จอมศาสตราพลิกดารา 164 เป็นใครมาจากไหนกัน

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 164 เป็นใครมาจากไหนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนหน้านี้ คนที่เยาะหยันหลี่มู่มีไม่น้อย

โดยเฉพาะบัณฑิตคนอื่นๆ ของสองสำนักบัณฑิต คำพูดไม่น่าฟังต่างๆ พูดออกมาจนหมด ตอนนี้แค่สายตาของหลี่มู่กวาดมา ก็รู้สึกเหมือนมีมีดคมจี้หัวใจทันใด ตกใจจนหัวใจเต้นระส่ำ ไม่กล้าหายใจแรง

“สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่แห่งปราชญ์เมธีปัญญาชนในเมืองโบราณฉางอัน ลูกศิษย์ที่อบรมสั่งสอนออกมากลับเป็นพวกกลับดำเป็นขาว น่าสมเพชและน่าหัวร่อนัก วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า กลับไปบอกเจ้าสำนักบัณฑิตของพวกเจ้าเสีย สิบวันหลังจากนี้ ข้าจะไปเยี่ยมเยือนสำนักบัณฑิตทั้งสอง ขอยืมอ่านตำราลับในหอสมุดเขาเหมันต์และคลังคัมภีร์เสียงวิหคสวรรค์ ให้พวกเขาเก็บกวาดทำความสะอาดคลังหนังสือทั้งสองภายในสิบวันนี้ไว้รอข้าด้วย”

สายตาของหลี่มู่กวาดมองบัณฑิตที่เหมือนเสียบิดามารดาพวกนี้ และพูดอย่างเฉียบขาด

คนอื่นได้ยินคำพูดของเขาก็เดาะลิ้นอยู่ในใจ

สิบวันหลังจากนี้ จะใช้พลังของตัวเองท้าทายสองสำนักบัณฑิตหรือ?

ต้องรู้ก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นหอสมุดเขาเหมันต์ของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์หรือคลังคัมภีร์เสียงวิหคสวรรค์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ก็ล้วนเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักทั้งสอง ในนั้นสะสมตำราคัมภีร์โบราณต่างๆ เอาไว้มากมาย มีทั้งคัมภีร์ตำรารวบรวมกลอนกวี และมีเคล็ดลับทฤษฎีการฝึกยุทธ์ พูดได้ว่าเป็นรากฐานการยืนหยัดอยู่ในอาณาจักรวรรณกรรมของสองสำนักบัณฑิต

สถานที่ที่สำคัญเช่นนี้ หากไม่ใช่ศิษย์สายตรงของคนระดับสูงในสำนักบัณฑิต คนอื่นไม่มีทางเข้าไปได้เลย เด็กหนุ่มคนนี้จะยืมหนังสือในคลังหนังสือใหญ่ทั้งสอง ก็เท่ากับท้าทายสองสำนักบัณฑิตแล้ว

หาญกล้านัก

วาจาอวดดียิ่ง

เหล่าบัณฑิตของสองสำนักที่อยู่ที่นั่นต่างอึ้งกันไปอีกรอบ

คนคนหนึ่งไยจึงกำเริบเสิบสานได้ถึงขั้นนี้?

แม่เล้าไป๋เซวียนที่อยู่ข้างๆ อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

ขอเรียกร้องนี้จะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

ต่อให้เป็น ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนเองก็คงไม่กล้าพูดแบบนี้?

ฮวาเสี่ยงหรงพอจะรู้จักสำนักบัณฑิตทั้งสองบ้าง ได้ยินดังนั้น แสงประหลาดฉายก็ขึ้นในดวงตาคู่งาม

ตอนนี้นางมองหลี่มู่ไม่ออกแล้วจริงๆ

เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดา ไม่มีอำนาจไม่มีพลังแต่ความสามารถด้านกวีเป็นเลิศแบบที่นางคิดจริงหรือ?

เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

บัณฑิตธรรมดาจะมีพลังฝึกแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มีรัศมีอำนาจดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?

เขาไม่ได้หารือกับสองสำนักบัณฑิต แต่กำลังแจ้ง กำลังสั่งการ กำลังบอกกล่าว…นั่นเป็นการมองต่ำลงมาจากเบื้องบน ราวกับราชาผู้สูงส่งก้มมองแมลงที่ทั้งโง่เง่าและด้อยค่า

เขาไม่ใช่คนธรรมดา

แต่ เขาจะเป็นใครกัน?

