แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1133 ไดอารี่ซอมบี้

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1133 ไดอารี่ซอมบี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความจริงหลังจากที่ถามจบ หลิงม่อก็ตระหนักได้แล้ว…

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เดาว่าเธอคงจำทุกอย่างที่จะสามารถจำได้แล้ว กระทั่งแม้แต่เรื่องที่เขาลืมเลือนไปแล้ว ก็อาจถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในสมองของเย่เลี่ยนก็ได้

ด้านประสบการณ์และเรื่องราวที่เคยผ่านเจอ เย่เลี่ยนตอนนี้และเย่เลี่ยนคนก่อนไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ต่างกันมากที่สุดไม่ใช่ร่างกายที่กลายพันธุ์ไปของเธอเช่นกัน แต่เป็น…อารมณ์และความรู้สึกของเธอ…

ซอมบี้ใช่ว่าไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิง…พวกมันมีความปรารถนา และเคียดแค้นเป็น แต่เทียบกับมนุษย์ อารมณ์และความรู้สึกของซอมบี้ราวกับเป็นคนละเรื่องไปเลย ยกตัวอย่างเช่น พวกมันซื่อสัตย์กับคู่ครองของตัวเองมาก ทว่าสิ่งที่หลิงม่อต้องการ กลับไม่ใช่ความซื่อสัตย์แบบนั้น…แต่เป็น…

“ฉันรู้…ว่าพี่จะถามอะไร…” เย่เลี่ยนจ้องหน้าหลิงม่อตาไม่กระพริบ พลันเปิดปากพูดขึ้น

เดิมหลิงม่อยิ้มกลบเกลื่อน หมายจะโบกมือและบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ทว่าพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง

เธอรู้?

“แล้วฉัน…ก็สงสัยมากเหมือนกัน…” เย่เลี่ยนพูดด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ

ดวงตาของเย่เลี่ยนพลันเปลี่ยนไปทันที กลิ่นอายดุดันจางลง แทนที่ด้วยความสงสัยที่เพิ่มขึ้นมา “พะ…พวกเรา…เป็นอะไรกันแน่?”

“หื้ม?” คำถามของเธอกลับเหนือความคาดหมายของหลิงม่อไปมาก…ซอมบี้สาวที่ดูซื่อๆ ตัวนี้ กลับกำลังแอบครุ่นคิดถึงปัญหานี้คนเดียวอย่างนั้นหรอ?

“พวกเรา…เป็นตัวอะไร…กันแน่?” เย่เลี่ยนถามอีกครั้ง ทว่าแทนที่จะบอกว่าตั้งคำถาม กลับเหมือนว่าเธอกำลังพึมพำกับตัวเองมากกว่า

“ถ้าหาก…เพื่อเข้ามาแทนที่มนุษย์…ถ้าอย่างนั้น…ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้วสินะ?”

หลิงม่อสะท้านวาบในใจ

ถูกอย่างที่เธอพูดจริงๆ…ถ้าหากเพียงเพื่อเข้ามาแทนที่อย่างเดียว ตอนนี้ซอมบี้ก็บรรลุเป้าหมายนั้นแล้วจริงๆ ถึงแม้มนุษย์ยังไม่สูญสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามซอกมุมเท่านั้น

“พวกเราครองโลกได้แล้ว…แต่ว่า…พวกเราก็ยังเข่นฆ่ากัน…” สายตาของเย่เลี่ยนละออกจากตัวหลิงม่อ และทอดมองไปยังกำแพงเบื้องหลังเขา พลางพูดติดๆ ขัดๆ ต่อว่า “ยังวิวัฒนาการ…และสิ่งมีชีวิตที่แยกประเภทออกมา…ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…”

เย่เลี่ยนค่อนข้างพูดจับใจความไม่ได้ แต่หลิงม่อกลับเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อ

หลังจากที่ซอมบี้เข้ามาแทนที่มนุษย์ ก็มีซอมบี้กลายร่างโผล่ขึ้นมา จากนั้นก็มีอสุรกายนรกปรากฏตัวขึ้นมาอีก…

ซอมบี้กลายร่างอาจพูดได้ว่าเป็นซอมบี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในบางด้าน แต่อสุรกายนรกนั้นกลับเป็นร่างรวมที่เกิดขึ้นจากซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์

สิ่งมีชีวิตซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดที่พวกเขาค้นพบในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นสามประเภทนี้…

ทว่าการปรากฏตัวของพวกมันมีจุดประสงค์อะไรกันล่ะ?

