จอมศาสตราพลิกดารา 257 ใต้จันทราข้าเป็นใหญ่

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 257 ใต้จันทราข้าเป็นใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพลงดาบนี้ชื่อว่า ‘คลื่นวารีถาโถม’ หลี่มู่สำแดงเป็นครั้งแรก

นี่เป็นเพลงดาบที่เอาไว้ใช้กับวิชาดาบเหินหาวโดยเฉพาะ สังเกตศึกษามาจาก ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ และเพลงกระบี่ของสำนักกระบี่สวรรค์บางท่า รวบรวมบรรลุออกมา รวดเร็วดุจสายฟ้า เปลี่ยนแปลงราวภาพมายา น่าสะพรึงราวภูตผีเทพเซียน รุนแรงดั่งอุกกาบาต ในชั่วอึดใจเดียวก็ฟันออกมาได้หลายร้อยดาบ

กระบวนท่าดาบราวคลื่นถาโถม เชื่อมต่อกันเป็นชุด ดาบต่อมาจะแข็งแกร่งกว่าดาบก่อน

จนกระทั่งดาบที่หนึ่งร้อย พลังของกระบวนท่าดาบทั้งหมดก่อนหน้านี้เหมือนรวมอยู่ที่ดาบสุดท้ายนี้เอง

“เอ๋? น่าสนใจนิดๆ แฮะ”

สีหน้าของจางปู้เหล่าฉายแววตะลึง

เขายืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ เท้าไม่มีอะไรให้เหยียบแต่กลับนิ่งดุจขุนเขา ดาบโค้งในมือฟันออกมาอย่างไม่รีบร้อนลนลาน ท่วงท่าราววารีไหลเมฆาคล้อย สูงส่งไร้มลทิน หนึ่งดาบปะทะหนึ่งดาบ และสกัดกั้นกระบวนท่าโจมตีร้อยดาบของหลี่มู่เอาไว้ได้โดยสมบูรณ์

ต่อให้เป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดดาบนั้น ก็สกัดกั้นเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

และทั้งหมดนี้ ตัวจางปู้เหล่ายืนอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับราวศิลาลูกมหึมา แม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่พันยุ่งเหยิง

ฟิ้ว!

ดาบวัฏจักรพุ่งลอยกลับไปรับหลี่มู่ที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

หลี่มู่ยังไม่ถึงขั้นเหนือมนุษย์ ดังนั้นย่อมไม่มีทางอยู่กลางอากาศได้เป็นเวลานานแบบจางปู้เหล่า

‘ทำไมพลังของเขาจึงมหาศาลขนาดนี้?’

หลี่มู่ตื่นตะลึง

ตัวดาบวัฏจักรเองหนักเกินหนึ่งหมื่นจิน ภายใต้การกระตุ้นเพิ่มพลังจากค่ายกลวิชาเวท พลังของวิชาดาบเหินหาวร้อยดาบเพิ่มทบเข้าไป ดาบสุดท้ายอย่างน้อยๆ ก็มีพลังถึงห้าแสนจิน ภายใต้การฟาดฟันจากวิชาดาบแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเทือกเขาย่อมๆ ก็ต้องกลายเป็นเศษหิน แต่จางปู้เหล่ากลับยืนตระหง่านกลางอากาศ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ที่ปราณแท้ฟ้าประทานสมบูรณ์แบบ เมื่ออยู่กลางอากาศก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีกระบวนท่าดาบได้สบายๆ แบบนี้เช่นกัน

ต้องรู้ว่า จุดที่แข็งแกร่งโดยแท้จริงของยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์อยู่ที่ทักษะเคล็ดวิชาต่อสู้ ไม่ได้อยู่ที่พลัง

หากสู้ด้วยพลังล้วนๆ พลังฝึกกายเนื้อของหลี่มู่สามารถพลิกเทือกเขาได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ก็ฝืนสู้ได้

หากจางปู้เหล่าใช้ท่าร่างและความเร็วหลบร้อยดาบนี้ได้ หลี่มู่ยังพอจะรับได้บ้าง

วิชาดาบเหินหาวลงสนามสู้ครั้งแรก ก็ถอยกลับมามือเปล่า

หลี่มู่บังคับดาบวัฏจักร ร่อนลงยอดเขาหินที่ตั้งตระหง่านโดดเดี่ยวไกลออกไปสองลี้ราวสายรุ้ง

ดาบเหินหาวสิ้นเปลืองกำลังภายใน เมื่อสู้กับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ หลี่มู่ไม่กล้าประมาท โบยบินกลางอากาศนานๆ ไม่ได้