หัวใจของฮวาเสี่ยงหรงเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

“ได้ คำของท่าน พวกเราจะแจ้งเจ้าสำนักโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว” ศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ฝืนรวบรวมความกล้า กัดฟันพูดขึ้น “แต่ว่า ท่านน่าจะบอกพวกเราว่าท่านเป็นใครหน่อยกระมัง? ให้พวกเราได้รู้ว่าผู้ที่จะยืมหนังสือในหอสมุดของสำนักเราเป็นใครมาจากที่ใดกัน”

ประโยคนี้นับว่าถามแทนใจของทุกคน

หลี่มู่ยิ้มน้อยๆ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขากำลังจะพูด…

ตอนนี้เอง การเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

เสียงเกือกม้าดังกึกก้องมาจากด้านนอก ต่อมาก็เป็นเสียงฝีเท้าและเสียงกระทบกันของเกราะเหล็ก มาถึงยังนอกโถงใหญ่ด้วยความเร็วสูงยิ่ง

“ถอยไป กองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกตรวจตรา ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเดี๋ยวนี้”

เสียงตะโกนดังมา

“ใต้เท้าไช่ ไช่จือเจี๋ยมาถึงแล้ว” มีคนเอ่ยเสียงดัง

ไช่จือเจี๋ยคือขุนพลกองรักษาการณ์เมืองฉางอันฝั่งตะวันออก เป็นหนึ่งในคนใหญ่คนโตในแวดวงขุนนางเมืองฉางอัน ท่วงท่าแข็งแกร่ง ลงมือเหี้ยมโหด มีอำนาจมาก เป็นบุคคลที่ทำให้เด็กร้องไห้ยามค่ำคืนเงียบได้ในเมืองฉางอันฝั่งตะวันออก ตำแหน่งของเขาเทียบเท่ากับสารวัตรตำรวจในเขตต่างๆ ของโลก

คนทั้งหลายได้ยินว่าบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นี้มาถึง ก็รู้ทันทีว่าละครในคืนนี้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว

คนของทางการมาถึงแล้วในที่สุด

นี่เป็นตัวแทนแสดงถึงอำนาจของขุนนางแห่งจักรวรรดิเชียวนะ

อาจารย์ของสำนักบัณฑิตทั้งสองถูกสังหารต่อหน้าธารกำนัล เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายของจักรวรรดิแน่นอน ทางการจะต้องลงมาดูแล

เห็นทหารเกราะดำเงาวับพร้อมอาวุธคมกริบเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา

ผู้ที่เป็นหัวหน้าสูงหกฉื่อ รูปร่างอ้วน ตัวหนากว่าคนปกติเท่าหนึ่ง สวมเกราะดำทำพิเศษอยู่บนร่าง ทำให้ดูราวกับเจดีย์อย่างไรอย่างนั้น เรือนกายสูงใหญ่จนเกินสมควร หนวดเคราราวเข็มเหล็ก ดวงตากลมดุจตาเสือดาว ที่เอวมีดาบเหล็กด้ามผีแขวนเอาไว้ รัศมีอำนาจน่าพรั่นพรึง ยามเดินเข้ามาชวนให้คนรู้สึกเหมือนทั่วทั้งหอสดับเซียนสั่นไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

คนยักษ์อ้วนดำคนนี้หากไม่ใช่ผู้บัญชาการไช่ไช่จือเจี๋ย แล้วจะเป็นใครไปได้?

คนดุดันผู้นี้เพียงปรากฏกาย ก็ทำให้อุณหภูมิทั่วทั้งโถงใหญ่ลดต่ำลงไปมากทันที ประหนึ่งมีพายุเหมันต์พัดกวาดเข้ามา

บัณฑิตจากสองสำนักบัณฑิตลิงโลดกันทันใด ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิตก็ไม่ปาน

คนของทางการมาแล้ว คราวนี้ดีเลย ในที่สุดก็มีคนจัดการฆาตกรมารคลั่งนี่ได้เสียที

ไป๋เซวียนตกใจอยู่บ้าง

เพราะคนของทางการมาถึงเร็วกว่าการคำนวณของนางเล็กน้อย ตามหลักแล้ว ตอนนี้คนที่นางส่งไปแจ้งทางการน่าจะเพิ่งถึงกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออก รอที่ทำการเคลื่อนไหวอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วยาม ทำไมถึงได้มาไวเพียงนี้?

ฮวาเสี่ยงหรงหน้าเปลี่ยนสี

ใจนางร้อนรน เป็นห่วงความปลอดภัยของหลี่มู่ จึงดึงๆ ไหล่ของเขาพลางกระซิบเสียงต่ำ “คุณชาย รีบไป…” หากเกี่ยวพันไปถึงทางการ เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว ต่อให้พลังแข็งแกร่งเพียงใด ก็จะขัดขืนทางการของจักรวรรดิได้หรือ?

