จอมศาสตราพลิกดารา 245 ผู้มาคิดไม่ดี?

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 245 ผู้มาคิดไม่ดี? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สวีก้งเฟิ่งผู้นี้คือผู้อาวุโสของสำนักขุนคีรี ซึ่งเป็นสำนักระดับหนึ่ง ในอดีตเป็นบุคคลระดับเทพสังหาร สยบศัตรูได้ทั้งหมด ภายหลังอายุค่อยๆ มากขึ้นถึงได้ฝึกฝนบำเพ็ญ กลับมายังสำนักขุนคีรีก็ตั้งใจบากบั่นฝึกฝน พลังฝึกก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จึงได้เป็นตัวแทนของสำนักขุนคีรี เข้าเป็นกลุ่มก้งเฟิ่งของสำนักตรวจการ

สำนักตรวจการส่งสวีเซิ่งมาถึงเมืองฉางอัน ก็หมายความว่าไม่พอใจลู่หลีจื่อเป็นอย่างมาก

นับจากวันนี้ เรื่องทุกอย่างในเมืองฉางอันล้วนให้สวีเซิ่งเป็นผู้รับผิดชอบ

“เจ้าก็ไร้ความสามารถจริงๆ มาถึงเมืองฉางอันนานขนาดนี้ แม้แต่เด็กคนรุ่นหลังคนหนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้ เสียทีที่เป็นนายตรวจเสียจริง” สวีเซิ่งติอย่างไม่เกรงใจ

สวีเซิ่งเมื่อยามหนุ่มก็ได้ชื่อว่าอารมณ์ฉุนเฉียว หลายปีมานี้ต่อให้ตั้งใจฝึกฝน แต่นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ พูดจาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูถูกคนไร้ความสามารถที่อาศัยการแก่งแย่งชื่อเสียงลาภยศเลื่อนขั้นเป็นนายตรวจอย่างลู่หลีจื่อเป็นที่สุด

หน้าลู่หลีจื่อประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ประเดี๋ยวแดงก่ำ ก้มหน้าลอบกัดฟัน โต้แย้งอะไรไม่ได้

ทำงานไม่สำเร็จ พูดอะไรล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น

อีกทั้งยิ่งพูดมาก ช่องโหว่ก็ยิ่งมาก

แต่ในใจเขากลับกำลังสาปแช่ง ‘สวีเซิ่ง ถ้าเจ้าคิดว่าหลี่มู่เป็นคนรุ่นหลัง เช่นนั้นตอนนี้ก็ไปจับมันซะสิ ฮี่ๆ ในเรือนซอมซ่อมีค่ายกลชั้นยอดน่าตื่นตะลึง วันที่ค่ายกลสำเร็จ ปรากฏแสงเทพห้าสีราวเสาค้ำนภา หลายวันมานี้ดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดินน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตรอกไล่หมูแทบจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต่อให้เป็นเจ้าสวีเซิ่งก็ทำลายกระดองเต่าชั้นนี้ของหลี่มู่ไม่ได้หรอก’

ฉับพลันได้ยินสวีเซิ่งพูด “หลี่มู่ก็แค่หมากตัวเล็กๆ สังหารมันไม่เปลืองแรงข้าเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเมืองหลี่…อืม ใครก็ได้ ส่งเทียบเชิญของข้าไป ข้าจะไปเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองหลี่ก่อน”

มาถึงระดับอย่างสวีเซิ่ง ถึงจะรู้ว่าขุนนางท้องถิ่นที่กุมอำนาจเมืองหนึ่งนั้นหมายถึงอะไร มีพลังมากมายเพียงใด ในเมืองฉางอัน ผู้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงก็คือเจ้าเมืองหลี่กังที่หลายวันมานี้ไม่ว่าคลื่นลมจะหนักหน่วงเพียงใดก็ยังคงปิดปากเงียบ

อย่าคิดว่าองค์ชายสองดูเหมือนมีอำนาจมากมาย นั่นเป็นแค่สิ่งที่แสดงให้เห็นเท่านั้น

มิฉะนั้น คืนที่หน่วยเลี้ยงรับรองเกิดเหตุสังหารวุ่นวาย ไยกองกำลังหลักที่อยู่นอกเมืองจึงไม่มาร่วมด้วย?

หากกองกำลังหลักให้ความร่วมมือล้อมจับพรรคพวกของถังฉงและคนที่ราบทุ่งหญ้า องค์ชายสองจะสูญเสียสองภูตยมบาลไปได้อย่างไร?

