จอมศาสตราพลิกดารา 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงจันทร์ส่องสว่างที่หน้าเตียง ดูคล้ายเคียงน้ำค้างแข็งบนพื้นหนา แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าดูจันทรา ก้มหน้าถวิลหาบ้านเกิดเมืองนอน

กวีง่ายๆ บทหนึ่ง

งานประพันธ์คิดถึงบ้านเกิดของหลี่ไป๋กวีสายจินตนิยมแห่งราชวงศ์ถังที่ขับขานสืบมาพันปี

บนดาวโลกนั้น เด็กน้อยอายุสามขวบก็ท่องออกมาได้อย่างคุ้นเคย ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก

ดูจากมุมมองนี้ บทกวีนี้ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรนัก

แต่สำหรับหลี่มู่แล้ว พริบตาที่เขาเห็นกวีบทนี้ จิตใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

เพราะว่ากระดาษที่เขียนบทกวีนี้ไว้ ทูตของซ่งเหนือเป็นผู้ส่งเข้ามา

ตัวหนังสือที่เขียนกวีก็เป็นอักษรจีนด้วย

กลอนกวีบนดาวโลก ตัวหนังสือจากดาวโลก

แต่กลับเป็นทูตจากซ่งเหนือส่งเข้ามา

นี่ไม่ควรจะเป็นสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ และไม่ใช่ตัวอักษรในโลกนี้ด้วย แต่กลับถูกส่งมาจากคนที่อยู่ในโลกนี้

หลี่มู่ฉุกคิดขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าต้องมีคนคนหนึ่งจากดาวโลกเหมือนเขา มาอาศัยอยู่ในโลกนี้

แต่คนที่มาจากดาวโลกผู้นี้อยู่ที่ซ่งเหนือ

เรื่องนี้สำหรับหลี่มู่แล้วมีความหมายอย่างมาก

ความรู้สึกได้พบคนบ้านเดียวกันในที่ห่างไกล เอ่อล้นในใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความตกใจและความไม่คาดคิด จนเมื่อเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงพาตัวทูตจากซ่งเหนือเดินเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว เขาถึงได้สติกลับมา

“ข้าทูตจากซ่งเหนือจ้าวจี้ ยินดีที่ได้พบกับปฐมเทวะ” ทูตคนนี้ทำความเคารพอย่างนบนอบ

เขาเป็นคนหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้าได้สัดส่วน คิ้วหนาตาโต สีหน้าท่าทางหนักแน่น สวมเครื่องแบบบัณฑิตแห่งซ่งเหนือ ชุดคลุมตัวใหญ่แขนกว้าง ที่เอวคาดกระบี่ซ่ง รูปร่างผอมสูง บุคลิกองอาจห้าวหาญ

สายตาของหลี่มู่ที่ตกอยู่บนตัวทูตซ่งเหนือคนนี้คมกริบราวดาบ

จ้าวจี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปร่างที่ยากจะเปรียบเปรยครอบทับลงมารอบตัว ภายใต้สายตาของปฐมเทวะหลี่มู่ เขารู้สึกเหมือนมดที่ถูกหินยักษ์ทับเอาไว้อยู่ตลอด เพียงแค่ไม่ระวัง ก็อาจถูกบดขยี้จนกระดูกป่นไปได้

สมคำร่ำลือ

“ใครให้เจ้าส่งนี่มาให้ข้า?” ในมือหลี่มู่ถือกวีบทนั้นอยู่ เอ่ยขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมทันที

จ้าวจี้ไม่กล้าอ้อยอิ่ง ตอบกลับว่า “ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธิดาบุญธรรมของปาเสียนอ๋องไหว้วานให้ข้านำมามอบให้กับท่านปฐมเทวะก่อนจะออกเดินทางมา นางเคยบอกว่าหากถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วท่านปฏิเสธไม่พบข้า ให้มอบของสิ่งนี้ไป ใต้เท้าอาจยอมพบข้าเป็นข้อยกเว้น”

ในใจของเขา จริงๆ แล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก

พูดตามจริงคือ ตอนที่ออกจากหลินอันเมืองหลวงซ่ง ธิดาบุญธรรมปาเสียนอ๋องมาขอพบเขาเป็นการส่วนตัว ให้เขานำของสิ่งนี้มามอบให้กับปฐมเทวะหลี่มู่ บอกว่าอาจช่วยเหลือเขาได้

ตอนนั้น ในใจของจ้าวจี้ก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก

เพราะว่าชื่อและบทกวีของหลี่มู่ ถึงแม้จะสะพัดไปถึงซ่งเหนือแล้วและค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ว่าหลี่มู่คนนี้ยังไม่เคยมาที่ซ่งเหนือเลย กระทั่งไม่เคยเดินออกจากเมืองฉางอันแห่งฉินตะวันตกด้วยซ้ำ ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องไม่มีทางเคยพบกับหลี่มู่ แล้วจะสนิทสนมกันได้อย่างไร เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว วาดสัญลักษณ์แปลกๆ ส่วนหนึ่ง จะสามารถโน้มน้าวปฐมเทวะอย่างหลี่มู่ได้หรือ?

ทว่าหลังจากมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ ขอเข้าพบปฐมเทวะหลายต่อหลายครั้งล้วนถูกปฏิเสธมาทั้งสิ้น ได้พบเพียงเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง นี่ทำให้ใจของจ้าวจี้กระวนกระวาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เขาแค่กอดเอาจิตใจที่หมายจะทดลองดู มอบสิ่งของที่ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องวานมาให้ไป ผลลัพธ์กลับไม่คาดคิด ประสิทธิภาพน่าตกใจมาก เพียงไม่นานก็เข้าพบปฐมเทวะหลี่มู่ได้ทันที

หลี่มู่ได้ฟังคำตอบของจ้าวจี้ ในใจยังคงมึนงงอยู่

ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องแห่งซ่งเหนือ?

เขาไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน

“เล่าถึงธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น “นางเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”

จ้าวจี้เมื่อได้ยินก็รู้สึกประหลาดนัก ท่านปฐมเทวะสนใจในตัวนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

แต่ว่าเขาก็ยังเรียบเรียงคำพูดอยู่สักครู่ กล่าวไปว่า “ปาเสี้ยนอ๋องคือท่านอ๋องที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณงามความดีของจักรวรรดิผู้หนึ่ง ตำแหน่งสูงส่งนัก น่าจะราวๆ ครึ่งปีก่อนกระมัง ท่านผู้นั้นได้ออกตรวจเยี่ยมเยียนประชาชนโดยไม่เปิดเผยตัว และรับธิดาบุญธรรมคนนี้มาโดยบังเอิญ ท่านรักเอ็นดูนางมาก จนมอบนามสกุลจ้าวให้ นามคือจ้าวซืออวี่ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิงหวนจู ทำให้ในเมืองหลินอันเมืองหลวงซ่งเกิดการเคลื่อนไหวบางส่วน ส่วนเรื่องที่มาที่ไปนั้น ข้าก็ไม่ทราบเท่าไรนัก”

หลี่มู่ฟังแล้วค่อนข้างตกใจ

ซืออวี่?

ชื่อนี้คุ้นมาก

ตอนเขาอยู่บนดาวโลก ดาวของชั้นเรียน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นดาวโรงเรียนที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเขาชื่อหวางซืออวี่ ฉลาดหลักแหลมมาก ปกติก็ยังมาดูแลเด็กพร้าอย่างเขาเป็นอย่างดี กระทั่งในหมู่นักเรียนยังลือว่าหลี่มู่กับหวางซืออวี่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ

ทว่าสำหรับหลี่มู่แล้วไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนกัน ถ้าจะพูดจริงๆ นั่นเป็นแค่ความรู้สึกไม่ชัดเจนที่เพิ่งแตกหน่อมากกว่า ไม่ใช่อะไรที่ร้อนแรงมากมาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกหนุ่มน้อย

หลี่มู่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับหวางซืออวี่อยู่

แต่หลังจากมาถึงโลกใบนี้ หลี่มู่ก็ค่อยๆ ทิ้งความรู้สึกต่อดาวโรงเรียนที่เพิ่งแตกหน่อนั้นไป เพราะว่าอยู่โลกคนละใบ หลังผ่านไปยี่สิบปี สาวน้อยดาวโรงเรียนคนนี้ก็คงแต่งงานออกเรือนไปกับชายอื่นนานแล้ว

แต่ว่าตอนนี้…

ใจของหลี่มู่ จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้น

เพราะเขากำลังคิดว่าจ้าวซืออวี่ธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องคนนี้ จะเป็น…หวางซืออวี่ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับตนเองเมื่อก่อนหรือไม่ เธอก็มายังโลกใบนี้ด้วย? อย่างไรเสียก็มีเพียงคนบนดาวโลก และจะต้องเป็นคนจีนบนดาวโลกเท่านั้น ถึงจะรู้จักกวีของหลี่ไป๋

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงหวนจู?

ทำไมฟังแล้วคล้ายกับหวนจูเก๋อเก๋อ (องค์หญิงกำมะลอ) เลย?