ทว่าหลี่มู่กลับไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

เขาส่งสายตาอ่อนโยนให้ฮวาเสี่ยงหรงวางใจ ยืนอยู่ที่เดิม จิตใจสงบสุขุม

บรรยากาศในโถงใหญ่แปลกประหลาดขึ้นมาทันที

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ ไช่จือเจี๋ยที่น่าเกรงขาม เมื่อเข้ามาแล้วไม่ได้สั่งคนจับหลี่มู่ กลับกวาดสายตามอง เมื่อเห็นศพของเจินหย่วนเต้าและเจี่ยจั้วเหรินก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร กระทั่งไม่แม้แต่จะถาม สีหน้าไร้อารมณ์ โบกมือแล้วเอ่ยว่า “หามออกไป”

มีทหารวิ่งออกมาหามศพของอาจารย์สองคนนี้ออกไปทันที

“ใต้เท้าไช่ ท่านต้องช่วยพวกเรานะ…” บัณฑิตของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์คนหนึ่งคิดว่าตัวช่วยมาแล้ว จึงก้าวขึ้นไปรับหน้าด้วยใบหน้าอมทุกข์

“ลากออกไป” ไช่จือเจี๋ยสั่งด้วยสีหน้าเย็นชา

ข้างๆ มีรองนายพลท่าทางดุดันสองคนออกมาหิ้วปีกบัณฑิตคนนี้แล้วลากออกไป

“ใต้เท้า นี่หมายความว่าอย่างไร? ใต้เท้า…ข้าไม่ใช่ฆาตกร…” บัณฑิตคนนั้นตระหนกตกใจ ดิ้นรนซักถาม

ทหารเกราะดำลงมือ ไม่ฟังคำใดๆ ก็ตบหน้าไปหลายที จนบัณฑิตคนนี้จมูกปากเลือดไหล สลบเหมือดไป จากนั้นก็ล่ามโซ่ตรวน อุดปาก แล้วลากออกไปข้างนอก

บัณฑิตจากสองสำนักบัณฑิตคนอื่นๆ เห็นภาพนี้แล้วก็ตื่นตกใจ เกิดความรู้สึกไม่สู้ดีบางอย่าง

บรรยากาศเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้อง

คนอื่นๆ ก็สัมผัสอะไรได้

ดูท่าทาง ใต้เท้ากองรักษาการณ์คนนี้เหมือนจะไม่ได้มาจับฆาตกร?

ภายใต้สายตาหลายร้อยคู่ที่จับจ้องมาในโถงใหญ่ บุคคลยิ่งใหญ่ในเมืองฉางอันที่มากอำนาจ ชื่อเสียงเหี้ยมโหด สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของหลี่มู่ กวาดมองแค่แวบหนึ่ง จากนั้นก้าวขึ้นมาแล้วประสานมือเล็กน้อยท่ามกลางสายตาอึ้งตะลึงไม่อยากเชื่อของทุกคน “คารวะยอดปรมาจารย์”

แน่นอนว่าเขารู้ฐานะของหลี่มู่

เพราะเจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นคนไปเชิญเขามาเอง

ยอดปรมาจารย์ด้านยุทธ์ อยู่ในจักวรรดิมีตำแหน่งพิเศษ

ในโลกใบนี้วิถียุทธ์เฟื่องฟู แผ่นดินใหญ่เสินโจวมีสำนักเทพทั้งเก้า จักรวรรดิทั้งสาม และอำนาจปกครองที่มีเอกภาพด้านการเมืองและศาสนาของต่างชนเผ่าร่วมกันปกครอง ไม่ว่าจะเป็นฉินตะวันตก ซ่งเหนือ หรือฉู่ใต้ เมื่อยอดฝีมือที่พลังฝึกสูงถึงระดับหนึ่งกระทำผิด สำนักตรวจการจะเข้ามาควบคุมสอบสวน แต่หากพลังฝึกถึงขั้นยอดปรมาจารย์เมื่อใดก็แทบมองข้ามกฎระเบียบทั่วไปได้เลย ปกติแล้วจะไม่ลงโทษง่ายๆ นอกเสียจากว่าทำผิดโทษมหันต์ เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรไว้ร่วมกับอัจฉริยะคนสำคัญของจักรวรรดิ

เช่นนั้นคำถามก็เกิดขึ้นแล้ว สังหารอาจารย์ของสองสำนักบัณฑิตเป็นโทษมหันต์หรือไม่?