เพื่อทำให้การเข่นฆ่าดุเดือดยิ่งขึ้นงั้นหรือ…

พอคิดอย่างนี้ หลิงม่อก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

หรือว่า…ซอมบี้ก็จะถูกกำจัดเหมือนกับที่มนุษย์โดน…

แต่…เย่เลี่ยนคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

พอเห็นหลิงม่อตวัดสายตามองมาที่ตัวเอง เย่เลี่ยนขยับข้อมือ ยื่นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาตรงหน้าหลิงม่อ “พี่อ่าน…อันนี้ดูสิ…”

สมุดบันทึกเล่มนั้น!

หลิงม่ออยากรู้มาตลอดว่าสมุดบันทึกเล่มนี้เขียนอะไรไว้บ้าง เขามองหน้าเย่เลี่ยนอย่างมีความหมาย จากนั้นก็ยื่นมือไปรับ

“พี่ค่อยๆ…อ่านก็ได้” เย่เลี่ยนเดินไปยืนด้านหนึ่ง แล้วบอก

“แต่ว่า…เธอกำลังวิวัฒนาการอยู่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อถาม

เย่เลี่ยนเอียงคอ แล้วตอบว่า “ข้างในของฉันกำลังเปลี่ยนแปลง พี่มองไม่เห็น…”

“ก็ได้ เข้าใจแล้ว…”

ถ้ามองไม่เห็นก็แสดงว่าเจ็บมากน่ะสิ…

ถ้าหากเป็นพวกซย่าน่า เดาว่าคงมองออกตั้งแต่แวบแรกแล้วว่าในร่างกายของเย่เลี่ยนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่

แต่หลิงม่อนั้นนอกจากสัมผัสได้ว่าเย่เลี่ยนทั้งคุ้นเคยและอันตรายในเวลาเดียวกันแล้ว เขาก็สัมผัสสิ่งอื่นไม่ค่อยได้มากนัก

หากเขาจะใช้สายสัมพันธ์ทางจิตเพื่อสัมผัสรู้ดูก็ย่อมได้ แต่เวลาที่ซอมบี้กำลังอยู่ในขั้นตอนก้าวข้าม สัญชาตญาณการขัดขืนล้วนเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด สิ่งที่หลิงม่อทำได้ ก็มีเพียงต้องรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตเอาไว้ให้ได้เท่านั้น…ทว่าตอนนี้ หลิงม่อไม่ได้ใช้สายสัมพันธ์ทางจิตเป็นเครื่องมือพันธนาการอีกแล้ว…

แต่เมื่อพวกเธออัพเกรดขึ้นอีกหนึ่งขั้น หลิงม่อกลับรู้สึกได้รางๆ ว่าถ้าหากไม่มีสายสัมพันธ์ทางจิตนี้ บางที…

“ช่างเถอะ ไม่คิดดีกว่า…ไหนดูซิว่าเย่เลี่ยนซ่อนความลับอะไรไว้บ้าง”

หลิงม่อพ่นลมหายใจเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดสมุดบันทึก

มันเป็นสมุดไดอารี่…

ทันทีที่เห็นลายมือ หลิงม่อก็อึ้งงันไปเล็กน้อย

“นี่มัน…ลายมือเย่เลี่ยน…”

เขาจ้องมองอักษรเหล่านั้นอยู่นาน แต่ความจริงแล้ว เขากลับยังไม่ได้อ่านเลยว่าอักษรเหล่านั้นเขียนถึงเรื่องใดบ้าง…

ไม่คิดเลย…ลายมือยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน…

เพียงมองอักษรเหล่านี้ หลิงม่อก็นิ่งเงียบไปอย่างไม่รู้ตัว

เขาอดยกมือขึ้นมาและไล้นิ้วมือไปตามอักษรเหล่านั้นเบาๆ ไม่ได้

คิดถึงจัง…

คิดว่าจะไม่ได้เห็นลายมือแบบนี้อีกซะแล้ว…

ไม่คิดเลย ว่าจะได้มาเห็นอีกครั้งในตอนที่ไม่คาดฝันแบบนี้…

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ สายตาของหลิงม่อก็ค่อยๆ จับโฟกัส