แต่พอมาคิดอย่างละเอียดอีกที ถึงแม้มีเค้าลางส่อให้เห็น ก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้

เพราะหวางซืออวี่เป็นคนธรรมดา ข้างๆ ไม่มีซินแสเฒ่า ไม่น่าจะข้ามดาราสมุทรมายังที่นี่ได้

หลี่มู่ถามไปอีกครั้งด้วยใจที่มีความหวังเล็กๆ “ในเมื่อได้รับแต่งตั้งสกุลจ้าวที่เป็นสกุลราชวงศ์ เช่นนั้นท่านทูตซ่งทราบไหมว่าท่านหญิงหวนจูคนนี้สกุลเดิมว่าอะไร?”

จ้าวจวี้จ้องมองหลี่มู่ด้วยสีหน้าประหลาด ตอบว่า “ได้ยินมาว่า น่าจะเป็นสกุลหวางขอรับ…”

“อะไรนะ?” หลี่มู่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตกใจ “สกุลหวาง? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม สกุลหวาง…จริงหรือ?”

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา ทำเอาจ้าวจี้ทูตจากซ่งตกใจตามไปด้วย

“เห็นว่าสกุลหวางจริง ไม่ผิดแน่ ข้านึกออกแล้ว ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่ง ในงานเลี้ยงของกลุ่มคนสำคัญในเมืองหลินอัน ท่านหญิงหวนจูที่ดื่มหนักเกินไปเคยเรียกตนเองว่าเจ๊ใหญ่หวาง ร้องห่มร้องไห้จนเสียอาการ ต่อมาจึงถูกคนมากมายแอบหัวเราะนินทาลับหลัง” จ้าวจี้เสริมให้

หวางซืออวี่

สกุลหวางจริงๆ ด้วย

จะเป็นดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลคนนั้นหรือเปล่า?

ใจของหลี่มู่ตื่นเต้นอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก

“นาง…ท่านหญิงหวนจูคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร? อายุเท่าไหร่แล้ว?” หลี่มู่ถามพลางพยายามข่มความตื่นเต้นของตนเอง

จ้าวจี้ทูตจากซ่งในตอนนี้ยิ่งรู้สึกพิกลขึ้นเรื่อยๆ

ดูจากท่าทีของปฐมเทวะหลี่มู่ เหมือนจะรู้จักกับธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องมาก่อน แต่หากพิจารณาจากเวลาและพื้นที่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา

เขาพยายามระงับความแปลกใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านหญิงหวนจูอายุสิบห้า วันที่เก้าเดือนสิบปีนี้เพิ่งจะอายุเต็มสิบห้าไปขอรับ…” พูดไป ก็พยายามอธิบายรูปร่างหน้าตาของท่านหญิงหวนจูออกมา

หลี่มู่ฟังจบ ในใจราวกับเกิดคลื่นยักษ์น่าตกตะลึงขึ้น

ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วกว่าแปดเก้าส่วน องค์หญิงหวนจูคนนี้ต้องเป็นหวางซืออวี่ที่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับตนเมื่อก่อนแน่

เพราะว่าทุกอย่างสอดคล้องกันมาก

โดยเฉพาะอายุ รวมไปถึงลักษณะหน้าตาที่ทูตซ่งจ้าวจี้บรรยายออกมา เหมือนกับดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะในความทรงจำของหลี่มู่คนนี้นัก

นางก็มายังดาวดวงนี้เหมือนกันหรือ?

แล้วมาได้อย่างไร?

เรื่องนี้ช่างไม่น่าเชื่อโดยแท้

หลี่มู่อยากจะตรงดิ่งไปซ่งเหนือในทันที เพื่อไปพบนางแล้วถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็สูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับความคิดชั่ววูบของตนลง

เนื่องเพราะเขาในตอนนี้ไม่สามารถออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ หรือออกห่างจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้

พลังต่อสู้ระดับปฐมเทวะของตน ต้องอยู่ภายในขอบเขตของค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถสำแดงได้ หากออกจากขอบเขตของค่ายกล ระยะทางห่างเกินไป พลังแท้จริงก็จะยิ่งลดลง และหากออกจากค่ายกลเกินพันลี้ จะไม่อาจหยิบยืมพลังค่ายกลมาใช้ได้แม้แต่น้อย

หลี่มู่ลูบๆ ศีรษะตนเอง

ถ้ารู้แต่แรก ก็ไม่น่าไปยั่วโมโหคนตั้งมากมายขนาดนี้เลย

ชื่อเสียงของปฐมเทวะตอนนี้กระจายออกไปแล้ว ซ้ำยังไปสังหารองค์ชายสอง เล่นงาน ‘เทพมารเพลิง’ สร้างศัตรูมากมาย ไม่รู้มีคนจำนวนเท่าไรที่กำลังเตรียมการรับมือกับตนอยู่ หากออกจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ไป แล้วมีพวกนอกรีตลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยม ความลับของตัวเขาคงแตกหมดพอดี

เมื่อเห็นหลี่มู่จมอยู่กับความคิด ในใจจ้าวอวี่ทูตจากซ่งก็ยิ่งสับสนระคนแปลกใจ

“ใต้เท้าปฐมเทวะ ข้ามาครั้งนี้เป็นตัวแทนของวังหลวงซ่งเหนือ อยากจะ…” จ้าวจี้ลองพูดเป้าหมายทางการทูตบางส่วน ถึงอย่างไรนี่ต่างหากที่เป็นความหมายแท้จริงในการทูตครั้งนี้ของเขา

หลี่มู่ฟังอย่างเหม่อลอย พยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นถามขึ้นอีก “ท่านหญิงหวนจูคนนี้ อยู่ในจวนปาเสี้ยนอ๋องชีวิตอย่างไรบ้าง? ฐานะเป็นอย่างไร? ฝึกฝนบำเพ็ญบ้างไหม?”

จ้าวจี้เอ่ยไม่ออก

รู้สึกว่าเรื่องเป้าหมายการทูตที่เขาพูดไปก่อนหน้าตั้งนานสองนาน ท่านปฐมเทวะคนนี้ไม่ได้ฟังเข้าหูเลย

แต่ว่า หากมองจากอีกด้านแล้ว ปฐมเทวะหลี่มู่ให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเป็นพิเศษทีเดียว

จ้าวจี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะไม่ล่องเรือตามน้ำได้อย่างไร?

กลัวแต่ปฐมเทวะจะไม่สนใจซ่งเหนือ ไม่ได้กลัวว่าเขาจะสนอกสนใจเสียหน่อย ในเมื่อใต้เท้าปฐมเทวะให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเช่นนี้ ก็ใช้จุดนี้พลิกสถานการณ์เริ่มการเจรจาได้มิใช่หรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจจ้าวจี้ก็ไม่ร้อนรน ค่อยๆ แนะนำท่านหญิงหวนจู บอกเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา

ปาเสี้ยนอ๋องเป็นถึงชินอ๋องลำดับที่หนึ่งแห่งซ่งเหนือ ฐานะสูงมากอำนาจ ครั้งยังหนุ่มเคยบัญชาการกองกำลังรักษาวัง ออกปราบปรามด่านชายแดน และได้รู้จักกับบุตรสาวขุนพลด่านชายแดน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้ง รักใคร่กันเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องเล่ายอดนิยมเรื่องหนึ่งในดินแดนซ่งเหนือ น่าเสียดายที่ต่อมาพระสนมโชคไม่ดีสิ้นระหว่างการรบครั้งหนึ่งในศึกใหญ่กับจักรวรรดิฉู่ใต้ ปาเสี้ยนอ๋องหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีทายาทสืบสกุล และก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่

ท่านอ๋องผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามในเขตซ่งเหนือ มีเกียรติยศสูงส่ง เพียงแต่ช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ ถอยไปอยู่หลังม่าน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักอีก

ครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ ปาเสี้ยนอ๋องออกเยี่ยมเยียนประชนชนเป็นการส่วนตัว จนได้มาพบกับหวางซืออวี่ที่เร่ร่อนอยู่เขตรกร้างกันดาร ก็ไม่รู้ว่าไปสะกิดใจท่านอ๋องเข้าตรงไหน เขาจึงรับนางมาเป็นบุญธรรม รักเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังขอให้จักรพรรดิซ่งเหนือองค์ปัจจุบันพระราชทานสกุลของราชวงศ์ซ่งเหนือให้ นำนางเข้าผังราชวงศ์ แต่งตั้งเป็นท่านหญิงหวนจู มีฐานะสูงส่งมากในเมืองหลินอัน

หลี่มู่ได้ยินแล้วก็วางใจได้เปลาะหนึ่ง

ถ้าหากเป็นหวางซืออวี่จริงๆ ไม่ว่านางจะมายังโลกนี้อย่างไร ในตอนแรกสุดต้องไร้ที่พึ่ง หวาดกลัว และโดดเดี่ยวมากแน่นอน แต่ก็ยังดีที่มีโชคได้พบกับชายชราที่ถูกชะตา มีขุนเขาใหญ่พึ่งพิงได้เช่นนี้