แน่นอนว่าไม่ใช่

เรื่องแบบนี้ ต่อให้พัวพันกับสำนักตรวจการ สุดท้ายแล้วก็แค่ไกล่เกลี่ยหรือไม่ก็ลงโทษสถานเบาเป็นหลัก เรื่องจับเข้าคุกหรือชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตอะไรพวกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน

ดังนั้น ต่อให้ไช่จือเจี๋ยมีอำนาจมากขนาดไหน ตำแหน่งสูงเพียงใด ก็ไม่มีทางโง่จนถึงขั้นจับยอดปรมาจารย์สายยุทธ์เพื่อแสดงอำนาจ

อีกทั้งฐานะของยอดปรมาจารย์สายยุทธ์ผู้นี้ค่อนข้างพิเศษด้วย

เมื่อไช่จือเจี๋ยคิดถึงคำพูดของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนที่พูดกับตนก่อนหน้านี้ เขายิ่งไม่กล้าละเลย คนอื่นรู้แค่ว่าหลี่มู่เป็นลูกที่ถูกใต้เท้าเจ้าเมืองทอดทิ้ง แต่เรื่องส่วนตัวของท่านเจ้าเมืองที่แท้จริง ใครจะรู้แน่ชัดได้ ท่านผู้นั้นในตรอกไล่หมูตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช ไม่อาจทำงานอะไรได้ แต่ครึ่งปีที่ผ่านมากลับยังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวเบื้องหลังนั้นมีมากมายแน่นอน

ดังนั้นท่าทางของเขาจึงเกรงใจมาก

ภาพนี้ฉายอยู่ในสายตาของทุกคนในห้องโถง ก็เกือบทำให้ลูกตาของพวกเขาหลุดลงมากลิ้งอยู่บนพื้น

เกิดอะไรขึ้น?

ใต้เท้าไช่…ก้มหัวให้เด็กหนุ่มคนนี้อย่างนั้นรึ?

ยอดปรมาจารย์?

หมายความว่าอย่างไร?

คนที่แต่เดิมรอหัวเราะเยาะหลี่มู่ ตอนนี้แข็งค้างเป็นหินไปแล้ว

สถานการณ์พลิกผัน

สถานกรณ์พลิกผันอีกแล้ว

มารดามันสิ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากที่ใดกัน

ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ห้าหกคนนั้นที่เคยท้าทายหลี่มู่กับเจิ้งฉุนเจี้ยนตกใจจนเหงื่อซึมชื้นไปทั้งตัว แทบอยากจะทำเหมือนนกกระจอกเทศ เอาหัวมุดลงไปในดิน เพื่อเลี่ยงไม่ให้หลี่มู่เจอตัวแล้วคิดบัญชี

ดีที่ตอนนี้หลี่มู่ไม่ได้สนใจพวกเขา

“เจ้ารู้จักข้า?” หล่มู่อึ้งไปเล็กน้อย มองลูกพี่ใหญ่แห่งแวดวงขุนนางเมืองฉางอันคนนี้ จากนั้นก็เข้าใจอะไร “อาจารย์เจิ้งส่งเจ้ามา?”

“ใช่ขอรับ” ไช่จือเจี๋ยตอบ

หลี่มู่พยักหน้า

มิน่าเล่า พอออกมาเจิ้งฉุนเจี้ยนก็หายไปแล้ว

ที่แท้ไปเชิญคนมานี่เอง

คิดถึงตอนที่อยู่ในโถงใหญ่ เจิ้งฉุนเจี้ยนเห็นพวกเจินหย่วนเต้ามาถึง รู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงไปบอกกล่าวกับกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกสักหน่อย…แน่นอนว่าไม่ใช่ให้คนของที่นั่นมาไกล่เกลี่ยให้ตน แต่เพื่อมาตามล้างตามเช็ด

“งั้นข้าไปได้แล้วรึยัง?” หลี่มู่ถาม

“แน่นอน เชิญท่านตามสบาย” ไช่จือเจี๋ยเอ่ยอย่างเกรงใจ

หลี่มู่มองออก ชายเจดีย์เหล็กดำคนนี้คือยอดฝีมือ แข็งแกร่งกว่าโจวอีหลิงในตอนนั้นมาก สูสีกับ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทีเดียว

