษ์) หรือนาจาก็ไม่กล้าสู้กันซึ่งหน้า มีเพียงเทพเอ้อร์หลาง (เทพสามตา) ถึงจะต่อกรกับเขาได้

นี่เป็นการบอกว่า ซุนหงอคงนอกจากจะมีกลวิชาอภินิหารแล้ว วิชาต่อสู้ยังอยู่ในระดับสูงสุดอีกด้วย

‘ความสามารถของหงอคง นอกจากพลังเทพที่มีมาแต่กำเนิดแล้ว เคล็ดวิชาต่อสู้อื่นๆ ล้วนมาจากพระอาจารย์โพธิ หรือก็คือกำลังต่อสู้วรยุทธ์ของพระอาจารย์โพธิน่ากลัวเป็นอย่างมาก เคล็ดวิชาต่อสู้เบื้องหน้าพวกนี้น่าจะเป็นวิชาที่พระอาจารย์โพธิทิ้งเอาไว้ ไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน’ ความคิดในใจหลี่มู่ชัดเจนมาก

เขาถือตำราวิชาลับพวกนี้ขึ้นมา

ถึงแม้ในสิบแปดศาสตราวุธเขาชอบเพียงดาบอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ฝึกฝนหรือศึกษาอาวุธอื่นๆ ด้วย

ศาสตราวิทยายุทธ์ต่างๆ ล้วนต้องศึกษาบรรลุ ถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ วิชาดาบจะได้โดดเด่นไร้เทียบเทียม

หงอคงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันมิใช่หรือ?

เขากวาดค้นอาวุธมากมายขนาดนั้นไปจากคลังอาวุธในโลกมนุษย์ ทั้งหมดล้วนใช้ได้ชำนาญ เพียงแต่อาวุธเหล่านั้นเบาเกินไปจึงไม่ชอบ ภายหลังเมื่อมาวังมังกร ไม่ว่าดาบ ขวาน ทวนวงเดือนก็เอามาใช้ได้อย่างสบายๆ ทั้งสิ้น แต่ก็เพราะเบาเกินไปอีก ภายหลังจึงใช้เสาเทวะค้ำสมุทรเป็นกระบอง ถึงจะนับว่าได้อาวุธที่เหมาะมือแล้ว ลองถามดู หากหงอคงไม่เป็นวิชากระบอง นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาครอบครองเสาเทวะค้ำสมุทรเสียของเปล่าหรอกหรือ?

อีกอย่าง ต่อให้ไม่ได้ใช้ก็ต้องเก็บเอาไว้สิ

โจรย่อมไม่กลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว

หลี่มู่ยัดม้วนตำราและม้วนบันทึกไม้ไผ่ที่อยู่บนชั้นหนังสือราวสิบกว่าม้วนเข้าไปในแหวนเก็บของ

จากนั้นเขาก็มากลางโถงใหญ่ คุกเข่าลงบนเบาะนั่งผ้า ทำความเคารพชั้นหนังสืออย่างนอบน้อม

เอาของของคนอื่นมาก็ต้องขอบคุณ

คุกเข่าคำนับ ยามหน้าผากแตะกับพื้น ก็พลันมีวงแสงชั้นหนึ่งแผ่ขยายอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งโถงใหญ่ ราวกับก้อนหินทุ่มลงผิวน้ำราบเรียบ จากนั้นจึงแผ่ไปยังประตูห้องหินอื่นๆ รอบๆ ว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหายไปในเสี้ยวพริบตา ประหนึ่งความฝันภาพมายา หลี่มู่เกือบจะตั้งตัวกลับมาไม่ทัน

เขารู้สึกเหมือนตัวเองตาพร่ามัว

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ระหว่างที่กำลังอึ้งตะลึง เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและอ่อนโยนก็ดังขึ้นมาในห้องหิน…

“คำนับขอบคุณก็เข้าสำนักของข้า เข้าสำนักของข้า จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์อยู่ที่ตัวเจ้า”

เสียงนี้เหมือนดังอยู่ข้างหูเขา แต่ก็เหมือนดังมาจากสรวงสวรรค์ แปลกประหลาดยิ่งนัก

หลี่มู่ค่อนข้างงุนงง

หา?

โขกหัวคำนับก็ฝากตัวเป็นศิษย์เข้าสำนักแล้ว?