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงจันทร์ส่องสว่างที่หน้าเตียง ดูคล้ายเคียงน้ำค้างแข็งบนพื้นหนา แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าดูจันทรา ก้มหน้าถวิลหาบ้านเกิดเมืองนอน

กวีง่ายๆ บทหนึ่ง

งานประพันธ์คิดถึงบ้านเกิดของหลี่ไป๋กวีสายจินตนิยมแห่งราชวงศ์ถังที่ขับขานสืบมาพันปี

บนดาวโลกนั้น เด็กน้อยอายุสามขวบก็ท่องออกมาได้อย่างคุ้นเคย ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก

ดูจากมุมมองนี้ บทกวีนี้ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรนัก

แต่สำหรับหลี่มู่แล้ว พริบตาที่เขาเห็นกวีบทนี้ จิตใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

เพราะว่ากระดาษที่เขียนบทกวีนี้ไว้ ทูตของซ่งเหนือเป็นผู้ส่งเข้ามา

ตัวหนังสือที่เขียนกวีก็เป็นอักษรจีนด้วย

กลอนกวีบนดาวโลก ตัวหนังสือจากดาวโลก

แต่กลับเป็นทูตจากซ่งเหนือส่งเข้ามา

นี่ไม่ควรจะเป็นสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ และไม่ใช่ตัวอักษรในโลกนี้ด้วย แต่กลับถูกส่งมาจากคนที่อยู่ในโลกนี้

หลี่มู่ฉุกคิดขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าต้องมีคนคนหนึ่งจากดาวโลกเหมือนเขา มาอาศัยอยู่ในโลกนี้

แต่คนที่มาจากดาวโลกผู้นี้อยู่ที่ซ่งเหนือ

เรื่องนี้สำหรับหลี่มู่แล้วมีความหมายอย่างมาก

ความรู้สึกได้พบคนบ้านเดียวกันในที่ห่างไกล เอ่อล้นในใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความตกใจและความไม่คาดคิด จนเมื่อเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงพาตัวทูตจากซ่งเหนือเดินเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว เขาถึงได้สติกลับมา

“ข้าทูตจากซ่งเหนือจ้าวจี้ ยินดีที่ได้พบกับปฐมเทวะ” ทูตคนนี้ทำความเคารพอย่างนบนอบ

เขาเป็นคนหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้าได้สัดส่วน คิ้วหนาตาโต สีหน้าท่าทางหนักแน่น สวมเครื่องแบบบัณฑิตแห่งซ่งเหนือ ชุดคลุมตัวใหญ่แขนกว้าง ที่เอวคาดกระบี่ซ่ง รูปร่างผอมสูง บุคลิกองอาจห้าวหาญ

สายตาของหลี่มู่ที่ตกอยู่บนตัวทูตซ่งเหนือคนนี้คมกริบราวดาบ

จ้าวจี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปร่างที่ยากจะเปรียบเปรยครอบทับลงมารอบตัว ภายใต้สายตาของปฐมเทวะหลี่มู่ เขารู้สึกเหมือนมดที่ถูกหินยักษ์ทับเอาไว้อยู่ตลอด เพียงแค่ไม่ระวัง ก็อาจถูกบดขยี้จนกระดูกป่นไปได้

สมคำร่ำลือ

“ใครให้เจ้าส่งนี่มาให้ข้า?” ในมือหลี่มู่ถือกวีบทนั้นอยู่ เอ่ยขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมทันที

จ้าวจี้ไม่กล้าอ้อยอิ่ง ตอบกลับว่า “ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธิดาบุญธรรมของปาเสียนอ๋องไหว้วานให้ข้านำมามอบให้กับท่านปฐมเทวะก่อนจะออกเดินทางมา นางเคยบอกว่าหากถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วท่านปฏิเสธไม่พบข้า ให้มอบของสิ่งนี้ไป ใต้เท้าอาจยอมพบข้าเป็นข้อยกเว้น”

ในใจของเขา จริงๆ แล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก

พูดตามจริงคือ ตอนที่ออกจากหลินอันเมืองหลวงซ่ง ธิดาบุญธรรมปาเสียนอ๋องมาขอพบเขาเป็นการส่วนตัว ให้เขานำของสิ่งนี้มามอบให้กับปฐมเทวะหลี่มู่ บอกว่าอาจช่วยเหลือเขาได้

ตอนนั้น ในใจของจ้าวจี้ก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก

เพราะว่าชื่อและบทกวีของหลี่มู่ ถึงแม้จะสะพัดไปถึงซ่งเหนือแล้วและค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ว่าหลี่มู่คนนี้ยังไม่เคยมาที่ซ่งเหนือเลย กระทั่งไม่เคยเดินออกจากเมืองฉางอันแห่งฉินตะวันตกด้วยซ้ำ ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องไม่มีทางเคยพบกับหลี่มู่ แล้วจะสนิทสนมกันได้อย่างไร เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว วาดสัญลักษณ์แปลกๆ ส่วนหนึ่ง จะสามารถโน้มน้าวปฐมเทวะอย่างหลี่มู่ได้หรือ?

ทว่าหลังจากมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ ขอเข้าพบปฐมเทวะหลายต่อหลายครั้งล้วนถูกปฏิเสธมาทั้งสิ้น ได้พบเพียงเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง นี่ทำให้ใจของจ้าวจี้กระวนกระวาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เขาแค่กอดเอาจิตใจที่หมายจะทดลองดู มอบสิ่งของที่ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องวานมาให้ไป ผลลัพธ์กลับไม่คาดคิด ประสิทธิภาพน่าตกใจมาก เพียงไม่นานก็เข้าพบปฐมเทวะหลี่มู่ได้ทันที

หลี่มู่ได้ฟังคำตอบของจ้าวจี้ ในใจยังคงมึนงงอยู่

ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องแห่งซ่งเหนือ?

เขาไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน

“เล่าถึงธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น “นางเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”

จ้าวจี้เมื่อได้ยินก็รู้สึกประหลาดนัก ท่านปฐมเทวะสนใจในตัวนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

แต่ว่าเขาก็ยังเรียบเรียงคำพูดอยู่สักครู่ กล่าวไปว่า “ปาเสี้ยนอ๋องคือท่านอ๋องที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณงามความดีของจักรวรรดิผู้หนึ่ง ตำแหน่งสูงส่งนัก น่าจะราวๆ ครึ่งปีก่อนกระมัง ท่านผู้นั้นได้ออกตรวจเยี่ยมเยียนประชาชนโดยไม่เปิดเผยตัว และรับธิดาบุญธรรมคนนี้มาโดยบังเอิญ ท่านรักเอ็นดูนางมาก จนมอบนามสกุลจ้าวให้ นามคือจ้าวซืออวี่ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิงหวนจู ทำให้ในเมืองหลินอันเมืองหลวงซ่งเกิดการเคลื่อนไหวบางส่วน ส่วนเรื่องที่มาที่ไปนั้น ข้าก็ไม่ทราบเท่าไรนัก”

หลี่มู่ฟังแล้วค่อนข้างตกใจ

ซืออวี่?

ชื่อนี้คุ้นมาก

ตอนเขาอยู่บนดาวโลก ดาวของชั้นเรียน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นดาวโรงเรียนที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเขาชื่อหวางซืออวี่ ฉลาดหลักแหลมมาก ปกติก็ยังมาดูแลเด็กพร้าอย่างเขาเป็นอย่างดี กระทั่งในหมู่นักเรียนยังลือว่าหลี่มู่กับหวางซืออวี่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ

ทว่าสำหรับหลี่มู่แล้วไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนกัน ถ้าจะพูดจริงๆ นั่นเป็นแค่ความรู้สึกไม่ชัดเจนที่เพิ่งแตกหน่อมากกว่า ไม่ใช่อะไรที่ร้อนแรงมากมาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกหนุ่มน้อย

หลี่มู่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับหวางซืออวี่อยู่

แต่หลังจากมาถึงโลกใบนี้ หลี่มู่ก็ค่อยๆ ทิ้งความรู้สึกต่อดาวโรงเรียนที่เพิ่งแตกหน่อนั้นไป เพราะว่าอยู่โลกคนละใบ หลังผ่านไปยี่สิบปี สาวน้อยดาวโรงเรียนคนนี้ก็คงแต่งงานออกเรือนไปกับชายอื่นนานแล้ว

แต่ว่าตอนนี้…

ใจของหลี่มู่ จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้น

เพราะเขากำลังคิดว่าจ้าวซืออวี่ธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องคนนี้ จะเป็น…หวางซืออวี่ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับตนเองเมื่อก่อนหรือไม่ เธอก็มายังโลกใบนี้ด้วย? อย่างไรเสียก็มีเพียงคนบนดาวโลก และจะต้องเป็นคนจีนบนดาวโลกเท่านั้น ถึงจะรู้จักกวีของหลี่ไป๋

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงหวนจู?

ทำไมฟังแล้วคล้ายกับหวนจูเก๋อเก๋อ (องค์หญิงกำมะลอ) เลย?