หรือถ้าจะบอกว่าเจ้าเมืองหลี่ไม่รู้แผนและการเคลื่อนไหวของพรรคพวกถังฉงและคนที่ราบทุ่งหญ้า สวีเซิ่งก็ไม่เชื่อ

ยี่สิบปีก่อน หลี่กังเป็นแค่บัณฑิตยากจน หนึ่งคนหนึ่งกระบี่เดินทางมาเมืองหลวง เหมือนดั่งเม็ดทรายในทะเลทราย แรกเริ่มก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรมากมาย แต่สุดท้ายสอบติด แสดงพรสวรรค์อันล้ำเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ออกมาให้เห็น หากพูดถึงความฮือฮาที่หลี่กังสร้างในเมืองหลวงเมื่อตอนนั้น ก็โดดเด่นกว่าหลี่มู่เซียนกวีวิถียุทธ์ที่ว่านั่นไม่รู้เท่าไหร่

สามารถเป็นขุนนางท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตก ครองเมืองฉางอันที่ทั้งอุดมสมบูรณ์และร่ำรวยได้ในเวลาอันสั้นแค่นี้ หลี่กังไม่ใช่แค่ฉลาดมีความสามารถ แต่ยังมีเล่ห์เหลี่ยม มีอำนาจสยบและพลัง

อีกทั้งสวีเซิ่งยังรู้อีกว่าพลังฝึกของหลี่กังที่จริงแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก

……

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์

‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงใบหน้าฉายรอยยิ้มนอบน้อมถ่อมตัว แต่ก็ลิงโลด ทำความเคารพให้ผู้เยาว์ที่ดูแล้วอายุแค่สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น

ข้างหลังเขายังมีลูกศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์บางคน พลังฝึกต่างกันไป ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์มีน้อยมาก ส่วนยอดฝีมือระดับยอดปรมาจารย์นั้นไม่มีเลย หลักๆ แล้วเป็นเพราะวันนั้นธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สู้จนตาย ต้นไม้ล้มวานนรลี้หนีหาย ยอดฝีมือทั้งหลายต่างตีจาก เหลือแค่บางคนเท่านั้น ถึงแม้จะภักดี แต่พลังธรรมดา

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่ชื่อเสียงเกรียงไกร เป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตแล้ว

“หึๆ ใช้ชื่อสำนักกระบี่สวรรค์หาประโยชน์มานานหลายปี แต่กลับทำเรื่องเละเทะแบบนี้ช…ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เลย” เด็กคนนั้นอายุไม่มาก แต่วาจากลับอวดดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นจางเฉิงเฟิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“นายน้อยโปรดอย่าตำหนิ แต่เดิมพวกเราอยู่ในเมืองฉางอันพอจะมีกำลังอยู่บ้าง น่าเสียดาย…เฮ้อ หลี่มู่นั่นกำเริบเสิบสาน หาข้ออ้างสังหารลูกชายของข้า ทั้งยังลอบวางแผนสังหารบรรพบุรุษสกุลจางของข้า แย่งชิงทรัพย์สมบัติที่สกุลจางบริหารจัดการเพื่อสำนักกระบี่สวรรค์ไปทั้งหมด และยังเอาคัมภีร์กระบี่สวรรค์ไปอีก…” เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้ดื้อดึง จางเฉิงเฟิงไม่กล้าแสดงทีท่าไม่พอใจแม้แต่น้อย ยังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ตระกูลตกต่ำ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สู้แพ้ตัวตาย เรื่องนี้กระทบกระเทือนเขาเป็นอย่างมาก ทำให้เขาสงบเสงี่ยมลงกว่าเดิม

แต่ทว่านี่ไม่ใช่เหตุผลหลัก

เหตุผลคือเด็กหนุ่มหัวแข็งที่วาจาน่าตื่นตะลึงเบื้องหน้า ผู้เป็นถึงหนึ่งในสามผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์…‘กระบี่เซียนเหยี่ยวถลาลม’ ฉู่หนานเทียน

นี่คืออัจฉริยะการต่อสู้ชั้นยอดที่ขาดอีกหกวันก็จะอายุครบสิบสี่ปีเต็ม นับจากเข้าวงการจนถึงตอนนี้ไม่เคยพ่ายแพ้ เขาถูกมองว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่งที่อายุน้อยกว่าสิบห้าปีของจักรวรรดิฉินตะวันตกยุคปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ก็อาจติดยี่สิบอันดับแรกในรายชื่อบุคคลยอดเยี่ยมหลังจากจักรวรรดิฉินตะวันตกเฟื่องฟู

ประเด็นสำคัญคือปู่เล็กของเข เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน

ไม่ว่าจะพลังหรือที่พึ่งล้วนยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง

บุคคลเช่นนี้ ต่อให้ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ฟื้นคืนชีพก็ยังต้องเคารพนบนอบ นับประสาอะไรกับจางเฉิงเฟิง