เขาเบิกเนตรสวรรค์สำรวจคู่ต่อสู้ทันที

ภายใต้เนตรสวรรค์ ทุกสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็นล้วนปรากฏออกมา ข้างกายจางปู้เหล่า ภายในระยะสองลี้มีกลุ่มพลังวิญญาณในฟ้าดินที่หนืดข้นราวแอ่งอากาศ และยังมีกระแสพลังงานลับตารูปร่างเหมือนตาข่ายที่หลี่มู่ไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังไหลไปอย่างเงียบงันในแอ่งพลังวิญญาณหนืดข้นนี้

ปัญหาจะต้องอยู่ที่กระแสพลังงานซ่อนเร้นนั่นแน่

พอหลี่มู่เห็นก็กระจ่างแจ้งทันที

อันที่จริงแอ่งพลังวิญญาณเป็นรูปลักษณ์ขอบเขตกำลังภายในของผู้แข็งแกร่งด้านวิชาต่อสู้จากการใช้เนตรสวรรค์กวาดมอง ถึงแม้จะเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ก็สามารถแผ่ขอบเขตกำลังภายในได้เหมือนกัน แต่เทียบกับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ขนาดของขอบเขตพลัง ความแข็งแกร่ง และความเข้มข้นของพลังวิญญาณจะแตกต่างกันเท่านั้นเอง

สิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สามารถยืนอยู่เหนือยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน จะต้องอยู่ที่กระแสพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายชนิดนี้แน่

มันคืออะไรกันแน่?

หลี่มู่ขบคิดในใจ มือกลับไม่หยุดนิ่ง

ภายใต้การกระตุ้นจากพลังจิตวิญญาณ ดาบวัฏจักรแหวกอากาศไป เพลงดาบ ‘คลื่นวารีถาโถม’ ฟาดฟันออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เร็วยิ่งกว่า นิ่งยิ่งกว่า การเปลี่ยนแปลงมากกว่า แล้วก็เหี้ยมโหดมากกว่า ปราณดาบสีแดงโลหิตแผ่กระจาย ฟันอากาศจนแหลกกระจุย

“ดาบเหินหาวไม่เลว แต่พลังฝึกของเจ้าต่ำเกินไป ลองอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม”

จางปู้เหล่ามีใจคิดจะให้หลี่มู่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง จึงใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ดาบโค้งอสุรภูมิสีเลือดในมือฟันออกมาทีละดาบๆ อย่างไม่รีบร้อน ไม่ว่าท่าดาบวัฏจักรจะบ้าคลั่ง รวดเร็ว หรือพลิกแพลงอย่างไร ก็ยากจะโจมตีเข้ามาในตาข่ายดาบของเขาได้

และสำหรับจางปู้เหล่าแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแค่การป้องกันอย่างง่ายๆ เท่านั้นเอง

หรือบอกได้ว่ากำลังเล่นสนุกอยู่ชัดๆ

“เป็นปัญหาที่กระแสพลังงานซ่อนเร้นนั่นจริงๆ ด้วย…”

ภายใต้เนตรสวรรค์ ทุกสิ่งไม่อาจหลบหลีกได้ หลี่มู่มองได้ชัดเจนยิ่ง การโจมตีทุกครั้งของดาบวัฏจักรมาพร้อมพลังมหาศาล ดูเหมือนดาบโค้งอสุรภูมิสีเลือดจะต้านทานเอาไว้ได้ แต่อันที่จริงพลังโจมตีกลับถูกกระจายเข้ามาในกระแสพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่าย

กระแสพลังซ่อนเร้นราวเถาวัลย์ที่หยั่งรากอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ และพยุงร่างของจางปู้เหล่าเอาไว้ ไม่ว่ากระบวนท่าดาบวัฏจักรจะแข็งแกร่งเพียงใดล้วนถูกกระจายออกไปในฟ้าดิน แล้วจะสะเทือนจางปู้เหล่าได้อย่างไร

อีกทั้งไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น

กระแสพลังลับตานั้นยังมอบพลังให้กับจางปู้เหล่าอย่างไม่ขาดสาย เหมือนกับดูดพลังฟ้าดินในระยะหลายพันจั้งเอามาใช้เองก็ไม่ปาน

“นี่ก็คือพลังเหนี่ยวนำฟ้าดิน?”

หลี่มู่ค่อนข้างเข้าใจแล้ว

เหตุที่ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ก็เพราะพวกเขาสามารถเหนี่ยวนำพลังในฟ้าดิน แล้วแปรเป็นวิชาสังหารได้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ยิ่งนัก สรรพชีวิตล้วนดำรงชีวิตอยู่ในนั้น ต่อให้เป็นพลังฟ้าดินเส้นบางๆ ก็มีฤทธิ์ทำลายขุนเขาถมมหาสมุทร ใครจะต่อกรได้?