แต่พอมาคิดอย่างละเอียดอีกที ถึงแม้มีเค้าลางส่อให้เห็น ก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้

เพราะหวางซืออวี่เป็นคนธรรมดา ข้างๆ ไม่มีซินแสเฒ่า ไม่น่าจะข้ามดาราสมุทรมายังที่นี่ได้

หลี่มู่ถามไปอีกครั้งด้วยใจที่มีความหวังเล็กๆ “ในเมื่อได้รับแต่งตั้งสกุลจ้าวที่เป็นสกุลราชวงศ์ เช่นนั้นท่านทูตซ่งทราบไหมว่าท่านหญิงหวนจูคนนี้สกุลเดิมว่าอะไร?”

จ้าวจวี้จ้องมองหลี่มู่ด้วยสีหน้าประหลาด ตอบว่า “ได้ยินมาว่า น่าจะเป็นสกุลหวางขอรับ…”

“อะไรนะ?” หลี่มู่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตกใจ “สกุลหวาง? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม สกุลหวาง…จริงหรือ?”

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา ทำเอาจ้าวจี้ทูตจากซ่งตกใจตามไปด้วย

“เห็นว่าสกุลหวางจริง ไม่ผิดแน่ ข้านึกออกแล้ว ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่ง ในงานเลี้ยงของกลุ่มคนสำคัญในเมืองหลินอัน ท่านหญิงหวนจูที่ดื่มหนักเกินไปเคยเรียกตนเองว่าเจ๊ใหญ่หวาง ร้องห่มร้องไห้จนเสียอาการ ต่อมาจึงถูกคนมากมายแอบหัวเราะนินทาลับหลัง” จ้าวจี้เสริมให้

หวางซืออวี่

สกุลหวางจริงๆ ด้วย

จะเป็นดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลคนนั้นหรือเปล่า?

ใจของหลี่มู่ตื่นเต้นอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก

“นาง…ท่านหญิงหวนจูคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร? อายุเท่าไหร่แล้ว?” หลี่มู่ถามพลางพยายามข่มความตื่นเต้นของตนเอง

จ้าวจี้ทูตจากซ่งในตอนนี้ยิ่งรู้สึกพิกลขึ้นเรื่อยๆ

ดูจากท่าทีของปฐมเทวะหลี่มู่ เหมือนจะรู้จักกับธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องมาก่อน แต่หากพิจารณาจากเวลาและพื้นที่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา

เขาพยายามระงับความแปลกใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านหญิงหวนจูอายุสิบห้า วันที่เก้าเดือนสิบปีนี้เพิ่งจะอายุเต็มสิบห้าไปขอรับ…” พูดไป ก็พยายามอธิบายรูปร่างหน้าตาของท่านหญิงหวนจูออกมา

หลี่มู่ฟังจบ ในใจราวกับเกิดคลื่นยักษ์น่าตกตะลึงขึ้น

ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วกว่าแปดเก้าส่วน องค์หญิงหวนจูคนนี้ต้องเป็นหวางซืออวี่ที่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับตนเมื่อก่อนแน่

เพราะว่าทุกอย่างสอดคล้องกันมาก

โดยเฉพาะอายุ รวมไปถึงลักษณะหน้าตาที่ทูตซ่งจ้าวจี้บรรยายออกมา เหมือนกับดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะในความทรงจำของหลี่มู่คนนี้นัก

นางก็มายังดาวดวงนี้เหมือนกันหรือ?

แล้วมาได้อย่างไร?

เรื่องนี้ช่างไม่น่าเชื่อโดยแท้

หลี่มู่อยากจะตรงดิ่งไปซ่งเหนือในทันที เพื่อไปพบนางแล้วถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็สูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับความคิดชั่ววูบของตนลง

เนื่องเพราะเขาในตอนนี้ไม่สามารถออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ หรือออกห่างจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้

พลังต่อสู้ระดับปฐมเทวะของตน ต้องอยู่ภายในขอบเขตของค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถสำแดงได้ หากออกจากขอบเขตของค่ายกล ระยะทางห่างเกินไป พลังแท้จริงก็จะยิ่งลดลง และหากออกจากค่ายกลเกินพันลี้ จะไม่อาจหยิบยืมพลังค่ายกลมาใช้ได้แม้แต่น้อย

หลี่มู่ลูบๆ ศีรษะตนเอง

ถ้ารู้แต่แรก ก็ไม่น่าไปยั่วโมโหคนตั้งมากมายขนาดนี้เลย

ชื่อเสียงของปฐมเทวะตอนนี้กระจายออกไปแล้ว ซ้ำยังไปสังหารองค์ชายสอง เล่นงาน ‘เทพมารเพลิง’ สร้างศัตรูมากมาย ไม่รู้มีคนจำนวนเท่าไรที่กำลังเตรียมการรับมือกับตนอยู่ หากออกจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ไป แล้วมีพวกนอกรีตลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยม ความลับของตัวเขาคงแตกหมดพอดี

เมื่อเห็นหลี่มู่จมอยู่กับความคิด ในใจจ้าวอวี่ทูตจากซ่งก็ยิ่งสับสนระคนแปลกใจ

“ใต้เท้าปฐมเทวะ ข้ามาครั้งนี้เป็นตัวแทนของวังหลวงซ่งเหนือ อยากจะ…” จ้าวจี้ลองพูดเป้าหมายทางการทูตบางส่วน ถึงอย่างไรนี่ต่างหากที่เป็นความหมายแท้จริงในการทูตครั้งนี้ของเขา

หลี่มู่ฟังอย่างเหม่อลอย พยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นถามขึ้นอีก “ท่านหญิงหวนจูคนนี้ อยู่ในจวนปาเสี้ยนอ๋องชีวิตอย่างไรบ้าง? ฐานะเป็นอย่างไร? ฝึกฝนบำเพ็ญบ้างไหม?”

จ้าวจี้เอ่ยไม่ออก

รู้สึกว่าเรื่องเป้าหมายการทูตที่เขาพูดไปก่อนหน้าตั้งนานสองนาน ท่านปฐมเทวะคนนี้ไม่ได้ฟังเข้าหูเลย

แต่ว่า หากมองจากอีกด้านแล้ว ปฐมเทวะหลี่มู่ให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเป็นพิเศษทีเดียว

จ้าวจี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะไม่ล่องเรือตามน้ำได้อย่างไร?

กลัวแต่ปฐมเทวะจะไม่สนใจซ่งเหนือ ไม่ได้กลัวว่าเขาจะสนอกสนใจเสียหน่อย ในเมื่อใต้เท้าปฐมเทวะให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเช่นนี้ ก็ใช้จุดนี้พลิกสถานการณ์เริ่มการเจรจาได้มิใช่หรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจจ้าวจี้ก็ไม่ร้อนรน ค่อยๆ แนะนำท่านหญิงหวนจู บอกเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา

ปาเสี้ยนอ๋องเป็นถึงชินอ๋องลำดับที่หนึ่งแห่งซ่งเหนือ ฐานะสูงมากอำนาจ ครั้งยังหนุ่มเคยบัญชาการกองกำลังรักษาวัง ออกปราบปรามด่านชายแดน และได้รู้จักกับบุตรสาวขุนพลด่านชายแดน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้ง รักใคร่กันเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องเล่ายอดนิยมเรื่องหนึ่งในดินแดนซ่งเหนือ น่าเสียดายที่ต่อมาพระสนมโชคไม่ดีสิ้นระหว่างการรบครั้งหนึ่งในศึกใหญ่กับจักรวรรดิฉู่ใต้ ปาเสี้ยนอ๋องหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีทายาทสืบสกุล และก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่

ท่านอ๋องผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามในเขตซ่งเหนือ มีเกียรติยศสูงส่ง เพียงแต่ช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ ถอยไปอยู่หลังม่าน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักอีก

ครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ ปาเสี้ยนอ๋องออกเยี่ยมเยียนประชนชนเป็นการส่วนตัว จนได้มาพบกับหวางซืออวี่ที่เร่ร่อนอยู่เขตรกร้างกันดาร ก็ไม่รู้ว่าไปสะกิดใจท่านอ๋องเข้าตรงไหน เขาจึงรับนางมาเป็นบุญธรรม รักเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังขอให้จักรพรรดิซ่งเหนือองค์ปัจจุบันพระราชทานสกุลของราชวงศ์ซ่งเหนือให้ นำนางเข้าผังราชวงศ์ แต่งตั้งเป็นท่านหญิงหวนจู มีฐานะสูงส่งมากในเมืองหลินอัน

หลี่มู่ได้ยินแล้วก็วางใจได้เปลาะหนึ่ง

ถ้าหากเป็นหวางซืออวี่จริงๆ ไม่ว่านางจะมายังโลกนี้อย่างไร ในตอนแรกสุดต้องไร้ที่พึ่ง หวาดกลัว และโดดเดี่ยวมากแน่นอน แต่ก็ยังดีที่มีโชคได้พบกับชายชราที่ถูกชะตา มีขุนเขาใหญ่พึ่งพิงได้เช่นนี้