ทว่า ไม่นานเขาก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

“นี่มัน…เพราะอะไร? ถึงแม้จะค่อยๆ ได้ความทรงจำของเมื่อก่อนกลับคืนมา…แต่นิสัยและความเคยชินเดิมกลับไม่หลงเหลือเลยซักนิดสินะ? อย่างเช่นนิสัยการกิน…และวิธีการพูด…แต่ทำไมลายมือยัง…”

หลิงม่อหัวใจเต้นโครมคราม พลันรีบพลิกหน้ากระดาษอ่านอย่างละเอียด

ถ้าหาก…ถ้าหากว่าไม่ใช่แค่ลายมือล่ะ!

ถ้าหากเป็นอย่างนั้น…

หลิงม่ออารมณ์พลุ่งพล่าน แต่เขายังคงพยายามข่มกลั้นไว้อย่างสุดกำลัง

“วันนี้ ฉันเรียนรู้วิธีทำอาหารได้อีกอย่างแล้ว ถึงแม้ระหว่างทำจะโดนน้ำมันกระเด็นใส่หลายที แต่ก็ถือว่าทำสำเร็จล่ะนะ! เมนูแปลกใหม่แบบนี้ แน่นอนว่าต้องให้ตาทึ่มคนนั้นชิมก่อนอยู่แล้ว แต่ตาทึ่มคนนั้นก็ช่างน่ารำคาญนัก ฉันทำอาหารแบบใหม่ให้เขากินตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมเขาไม่เคยดูออกเลยซักครั้ง! อย่างน้อยก็น่าจะพูดว่า ‘ว้าว ทำไมฉันไม่เคยเห็นเมนูนี้มาก่อนเลยล่ะ’ อะไรทำนองนี้บ้างสิ!”

“เหอะ เพื่อเป็นการทำโทษพี่ ฉันจะใส่เกลือเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า! ใส่เพิ่มแค่นิดเดียว ลิ้นอันด้านชาของเขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้ง…เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่อยากสิ้นเปลืองเกลืออันมีค่าของฉันเพื่อเขาหรอกนะ…”

“นี่…ไม่สิ…นี่มัน…” หลังจากอ่านจบอย่างตกตะลึง หลิงม่อก็รีบพลิกไปอีกหน้าหนึ่งทันที

ปรากฏว่าในหน้าที่สองกลับเขียนขึ้นด้วยสำเนียงการพูดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวที่บันทึกไว้ก็เช่นกัน…

“น่าแปลก ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ? หลังจากทำอาหารที่ต้องทนเจ็บปวดเสร็จ กลับดูเหมือนมีความสุขมาก…แต่ตอนนั้นเราอยากให้พี่หลิงกินหรือเปล่ากันแน่? ถ้าหากไม่อยากให้กิน ทำไมต้องบ่นที่พี่หลิงดูไม่ออกล่ะ? แล้วคำว่า ‘ทำโทษ’ นั่นอีก ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจ…”

“นี่…”

หลิงม่ออึ้งงันไปอีกครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พลิกหน้ากระดาษติดต่อกันหลายครั้ง…

ไม่ต่างกันเลย บันทึกเหล่านี้ล้วนเขียนขึ้นโดยอิงจากความทรงจำเมื่อก่อน สิ่งที่บันทึกไว้ ล้วนเป็นความคิดและชีวิตของเย่เลี่ยนในสมัยก่อน และตั้งแต่หน้าที่สองเป็นต้นไปของไดอารี่เล่มนี้ ล้วนเป็นคำถามที่ซอมบี้เย่เลี่ยนตั้งขึ้นกับตัวเองทั้งนั้น…

ถึงแม้ดูจากคำถามเหล่านี้ ซอมบี้เย่เลี่ยนยังคงมีวิธีคิดแบบซอมบี้อยู่ แต่ว่า…

“เด็กโง่!” หลิงม่อเงยหน้าอย่างตื่นเต้น พลางบอกว่า “ที่เธอเริ่มเปรียบเทียบเรื่องเหล่านี้เป็น ก็แสดงว่าเธอไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1133 ไดอารี่ซอมบี้

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1133 ไดอารี่ซอมบี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความจริงหลังจากที่ถามจบ หลิงม่อก็ตระหนักได้แล้ว…