“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เมื่อมีคำว่ากระบี่สวรรค์สองคำนี้ก็ได้รับการคุ้มครองจากสำนักกระบี่สวรรค์ หลี่มู่ตัวจ้อยกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ วันนี้ข้าจะสังหารมันประกาศศักดา ให้คนรู้ว่าเกียรติของสำนักกระบี่สวรรค์จะถูกหยามหมิ่นไม่ได้” ฉู่หนานเทียนพูดพร้อมยิ้มมุมปาก

ใบหน้าของเขาราวใช้มีดปาด เหลี่ยมมุมชัดดจน ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ว่ากันว่าคุณสมบัติกายพิเศษ ครึ่งหนึ่งมีสายเลือดเผ่าหมอผี ยามพูดสายตาคมปลาบ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ทุกครั้งที่จะสังหารยอดฝีมือสร้างชื่อเสียง สีหน้าของเขาล้วนเป็นเช่นนี้

“ไปเรือนซอมซ่อ”

เขาอดใจไม่ไหวแล้ว

……

“เป็นแบบนี้ต่อไปจะยุ่งเอานา”

ในสวนสุสานทหาร วิญญาณขุนพลทั้งหลายหน้าตาอมทุกข์ สีหน้าที่ปรากฏหลากหลาย

ใน ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ มีละอองหมอกหนาพันล้อม พลังวิญญาณจากชีพจรมังกรไหลออกมามหาศาล ร่างเงาของหลี่มู่เดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวปรากฏ ดูดซับพลังวิญญาณใต้ดินไม่หยุด พลังวิญญาณที่แทบจะใกล้เคียงกับของเหลวห่อหุ้มเขาไว้ทั้งตัว

สภาวะเช่นนี้ดำรงอยู่ในทุกวันที่ผ่านพ้นไป

ทุกครั้งเมื่อถึงเวลากลางคืน หลี่มู่จะแอบมาดูดซับพลังวิญญาณจากชีพจรมังกรที่สวนสุสานทหาร

เขาในวันนี้ฝึกฝนได้กำลังภายในแล้ว และก็มีเพียงพลังวิญญาณชีพจรมังกรของสวนสุสานนี้เท่านั้นถึงจะแปรสภาพเป็นกำลังภายในของเขาได้ ดังนั้นนอกจากคืนล้างสังหารที่หน่วยเลี้ยงรับรองคืนนั้นแล้ว คืนอื่นๆ เขาล้วนมาดูดซับพลังวิญญาณที่นี่

สำหรับเรื่องยกระดับพลัง เขาไม่เคยเกียจคร้านมาแต่ไหนแต่ไร

ตอนนี้กำลังภายในของเขามีถึงสามส่วนแล้วที่แปรเป็นปราณแท้ฟ้าประทาน

ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้เรียกได้กระทั่งว่าพิศดาร

หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานที่พรสวรรค์ไม่เลวคนอื่น สามารถแปรปราณแท้ฟ้าประทานหลังจากก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานได้ในหนึ่งปีก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว จะเหมือนกับหลี่มู่ที่แปรกำลังภายในไปสามส่วนในเวลาหลายสิบวันแบบนี้เสียที่ไหน

นี่เกี่ยวกับ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ที่เขาฝึกฝน และพลังวิญญาณชีพจรมังกรที่นี่

จากการเพิ่มของพลังฝึกกำลังภายใน ความเข้าใจต่อหมัดยุทธ์แท้และการควบคุมวิชายุทธ์ทั้งหลายที่ได้มาในหลายวันนี้ของหลี่มู่เพิ่มขึ้นอีกขั้น โดยเฉพาะการควบคุมเคล็ดวิชาต่อสู้ที่ต้องใช้กำลังภายในกระตุ้นอย่าง ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ หรือ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ ยิ่งก้าวกระโดดขึ้นมาก

เป้าหมายของหลี่มู่ไม่ได้อยู่ที่การควบคุมเคล็ดต่อสู้กำลังภายในพวกนี้

แต่อยู่ที่การสำรวจวิธีโคจรกำลังภายในผ่านเคล็ดต่อสู้กำลังภายในที่ว่า

ยกตัวอย่างเช่นท่ากระบี่ทั้งหลายใน ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ ที่เบิกปัญญาให้กับหลี่มู่ได้เป็นอย่างมาก

แต่สิ่งที่ทำให้หลี่มู่สนใจมากที่สุดคือ ‘ท่ากระบี่เหินหาว’ ที่อยู่ในนั้น ใช้กำลังภายในควบคุมกระบี่ จุดที่เยี่ยมยอดคือสามารถสังหารคนได้ในระยะยี่สิบลี้ ทำให้หลี่มู่นึกถึงเรื่องกระบี่เซียนในตำนานบนโลก กระบี่เหินหาว หนึ่งวันเดินทางได้พันลี้