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงจันทร์ส่องสว่างที่หน้าเตียง ดูคล้ายเคียงน้ำค้างแข็งบนพื้นหนา แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าดูจันทรา ก้มหน้าถวิลหาบ้านเกิดเมืองนอน

กวีง่ายๆ บทหนึ่ง

งานประพันธ์คิดถึงบ้านเกิดของหลี่ไป๋กวีสายจินตนิยมแห่งราชวงศ์ถังที่ขับขานสืบมาพันปี

บนดาวโลกนั้น เด็กน้อยอายุสามขวบก็ท่องออกมาได้อย่างคุ้นเคย ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก

ดูจากมุมมองนี้ บทกวีนี้ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรนัก

แต่สำหรับหลี่มู่แล้ว พริบตาที่เขาเห็นกวีบทนี้ จิตใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

เพราะว่ากระดาษที่เขียนบทกวีนี้ไว้ ทูตของซ่งเหนือเป็นผู้ส่งเข้ามา

ตัวหนังสือที่เขียนกวีก็เป็นอักษรจีนด้วย

กลอนกวีบนดาวโลก ตัวหนังสือจากดาวโลก

แต่กลับเป็นทูตจากซ่งเหนือส่งเข้ามา

นี่ไม่ควรจะเป็นสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ และไม่ใช่ตัวอักษรในโลกนี้ด้วย แต่กลับถูกส่งมาจากคนที่อยู่ในโลกนี้

หลี่มู่ฉุกคิดขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าต้องมีคนคนหนึ่งจากดาวโลกเหมือนเขา มาอาศัยอยู่ในโลกนี้

แต่คนที่มาจากดาวโลกผู้นี้อยู่ที่ซ่งเหนือ

เรื่องนี้สำหรับหลี่มู่แล้วมีความหมายอย่างมาก

ความรู้สึกได้พบคนบ้านเดียวกันในที่ห่างไกล เอ่อล้นในใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความตกใจและความไม่คาดคิด จนเมื่อเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงพาตัวทูตจากซ่งเหนือเดินเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว เขาถึงได้สติกลับมา

“ข้าทูตจากซ่งเหนือจ้าวจี้ ยินดีที่ได้พบกับปฐมเทวะ” ทูตคนนี้ทำความเคารพอย่างนบนอบ

เขาเป็นคนหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้าได้สัดส่วน คิ้วหนาตาโต สีหน้าท่าทางหนักแน่น สวมเครื่องแบบบัณฑิตแห่งซ่งเหนือ ชุดคลุมตัวใหญ่แขนกว้าง ที่เอวคาดกระบี่ซ่ง รูปร่างผอมสูง บุคลิกองอาจห้าวหาญ

สายตาของหลี่มู่ที่ตกอยู่บนตัวทูตซ่งเหนือคนนี้คมกริบราวดาบ

จ้าวจี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปร่างที่ยากจะเปรียบเปรยครอบทับลงมารอบตัว ภายใต้สายตาของปฐมเทวะหลี่มู่ เขารู้สึกเหมือนมดที่ถูกหินยักษ์ทับเอาไว้อยู่ตลอด เพียงแค่ไม่ระวัง ก็อาจถูกบดขยี้จนกระดูกป่นไปได้

สมคำร่ำลือ

“ใครให้เจ้าส่งนี่มาให้ข้า?” ในมือหลี่มู่ถือกวีบทนั้นอยู่ เอ่ยขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมทันที

จ้าวจี้ไม่กล้าอ้อยอิ่ง ตอบกลับว่า “ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธิดาบุญธรรมของปาเสียนอ๋องไหว้วานให้ข้านำมามอบให้กับท่านปฐมเทวะก่อนจะออกเดินทางมา นางเคยบอกว่าหากถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วท่านปฏิเสธไม่พบข้า ให้มอบของสิ่งนี้ไป ใต้เท้าอาจยอมพบข้าเป็นข้อยกเว้น”

ในใจของเขา จริงๆ แล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก

พูดตามจริงคือ ตอนที่ออกจากหลินอันเมืองหลวงซ่ง ธิดาบุญธรรมปาเสียนอ๋องมาขอพบเขาเป็นการส่วนตัว ให้เขานำของสิ่งนี้มามอบให้กับปฐมเทวะหลี่มู่ บอกว่าอาจช่วยเหลือเขาได้

ตอนนั้น ในใจของจ้าวจี้ก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก

เพราะว่าชื่อและบทกวีของหลี่มู่ ถึงแม้จะสะพัดไปถึงซ่งเหนือแล้วและค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ว่าหลี่มู่คนนี้ยังไม่เคยมาที่ซ่งเหนือเลย กระทั่งไม่เคยเดินออกจากเมืองฉางอันแห่งฉินตะวันตกด้วยซ้ำ ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องไม่มีทางเคยพบกับหลี่มู่ แล้วจะสนิทสนมกันได้อย่างไร เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว วาดสัญลักษณ์แปลกๆ ส่วนหนึ่ง จะสามารถโน้มน้าวปฐมเทวะอย่างหลี่มู่ได้หรือ?

ทว่าหลังจากมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ ขอเข้าพบปฐมเทวะหลายต่อหลายครั้งล้วนถูกปฏิเสธมาทั้งสิ้น ได้พบเพียงเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง นี่ทำให้ใจของจ้าวจี้กระวนกระวาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เขาแค่กอดเอาจิตใจที่หมายจะทดลองดู มอบสิ่งของที่ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องวานมาให้ไป ผลลัพธ์กลับไม่คาดคิด ประสิทธิภาพน่าตกใจมาก เพียงไม่นานก็เข้าพบปฐมเทวะหลี่มู่ได้ทันที

หลี่มู่ได้ฟังคำตอบของจ้าวจี้ ในใจยังคงมึนงงอยู่

ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องแห่งซ่งเหนือ?

เขาไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน

“เล่าถึงธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น “นางเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”

จ้าวจี้เมื่อได้ยินก็รู้สึกประหลาดนัก ท่านปฐมเทวะสนใจในตัวนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

แต่ว่าเขาก็ยังเรียบเรียงคำพูดอยู่สักครู่ กล่าวไปว่า “ปาเสี้ยนอ๋องคือท่านอ๋องที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณงามความดีของจักรวรรดิผู้หนึ่ง ตำแหน่งสูงส่งนัก น่าจะราวๆ ครึ่งปีก่อนกระมัง ท่านผู้นั้นได้ออกตรวจเยี่ยมเยียนประชาชนโดยไม่เปิดเผยตัว และรับธิดาบุญธรรมคนนี้มาโดยบังเอิญ ท่านรักเอ็นดูนางมาก จนมอบนามสกุลจ้าวให้ นามคือจ้าวซืออวี่ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิงหวนจู ทำให้ในเมืองหลินอันเมืองหลวงซ่งเกิดการเคลื่อนไหวบางส่วน ส่วนเรื่องที่มาที่ไปนั้น ข้าก็ไม่ทราบเท่าไรนัก”

หลี่มู่ฟังแล้วค่อนข้างตกใจ

ซืออวี่?

ชื่อนี้คุ้นมาก

ตอนเขาอยู่บนดาวโลก ดาวของชั้นเรียน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นดาวโรงเรียนที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเขาชื่อหวางซืออวี่ ฉลาดหลักแหลมมาก ปกติก็ยังมาดูแลเด็กพร้าอย่างเขาเป็นอย่างดี กระทั่งในหมู่นักเรียนยังลือว่าหลี่มู่กับหวางซืออวี่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ

ทว่าสำหรับหลี่มู่แล้วไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนกัน ถ้าจะพูดจริงๆ นั่นเป็นแค่ความรู้สึกไม่ชัดเจนที่เพิ่งแตกหน่อมากกว่า ไม่ใช่อะไรที่ร้อนแรงมากมาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกหนุ่มน้อย

หลี่มู่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับหวางซืออวี่อยู่

แต่หลังจากมาถึงโลกใบนี้ หลี่มู่ก็ค่อยๆ ทิ้งความรู้สึกต่อดาวโรงเรียนที่เพิ่งแตกหน่อนั้นไป เพราะว่าอยู่โลกคนละใบ หลังผ่านไปยี่สิบปี สาวน้อยดาวโรงเรียนคนนี้ก็คงแต่งงานออกเรือนไปกับชายอื่นนานแล้ว

แต่ว่าตอนนี้…

ใจของหลี่มู่ จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้น

เพราะเขากำลังคิดว่าจ้าวซืออวี่ธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องคนนี้ จะเป็น…หวางซืออวี่ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับตนเองเมื่อก่อนหรือไม่ เธอก็มายังโลกใบนี้ด้วย? อย่างไรเสียก็มีเพียงคนบนดาวโลก และจะต้องเป็นคนจีนบนดาวโลกเท่านั้น ถึงจะรู้จักกวีของหลี่ไป๋

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงหวนจู?

ทำไมฟังแล้วคล้ายกับหวนจูเก๋อเก๋อ (องค์หญิงกำมะลอ) เลย?