เดี๋ยวก่อนพี่ชาย ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นพระอาจารย์โพธิหรือเปล่า

หลี่มู่รู้สึกว่าเรื่องนี้…ค่อนข้างแปลกพิลึกนอกรีตนอกรอย

เขากระโดดขึ้นมา มองประเมินไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาใครสักคน และสัมผัสถึงคลื่นของพลังวิญญาณหรือค่ายกลใดๆ ไม่ได้แม้แต่น้อย…มารดามันสิ ในห้องหินแห่งนี้คงไม่ได้มีเครื่องเล่นเสียงซ่อนอยู่หรอกนะ

นี่นับว่าเป็นโชคโอกาสหรือไม่?

หากที่นี่เป็นลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิจริงๆ แล้วละก็ ไม่ใช่ว่า…

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของหลี่มู่

นั่นไม่ได้หมายความว่าซุนหงอคงผู้ยิ่งใหญ่เป็นศิษย์พี่ของตนหรอกหรือ?

เรื่องนี้มันจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

แต่ก็เหมือนว่า…จะไม่เลวเหมือนกัน?

เขาสะกดความประหลาดใจไว้ ไม่ไปคิดมากอีก ปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เขาหันฝีเท้าเดินไปยังห้องหินห้องหนึ่งเยื้องไปทางด้านขวาทันที

แต่เดิมยังระแวงว่าห้องหินแห่งนี้จะมีค่ายกลพันธนาการอะไรพวกนี้หรือไม่ แต่หลังจากเข้ามาใกล้ๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเดินเข้าไปอย่างสบายๆ ยิ่ง

หลี่มู่เดินเข้าไปก็เห็นว่าห้องหินนี้น่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าของที่พำนักในอดีต มีเตียงหินที่ส่องแสงอ่อนๆ เก้าอี้หินและโต๊ะน้ำชา บนโต๊ะชามีจอกหิน ชามหิน กาน้ำชาหิน อีกข้างหนึ่งของเตียงหินมีโต๊ะหมากล้อมสี่เหลี่ยม ทั้งสองฝั่งมีหมุดศิลาประดับ…ล้วนแต่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่เรียบหรู รูปทรงเรียบง่ายไม่หวือหวา เหมือนใช้ก้อนหินแกะออกมาคล้ายแกะสลักแครอท

นอกจากของพวกนี้แล้ว ข้างเตียงหินยังมีโคมหิน เพียงแต่ข้างในไม่มีไส้ตะเกียง น้ำมันตะเกียงก็แห้งไปหมดแล้ว

รูปร่างของโคมดวงนี้ค่อนข้างงดงามหรูหรา รูปทรงแบน ข้างบนมีมังกรคาบแก้ว มีหางมังกรเป็นฐาน หัวมังกรมีไส้ตะเกียงยื่นออกมา ราวประติมากรรมอันวิจิตรเลิศล้ำ

นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก

หลี่มู่ค่อนข้างผิดหวัง

แต่ว่า หลังจากที่เขาสำรวจเคาะๆ ตบๆ รอบหนึ่ง ก็พบว่าเตียงหินที่ส่องแสงสีขาวเรืองไม่ธรรมดาเลย

‘ในมังกรหยกตอนจอมยุทธ์เจ้าอินทรี เตียงหยกเย็นช่วยให้คนฝึกวรยุทธ์ได้ เตียงหินที่เปล่งแสงเตียงนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถแบบเดียวกัน รวบรวมสมาธิให้สงบจิต ช่วยเรื่องการเข้าฌาน ขจัดกิเลสในใจ?’ หลี่มู่ลูบคางพลางขบคิด

ส่วนโคมหินดูแล้วก็ไม่ใช่ของธรรมดาเหมือนกัน หากมีไส้ตะเกียงและน้ำมันแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจจเป็น…โคมดอกบัววิเศษ?

ราชาปีศาจหลี่มู่ขบคิดแล้ว ยังถือคติโจรไม่กลับบ้านมือเปล่าเช่นเคย สุดท้ายจึงยัดเตียงหิน โคมหิน และโต๊ะหมากล้อม เก้าอี้หิน และโต๊ะน้ำชาพวกนั้นลงไปในแหวนเก็บของ ห้องหินที่ตบแต่งไว้อย่างดีถูกยกเค้าจนเกลี้ยง

จากนั้นเขาถึงเดินออกไปอย่างเบิกบาน ไปยังห้องหินอีกห้องหนึ่งที่สุดทางโถงหิน

ห้องหินนี้ว่างโล่ง ไม่มีอะไรเลย มีแค่กลิ่นกำยานอ่อนๆ ที่ยังอบอวลไม่จางหายไป น่าจะเป็นเจ้าของคนเก่าจุดกำยานบูชาหรือไม่ก็เป็นสถานที่สำหรับนั่งสมาธิ

หลี่มู่เดินออกมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังห้องหินสุดท้ายที่เหลืออยู่