และจากการค้นคว้าศึกษาอย่างละเอียด หลี่มู่พบว่า ‘กระบี่เหินหาว’ ท่านี้ถึงจะเป็นท่าที่ลึกซึ้งที่สุดท่าหนึ่งใน ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ แก่นแท้วิถียุทธ์ที่แฝงอยู่ในนั้นเหนือกว่ากระบวนท่าอื่นๆ อีกสามสิบห้า แม้แต่ ‘ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์’ เองก็ยังไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของท่านี้ได้อย่างแท้จริง

เหล่าวิญญาณขุนพลหน้าตากลัดกลุ้มอยู่ตลอด จนหลี่มู่เดินออกมาจากค่ายกล และจบการฝึกฝนครั้งนี้

น่าเสียดาย หลี่มู่ไม่ได้ให้เวลาพูดคุยกับพวกเขา ออกไปจากสวนสุสานทันที

ตลอดทางขากลับ ในหัวของหลี่มู่ยังคงมีวิชาและกระบวนท่าต่างๆ ผุดขึ้นไม่หยุด

‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่เขาจะคิดค้นขึ้น ตอนนี้ก็มีเพียงต้นแบบขั้นต้นอย่างตัดอสุนีและชักดาบสะบั้นสองท่าเท่านั้น อีกสี่ดาบที่เหลือยังเป็นแค่โครงร่าง ในหัวของหลี่มู่มีแนวคิดของกระบวนท่าที่สามผ่าสวรรค์และกระบวนท่าที่สี่สังหารรอบทิศ สามารถนำแก่นแท้ในกระบี่สวรรค์สามสิบหกท่ามาใช้ได้ แต่ยังต้องคิดให้ละเอียด

แน่นอน สิ่งที่หลี่มู่สนใจที่สุดก็ยังเป็น ‘ท่ากระบี่เหินหาว’

ลางสังหรณ์บอกกับหลี่มู่ว่าท่ากระบี่เหินหาวใน ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ มีค่ามากที่สุด และก็ยังไม่นับว่าสมบูรณ์อย่างแท้จริง เขาทายว่าน่าจะเป็นเพียงแค่กระผีกหนึ่งที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เรียนมาจากสำนักกระบี่สวรรค์ และใช้ท่ากระบี่เหินหาวเป็นพื้นฐานสร้างกระบี่สวรรค์สามสิบหกท่าขึ้นมา ส่วนวิชากระบี่เหินหาวฉบับสมบูรณ์ที่แท้จริงน่าจะอยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์

‘รอให้โอกาสเหมาะสม เราไปสำนักกระบี่สวรรค์แล้วเอาฉบับสมบูรณ์ของท่ากระบี่เหินหาวมาได้’

หลี่มู่แอบขบคิดในใจ

อีกทั้งยังต้องสังเวยดาบชั้นดีระดับอาวุธเต๋า เอามาเป็นสุดยอดอาวุธของตัวเอง

ดาบ…ราชาแห่งศาสตราวุธทั้งปวง ทรงอำนาจ ตรงไปตรงมา เป็นอาวุธที่หลี่มู่ชอบมากที่สุด

เคล็ดวิชาต่อสู้ที่หลี่มู่ซึมซับข้อดีของทุกคนแล้วเรียบเรียงออกมา ก็เป็นวิชาดาบเป็นหลัก

หนึ่งดาบลมเมฆปั่นป่วน หนึ่งดาบภูตผีเทพเซียนครั่นคร้าม

หนึ่งดาบทำลายทุกเรื่องอยุติธรรมบนโลกนี้

คิดจะทำลายโลกหรือ?

ถามดาบในมือข้าก่อนเถอะ

สำหรับหลี่มู่ ดาบกับเต๋าเชื่อมโยงถึงกัน

ความคิดแบบนี้ส่วนมากล้วนเป็นการสั่งสอนจากซินแสเฒ่าเมื่อยามอยู่บนโลก

ไม่รู้ทำไม เหมือนว่าความคลั่งไคล้ในดาบของซินแสเฒ่าจะส่งอิทธิพลมาถึงหลี่มู่ด้วย

ระหว่างขบคิด หลี่มู่ก็กลับมาถึงตรอกไล่หมู

จากนั้นเขาเห็นหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์จางเฉิงเฟิง พาคนรูปร่างกำยำแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยมากเข้าไปในตรอกไล่หมูด้วยท่าทีว่าง่าย ทั้งยังมีอีกหลายสิบคน มุ่งหน้าไปยังเรือนซอมซ่ออย่างดุดัน

หืม?

จางเฉิงเฟิงยังกล้ามาตรอกไล่หมูอีก?

ดูจากท่าทางเหมือนว่าผู้มาจะคิดไม่ดี

หาที่พึ่งใหม่ได้แล้วหรือ?

หลี่มู่หรี่ตา จากนั้นก็หัวเราะ แล้วเดินตามเข้าไปอย่างเงียบงัน

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 245 ผู้มาคิดไม่ดี?