แต่พอมาคิดอย่างละเอียดอีกที ถึงแม้มีเค้าลางส่อให้เห็น ก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้

เพราะหวางซืออวี่เป็นคนธรรมดา ข้างๆ ไม่มีซินแสเฒ่า ไม่น่าจะข้ามดาราสมุทรมายังที่นี่ได้

หลี่มู่ถามไปอีกครั้งด้วยใจที่มีความหวังเล็กๆ “ในเมื่อได้รับแต่งตั้งสกุลจ้าวที่เป็นสกุลราชวงศ์ เช่นนั้นท่านทูตซ่งทราบไหมว่าท่านหญิงหวนจูคนนี้สกุลเดิมว่าอะไร?”

จ้าวจวี้จ้องมองหลี่มู่ด้วยสีหน้าประหลาด ตอบว่า “ได้ยินมาว่า น่าจะเป็นสกุลหวางขอรับ…”

“อะไรนะ?” หลี่มู่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตกใจ “สกุลหวาง? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม สกุลหวาง…จริงหรือ?”

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา ทำเอาจ้าวจี้ทูตจากซ่งตกใจตามไปด้วย

“เห็นว่าสกุลหวางจริง ไม่ผิดแน่ ข้านึกออกแล้ว ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่ง ในงานเลี้ยงของกลุ่มคนสำคัญในเมืองหลินอัน ท่านหญิงหวนจูที่ดื่มหนักเกินไปเคยเรียกตนเองว่าเจ๊ใหญ่หวาง ร้องห่มร้องไห้จนเสียอาการ ต่อมาจึงถูกคนมากมายแอบหัวเราะนินทาลับหลัง” จ้าวจี้เสริมให้

หวางซืออวี่

สกุลหวางจริงๆ ด้วย

จะเป็นดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลคนนั้นหรือเปล่า?

ใจของหลี่มู่ตื่นเต้นอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก

“นาง…ท่านหญิงหวนจูคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร? อายุเท่าไหร่แล้ว?” หลี่มู่ถามพลางพยายามข่มความตื่นเต้นของตนเอง

จ้าวจี้ทูตจากซ่งในตอนนี้ยิ่งรู้สึกพิกลขึ้นเรื่อยๆ

ดูจากท่าทีของปฐมเทวะหลี่มู่ เหมือนจะรู้จักกับธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องมาก่อน แต่หากพิจารณาจากเวลาและพื้นที่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา

เขาพยายามระงับความแปลกใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านหญิงหวนจูอายุสิบห้า วันที่เก้าเดือนสิบปีนี้เพิ่งจะอายุเต็มสิบห้าไปขอรับ…” พูดไป ก็พยายามอธิบายรูปร่างหน้าตาของท่านหญิงหวนจูออกมา

หลี่มู่ฟังจบ ในใจราวกับเกิดคลื่นยักษ์น่าตกตะลึงขึ้น

ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วกว่าแปดเก้าส่วน องค์หญิงหวนจูคนนี้ต้องเป็นหวางซืออวี่ที่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับตนเมื่อก่อนแน่

เพราะว่าทุกอย่างสอดคล้องกันมาก

โดยเฉพาะอายุ รวมไปถึงลักษณะหน้าตาที่ทูตซ่งจ้าวจี้บรรยายออกมา เหมือนกับดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะในความทรงจำของหลี่มู่คนนี้นัก

นางก็มายังดาวดวงนี้เหมือนกันหรือ?

แล้วมาได้อย่างไร?

เรื่องนี้ช่างไม่น่าเชื่อโดยแท้

หลี่มู่อยากจะตรงดิ่งไปซ่งเหนือในทันที เพื่อไปพบนางแล้วถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็สูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับความคิดชั่ววูบของตนลง

เนื่องเพราะเขาในตอนนี้ไม่สามารถออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ หรือออกห่างจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้

พลังต่อสู้ระดับปฐมเทวะของตน ต้องอยู่ภายในขอบเขตของค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถสำแดงได้ หากออกจากขอบเขตของค่ายกล ระยะทางห่างเกินไป พลังแท้จริงก็จะยิ่งลดลง และหากออกจากค่ายกลเกินพันลี้ จะไม่อาจหยิบยืมพลังค่ายกลมาใช้ได้แม้แต่น้อย

หลี่มู่ลูบๆ ศีรษะตนเอง

ถ้ารู้แต่แรก ก็ไม่น่าไปยั่วโมโหคนตั้งมากมายขนาดนี้เลย

ชื่อเสียงของปฐมเทวะตอนนี้กระจายออกไปแล้ว ซ้ำยังไปสังหารองค์ชายสอง เล่นงาน ‘เทพมารเพลิง’ สร้างศัตรูมากมาย ไม่รู้มีคนจำนวนเท่าไรที่กำลังเตรียมการรับมือกับตนอยู่ หากออกจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ไป แล้วมีพวกนอกรีตลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยม ความลับของตัวเขาคงแตกหมดพอดี

เมื่อเห็นหลี่มู่จมอยู่กับความคิด ในใจจ้าวอวี่ทูตจากซ่งก็ยิ่งสับสนระคนแปลกใจ

“ใต้เท้าปฐมเทวะ ข้ามาครั้งนี้เป็นตัวแทนของวังหลวงซ่งเหนือ อยากจะ…” จ้าวจี้ลองพูดเป้าหมายทางการทูตบางส่วน ถึงอย่างไรนี่ต่างหากที่เป็นความหมายแท้จริงในการทูตครั้งนี้ของเขา

หลี่มู่ฟังอย่างเหม่อลอย พยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นถามขึ้นอีก “ท่านหญิงหวนจูคนนี้ อยู่ในจวนปาเสี้ยนอ๋องชีวิตอย่างไรบ้าง? ฐานะเป็นอย่างไร? ฝึกฝนบำเพ็ญบ้างไหม?”

จ้าวจี้เอ่ยไม่ออก

รู้สึกว่าเรื่องเป้าหมายการทูตที่เขาพูดไปก่อนหน้าตั้งนานสองนาน ท่านปฐมเทวะคนนี้ไม่ได้ฟังเข้าหูเลย

แต่ว่า หากมองจากอีกด้านแล้ว ปฐมเทวะหลี่มู่ให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเป็นพิเศษทีเดียว

จ้าวจี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะไม่ล่องเรือตามน้ำได้อย่างไร?

กลัวแต่ปฐมเทวะจะไม่สนใจซ่งเหนือ ไม่ได้กลัวว่าเขาจะสนอกสนใจเสียหน่อย ในเมื่อใต้เท้าปฐมเทวะให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเช่นนี้ ก็ใช้จุดนี้พลิกสถานการณ์เริ่มการเจรจาได้มิใช่หรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจจ้าวจี้ก็ไม่ร้อนรน ค่อยๆ แนะนำท่านหญิงหวนจู บอกเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา

ปาเสี้ยนอ๋องเป็นถึงชินอ๋องลำดับที่หนึ่งแห่งซ่งเหนือ ฐานะสูงมากอำนาจ ครั้งยังหนุ่มเคยบัญชาการกองกำลังรักษาวัง ออกปราบปรามด่านชายแดน และได้รู้จักกับบุตรสาวขุนพลด่านชายแดน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้ง รักใคร่กันเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องเล่ายอดนิยมเรื่องหนึ่งในดินแดนซ่งเหนือ น่าเสียดายที่ต่อมาพระสนมโชคไม่ดีสิ้นระหว่างการรบครั้งหนึ่งในศึกใหญ่กับจักรวรรดิฉู่ใต้ ปาเสี้ยนอ๋องหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีทายาทสืบสกุล และก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่

ท่านอ๋องผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามในเขตซ่งเหนือ มีเกียรติยศสูงส่ง เพียงแต่ช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ ถอยไปอยู่หลังม่าน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักอีก

ครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ ปาเสี้ยนอ๋องออกเยี่ยมเยียนประชนชนเป็นการส่วนตัว จนได้มาพบกับหวางซืออวี่ที่เร่ร่อนอยู่เขตรกร้างกันดาร ก็ไม่รู้ว่าไปสะกิดใจท่านอ๋องเข้าตรงไหน เขาจึงรับนางมาเป็นบุญธรรม รักเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังขอให้จักรพรรดิซ่งเหนือองค์ปัจจุบันพระราชทานสกุลของราชวงศ์ซ่งเหนือให้ นำนางเข้าผังราชวงศ์ แต่งตั้งเป็นท่านหญิงหวนจู มีฐานะสูงส่งมากในเมืองหลินอัน

หลี่มู่ได้ยินแล้วก็วางใจได้เปลาะหนึ่ง

ถ้าหากเป็นหวางซืออวี่จริงๆ ไม่ว่านางจะมายังโลกนี้อย่างไร ในตอนแรกสุดต้องไร้ที่พึ่ง หวาดกลัว และโดดเดี่ยวมากแน่นอน แต่ก็ยังดีที่มีโชคได้พบกับชายชราที่ถูกชะตา มีขุนเขาใหญ่พึ่งพิงได้เช่นนี้

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 312 เหมือนจะเจอเพื่อนเก่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงจันทร์ส่องสว่างที่หน้าเตียง ดูคล้ายเคียงน้ำค้างแข็งบนพื้นหนา แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าดูจันทรา ก้มหน้าถวิลหาบ้านเกิดเมืองนอน