แต่ว่า ที่พูดมาก่อนหน้านี้ก็เป็นแค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น รายละเอียดว่าจะเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินออกมาได้อย่างไร ไม่มีใครอธิบายได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

แก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ จะต้องเสาะหาออกมาเอง

ในโลกใบนี้ไม่มีใครมีเนตรสวรรค์มองทะลุทุกสรรพสิ่งเหมือนกับหลี่มู่ จึงย่อมไม่อาจมองเห็นแก่นแท้การโคจรพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ได้เป็นรูปธรรม

พลังแห่งฟ้าดิน ก็คือพลังแห่งมรรคาอันยิ่งใหญ่

หรือจะพูดว่าเป็นกฎเกณฑ์ พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ยังได้

มีคำเรียกมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นพลังชนิดเดียวกัน

และการได้เห็นฉากแบบนี้ สำหรับหลี่มู่แล้วเป็นผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่

เขาเป็นฝ่ายท้าสู้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า ไม่ใช่เพื่อมาตาย แต่เพื่อมาสำรวจแก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ ใช้วิธีเดิมเหมือนตอนสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์…ถึงแม้ด้วยพลังฝึกของเขาในตอนนี้ กำลังภายในทั่วร่างแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานเพียงแค่สามส่วนนิดๆ เท่านั้น พอจะฝืนนับว่าเป็นฟ้าประทานระดับกลาง หากคิดอยากจะก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์ก็ค่อนข้างจะรีบร้อนเกินไป แต่การสำรวจแก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นประโยชน์กับการฝึกฝนของผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้

และตอนนี้ สิ่งที่หลี่มู่ต้องทำคือเรียนรู้ความลับการฝึกฝน เก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้ง…มีชีวิตต่อไปภายใต้การลงมือของจางปู้เหล่า

……

“เจ้าเป็นใคร?”

เฮ่ออวิ๋นเสียงทั้งร้อนรนทั้งโมโห

แต่เดิมเขาคิดชิงลงมือก่อนให้ได้เปรียบ จะมาจับตัวหลูติ่งชั้นยอดเช่นเหลยอินอิน จากนั้นก็หยามหมิ่นพวกเจ้าสำนักบัณฑิตชวี แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งลงมือ กำลังจะจัดการคนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ได้อยู่แล้ว จู่ๆ กลับมีสาวงามหยาดเยิ้มปรากฏตัวขึ้น วิชาเวทน่าตื่นตะลึง นางเอาชนะยอดฝีมือของสำนักดับนิวรณ์สามคนรวดในชั่วพริบตา แม้เขาลงมือเองยังถูกสะเทือนจนกระอักเลือดล่าถอยไป…

“คุณชายให้ข้าปกป้องคนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เอาไว้”

สาวงามน่าตื่นตะลึงราวกับไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์ ทั่วร่างบริสุทธิ์ ไม่มีกลิ่นอายแปดเปื้อน ไร้ซึ่งมลทินใดๆ และมีแสงขาวรางๆ เหมือนเปล่งแสงได้เองอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนไม่กล้าจ้องมอง ต่อให้เป็นเฮ่ออวิ๋นเสียงที่อวดอ้างว่าตนเป็นคุณชายผู้สูงส่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ยังรู้สึกละอายตนเองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ทั่วร่างของนางมีท่วงทำนองเต๋าโดยธรรมชาติไหลวน

ตราประทับสีหยกหกตราลอยอยู่รอบกายนาง ที่เท้าก็มีตราประทับสีหยกหกตราลอยล้อมรอบอยู่เช่นกัน ภายใต้การขับเน้นจากตราเวท ลวดลายสีเงินใต้เท้านางสว่างวูบวาบ กะพริบอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ แปลกประหลาดอย่างที่สุด

ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกว่านางเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง

ศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์คนหนึ่งกระซิบอะไรข้างหูเฮ่ออวิ๋นเสียงที่สีหน้าตื่นตะลึง

เฮ่ออวิ๋นเสียงยิ่งตกใจใหญ่ “เจ้าคือ…นางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน ฮวาเสี่ยงหรง?”

เขาเคยได้ยินชื่อฮวาเสี่ยงหรงหลังจากที่มาถึงเมืองฉางอัน คืนนั้นนางร่ายรำเพียงลำพังใต้แสงจันทร์ดุจเซียน และบทเพลง ‘จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ ที่แพร่ไปทั่ว ยิ่งขับเน้นให้ฮวาเสี่ยงหรงเป็นดั่งเทพเซียน แต่สำหรับเฮ่ออวิ๋นเสียง ต่อให้งามเพียงใดก็เป็นแค่นางคณิกาเท่านั้น สตรีย่านเริงรมย์ ไร้ซึ่งการศึกษา จะเทียบกับเหล่าเซียนสาว จอมยุทธ์หญิง ธิดาเทพ หรือธิดาสวรรค์ในยุทธจักรได้อย่างไร?