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 245 ผู้มาคิดไม่ดี? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สวีก้งเฟิ่งผู้นี้คือผู้อาวุโสของสำนักขุนคีรี ซึ่งเป็นสำนักระดับหนึ่ง ในอดีตเป็นบุคคลระดับเทพสังหาร สยบศัตรูได้ทั้งหมด ภายหลังอายุค่อยๆ มากขึ้นถึงได้ฝึกฝนบำเพ็ญ กลับมายังสำนักขุนคีรีก็ตั้งใจบากบั่นฝึกฝน พลังฝึกก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จึงได้เป็นตัวแทนของสำนักขุนคีรี เข้าเป็นกลุ่มก้งเฟิ่งของสำนักตรวจการ

สำนักตรวจการส่งสวีเซิ่งมาถึงเมืองฉางอัน ก็หมายความว่าไม่พอใจลู่หลีจื่อเป็นอย่างมาก

นับจากวันนี้ เรื่องทุกอย่างในเมืองฉางอันล้วนให้สวีเซิ่งเป็นผู้รับผิดชอบ

“เจ้าก็ไร้ความสามารถจริงๆ มาถึงเมืองฉางอันนานขนาดนี้ แม้แต่เด็กคนรุ่นหลังคนหนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้ เสียทีที่เป็นนายตรวจเสียจริง” สวีเซิ่งติอย่างไม่เกรงใจ

สวีเซิ่งเมื่อยามหนุ่มก็ได้ชื่อว่าอารมณ์ฉุนเฉียว หลายปีมานี้ต่อให้ตั้งใจฝึกฝน แต่นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ พูดจาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูถูกคนไร้ความสามารถที่อาศัยการแก่งแย่งชื่อเสียงลาภยศเลื่อนขั้นเป็นนายตรวจอย่างลู่หลีจื่อเป็นที่สุด

หน้าลู่หลีจื่อประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ประเดี๋ยวแดงก่ำ ก้มหน้าลอบกัดฟัน โต้แย้งอะไรไม่ได้

ทำงานไม่สำเร็จ พูดอะไรล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น

อีกทั้งยิ่งพูดมาก ช่องโหว่ก็ยิ่งมาก

แต่ในใจเขากลับกำลังสาปแช่ง ‘สวีเซิ่ง ถ้าเจ้าคิดว่าหลี่มู่เป็นคนรุ่นหลัง เช่นนั้นตอนนี้ก็ไปจับมันซะสิ ฮี่ๆ ในเรือนซอมซ่อมีค่ายกลชั้นยอดน่าตื่นตะลึง วันที่ค่ายกลสำเร็จ ปรากฏแสงเทพห้าสีราวเสาค้ำนภา หลายวันมานี้ดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดินน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตรอกไล่หมูแทบจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต่อให้เป็นเจ้าสวีเซิ่งก็ทำลายกระดองเต่าชั้นนี้ของหลี่มู่ไม่ได้หรอก’

ฉับพลันได้ยินสวีเซิ่งพูด “หลี่มู่ก็แค่หมากตัวเล็กๆ สังหารมันไม่เปลืองแรงข้าเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเมืองหลี่…อืม ใครก็ได้ ส่งเทียบเชิญของข้าไป ข้าจะไปเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองหลี่ก่อน”

มาถึงระดับอย่างสวีเซิ่ง ถึงจะรู้ว่าขุนนางท้องถิ่นที่กุมอำนาจเมืองหนึ่งนั้นหมายถึงอะไร มีพลังมากมายเพียงใด ในเมืองฉางอัน ผู้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงก็คือเจ้าเมืองหลี่กังที่หลายวันมานี้ไม่ว่าคลื่นลมจะหนักหน่วงเพียงใดก็ยังคงปิดปากเงียบ

อย่าคิดว่าองค์ชายสองดูเหมือนมีอำนาจมากมาย นั่นเป็นแค่สิ่งที่แสดงให้เห็นเท่านั้น

มิฉะนั้น คืนที่หน่วยเลี้ยงรับรองเกิดเหตุสังหารวุ่นวาย ไยกองกำลังหลักที่อยู่นอกเมืองจึงไม่มาร่วมด้วย?

หากกองกำลังหลักให้ความร่วมมือล้อมจับพรรคพวกของถังฉงและคนที่ราบทุ่งหญ้า องค์ชายสองจะสูญเสียสองภูตยมบาลไปได้อย่างไร?