กวีง่ายๆ บทหนึ่ง

งานประพันธ์คิดถึงบ้านเกิดของหลี่ไป๋กวีสายจินตนิยมแห่งราชวงศ์ถังที่ขับขานสืบมาพันปี

บนดาวโลกนั้น เด็กน้อยอายุสามขวบก็ท่องออกมาได้อย่างคุ้นเคย ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก

ดูจากมุมมองนี้ บทกวีนี้ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรนัก

แต่สำหรับหลี่มู่แล้ว พริบตาที่เขาเห็นกวีบทนี้ จิตใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

เพราะว่ากระดาษที่เขียนบทกวีนี้ไว้ ทูตของซ่งเหนือเป็นผู้ส่งเข้ามา

ตัวหนังสือที่เขียนกวีก็เป็นอักษรจีนด้วย

กลอนกวีบนดาวโลก ตัวหนังสือจากดาวโลก

แต่กลับเป็นทูตจากซ่งเหนือส่งเข้ามา

นี่ไม่ควรจะเป็นสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ และไม่ใช่ตัวอักษรในโลกนี้ด้วย แต่กลับถูกส่งมาจากคนที่อยู่ในโลกนี้

หลี่มู่ฉุกคิดขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าต้องมีคนคนหนึ่งจากดาวโลกเหมือนเขา มาอาศัยอยู่ในโลกนี้

แต่คนที่มาจากดาวโลกผู้นี้อยู่ที่ซ่งเหนือ

เรื่องนี้สำหรับหลี่มู่แล้วมีความหมายอย่างมาก

ความรู้สึกได้พบคนบ้านเดียวกันในที่ห่างไกล เอ่อล้นในใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความตกใจและความไม่คาดคิด จนเมื่อเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงพาตัวทูตจากซ่งเหนือเดินเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว เขาถึงได้สติกลับมา

“ข้าทูตจากซ่งเหนือจ้าวจี้ ยินดีที่ได้พบกับปฐมเทวะ” ทูตคนนี้ทำความเคารพอย่างนบนอบ

เขาเป็นคนหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้าได้สัดส่วน คิ้วหนาตาโต สีหน้าท่าทางหนักแน่น สวมเครื่องแบบบัณฑิตแห่งซ่งเหนือ ชุดคลุมตัวใหญ่แขนกว้าง ที่เอวคาดกระบี่ซ่ง รูปร่างผอมสูง บุคลิกองอาจห้าวหาญ

สายตาของหลี่มู่ที่ตกอยู่บนตัวทูตซ่งเหนือคนนี้คมกริบราวดาบ

จ้าวจี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปร่างที่ยากจะเปรียบเปรยครอบทับลงมารอบตัว ภายใต้สายตาของปฐมเทวะหลี่มู่ เขารู้สึกเหมือนมดที่ถูกหินยักษ์ทับเอาไว้อยู่ตลอด เพียงแค่ไม่ระวัง ก็อาจถูกบดขยี้จนกระดูกป่นไปได้

สมคำร่ำลือ

“ใครให้เจ้าส่งนี่มาให้ข้า?” ในมือหลี่มู่ถือกวีบทนั้นอยู่ เอ่ยขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมทันที

จ้าวจี้ไม่กล้าอ้อยอิ่ง ตอบกลับว่า “ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธิดาบุญธรรมของปาเสียนอ๋องไหว้วานให้ข้านำมามอบให้กับท่านปฐมเทวะก่อนจะออกเดินทางมา นางเคยบอกว่าหากถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้วท่านปฏิเสธไม่พบข้า ให้มอบของสิ่งนี้ไป ใต้เท้าอาจยอมพบข้าเป็นข้อยกเว้น”

ในใจของเขา จริงๆ แล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก

พูดตามจริงคือ ตอนที่ออกจากหลินอันเมืองหลวงซ่ง ธิดาบุญธรรมปาเสียนอ๋องมาขอพบเขาเป็นการส่วนตัว ให้เขานำของสิ่งนี้มามอบให้กับปฐมเทวะหลี่มู่ บอกว่าอาจช่วยเหลือเขาได้

ตอนนั้น ในใจของจ้าวจี้ก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก

เพราะว่าชื่อและบทกวีของหลี่มู่ ถึงแม้จะสะพัดไปถึงซ่งเหนือแล้วและค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ว่าหลี่มู่คนนี้ยังไม่เคยมาที่ซ่งเหนือเลย กระทั่งไม่เคยเดินออกจากเมืองฉางอันแห่งฉินตะวันตกด้วยซ้ำ ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องไม่มีทางเคยพบกับหลี่มู่ แล้วจะสนิทสนมกันได้อย่างไร เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว วาดสัญลักษณ์แปลกๆ ส่วนหนึ่ง จะสามารถโน้มน้าวปฐมเทวะอย่างหลี่มู่ได้หรือ?

ทว่าหลังจากมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ ขอเข้าพบปฐมเทวะหลายต่อหลายครั้งล้วนถูกปฏิเสธมาทั้งสิ้น ได้พบเพียงเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง นี่ทำให้ใจของจ้าวจี้กระวนกระวาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เขาแค่กอดเอาจิตใจที่หมายจะทดลองดู มอบสิ่งของที่ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องวานมาให้ไป ผลลัพธ์กลับไม่คาดคิด ประสิทธิภาพน่าตกใจมาก เพียงไม่นานก็เข้าพบปฐมเทวะหลี่มู่ได้ทันที

หลี่มู่ได้ฟังคำตอบของจ้าวจี้ ในใจยังคงมึนงงอยู่

ธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องแห่งซ่งเหนือ?

เขาไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน

“เล่าถึงธิดาบุญธรรมปาเสี้ยนอ๋องให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น “นางเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”

จ้าวจี้เมื่อได้ยินก็รู้สึกประหลาดนัก ท่านปฐมเทวะสนใจในตัวนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

แต่ว่าเขาก็ยังเรียบเรียงคำพูดอยู่สักครู่ กล่าวไปว่า “ปาเสี้ยนอ๋องคือท่านอ๋องที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณงามความดีของจักรวรรดิผู้หนึ่ง ตำแหน่งสูงส่งนัก น่าจะราวๆ ครึ่งปีก่อนกระมัง ท่านผู้นั้นได้ออกตรวจเยี่ยมเยียนประชาชนโดยไม่เปิดเผยตัว และรับธิดาบุญธรรมคนนี้มาโดยบังเอิญ ท่านรักเอ็นดูนางมาก จนมอบนามสกุลจ้าวให้ นามคือจ้าวซืออวี่ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิงหวนจู ทำให้ในเมืองหลินอันเมืองหลวงซ่งเกิดการเคลื่อนไหวบางส่วน ส่วนเรื่องที่มาที่ไปนั้น ข้าก็ไม่ทราบเท่าไรนัก”

หลี่มู่ฟังแล้วค่อนข้างตกใจ

ซืออวี่?

ชื่อนี้คุ้นมาก

ตอนเขาอยู่บนดาวโลก ดาวของชั้นเรียน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นดาวโรงเรียนที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเขาชื่อหวางซืออวี่ ฉลาดหลักแหลมมาก ปกติก็ยังมาดูแลเด็กพร้าอย่างเขาเป็นอย่างดี กระทั่งในหมู่นักเรียนยังลือว่าหลี่มู่กับหวางซืออวี่เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ

ทว่าสำหรับหลี่มู่แล้วไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนกัน ถ้าจะพูดจริงๆ นั่นเป็นแค่ความรู้สึกไม่ชัดเจนที่เพิ่งแตกหน่อมากกว่า ไม่ใช่อะไรที่ร้อนแรงมากมาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกหนุ่มน้อย

หลี่มู่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับหวางซืออวี่อยู่

แต่หลังจากมาถึงโลกใบนี้ หลี่มู่ก็ค่อยๆ ทิ้งความรู้สึกต่อดาวโรงเรียนที่เพิ่งแตกหน่อนั้นไป เพราะว่าอยู่โลกคนละใบ หลังผ่านไปยี่สิบปี สาวน้อยดาวโรงเรียนคนนี้ก็คงแต่งงานออกเรือนไปกับชายอื่นนานแล้ว

แต่ว่าตอนนี้…

ใจของหลี่มู่ จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้น

เพราะเขากำลังคิดว่าจ้าวซืออวี่ธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องคนนี้ จะเป็น…หวางซืออวี่ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับตนเองเมื่อก่อนหรือไม่ เธอก็มายังโลกใบนี้ด้วย? อย่างไรเสียก็มีเพียงคนบนดาวโลก และจะต้องเป็นคนจีนบนดาวโลกเท่านั้น ถึงจะรู้จักกวีของหลี่ไป๋

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงหวนจู?

ทำไมฟังแล้วคล้ายกับหวนจูเก๋อเก๋อ (องค์หญิงกำมะลอ) เลย?