อีกฝ่ายเกรงใจขนาดนี้ หลี่มู่ย่อมยอมรับน้ำใจไม่ลงมือต่อ

ถึงเวลาต้องไปแล้ว

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 164 เป็นใครมาจากไหนกัน

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 164 เป็นใครมาจากไหนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนหน้านี้ คนที่เยาะหยันหลี่มู่มีไม่น้อย

โดยเฉพาะบัณฑิตคนอื่นๆ ของสองสำนักบัณฑิต คำพูดไม่น่าฟังต่างๆ พูดออกมาจนหมด ตอนนี้แค่สายตาของหลี่มู่กวาดมา ก็รู้สึกเหมือนมีมีดคมจี้หัวใจทันใด ตกใจจนหัวใจเต้นระส่ำ ไม่กล้าหายใจแรง

“สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่แห่งปราชญ์เมธีปัญญาชนในเมืองโบราณฉางอัน ลูกศิษย์ที่อบรมสั่งสอนออกมากลับเป็นพวกกลับดำเป็นขาว น่าสมเพชและน่าหัวร่อนัก วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า กลับไปบอกเจ้าสำนักบัณฑิตของพวกเจ้าเสีย สิบวันหลังจากนี้ ข้าจะไปเยี่ยมเยือนสำนักบัณฑิตทั้งสอง ขอยืมอ่านตำราลับในหอสมุดเขาเหมันต์และคลังคัมภีร์เสียงวิหคสวรรค์ ให้พวกเขาเก็บกวาดทำความสะอาดคลังหนังสือทั้งสองภายในสิบวันนี้ไว้รอข้าด้วย”

สายตาของหลี่มู่กวาดมองบัณฑิตที่เหมือนเสียบิดามารดาพวกนี้ และพูดอย่างเฉียบขาด

คนอื่นได้ยินคำพูดของเขาก็เดาะลิ้นอยู่ในใจ

สิบวันหลังจากนี้ จะใช้พลังของตัวเองท้าทายสองสำนักบัณฑิตหรือ?

ต้องรู้ก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นหอสมุดเขาเหมันต์ของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์หรือคลังคัมภีร์เสียงวิหคสวรรค์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ก็ล้วนเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักทั้งสอง ในนั้นสะสมตำราคัมภีร์โบราณต่างๆ เอาไว้มากมาย มีทั้งคัมภีร์ตำรารวบรวมกลอนกวี และมีเคล็ดลับทฤษฎีการฝึกยุทธ์ พูดได้ว่าเป็นรากฐานการยืนหยัดอยู่ในอาณาจักรวรรณกรรมของสองสำนักบัณฑิต

สถานที่ที่สำคัญเช่นนี้ หากไม่ใช่ศิษย์สายตรงของคนระดับสูงในสำนักบัณฑิต คนอื่นไม่มีทางเข้าไปได้เลย เด็กหนุ่มคนนี้จะยืมหนังสือในคลังหนังสือใหญ่ทั้งสอง ก็เท่ากับท้าทายสองสำนักบัณฑิตแล้ว

หาญกล้านัก

วาจาอวดดียิ่ง

เหล่าบัณฑิตของสองสำนักที่อยู่ที่นั่นต่างอึ้งกันไปอีกรอบ

คนคนหนึ่งไยจึงกำเริบเสิบสานได้ถึงขั้นนี้?

แม่เล้าไป๋เซวียนที่อยู่ข้างๆ อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

ขอเรียกร้องนี้จะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

ต่อให้เป็น ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนเองก็คงไม่กล้าพูดแบบนี้?

ฮวาเสี่ยงหรงพอจะรู้จักสำนักบัณฑิตทั้งสองบ้าง ได้ยินดังนั้น แสงประหลาดฉายก็ขึ้นในดวงตาคู่งาม

ตอนนี้นางมองหลี่มู่ไม่ออกแล้วจริงๆ

เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดา ไม่มีอำนาจไม่มีพลังแต่ความสามารถด้านกวีเป็นเลิศแบบที่นางคิดจริงหรือ?

เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

บัณฑิตธรรมดาจะมีพลังฝึกแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มีรัศมีอำนาจดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?

เขาไม่ได้หารือกับสองสำนักบัณฑิต แต่กำลังแจ้ง กำลังสั่งการ กำลังบอกกล่าว…นั่นเป็นการมองต่ำลงมาจากเบื้องบน ราวกับราชาผู้สูงส่งก้มมองแมลงที่ทั้งโง่เง่าและด้อยค่า

เขาไม่ใช่คนธรรมดา

แต่ เขาจะเป็นใครกัน?