หรือถ้าจะบอกว่าเจ้าเมืองหลี่ไม่รู้แผนและการเคลื่อนไหวของพรรคพวกถังฉงและคนที่ราบทุ่งหญ้า สวีเซิ่งก็ไม่เชื่อ

ยี่สิบปีก่อน หลี่กังเป็นแค่บัณฑิตยากจน หนึ่งคนหนึ่งกระบี่เดินทางมาเมืองหลวง เหมือนดั่งเม็ดทรายในทะเลทราย แรกเริ่มก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรมากมาย แต่สุดท้ายสอบติด แสดงพรสวรรค์อันล้ำเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ออกมาให้เห็น หากพูดถึงความฮือฮาที่หลี่กังสร้างในเมืองหลวงเมื่อตอนนั้น ก็โดดเด่นกว่าหลี่มู่เซียนกวีวิถียุทธ์ที่ว่านั่นไม่รู้เท่าไหร่

สามารถเป็นขุนนางท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตก ครองเมืองฉางอันที่ทั้งอุดมสมบูรณ์และร่ำรวยได้ในเวลาอันสั้นแค่นี้ หลี่กังไม่ใช่แค่ฉลาดมีความสามารถ แต่ยังมีเล่ห์เหลี่ยม มีอำนาจสยบและพลัง

อีกทั้งสวีเซิ่งยังรู้อีกว่าพลังฝึกของหลี่กังที่จริงแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก

……

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์

‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงใบหน้าฉายรอยยิ้มนอบน้อมถ่อมตัว แต่ก็ลิงโลด ทำความเคารพให้ผู้เยาว์ที่ดูแล้วอายุแค่สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น

ข้างหลังเขายังมีลูกศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์บางคน พลังฝึกต่างกันไป ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์มีน้อยมาก ส่วนยอดฝีมือระดับยอดปรมาจารย์นั้นไม่มีเลย หลักๆ แล้วเป็นเพราะวันนั้นธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สู้จนตาย ต้นไม้ล้มวานนรลี้หนีหาย ยอดฝีมือทั้งหลายต่างตีจาก เหลือแค่บางคนเท่านั้น ถึงแม้จะภักดี แต่พลังธรรมดา

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่ชื่อเสียงเกรียงไกร เป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตแล้ว

“หึๆ ใช้ชื่อสำนักกระบี่สวรรค์หาประโยชน์มานานหลายปี แต่กลับทำเรื่องเละเทะแบบนี้ช…ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เลย” เด็กคนนั้นอายุไม่มาก แต่วาจากลับอวดดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นจางเฉิงเฟิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“นายน้อยโปรดอย่าตำหนิ แต่เดิมพวกเราอยู่ในเมืองฉางอันพอจะมีกำลังอยู่บ้าง น่าเสียดาย…เฮ้อ หลี่มู่นั่นกำเริบเสิบสาน หาข้ออ้างสังหารลูกชายของข้า ทั้งยังลอบวางแผนสังหารบรรพบุรุษสกุลจางของข้า แย่งชิงทรัพย์สมบัติที่สกุลจางบริหารจัดการเพื่อสำนักกระบี่สวรรค์ไปทั้งหมด และยังเอาคัมภีร์กระบี่สวรรค์ไปอีก…” เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้ดื้อดึง จางเฉิงเฟิงไม่กล้าแสดงทีท่าไม่พอใจแม้แต่น้อย ยังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ตระกูลตกต่ำ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สู้แพ้ตัวตาย เรื่องนี้กระทบกระเทือนเขาเป็นอย่างมาก ทำให้เขาสงบเสงี่ยมลงกว่าเดิม

แต่ทว่านี่ไม่ใช่เหตุผลหลัก

เหตุผลคือเด็กหนุ่มหัวแข็งที่วาจาน่าตื่นตะลึงเบื้องหน้า ผู้เป็นถึงหนึ่งในสามผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์…‘กระบี่เซียนเหยี่ยวถลาลม’ ฉู่หนานเทียน

นี่คืออัจฉริยะการต่อสู้ชั้นยอดที่ขาดอีกหกวันก็จะอายุครบสิบสี่ปีเต็ม นับจากเข้าวงการจนถึงตอนนี้ไม่เคยพ่ายแพ้ เขาถูกมองว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่งที่อายุน้อยกว่าสิบห้าปีของจักรวรรดิฉินตะวันตกยุคปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ก็อาจติดยี่สิบอันดับแรกในรายชื่อบุคคลยอดเยี่ยมหลังจากจักรวรรดิฉินตะวันตกเฟื่องฟู

ประเด็นสำคัญคือปู่เล็กของเข เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน

ไม่ว่าจะพลังหรือที่พึ่งล้วนยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง

บุคคลเช่นนี้ ต่อให้ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ฟื้นคืนชีพก็ยังต้องเคารพนบนอบ นับประสาอะไรกับจางเฉิงเฟิง