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เดาว่าเธอคงจำทุกอย่างที่จะสามารถจำได้แล้ว กระทั่งแม้แต่เรื่องที่เขาลืมเลือนไปแล้ว ก็อาจถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในสมองของเย่เลี่ยนก็ได้

ด้านประสบการณ์และเรื่องราวที่เคยผ่านเจอ เย่เลี่ยนตอนนี้และเย่เลี่ยนคนก่อนไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ต่างกันมากที่สุดไม่ใช่ร่างกายที่กลายพันธุ์ไปของเธอเช่นกัน แต่เป็น…อารมณ์และความรู้สึกของเธอ…

ซอมบี้ใช่ว่าไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิง…พวกมันมีความปรารถนา และเคียดแค้นเป็น แต่เทียบกับมนุษย์ อารมณ์และความรู้สึกของซอมบี้ราวกับเป็นคนละเรื่องไปเลย ยกตัวอย่างเช่น พวกมันซื่อสัตย์กับคู่ครองของตัวเองมาก ทว่าสิ่งที่หลิงม่อต้องการ กลับไม่ใช่ความซื่อสัตย์แบบนั้น…แต่เป็น…

“ฉันรู้…ว่าพี่จะถามอะไร…” เย่เลี่ยนจ้องหน้าหลิงม่อตาไม่กระพริบ พลันเปิดปากพูดขึ้น

เดิมหลิงม่อยิ้มกลบเกลื่อน หมายจะโบกมือและบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ทว่าพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง

เธอรู้?

“แล้วฉัน…ก็สงสัยมากเหมือนกัน…” เย่เลี่ยนพูดด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ

ดวงตาของเย่เลี่ยนพลันเปลี่ยนไปทันที กลิ่นอายดุดันจางลง แทนที่ด้วยความสงสัยที่เพิ่มขึ้นมา “พะ…พวกเรา…เป็นอะไรกันแน่?”

“หื้ม?” คำถามของเธอกลับเหนือความคาดหมายของหลิงม่อไปมาก…ซอมบี้สาวที่ดูซื่อๆ ตัวนี้ กลับกำลังแอบครุ่นคิดถึงปัญหานี้คนเดียวอย่างนั้นหรอ?

“พวกเรา…เป็นตัวอะไร…กันแน่?” เย่เลี่ยนถามอีกครั้ง ทว่าแทนที่จะบอกว่าตั้งคำถาม กลับเหมือนว่าเธอกำลังพึมพำกับตัวเองมากกว่า

“ถ้าหาก…เพื่อเข้ามาแทนที่มนุษย์…ถ้าอย่างนั้น…ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้วสินะ?”

หลิงม่อสะท้านวาบในใจ

ถูกอย่างที่เธอพูดจริงๆ…ถ้าหากเพียงเพื่อเข้ามาแทนที่อย่างเดียว ตอนนี้ซอมบี้ก็บรรลุเป้าหมายนั้นแล้วจริงๆ ถึงแม้มนุษย์ยังไม่สูญสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามซอกมุมเท่านั้น

“พวกเราครองโลกได้แล้ว…แต่ว่า…พวกเราก็ยังเข่นฆ่ากัน…” สายตาของเย่เลี่ยนละออกจากตัวหลิงม่อ และทอดมองไปยังกำแพงเบื้องหลังเขา พลางพูดติดๆ ขัดๆ ต่อว่า “ยังวิวัฒนาการ…และสิ่งมีชีวิตที่แยกประเภทออกมา…ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…”

เย่เลี่ยนค่อนข้างพูดจับใจความไม่ได้ แต่หลิงม่อกลับเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อ

หลังจากที่ซอมบี้เข้ามาแทนที่มนุษย์ ก็มีซอมบี้กลายร่างโผล่ขึ้นมา จากนั้นก็มีอสุรกายนรกปรากฏตัวขึ้นมาอีก…

ซอมบี้กลายร่างอาจพูดได้ว่าเป็นซอมบี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในบางด้าน แต่อสุรกายนรกนั้นกลับเป็นร่างรวมที่เกิดขึ้นจากซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์

สิ่งมีชีวิตซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดที่พวกเขาค้นพบในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นสามประเภทนี้…

ทว่าการปรากฏตัวของพวกมันมีจุดประสงค์อะไรกันล่ะ?