แต่ทว่าขณะนี้ เฮ่ออวิ๋นเสียงตระหนักว่าตนผิดไปแล้ว

ผิดถนัดนัก

ในโลกมีสตรีที่งดงามเลิศล้ำแบบนี้ด้วยหรือ?

“หึ ก็แค่นางโลมเท่านั้น ไยจึงกล้ากำเริบเสิบสานอยู่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เช่นนี้?” กลับเป็นเถี่ยจ้าน เจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่เอ่ยปาก ในสายตาเต็มไปด้วยแววดูถูก “หรือคิดว่าเจ้าติดตามหลี่มู่แล้วจะวิเศษวิโสขึ้นจริงๆ? ยังไม่รีบถอยไปอีก”

นี่เป็นแค่ความเคยชินจากความรู้สึกเหนือกว่าก็เท่านั้น

บัณฑิตมีชื่อแบบพวกเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงคณิกาก็จะมีความรู้สึกเหนือกว่าเป็นธรรมดา

ฮวาเสี่ยงหรงกลับสีหน้าเรียบนิ่ง ไร้อารมณ์ และไม่พูดอะไร เพียงแค่กระตุ้นค่ายกลวิชาเวทที่แปลกประหลาดขึ้นมา ปกป้องคนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เอาไว้ข้างใน พลังจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์แผ่ออกมารอบด้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่ลงมือโดยแท้จริงนับจากที่นางติดตามหลี่มู่มาฝึกฝน ในใจแน่นอนว่าตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงคำที่หลี่มู่เคยพูด นางก็สงบจิตใจลง

สีหน้าเย็นชาและสงบนิ่งเช่นนี้ ยิ่งขับเน้นให้นางเหมือนเซียนเดียวดายหลีกลี้ทางโลก

ในดวงตาของเฮ่ออวิ๋นเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและอิจฉา

เขาพลันริษยาหลี่มู่หาใดเปรียบ

หลี่มู่มีดีอะไรถึงได้มีสาวงามพิสุทธิ์เช่นนี้อยู่เคียงกาย?

อีกทั้งสาวงามคนนี้ยังไม่ใช่แค่แจกันประดับฉาก แต่เป็นจอมเวทยอดฝีมือที่แท้จริง ดูจากกลิ่นอายค่ายกลแล้ว น่ากลัวว่าพลังฝึกวิชาเวทคงถึงขั้นฟ้าประทานแล้วกระมัง?

เขาไม่มีความคิดที่จะลงมือแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้ลงมือหยั่งเชิง ผลก็ชัดเจนแล้วว่าตนไม่ใช่คู่มือของสตรีผู้นี้ ก่อนหน้านี้หลี่มู่โจมตีเขาบาดเจ็บ กำลังภายในปั่นป่วน ปราณแท้ราวใยแมงมุม พลังไม่ถึงหนึ่งในสิบของยามปกติด้วยซ้ำ ลงมือตอนนี้ก็เป็นการทำให้ตัวเองอับอายเสียเปล่า

ทว่ามีคนคิดจะลงมือแล้ว

อีกทั้งยังมีแผนการอยู่นานแล้วด้วย

“ฮ่าๆ สมที่เป็นเทพธิดาแต่กำเนิด ติดตามหลี่มู่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ ก็ฝึกฝนพลังเวทออกมาได้แบบนี้แล้ว ฮ่าๆ แต่ไม่นึกเลยว่ายังเป็นสาวพรหมจรรย์ หลี่มู่ก็ช่างอดทนได้…ฮวาเสี่ยงหรง อย่างไรเจ้าก็เป็นของข้า”

แสงสีแดงเลือดทางหนึ่งตรงมาจากถนนฝั่งตรงข้ามประตูใหญ่ของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์อย่างรวดเร็ว

กลิ่นคาวเลือดที่ยากจะหาคำบรรยายตลบคลุ้ง บนฟ้ามีเมฆดำรางๆ ปรากฏขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ประกายแสงสีแดงส่องไปทั่วบริเวณนี้ ร่างเงาที่เหมือนมีแสงสีเลือดไหลวนนั้นแปลกประหลาดเป็นที่สุด ทั้งยังข้ามระยะหนึ่งลี้มาเพียงชั่วอึดใจ

จันทร์เสี้ยวสีเลือดปรากฏขึ้นกลางเมฆดำอย่างขัดกับหลักธรรมชาติ

ร่างเงาสีเลือดกระโดดเบาๆ ก็ไปเหยียบอยู่บนจันทร์เสี้ยวสีเลือด ยืนตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า

“จันทร์โลหิตสาดส่องหล้า ทั่วฟ้าดินเป็นสีเดียว ฝ่ายมารสามพันสาย ใต้จันทราข้าเป็นใหญ่!”