“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เมื่อมีคำว่ากระบี่สวรรค์สองคำนี้ก็ได้รับการคุ้มครองจากสำนักกระบี่สวรรค์ หลี่มู่ตัวจ้อยกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ วันนี้ข้าจะสังหารมันประกาศศักดา ให้คนรู้ว่าเกียรติของสำนักกระบี่สวรรค์จะถูกหยามหมิ่นไม่ได้” ฉู่หนานเทียนพูดพร้อมยิ้มมุมปาก

ใบหน้าของเขาราวใช้มีดปาด เหลี่ยมมุมชัดดจน ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ว่ากันว่าคุณสมบัติกายพิเศษ ครึ่งหนึ่งมีสายเลือดเผ่าหมอผี ยามพูดสายตาคมปลาบ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ทุกครั้งที่จะสังหารยอดฝีมือสร้างชื่อเสียง สีหน้าของเขาล้วนเป็นเช่นนี้

“ไปเรือนซอมซ่อ”

เขาอดใจไม่ไหวแล้ว

……

“เป็นแบบนี้ต่อไปจะยุ่งเอานา”

ในสวนสุสานทหาร วิญญาณขุนพลทั้งหลายหน้าตาอมทุกข์ สีหน้าที่ปรากฏหลากหลาย

ใน ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ มีละอองหมอกหนาพันล้อม พลังวิญญาณจากชีพจรมังกรไหลออกมามหาศาล ร่างเงาของหลี่มู่เดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวปรากฏ ดูดซับพลังวิญญาณใต้ดินไม่หยุด พลังวิญญาณที่แทบจะใกล้เคียงกับของเหลวห่อหุ้มเขาไว้ทั้งตัว

สภาวะเช่นนี้ดำรงอยู่ในทุกวันที่ผ่านพ้นไป

ทุกครั้งเมื่อถึงเวลากลางคืน หลี่มู่จะแอบมาดูดซับพลังวิญญาณจากชีพจรมังกรที่สวนสุสานทหาร

เขาในวันนี้ฝึกฝนได้กำลังภายในแล้ว และก็มีเพียงพลังวิญญาณชีพจรมังกรของสวนสุสานนี้เท่านั้นถึงจะแปรสภาพเป็นกำลังภายในของเขาได้ ดังนั้นนอกจากคืนล้างสังหารที่หน่วยเลี้ยงรับรองคืนนั้นแล้ว คืนอื่นๆ เขาล้วนมาดูดซับพลังวิญญาณที่นี่

สำหรับเรื่องยกระดับพลัง เขาไม่เคยเกียจคร้านมาแต่ไหนแต่ไร

ตอนนี้กำลังภายในของเขามีถึงสามส่วนแล้วที่แปรเป็นปราณแท้ฟ้าประทาน

ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้เรียกได้กระทั่งว่าพิศดาร

หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานที่พรสวรรค์ไม่เลวคนอื่น สามารถแปรปราณแท้ฟ้าประทานหลังจากก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานได้ในหนึ่งปีก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว จะเหมือนกับหลี่มู่ที่แปรกำลังภายในไปสามส่วนในเวลาหลายสิบวันแบบนี้เสียที่ไหน

นี่เกี่ยวกับ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ที่เขาฝึกฝน และพลังวิญญาณชีพจรมังกรที่นี่

จากการเพิ่มของพลังฝึกกำลังภายใน ความเข้าใจต่อหมัดยุทธ์แท้และการควบคุมวิชายุทธ์ทั้งหลายที่ได้มาในหลายวันนี้ของหลี่มู่เพิ่มขึ้นอีกขั้น โดยเฉพาะการควบคุมเคล็ดวิชาต่อสู้ที่ต้องใช้กำลังภายในกระตุ้นอย่าง ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ หรือ ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ ยิ่งก้าวกระโดดขึ้นมาก

เป้าหมายของหลี่มู่ไม่ได้อยู่ที่การควบคุมเคล็ดต่อสู้กำลังภายในพวกนี้

แต่อยู่ที่การสำรวจวิธีโคจรกำลังภายในผ่านเคล็ดต่อสู้กำลังภายในที่ว่า

ยกตัวอย่างเช่นท่ากระบี่ทั้งหลายใน ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ ที่เบิกปัญญาให้กับหลี่มู่ได้เป็นอย่างมาก

แต่สิ่งที่ทำให้หลี่มู่สนใจมากที่สุดคือ ‘ท่ากระบี่เหินหาว’ ที่อยู่ในนั้น ใช้กำลังภายในควบคุมกระบี่ จุดที่เยี่ยมยอดคือสามารถสังหารคนได้ในระยะยี่สิบลี้ ทำให้หลี่มู่นึกถึงเรื่องกระบี่เซียนในตำนานบนโลก กระบี่เหินหาว หนึ่งวันเดินทางได้พันลี้