แต่พอมาคิดอย่างละเอียดอีกที ถึงแม้มีเค้าลางส่อให้เห็น ก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้

เพราะหวางซืออวี่เป็นคนธรรมดา ข้างๆ ไม่มีซินแสเฒ่า ไม่น่าจะข้ามดาราสมุทรมายังที่นี่ได้

หลี่มู่ถามไปอีกครั้งด้วยใจที่มีความหวังเล็กๆ “ในเมื่อได้รับแต่งตั้งสกุลจ้าวที่เป็นสกุลราชวงศ์ เช่นนั้นท่านทูตซ่งทราบไหมว่าท่านหญิงหวนจูคนนี้สกุลเดิมว่าอะไร?”

จ้าวจวี้จ้องมองหลี่มู่ด้วยสีหน้าประหลาด ตอบว่า “ได้ยินมาว่า น่าจะเป็นสกุลหวางขอรับ…”

“อะไรนะ?” หลี่มู่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตกใจ “สกุลหวาง? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม สกุลหวาง…จริงหรือ?”

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา ทำเอาจ้าวจี้ทูตจากซ่งตกใจตามไปด้วย

“เห็นว่าสกุลหวางจริง ไม่ผิดแน่ ข้านึกออกแล้ว ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่ง ในงานเลี้ยงของกลุ่มคนสำคัญในเมืองหลินอัน ท่านหญิงหวนจูที่ดื่มหนักเกินไปเคยเรียกตนเองว่าเจ๊ใหญ่หวาง ร้องห่มร้องไห้จนเสียอาการ ต่อมาจึงถูกคนมากมายแอบหัวเราะนินทาลับหลัง” จ้าวจี้เสริมให้

หวางซืออวี่

สกุลหวางจริงๆ ด้วย

จะเป็นดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลคนนั้นหรือเปล่า?

ใจของหลี่มู่ตื่นเต้นอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก

“นาง…ท่านหญิงหวนจูคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร? อายุเท่าไหร่แล้ว?” หลี่มู่ถามพลางพยายามข่มความตื่นเต้นของตนเอง

จ้าวจี้ทูตจากซ่งในตอนนี้ยิ่งรู้สึกพิกลขึ้นเรื่อยๆ

ดูจากท่าทีของปฐมเทวะหลี่มู่ เหมือนจะรู้จักกับธิดาบุญธรรมของปาเสี้ยนอ๋องมาก่อน แต่หากพิจารณาจากเวลาและพื้นที่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา

เขาพยายามระงับความแปลกใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านหญิงหวนจูอายุสิบห้า วันที่เก้าเดือนสิบปีนี้เพิ่งจะอายุเต็มสิบห้าไปขอรับ…” พูดไป ก็พยายามอธิบายรูปร่างหน้าตาของท่านหญิงหวนจูออกมา

หลี่มู่ฟังจบ ในใจราวกับเกิดคลื่นยักษ์น่าตกตะลึงขึ้น

ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วกว่าแปดเก้าส่วน องค์หญิงหวนจูคนนี้ต้องเป็นหวางซืออวี่ที่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับตนเมื่อก่อนแน่

เพราะว่าทุกอย่างสอดคล้องกันมาก

โดยเฉพาะอายุ รวมไปถึงลักษณะหน้าตาที่ทูตซ่งจ้าวจี้บรรยายออกมา เหมือนกับดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะในความทรงจำของหลี่มู่คนนี้นัก

นางก็มายังดาวดวงนี้เหมือนกันหรือ?

แล้วมาได้อย่างไร?

เรื่องนี้ช่างไม่น่าเชื่อโดยแท้

หลี่มู่อยากจะตรงดิ่งไปซ่งเหนือในทันที เพื่อไปพบนางแล้วถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็สูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับความคิดชั่ววูบของตนลง

เนื่องเพราะเขาในตอนนี้ไม่สามารถออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ หรือออกห่างจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้

พลังต่อสู้ระดับปฐมเทวะของตน ต้องอยู่ภายในขอบเขตของค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถสำแดงได้ หากออกจากขอบเขตของค่ายกล ระยะทางห่างเกินไป พลังแท้จริงก็จะยิ่งลดลง และหากออกจากค่ายกลเกินพันลี้ จะไม่อาจหยิบยืมพลังค่ายกลมาใช้ได้แม้แต่น้อย

หลี่มู่ลูบๆ ศีรษะตนเอง

ถ้ารู้แต่แรก ก็ไม่น่าไปยั่วโมโหคนตั้งมากมายขนาดนี้เลย

ชื่อเสียงของปฐมเทวะตอนนี้กระจายออกไปแล้ว ซ้ำยังไปสังหารองค์ชายสอง เล่นงาน ‘เทพมารเพลิง’ สร้างศัตรูมากมาย ไม่รู้มีคนจำนวนเท่าไรที่กำลังเตรียมการรับมือกับตนอยู่ หากออกจากเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ไป แล้วมีพวกนอกรีตลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยม ความลับของตัวเขาคงแตกหมดพอดี

เมื่อเห็นหลี่มู่จมอยู่กับความคิด ในใจจ้าวอวี่ทูตจากซ่งก็ยิ่งสับสนระคนแปลกใจ

“ใต้เท้าปฐมเทวะ ข้ามาครั้งนี้เป็นตัวแทนของวังหลวงซ่งเหนือ อยากจะ…” จ้าวจี้ลองพูดเป้าหมายทางการทูตบางส่วน ถึงอย่างไรนี่ต่างหากที่เป็นความหมายแท้จริงในการทูตครั้งนี้ของเขา

หลี่มู่ฟังอย่างเหม่อลอย พยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นถามขึ้นอีก “ท่านหญิงหวนจูคนนี้ อยู่ในจวนปาเสี้ยนอ๋องชีวิตอย่างไรบ้าง? ฐานะเป็นอย่างไร? ฝึกฝนบำเพ็ญบ้างไหม?”

จ้าวจี้เอ่ยไม่ออก

รู้สึกว่าเรื่องเป้าหมายการทูตที่เขาพูดไปก่อนหน้าตั้งนานสองนาน ท่านปฐมเทวะคนนี้ไม่ได้ฟังเข้าหูเลย

แต่ว่า หากมองจากอีกด้านแล้ว ปฐมเทวะหลี่มู่ให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเป็นพิเศษทีเดียว

จ้าวจี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะไม่ล่องเรือตามน้ำได้อย่างไร?

กลัวแต่ปฐมเทวะจะไม่สนใจซ่งเหนือ ไม่ได้กลัวว่าเขาจะสนอกสนใจเสียหน่อย ในเมื่อใต้เท้าปฐมเทวะให้ความสำคัญกับท่านหญิงหวนจูเช่นนี้ ก็ใช้จุดนี้พลิกสถานการณ์เริ่มการเจรจาได้มิใช่หรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจจ้าวจี้ก็ไม่ร้อนรน ค่อยๆ แนะนำท่านหญิงหวนจู บอกเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา

ปาเสี้ยนอ๋องเป็นถึงชินอ๋องลำดับที่หนึ่งแห่งซ่งเหนือ ฐานะสูงมากอำนาจ ครั้งยังหนุ่มเคยบัญชาการกองกำลังรักษาวัง ออกปราบปรามด่านชายแดน และได้รู้จักกับบุตรสาวขุนพลด่านชายแดน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้ง รักใคร่กันเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องเล่ายอดนิยมเรื่องหนึ่งในดินแดนซ่งเหนือ น่าเสียดายที่ต่อมาพระสนมโชคไม่ดีสิ้นระหว่างการรบครั้งหนึ่งในศึกใหญ่กับจักรวรรดิฉู่ใต้ ปาเสี้ยนอ๋องหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีทายาทสืบสกุล และก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่

ท่านอ๋องผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามในเขตซ่งเหนือ มีเกียรติยศสูงส่ง เพียงแต่ช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ ถอยไปอยู่หลังม่าน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักอีก

ครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ ปาเสี้ยนอ๋องออกเยี่ยมเยียนประชนชนเป็นการส่วนตัว จนได้มาพบกับหวางซืออวี่ที่เร่ร่อนอยู่เขตรกร้างกันดาร ก็ไม่รู้ว่าไปสะกิดใจท่านอ๋องเข้าตรงไหน เขาจึงรับนางมาเป็นบุญธรรม รักเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังขอให้จักรพรรดิซ่งเหนือองค์ปัจจุบันพระราชทานสกุลของราชวงศ์ซ่งเหนือให้ นำนางเข้าผังราชวงศ์ แต่งตั้งเป็นท่านหญิงหวนจู มีฐานะสูงส่งมากในเมืองหลินอัน

หลี่มู่ได้ยินแล้วก็วางใจได้เปลาะหนึ่ง

ถ้าหากเป็นหวางซืออวี่จริงๆ ไม่ว่านางจะมายังโลกนี้อย่างไร ในตอนแรกสุดต้องไร้ที่พึ่ง หวาดกลัว และโดดเดี่ยวมากแน่นอน แต่ก็ยังดีที่มีโชคได้พบกับชายชราที่ถูกชะตา มีขุนเขาใหญ่พึ่งพิงได้เช่นนี้

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+