ร่างเงานั่นเอ่ยอย่างเนิบช้า ไอมารชั่วร้ายพลันลอยตลบออกมา

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 257 ใต้จันทราข้าเป็นใหญ่

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 257 ใต้จันทราข้าเป็นใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพลงดาบนี้ชื่อว่า ‘คลื่นวารีถาโถม’ หลี่มู่สำแดงเป็นครั้งแรก

นี่เป็นเพลงดาบที่เอาไว้ใช้กับวิชาดาบเหินหาวโดยเฉพาะ สังเกตศึกษามาจาก ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ และเพลงกระบี่ของสำนักกระบี่สวรรค์บางท่า รวบรวมบรรลุออกมา รวดเร็วดุจสายฟ้า เปลี่ยนแปลงราวภาพมายา น่าสะพรึงราวภูตผีเทพเซียน รุนแรงดั่งอุกกาบาต ในชั่วอึดใจเดียวก็ฟันออกมาได้หลายร้อยดาบ

กระบวนท่าดาบราวคลื่นถาโถม เชื่อมต่อกันเป็นชุด ดาบต่อมาจะแข็งแกร่งกว่าดาบก่อน

จนกระทั่งดาบที่หนึ่งร้อย พลังของกระบวนท่าดาบทั้งหมดก่อนหน้านี้เหมือนรวมอยู่ที่ดาบสุดท้ายนี้เอง

“เอ๋? น่าสนใจนิดๆ แฮะ”

สีหน้าของจางปู้เหล่าฉายแววตะลึง

เขายืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ เท้าไม่มีอะไรให้เหยียบแต่กลับนิ่งดุจขุนเขา ดาบโค้งในมือฟันออกมาอย่างไม่รีบร้อนลนลาน ท่วงท่าราววารีไหลเมฆาคล้อย สูงส่งไร้มลทิน หนึ่งดาบปะทะหนึ่งดาบ และสกัดกั้นกระบวนท่าโจมตีร้อยดาบของหลี่มู่เอาไว้ได้โดยสมบูรณ์

ต่อให้เป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดดาบนั้น ก็สกัดกั้นเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

และทั้งหมดนี้ ตัวจางปู้เหล่ายืนอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับราวศิลาลูกมหึมา แม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่พันยุ่งเหยิง

ฟิ้ว!

ดาบวัฏจักรพุ่งลอยกลับไปรับหลี่มู่ที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

หลี่มู่ยังไม่ถึงขั้นเหนือมนุษย์ ดังนั้นย่อมไม่มีทางอยู่กลางอากาศได้เป็นเวลานานแบบจางปู้เหล่า

‘ทำไมพลังของเขาจึงมหาศาลขนาดนี้?’

หลี่มู่ตื่นตะลึง

ตัวดาบวัฏจักรเองหนักเกินหนึ่งหมื่นจิน ภายใต้การกระตุ้นเพิ่มพลังจากค่ายกลวิชาเวท พลังของวิชาดาบเหินหาวร้อยดาบเพิ่มทบเข้าไป ดาบสุดท้ายอย่างน้อยๆ ก็มีพลังถึงห้าแสนจิน ภายใต้การฟาดฟันจากวิชาดาบแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเทือกเขาย่อมๆ ก็ต้องกลายเป็นเศษหิน แต่จางปู้เหล่ากลับยืนตระหง่านกลางอากาศ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ที่ปราณแท้ฟ้าประทานสมบูรณ์แบบ เมื่ออยู่กลางอากาศก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีกระบวนท่าดาบได้สบายๆ แบบนี้เช่นกัน

ต้องรู้ว่า จุดที่แข็งแกร่งโดยแท้จริงของยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์อยู่ที่ทักษะเคล็ดวิชาต่อสู้ ไม่ได้อยู่ที่พลัง

หากสู้ด้วยพลังล้วนๆ พลังฝึกกายเนื้อของหลี่มู่สามารถพลิกเทือกเขาได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ก็ฝืนสู้ได้

หากจางปู้เหล่าใช้ท่าร่างและความเร็วหลบร้อยดาบนี้ได้ หลี่มู่ยังพอจะรับได้บ้าง

วิชาดาบเหินหาวลงสนามสู้ครั้งแรก ก็ถอยกลับมามือเปล่า

หลี่มู่บังคับดาบวัฏจักร ร่อนลงยอดเขาหินที่ตั้งตระหง่านโดดเดี่ยวไกลออกไปสองลี้ราวสายรุ้ง

ดาบเหินหาวสิ้นเปลืองกำลังภายใน เมื่อสู้กับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ หลี่มู่ไม่กล้าประมาท โบยบินกลางอากาศนานๆ ไม่ได้