หัวใจของฮวาเสี่ยงหรงเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

“ได้ คำของท่าน พวกเราจะแจ้งเจ้าสำนักโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว” ศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ฝืนรวบรวมความกล้า กัดฟันพูดขึ้น “แต่ว่า ท่านน่าจะบอกพวกเราว่าท่านเป็นใครหน่อยกระมัง? ให้พวกเราได้รู้ว่าผู้ที่จะยืมหนังสือในหอสมุดของสำนักเราเป็นใครมาจากที่ใดกัน”

ประโยคนี้นับว่าถามแทนใจของทุกคน

หลี่มู่ยิ้มน้อยๆ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขากำลังจะพูด…

ตอนนี้เอง การเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

เสียงเกือกม้าดังกึกก้องมาจากด้านนอก ต่อมาก็เป็นเสียงฝีเท้าและเสียงกระทบกันของเกราะเหล็ก มาถึงยังนอกโถงใหญ่ด้วยความเร็วสูงยิ่ง

“ถอยไป กองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกตรวจตรา ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเดี๋ยวนี้”

เสียงตะโกนดังมา

“ใต้เท้าไช่ ไช่จือเจี๋ยมาถึงแล้ว” มีคนเอ่ยเสียงดัง

ไช่จือเจี๋ยคือขุนพลกองรักษาการณ์เมืองฉางอันฝั่งตะวันออก เป็นหนึ่งในคนใหญ่คนโตในแวดวงขุนนางเมืองฉางอัน ท่วงท่าแข็งแกร่ง ลงมือเหี้ยมโหด มีอำนาจมาก เป็นบุคคลที่ทำให้เด็กร้องไห้ยามค่ำคืนเงียบได้ในเมืองฉางอันฝั่งตะวันออก ตำแหน่งของเขาเทียบเท่ากับสารวัตรตำรวจในเขตต่างๆ ของโลก

คนทั้งหลายได้ยินว่าบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นี้มาถึง ก็รู้ทันทีว่าละครในคืนนี้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว

คนของทางการมาถึงแล้วในที่สุด

นี่เป็นตัวแทนแสดงถึงอำนาจของขุนนางแห่งจักรวรรดิเชียวนะ

อาจารย์ของสำนักบัณฑิตทั้งสองถูกสังหารต่อหน้าธารกำนัล เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายของจักรวรรดิแน่นอน ทางการจะต้องลงมาดูแล

เห็นทหารเกราะดำเงาวับพร้อมอาวุธคมกริบเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา

ผู้ที่เป็นหัวหน้าสูงหกฉื่อ รูปร่างอ้วน ตัวหนากว่าคนปกติเท่าหนึ่ง สวมเกราะดำทำพิเศษอยู่บนร่าง ทำให้ดูราวกับเจดีย์อย่างไรอย่างนั้น เรือนกายสูงใหญ่จนเกินสมควร หนวดเคราราวเข็มเหล็ก ดวงตากลมดุจตาเสือดาว ที่เอวมีดาบเหล็กด้ามผีแขวนเอาไว้ รัศมีอำนาจน่าพรั่นพรึง ยามเดินเข้ามาชวนให้คนรู้สึกเหมือนทั่วทั้งหอสดับเซียนสั่นไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

คนยักษ์อ้วนดำคนนี้หากไม่ใช่ผู้บัญชาการไช่ไช่จือเจี๋ย แล้วจะเป็นใครไปได้?

คนดุดันผู้นี้เพียงปรากฏกาย ก็ทำให้อุณหภูมิทั่วทั้งโถงใหญ่ลดต่ำลงไปมากทันที ประหนึ่งมีพายุเหมันต์พัดกวาดเข้ามา

บัณฑิตจากสองสำนักบัณฑิตลิงโลดกันทันใด ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิตก็ไม่ปาน

คนของทางการมาแล้ว คราวนี้ดีเลย ในที่สุดก็มีคนจัดการฆาตกรมารคลั่งนี่ได้เสียที

ไป๋เซวียนตกใจอยู่บ้าง

เพราะคนของทางการมาถึงเร็วกว่าการคำนวณของนางเล็กน้อย ตามหลักแล้ว ตอนนี้คนที่นางส่งไปแจ้งทางการน่าจะเพิ่งถึงกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออก รอที่ทำการเคลื่อนไหวอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วยาม ทำไมถึงได้มาไวเพียงนี้?

ฮวาเสี่ยงหรงหน้าเปลี่ยนสี

ใจนางร้อนรน เป็นห่วงความปลอดภัยของหลี่มู่ จึงดึงๆ ไหล่ของเขาพลางกระซิบเสียงต่ำ “คุณชาย รีบไป…” หากเกี่ยวพันไปถึงทางการ เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว ต่อให้พลังแข็งแกร่งเพียงใด ก็จะขัดขืนทางการของจักรวรรดิได้หรือ?