เพื่อทำให้การเข่นฆ่าดุเดือดยิ่งขึ้นงั้นหรือ…

พอคิดอย่างนี้ หลิงม่อก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

หรือว่า…ซอมบี้ก็จะถูกกำจัดเหมือนกับที่มนุษย์โดน…

แต่…เย่เลี่ยนคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

พอเห็นหลิงม่อตวัดสายตามองมาที่ตัวเอง เย่เลี่ยนขยับข้อมือ ยื่นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาตรงหน้าหลิงม่อ “พี่อ่าน…อันนี้ดูสิ…”

สมุดบันทึกเล่มนั้น!

หลิงม่ออยากรู้มาตลอดว่าสมุดบันทึกเล่มนี้เขียนอะไรไว้บ้าง เขามองหน้าเย่เลี่ยนอย่างมีความหมาย จากนั้นก็ยื่นมือไปรับ

“พี่ค่อยๆ…อ่านก็ได้” เย่เลี่ยนเดินไปยืนด้านหนึ่ง แล้วบอก

“แต่ว่า…เธอกำลังวิวัฒนาการอยู่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อถาม

เย่เลี่ยนเอียงคอ แล้วตอบว่า “ข้างในของฉันกำลังเปลี่ยนแปลง พี่มองไม่เห็น…”

“ก็ได้ เข้าใจแล้ว…”

ถ้ามองไม่เห็นก็แสดงว่าเจ็บมากน่ะสิ…

ถ้าหากเป็นพวกซย่าน่า เดาว่าคงมองออกตั้งแต่แวบแรกแล้วว่าในร่างกายของเย่เลี่ยนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่

แต่หลิงม่อนั้นนอกจากสัมผัสได้ว่าเย่เลี่ยนทั้งคุ้นเคยและอันตรายในเวลาเดียวกันแล้ว เขาก็สัมผัสสิ่งอื่นไม่ค่อยได้มากนัก

หากเขาจะใช้สายสัมพันธ์ทางจิตเพื่อสัมผัสรู้ดูก็ย่อมได้ แต่เวลาที่ซอมบี้กำลังอยู่ในขั้นตอนก้าวข้าม สัญชาตญาณการขัดขืนล้วนเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด สิ่งที่หลิงม่อทำได้ ก็มีเพียงต้องรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตเอาไว้ให้ได้เท่านั้น…ทว่าตอนนี้ หลิงม่อไม่ได้ใช้สายสัมพันธ์ทางจิตเป็นเครื่องมือพันธนาการอีกแล้ว…

แต่เมื่อพวกเธออัพเกรดขึ้นอีกหนึ่งขั้น หลิงม่อกลับรู้สึกได้รางๆ ว่าถ้าหากไม่มีสายสัมพันธ์ทางจิตนี้ บางที…

“ช่างเถอะ ไม่คิดดีกว่า…ไหนดูซิว่าเย่เลี่ยนซ่อนความลับอะไรไว้บ้าง”

หลิงม่อพ่นลมหายใจเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดสมุดบันทึก

มันเป็นสมุดไดอารี่…

ทันทีที่เห็นลายมือ หลิงม่อก็อึ้งงันไปเล็กน้อย

“นี่มัน…ลายมือเย่เลี่ยน…”

เขาจ้องมองอักษรเหล่านั้นอยู่นาน แต่ความจริงแล้ว เขากลับยังไม่ได้อ่านเลยว่าอักษรเหล่านั้นเขียนถึงเรื่องใดบ้าง…

ไม่คิดเลย…ลายมือยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน…

เพียงมองอักษรเหล่านี้ หลิงม่อก็นิ่งเงียบไปอย่างไม่รู้ตัว

เขาอดยกมือขึ้นมาและไล้นิ้วมือไปตามอักษรเหล่านั้นเบาๆ ไม่ได้

คิดถึงจัง…

คิดว่าจะไม่ได้เห็นลายมือแบบนี้อีกซะแล้ว…

ไม่คิดเลย ว่าจะได้มาเห็นอีกครั้งในตอนที่ไม่คาดฝันแบบนี้…

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ สายตาของหลิงม่อก็ค่อยๆ จับโฟกัส

ทว่า ไม่นานเขาก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

“นี่มัน…เพราะอะไร? ถึงแม้จะค่อยๆ ได้ความทรงจำของเมื่อก่อนกลับคืนมา…แต่นิสัยและความเคยชินเดิมกลับไม่หลงเหลือเลยซักนิดสินะ? อย่างเช่นนิสัยการกิน…และวิธีการพูด…แต่ทำไมลายมือยัง…”

หลิงม่อหัวใจเต้นโครมคราม พลันรีบพลิกหน้ากระดาษอ่านอย่างละเอียด

ถ้าหาก…ถ้าหากว่าไม่ใช่แค่ลายมือล่ะ!