เขาเบิกเนตรสวรรค์สำรวจคู่ต่อสู้ทันที

ภายใต้เนตรสวรรค์ ทุกสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็นล้วนปรากฏออกมา ข้างกายจางปู้เหล่า ภายในระยะสองลี้มีกลุ่มพลังวิญญาณในฟ้าดินที่หนืดข้นราวแอ่งอากาศ และยังมีกระแสพลังงานลับตารูปร่างเหมือนตาข่ายที่หลี่มู่ไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังไหลไปอย่างเงียบงันในแอ่งพลังวิญญาณหนืดข้นนี้

ปัญหาจะต้องอยู่ที่กระแสพลังงานซ่อนเร้นนั่นแน่

พอหลี่มู่เห็นก็กระจ่างแจ้งทันที

อันที่จริงแอ่งพลังวิญญาณเป็นรูปลักษณ์ขอบเขตกำลังภายในของผู้แข็งแกร่งด้านวิชาต่อสู้จากการใช้เนตรสวรรค์กวาดมอง ถึงแม้จะเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ก็สามารถแผ่ขอบเขตกำลังภายในได้เหมือนกัน แต่เทียบกับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ขนาดของขอบเขตพลัง ความแข็งแกร่ง และความเข้มข้นของพลังวิญญาณจะแตกต่างกันเท่านั้นเอง

สิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สามารถยืนอยู่เหนือยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน จะต้องอยู่ที่กระแสพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายชนิดนี้แน่

มันคืออะไรกันแน่?

หลี่มู่ขบคิดในใจ มือกลับไม่หยุดนิ่ง

ภายใต้การกระตุ้นจากพลังจิตวิญญาณ ดาบวัฏจักรแหวกอากาศไป เพลงดาบ ‘คลื่นวารีถาโถม’ ฟาดฟันออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เร็วยิ่งกว่า นิ่งยิ่งกว่า การเปลี่ยนแปลงมากกว่า แล้วก็เหี้ยมโหดมากกว่า ปราณดาบสีแดงโลหิตแผ่กระจาย ฟันอากาศจนแหลกกระจุย

“ดาบเหินหาวไม่เลว แต่พลังฝึกของเจ้าต่ำเกินไป ลองอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม”

จางปู้เหล่ามีใจคิดจะให้หลี่มู่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง จึงใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ดาบโค้งอสุรภูมิสีเลือดในมือฟันออกมาทีละดาบๆ อย่างไม่รีบร้อน ไม่ว่าท่าดาบวัฏจักรจะบ้าคลั่ง รวดเร็ว หรือพลิกแพลงอย่างไร ก็ยากจะโจมตีเข้ามาในตาข่ายดาบของเขาได้

และสำหรับจางปู้เหล่าแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแค่การป้องกันอย่างง่ายๆ เท่านั้นเอง

หรือบอกได้ว่ากำลังเล่นสนุกอยู่ชัดๆ

“เป็นปัญหาที่กระแสพลังงานซ่อนเร้นนั่นจริงๆ ด้วย…”

ภายใต้เนตรสวรรค์ ทุกสิ่งไม่อาจหลบหลีกได้ หลี่มู่มองได้ชัดเจนยิ่ง การโจมตีทุกครั้งของดาบวัฏจักรมาพร้อมพลังมหาศาล ดูเหมือนดาบโค้งอสุรภูมิสีเลือดจะต้านทานเอาไว้ได้ แต่อันที่จริงพลังโจมตีกลับถูกกระจายเข้ามาในกระแสพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่าย

กระแสพลังซ่อนเร้นราวเถาวัลย์ที่หยั่งรากอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ และพยุงร่างของจางปู้เหล่าเอาไว้ ไม่ว่ากระบวนท่าดาบวัฏจักรจะแข็งแกร่งเพียงใดล้วนถูกกระจายออกไปในฟ้าดิน แล้วจะสะเทือนจางปู้เหล่าได้อย่างไร

อีกทั้งไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น

กระแสพลังลับตานั้นยังมอบพลังให้กับจางปู้เหล่าอย่างไม่ขาดสาย เหมือนกับดูดพลังฟ้าดินในระยะหลายพันจั้งเอามาใช้เองก็ไม่ปาน

“นี่ก็คือพลังเหนี่ยวนำฟ้าดิน?”

หลี่มู่ค่อนข้างเข้าใจแล้ว

เหตุที่ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ก็เพราะพวกเขาสามารถเหนี่ยวนำพลังในฟ้าดิน แล้วแปรเป็นวิชาสังหารได้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ยิ่งนัก สรรพชีวิตล้วนดำรงชีวิตอยู่ในนั้น ต่อให้เป็นพลังฟ้าดินเส้นบางๆ ก็มีฤทธิ์ทำลายขุนเขาถมมหาสมุทร ใครจะต่อกรได้?