ทว่าหลี่มู่กลับไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

เขาส่งสายตาอ่อนโยนให้ฮวาเสี่ยงหรงวางใจ ยืนอยู่ที่เดิม จิตใจสงบสุขุม

บรรยากาศในโถงใหญ่แปลกประหลาดขึ้นมาทันที

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ ไช่จือเจี๋ยที่น่าเกรงขาม เมื่อเข้ามาแล้วไม่ได้สั่งคนจับหลี่มู่ กลับกวาดสายตามอง เมื่อเห็นศพของเจินหย่วนเต้าและเจี่ยจั้วเหรินก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร กระทั่งไม่แม้แต่จะถาม สีหน้าไร้อารมณ์ โบกมือแล้วเอ่ยว่า “หามออกไป”

มีทหารวิ่งออกมาหามศพของอาจารย์สองคนนี้ออกไปทันที

“ใต้เท้าไช่ ท่านต้องช่วยพวกเรานะ…” บัณฑิตของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์คนหนึ่งคิดว่าตัวช่วยมาแล้ว จึงก้าวขึ้นไปรับหน้าด้วยใบหน้าอมทุกข์

“ลากออกไป” ไช่จือเจี๋ยสั่งด้วยสีหน้าเย็นชา

ข้างๆ มีรองนายพลท่าทางดุดันสองคนออกมาหิ้วปีกบัณฑิตคนนี้แล้วลากออกไป

“ใต้เท้า นี่หมายความว่าอย่างไร? ใต้เท้า…ข้าไม่ใช่ฆาตกร…” บัณฑิตคนนั้นตระหนกตกใจ ดิ้นรนซักถาม

ทหารเกราะดำลงมือ ไม่ฟังคำใดๆ ก็ตบหน้าไปหลายที จนบัณฑิตคนนี้จมูกปากเลือดไหล สลบเหมือดไป จากนั้นก็ล่ามโซ่ตรวน อุดปาก แล้วลากออกไปข้างนอก

บัณฑิตจากสองสำนักบัณฑิตคนอื่นๆ เห็นภาพนี้แล้วก็ตื่นตกใจ เกิดความรู้สึกไม่สู้ดีบางอย่าง

บรรยากาศเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้อง

คนอื่นๆ ก็สัมผัสอะไรได้

ดูท่าทาง ใต้เท้ากองรักษาการณ์คนนี้เหมือนจะไม่ได้มาจับฆาตกร?

ภายใต้สายตาหลายร้อยคู่ที่จับจ้องมาในโถงใหญ่ บุคคลยิ่งใหญ่ในเมืองฉางอันที่มากอำนาจ ชื่อเสียงเหี้ยมโหด สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของหลี่มู่ กวาดมองแค่แวบหนึ่ง จากนั้นก้าวขึ้นมาแล้วประสานมือเล็กน้อยท่ามกลางสายตาอึ้งตะลึงไม่อยากเชื่อของทุกคน “คารวะยอดปรมาจารย์”

แน่นอนว่าเขารู้ฐานะของหลี่มู่

เพราะเจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นคนไปเชิญเขามาเอง

ยอดปรมาจารย์ด้านยุทธ์ อยู่ในจักวรรดิมีตำแหน่งพิเศษ

ในโลกใบนี้วิถียุทธ์เฟื่องฟู แผ่นดินใหญ่เสินโจวมีสำนักเทพทั้งเก้า จักรวรรดิทั้งสาม และอำนาจปกครองที่มีเอกภาพด้านการเมืองและศาสนาของต่างชนเผ่าร่วมกันปกครอง ไม่ว่าจะเป็นฉินตะวันตก ซ่งเหนือ หรือฉู่ใต้ เมื่อยอดฝีมือที่พลังฝึกสูงถึงระดับหนึ่งกระทำผิด สำนักตรวจการจะเข้ามาควบคุมสอบสวน แต่หากพลังฝึกถึงขั้นยอดปรมาจารย์เมื่อใดก็แทบมองข้ามกฎระเบียบทั่วไปได้เลย ปกติแล้วจะไม่ลงโทษง่ายๆ นอกเสียจากว่าทำผิดโทษมหันต์ เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรไว้ร่วมกับอัจฉริยะคนสำคัญของจักรวรรดิ

เช่นนั้นคำถามก็เกิดขึ้นแล้ว สังหารอาจารย์ของสองสำนักบัณฑิตเป็นโทษมหันต์หรือไม่?