ถ้าหากเป็นอย่างนั้น…

หลิงม่ออารมณ์พลุ่งพล่าน แต่เขายังคงพยายามข่มกลั้นไว้อย่างสุดกำลัง

“วันนี้ ฉันเรียนรู้วิธีทำอาหารได้อีกอย่างแล้ว ถึงแม้ระหว่างทำจะโดนน้ำมันกระเด็นใส่หลายที แต่ก็ถือว่าทำสำเร็จล่ะนะ! เมนูแปลกใหม่แบบนี้ แน่นอนว่าต้องให้ตาทึ่มคนนั้นชิมก่อนอยู่แล้ว แต่ตาทึ่มคนนั้นก็ช่างน่ารำคาญนัก ฉันทำอาหารแบบใหม่ให้เขากินตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมเขาไม่เคยดูออกเลยซักครั้ง! อย่างน้อยก็น่าจะพูดว่า ‘ว้าว ทำไมฉันไม่เคยเห็นเมนูนี้มาก่อนเลยล่ะ’ อะไรทำนองนี้บ้างสิ!”

“เหอะ เพื่อเป็นการทำโทษพี่ ฉันจะใส่เกลือเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า! ใส่เพิ่มแค่นิดเดียว ลิ้นอันด้านชาของเขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้ง…เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่อยากสิ้นเปลืองเกลืออันมีค่าของฉันเพื่อเขาหรอกนะ…”

“นี่…ไม่สิ…นี่มัน…” หลังจากอ่านจบอย่างตกตะลึง หลิงม่อก็รีบพลิกไปอีกหน้าหนึ่งทันที

ปรากฏว่าในหน้าที่สองกลับเขียนขึ้นด้วยสำเนียงการพูดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวที่บันทึกไว้ก็เช่นกัน…

“น่าแปลก ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ? หลังจากทำอาหารที่ต้องทนเจ็บปวดเสร็จ กลับดูเหมือนมีความสุขมาก…แต่ตอนนั้นเราอยากให้พี่หลิงกินหรือเปล่ากันแน่? ถ้าหากไม่อยากให้กิน ทำไมต้องบ่นที่พี่หลิงดูไม่ออกล่ะ? แล้วคำว่า ‘ทำโทษ’ นั่นอีก ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจ…”

“นี่…”

หลิงม่ออึ้งงันไปอีกครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พลิกหน้ากระดาษติดต่อกันหลายครั้ง…

ไม่ต่างกันเลย บันทึกเหล่านี้ล้วนเขียนขึ้นโดยอิงจากความทรงจำเมื่อก่อน สิ่งที่บันทึกไว้ ล้วนเป็นความคิดและชีวิตของเย่เลี่ยนในสมัยก่อน และตั้งแต่หน้าที่สองเป็นต้นไปของไดอารี่เล่มนี้ ล้วนเป็นคำถามที่ซอมบี้เย่เลี่ยนตั้งขึ้นกับตัวเองทั้งนั้น…

ถึงแม้ดูจากคำถามเหล่านี้ ซอมบี้เย่เลี่ยนยังคงมีวิธีคิดแบบซอมบี้อยู่ แต่ว่า…

“เด็กโง่!” หลิงม่อเงยหน้าอย่างตื่นเต้น พลางบอกว่า “ที่เธอเริ่มเปรียบเทียบเรื่องเหล่านี้เป็น ก็แสดงว่าเธอไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 1133 ไดอารี่ซอมบี้

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 1133 ไดอารี่ซอมบี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความจริงหลังจากที่ถามจบ หลิงม่อก็ตระหนักได้แล้ว…

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เดาว่าเธอคงจำทุกอย่างที่จะสามารถจำได้แล้ว กระทั่งแม้แต่เรื่องที่เขาลืมเลือนไปแล้ว ก็อาจถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในสมองของเย่เลี่ยนก็ได้