แต่ว่า ที่พูดมาก่อนหน้านี้ก็เป็นแค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น รายละเอียดว่าจะเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินออกมาได้อย่างไร ไม่มีใครอธิบายได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

แก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ จะต้องเสาะหาออกมาเอง

ในโลกใบนี้ไม่มีใครมีเนตรสวรรค์มองทะลุทุกสรรพสิ่งเหมือนกับหลี่มู่ จึงย่อมไม่อาจมองเห็นแก่นแท้การโคจรพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ได้เป็นรูปธรรม

พลังแห่งฟ้าดิน ก็คือพลังแห่งมรรคาอันยิ่งใหญ่

หรือจะพูดว่าเป็นกฎเกณฑ์ พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ยังได้

มีคำเรียกมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นพลังชนิดเดียวกัน

และการได้เห็นฉากแบบนี้ สำหรับหลี่มู่แล้วเป็นผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่

เขาเป็นฝ่ายท้าสู้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า ไม่ใช่เพื่อมาตาย แต่เพื่อมาสำรวจแก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ ใช้วิธีเดิมเหมือนตอนสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์…ถึงแม้ด้วยพลังฝึกของเขาในตอนนี้ กำลังภายในทั่วร่างแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ฟ้าประทานเพียงแค่สามส่วนนิดๆ เท่านั้น พอจะฝืนนับว่าเป็นฟ้าประทานระดับกลาง หากคิดอยากจะก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์ก็ค่อนข้างจะรีบร้อนเกินไป แต่การสำรวจแก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นประโยชน์กับการฝึกฝนของผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้

และตอนนี้ สิ่งที่หลี่มู่ต้องทำคือเรียนรู้ความลับการฝึกฝน เก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้ง…มีชีวิตต่อไปภายใต้การลงมือของจางปู้เหล่า

……

“เจ้าเป็นใคร?”

เฮ่ออวิ๋นเสียงทั้งร้อนรนทั้งโมโห

แต่เดิมเขาคิดชิงลงมือก่อนให้ได้เปรียบ จะมาจับตัวหลูติ่งชั้นยอดเช่นเหลยอินอิน จากนั้นก็หยามหมิ่นพวกเจ้าสำนักบัณฑิตชวี แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งลงมือ กำลังจะจัดการคนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ได้อยู่แล้ว จู่ๆ กลับมีสาวงามหยาดเยิ้มปรากฏตัวขึ้น วิชาเวทน่าตื่นตะลึง นางเอาชนะยอดฝีมือของสำนักดับนิวรณ์สามคนรวดในชั่วพริบตา แม้เขาลงมือเองยังถูกสะเทือนจนกระอักเลือดล่าถอยไป…

“คุณชายให้ข้าปกป้องคนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เอาไว้”

สาวงามน่าตื่นตะลึงราวกับไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์ ทั่วร่างบริสุทธิ์ ไม่มีกลิ่นอายแปดเปื้อน ไร้ซึ่งมลทินใดๆ และมีแสงขาวรางๆ เหมือนเปล่งแสงได้เองอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนไม่กล้าจ้องมอง ต่อให้เป็นเฮ่ออวิ๋นเสียงที่อวดอ้างว่าตนเป็นคุณชายผู้สูงส่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ยังรู้สึกละอายตนเองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ทั่วร่างของนางมีท่วงทำนองเต๋าโดยธรรมชาติไหลวน

ตราประทับสีหยกหกตราลอยอยู่รอบกายนาง ที่เท้าก็มีตราประทับสีหยกหกตราลอยล้อมรอบอยู่เช่นกัน ภายใต้การขับเน้นจากตราเวท ลวดลายสีเงินใต้เท้านางสว่างวูบวาบ กะพริบอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ แปลกประหลาดอย่างที่สุด

ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกว่านางเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง

ศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์คนหนึ่งกระซิบอะไรข้างหูเฮ่ออวิ๋นเสียงที่สีหน้าตื่นตะลึง

เฮ่ออวิ๋นเสียงยิ่งตกใจใหญ่ “เจ้าคือ…นางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน ฮวาเสี่ยงหรง?”

เขาเคยได้ยินชื่อฮวาเสี่ยงหรงหลังจากที่มาถึงเมืองฉางอัน คืนนั้นนางร่ายรำเพียงลำพังใต้แสงจันทร์ดุจเซียน และบทเพลง ‘จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ ที่แพร่ไปทั่ว ยิ่งขับเน้นให้ฮวาเสี่ยงหรงเป็นดั่งเทพเซียน แต่สำหรับเฮ่ออวิ๋นเสียง ต่อให้งามเพียงใดก็เป็นแค่นางคณิกาเท่านั้น สตรีย่านเริงรมย์ ไร้ซึ่งการศึกษา จะเทียบกับเหล่าเซียนสาว จอมยุทธ์หญิง ธิดาเทพ หรือธิดาสวรรค์ในยุทธจักรได้อย่างไร?