แน่นอนว่าไม่ใช่

เรื่องแบบนี้ ต่อให้พัวพันกับสำนักตรวจการ สุดท้ายแล้วก็แค่ไกล่เกลี่ยหรือไม่ก็ลงโทษสถานเบาเป็นหลัก เรื่องจับเข้าคุกหรือชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตอะไรพวกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน

ดังนั้น ต่อให้ไช่จือเจี๋ยมีอำนาจมากขนาดไหน ตำแหน่งสูงเพียงใด ก็ไม่มีทางโง่จนถึงขั้นจับยอดปรมาจารย์สายยุทธ์เพื่อแสดงอำนาจ

อีกทั้งฐานะของยอดปรมาจารย์สายยุทธ์ผู้นี้ค่อนข้างพิเศษด้วย

เมื่อไช่จือเจี๋ยคิดถึงคำพูดของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนที่พูดกับตนก่อนหน้านี้ เขายิ่งไม่กล้าละเลย คนอื่นรู้แค่ว่าหลี่มู่เป็นลูกที่ถูกใต้เท้าเจ้าเมืองทอดทิ้ง แต่เรื่องส่วนตัวของท่านเจ้าเมืองที่แท้จริง ใครจะรู้แน่ชัดได้ ท่านผู้นั้นในตรอกไล่หมูตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช ไม่อาจทำงานอะไรได้ แต่ครึ่งปีที่ผ่านมากลับยังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวเบื้องหลังนั้นมีมากมายแน่นอน

ดังนั้นท่าทางของเขาจึงเกรงใจมาก

ภาพนี้ฉายอยู่ในสายตาของทุกคนในห้องโถง ก็เกือบทำให้ลูกตาของพวกเขาหลุดลงมากลิ้งอยู่บนพื้น

เกิดอะไรขึ้น?

ใต้เท้าไช่…ก้มหัวให้เด็กหนุ่มคนนี้อย่างนั้นรึ?

ยอดปรมาจารย์?

หมายความว่าอย่างไร?

คนที่แต่เดิมรอหัวเราะเยาะหลี่มู่ ตอนนี้แข็งค้างเป็นหินไปแล้ว

สถานการณ์พลิกผัน

สถานกรณ์พลิกผันอีกแล้ว

มารดามันสิ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากที่ใดกัน

ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ห้าหกคนนั้นที่เคยท้าทายหลี่มู่กับเจิ้งฉุนเจี้ยนตกใจจนเหงื่อซึมชื้นไปทั้งตัว แทบอยากจะทำเหมือนนกกระจอกเทศ เอาหัวมุดลงไปในดิน เพื่อเลี่ยงไม่ให้หลี่มู่เจอตัวแล้วคิดบัญชี

ดีที่ตอนนี้หลี่มู่ไม่ได้สนใจพวกเขา

“เจ้ารู้จักข้า?” หล่มู่อึ้งไปเล็กน้อย มองลูกพี่ใหญ่แห่งแวดวงขุนนางเมืองฉางอันคนนี้ จากนั้นก็เข้าใจอะไร “อาจารย์เจิ้งส่งเจ้ามา?”

“ใช่ขอรับ” ไช่จือเจี๋ยตอบ

หลี่มู่พยักหน้า

มิน่าเล่า พอออกมาเจิ้งฉุนเจี้ยนก็หายไปแล้ว

ที่แท้ไปเชิญคนมานี่เอง

คิดถึงตอนที่อยู่ในโถงใหญ่ เจิ้งฉุนเจี้ยนเห็นพวกเจินหย่วนเต้ามาถึง รู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงไปบอกกล่าวกับกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกสักหน่อย…แน่นอนว่าไม่ใช่ให้คนของที่นั่นมาไกล่เกลี่ยให้ตน แต่เพื่อมาตามล้างตามเช็ด

“งั้นข้าไปได้แล้วรึยัง?” หลี่มู่ถาม

“แน่นอน เชิญท่านตามสบาย” ไช่จือเจี๋ยเอ่ยอย่างเกรงใจ

หลี่มู่มองออก ชายเจดีย์เหล็กดำคนนี้คือยอดฝีมือ แข็งแกร่งกว่าโจวอีหลิงในตอนนั้นมาก สูสีกับ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทีเดียว

อีกฝ่ายเกรงใจขนาดนี้ หลี่มู่ย่อมยอมรับน้ำใจไม่ลงมือต่อ

ถึงเวลาต้องไปแล้ว

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+