และจากการค้นคว้าศึกษาอย่างละเอียด หลี่มู่พบว่า ‘กระบี่เหินหาว’ ท่านี้ถึงจะเป็นท่าที่ลึกซึ้งที่สุดท่าหนึ่งใน ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ แก่นแท้วิถียุทธ์ที่แฝงอยู่ในนั้นเหนือกว่ากระบวนท่าอื่นๆ อีกสามสิบห้า แม้แต่ ‘ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์’ เองก็ยังไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของท่านี้ได้อย่างแท้จริง

เหล่าวิญญาณขุนพลหน้าตากลัดกลุ้มอยู่ตลอด จนหลี่มู่เดินออกมาจากค่ายกล และจบการฝึกฝนครั้งนี้

น่าเสียดาย หลี่มู่ไม่ได้ให้เวลาพูดคุยกับพวกเขา ออกไปจากสวนสุสานทันที

ตลอดทางขากลับ ในหัวของหลี่มู่ยังคงมีวิชาและกระบวนท่าต่างๆ ผุดขึ้นไม่หยุด

‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่เขาจะคิดค้นขึ้น ตอนนี้ก็มีเพียงต้นแบบขั้นต้นอย่างตัดอสุนีและชักดาบสะบั้นสองท่าเท่านั้น อีกสี่ดาบที่เหลือยังเป็นแค่โครงร่าง ในหัวของหลี่มู่มีแนวคิดของกระบวนท่าที่สามผ่าสวรรค์และกระบวนท่าที่สี่สังหารรอบทิศ สามารถนำแก่นแท้ในกระบี่สวรรค์สามสิบหกท่ามาใช้ได้ แต่ยังต้องคิดให้ละเอียด

แน่นอน สิ่งที่หลี่มู่สนใจที่สุดก็ยังเป็น ‘ท่ากระบี่เหินหาว’

ลางสังหรณ์บอกกับหลี่มู่ว่าท่ากระบี่เหินหาวใน ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ มีค่ามากที่สุด และก็ยังไม่นับว่าสมบูรณ์อย่างแท้จริง เขาทายว่าน่าจะเป็นเพียงแค่กระผีกหนึ่งที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เรียนมาจากสำนักกระบี่สวรรค์ และใช้ท่ากระบี่เหินหาวเป็นพื้นฐานสร้างกระบี่สวรรค์สามสิบหกท่าขึ้นมา ส่วนวิชากระบี่เหินหาวฉบับสมบูรณ์ที่แท้จริงน่าจะอยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์

‘รอให้โอกาสเหมาะสม เราไปสำนักกระบี่สวรรค์แล้วเอาฉบับสมบูรณ์ของท่ากระบี่เหินหาวมาได้’

หลี่มู่แอบขบคิดในใจ

อีกทั้งยังต้องสังเวยดาบชั้นดีระดับอาวุธเต๋า เอามาเป็นสุดยอดอาวุธของตัวเอง

ดาบ…ราชาแห่งศาสตราวุธทั้งปวง ทรงอำนาจ ตรงไปตรงมา เป็นอาวุธที่หลี่มู่ชอบมากที่สุด

เคล็ดวิชาต่อสู้ที่หลี่มู่ซึมซับข้อดีของทุกคนแล้วเรียบเรียงออกมา ก็เป็นวิชาดาบเป็นหลัก

หนึ่งดาบลมเมฆปั่นป่วน หนึ่งดาบภูตผีเทพเซียนครั่นคร้าม

หนึ่งดาบทำลายทุกเรื่องอยุติธรรมบนโลกนี้

คิดจะทำลายโลกหรือ?

ถามดาบในมือข้าก่อนเถอะ

สำหรับหลี่มู่ ดาบกับเต๋าเชื่อมโยงถึงกัน

ความคิดแบบนี้ส่วนมากล้วนเป็นการสั่งสอนจากซินแสเฒ่าเมื่อยามอยู่บนโลก

ไม่รู้ทำไม เหมือนว่าความคลั่งไคล้ในดาบของซินแสเฒ่าจะส่งอิทธิพลมาถึงหลี่มู่ด้วย

ระหว่างขบคิด หลี่มู่ก็กลับมาถึงตรอกไล่หมู

จากนั้นเขาเห็นหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์จางเฉิงเฟิง พาคนรูปร่างกำยำแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยมากเข้าไปในตรอกไล่หมูด้วยท่าทีว่าง่าย ทั้งยังมีอีกหลายสิบคน มุ่งหน้าไปยังเรือนซอมซ่ออย่างดุดัน

หืม?

จางเฉิงเฟิงยังกล้ามาตรอกไล่หมูอีก?

ดูจากท่าทางเหมือนว่าผู้มาจะคิดไม่ดี

หาที่พึ่งใหม่ได้แล้วหรือ?

หลี่มู่หรี่ตา จากนั้นก็หัวเราะ แล้วเดินตามเข้าไปอย่างเงียบงัน

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+