แต่ทว่าขณะนี้ เฮ่ออวิ๋นเสียงตระหนักว่าตนผิดไปแล้ว

ผิดถนัดนัก

ในโลกมีสตรีที่งดงามเลิศล้ำแบบนี้ด้วยหรือ?

“หึ ก็แค่นางโลมเท่านั้น ไยจึงกล้ากำเริบเสิบสานอยู่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เช่นนี้?” กลับเป็นเถี่ยจ้าน เจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่เอ่ยปาก ในสายตาเต็มไปด้วยแววดูถูก “หรือคิดว่าเจ้าติดตามหลี่มู่แล้วจะวิเศษวิโสขึ้นจริงๆ? ยังไม่รีบถอยไปอีก”

นี่เป็นแค่ความเคยชินจากความรู้สึกเหนือกว่าก็เท่านั้น

บัณฑิตมีชื่อแบบพวกเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงคณิกาก็จะมีความรู้สึกเหนือกว่าเป็นธรรมดา

ฮวาเสี่ยงหรงกลับสีหน้าเรียบนิ่ง ไร้อารมณ์ และไม่พูดอะไร เพียงแค่กระตุ้นค่ายกลวิชาเวทที่แปลกประหลาดขึ้นมา ปกป้องคนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เอาไว้ข้างใน พลังจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์แผ่ออกมารอบด้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่ลงมือโดยแท้จริงนับจากที่นางติดตามหลี่มู่มาฝึกฝน ในใจแน่นอนว่าตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงคำที่หลี่มู่เคยพูด นางก็สงบจิตใจลง

สีหน้าเย็นชาและสงบนิ่งเช่นนี้ ยิ่งขับเน้นให้นางเหมือนเซียนเดียวดายหลีกลี้ทางโลก

ในดวงตาของเฮ่ออวิ๋นเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและอิจฉา

เขาพลันริษยาหลี่มู่หาใดเปรียบ

หลี่มู่มีดีอะไรถึงได้มีสาวงามพิสุทธิ์เช่นนี้อยู่เคียงกาย?

อีกทั้งสาวงามคนนี้ยังไม่ใช่แค่แจกันประดับฉาก แต่เป็นจอมเวทยอดฝีมือที่แท้จริง ดูจากกลิ่นอายค่ายกลแล้ว น่ากลัวว่าพลังฝึกวิชาเวทคงถึงขั้นฟ้าประทานแล้วกระมัง?

เขาไม่มีความคิดที่จะลงมือแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้ลงมือหยั่งเชิง ผลก็ชัดเจนแล้วว่าตนไม่ใช่คู่มือของสตรีผู้นี้ ก่อนหน้านี้หลี่มู่โจมตีเขาบาดเจ็บ กำลังภายในปั่นป่วน ปราณแท้ราวใยแมงมุม พลังไม่ถึงหนึ่งในสิบของยามปกติด้วยซ้ำ ลงมือตอนนี้ก็เป็นการทำให้ตัวเองอับอายเสียเปล่า

ทว่ามีคนคิดจะลงมือแล้ว

อีกทั้งยังมีแผนการอยู่นานแล้วด้วย

“ฮ่าๆ สมที่เป็นเทพธิดาแต่กำเนิด ติดตามหลี่มู่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ ก็ฝึกฝนพลังเวทออกมาได้แบบนี้แล้ว ฮ่าๆ แต่ไม่นึกเลยว่ายังเป็นสาวพรหมจรรย์ หลี่มู่ก็ช่างอดทนได้…ฮวาเสี่ยงหรง อย่างไรเจ้าก็เป็นของข้า”

แสงสีแดงเลือดทางหนึ่งตรงมาจากถนนฝั่งตรงข้ามประตูใหญ่ของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์อย่างรวดเร็ว

กลิ่นคาวเลือดที่ยากจะหาคำบรรยายตลบคลุ้ง บนฟ้ามีเมฆดำรางๆ ปรากฏขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ประกายแสงสีแดงส่องไปทั่วบริเวณนี้ ร่างเงาที่เหมือนมีแสงสีเลือดไหลวนนั้นแปลกประหลาดเป็นที่สุด ทั้งยังข้ามระยะหนึ่งลี้มาเพียงชั่วอึดใจ

จันทร์เสี้ยวสีเลือดปรากฏขึ้นกลางเมฆดำอย่างขัดกับหลักธรรมชาติ

ร่างเงาสีเลือดกระโดดเบาๆ ก็ไปเหยียบอยู่บนจันทร์เสี้ยวสีเลือด ยืนตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า

“จันทร์โลหิตสาดส่องหล้า ทั่วฟ้าดินเป็นสีเดียว ฝ่ายมารสามพันสาย ใต้จันทราข้าเป็นใหญ่!”

ร่างเงานั่นเอ่ยอย่างเนิบช้า ไอมารชั่วร้ายพลันลอยตลบออกมา

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+