ทั้งโถงหินมีสามห้องหนึ่งโถง

ห้องหินสุดท้ายมีพื้นที่มากที่สุด ข้างในมีหยกแกะสลักเป็นรูปร่างชายชราท่าทางอย่างนักพรต ใบหน้ามีเมตตา เสื้อแขนยาวตัวกว้าง รูปร่างผอมเพรียว ยืนเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังมองดูจักรวาลเวิ้งว้าง ใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ยินดี ดูมีชีวิตสมจริง ราวกับว่าเสี้ยวขณะต่อไปจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

หลี่มู่มองไปก็ตกใจ

หรือนี่จะเป็นรูปปั้นของพระอาจารย์โพธิ?

เมื่อคิดถึงว่าก่อนหน้านี้หยิบของของเขามามากมายขนาดนั้น แม้แต่เตียงนอนยังขนเอาไปด้วย ก็รู้สึกผิดทันที  

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรเสียคุกเข่าไปแล้วครั้งหนึ่ง อย่างดีก็แค่คุกเข่าอีกสักครั้ง

ดังนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงอย่างเคารพนอบน้อม โขกศีรษะคำนับต่อหน้ารูปสลักหินสามครั้ง ใจก็คิดว่า ‘หยิบของล้ำค่าและตำราวิชาลับของท่านไป ขออย่าได้กล่าวโทษกันเลย วันหนึ่งหากศิษย์ร่ำรวย ออกไปจากห้วงดาราสมุทร ช่วยชะตาของโลกได้แล้ว จะกลับมาซ่อมแซมอารามของท่านแล้วก็เปิดสำนักให้อีกครั้งแน่…’

คิดจบเขาก็ยืนขึ้น คิดอยากจะตรวจค้นอีกสักรอบว่าในห้องหินนี้ยังมีของล้ำค่าอื่นอีกหรือไม่

ใครจะรู้ว่าพอเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องตกใจจนร้องออกมาอย่างกับหมู

“เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เขาพบว่ารูปสลักหยกขาวที่เมื่อครู่ยังยืนเอามือไพล่หลัง ตอนนี้เปลี่ยนท่าทางไปแล้ว มือทั้งสองอยู่ระดับหน้าท้อง ฝ่ามือซ้ายขวามีม้วนบันทึกหยกเปล่งประกายแสงอ่อนๆ

บนม้วนบันทึกหยกด้านขวามีอักษรจ้วนโบราณเขียนเอาไว้ว่าวิชาปาจิ่วเสวียน (เจ็ดสิบสองอภินิหาร)

ส่วนที่ม้วนบันทึกหยกด้านซ้ายมีอักษรจ้วนโบราณเขียนเอาไว้ว่าคัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ

หลี่มู่ตาลุกวาวทันที

เคล็ดวิชา? ตำราลับ?

แค่โขกหัวคำนับก็ได้มาแล้ว?

เขารู้จักวิชาปาจิ่วเสวียน

นี่เป็นสุดยอดวิชาที่เทพเอ้อร์หลางแม่ทัพสวรรค์อันดับหนึ่งใช้จับผู้ยิ่งใหญ่ซุนหงอคง หากฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์จะฟันแทงไม่เข้า กายเนื้อเป็นเทพ ถอดวิญญาณจากร่างได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องห้องสินหรือในไซอิ๋วหนึ่งในสี่วรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ ก็พูดได้ว่าวิชาปาจิ่วเสวียนเป็นวิชาฝึกกายระดับสูงสุด และเป็นวิชาเทพพิทักษ์สำนักของลัทธิเต๋าด้วย

ผู้คนคิดว่าวิชาวิชาปาจิ่วเสวียนคือการแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะสูตรคูณที่ท่องกันติดปากแปดเก้าเป็นเจ็ดสิบสองนั่นอย่างไรเล่า

เพื่อการนี้ ตอนที่หลี่มู่อยู่บนโลกแล้วว่างจนไม่มีอะไรทำก็ยังเคยศึกษาเป็นพิเศษอยู่ช่วงหนึ่งด้วย

ในความคิดหลี่มู่ นอกจากฝึกฝนกายแล้ว วิชาปาจิ่วเสวียนยังสามารถแปลงกายได้ และยิ่งมีวิชาภาพมายาด้วย เมื่อรวมกับวีรกรรมของเทพเอ้อร์หลางในไซอิ๋วและห้องสิน พลังของวิชาปาจิ่วเสวียนน่าจะอยู่เหนือดาราพิฆาตแปลงกายเจ็ดสิบสองร่างเสียอีก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+