ด้านประสบการณ์และเรื่องราวที่เคยผ่านเจอ เย่เลี่ยนตอนนี้และเย่เลี่ยนคนก่อนไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ต่างกันมากที่สุดไม่ใช่ร่างกายที่กลายพันธุ์ไปของเธอเช่นกัน แต่เป็น…อารมณ์และความรู้สึกของเธอ…

ซอมบี้ใช่ว่าไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิง…พวกมันมีความปรารถนา และเคียดแค้นเป็น แต่เทียบกับมนุษย์ อารมณ์และความรู้สึกของซอมบี้ราวกับเป็นคนละเรื่องไปเลย ยกตัวอย่างเช่น พวกมันซื่อสัตย์กับคู่ครองของตัวเองมาก ทว่าสิ่งที่หลิงม่อต้องการ กลับไม่ใช่ความซื่อสัตย์แบบนั้น…แต่เป็น…

“ฉันรู้…ว่าพี่จะถามอะไร…” เย่เลี่ยนจ้องหน้าหลิงม่อตาไม่กระพริบ พลันเปิดปากพูดขึ้น

เดิมหลิงม่อยิ้มกลบเกลื่อน หมายจะโบกมือและบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ทว่าพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง

เธอรู้?

“แล้วฉัน…ก็สงสัยมากเหมือนกัน…” เย่เลี่ยนพูดด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ

ดวงตาของเย่เลี่ยนพลันเปลี่ยนไปทันที กลิ่นอายดุดันจางลง แทนที่ด้วยความสงสัยที่เพิ่มขึ้นมา “พะ…พวกเรา…เป็นอะไรกันแน่?”

“หื้ม?” คำถามของเธอกลับเหนือความคาดหมายของหลิงม่อไปมาก…ซอมบี้สาวที่ดูซื่อๆ ตัวนี้ กลับกำลังแอบครุ่นคิดถึงปัญหานี้คนเดียวอย่างนั้นหรอ?

“พวกเรา…เป็นตัวอะไร…กันแน่?” เย่เลี่ยนถามอีกครั้ง ทว่าแทนที่จะบอกว่าตั้งคำถาม กลับเหมือนว่าเธอกำลังพึมพำกับตัวเองมากกว่า

“ถ้าหาก…เพื่อเข้ามาแทนที่มนุษย์…ถ้าอย่างนั้น…ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้วสินะ?”

หลิงม่อสะท้านวาบในใจ

ถูกอย่างที่เธอพูดจริงๆ…ถ้าหากเพียงเพื่อเข้ามาแทนที่อย่างเดียว ตอนนี้ซอมบี้ก็บรรลุเป้าหมายนั้นแล้วจริงๆ ถึงแม้มนุษย์ยังไม่สูญสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามซอกมุมเท่านั้น

“พวกเราครองโลกได้แล้ว…แต่ว่า…พวกเราก็ยังเข่นฆ่ากัน…” สายตาของเย่เลี่ยนละออกจากตัวหลิงม่อ และทอดมองไปยังกำแพงเบื้องหลังเขา พลางพูดติดๆ ขัดๆ ต่อว่า “ยังวิวัฒนาการ…และสิ่งมีชีวิตที่แยกประเภทออกมา…ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…”

เย่เลี่ยนค่อนข้างพูดจับใจความไม่ได้ แต่หลิงม่อกลับเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อ

หลังจากที่ซอมบี้เข้ามาแทนที่มนุษย์ ก็มีซอมบี้กลายร่างโผล่ขึ้นมา จากนั้นก็มีอสุรกายนรกปรากฏตัวขึ้นมาอีก…

ซอมบี้กลายร่างอาจพูดได้ว่าเป็นซอมบี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในบางด้าน แต่อสุรกายนรกนั้นกลับเป็นร่างรวมที่เกิดขึ้นจากซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์

สิ่งมีชีวิตซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดที่พวกเขาค้นพบในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นสามประเภทนี้…

ทว่าการปรากฏตัวของพวกมันมีจุดประสงค์อะไรกันล่ะ?

เพื่อทำให้การเข่นฆ่าดุเดือดยิ่งขึ้นงั้นหรือ…

พอคิดอย่างนี้ หลิงม่อก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

หรือว่า…ซอมบี้ก็จะถูกกำจัดเหมือนกับที่มนุษย์โดน…

แต่…เย่เลี่ยนคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

พอเห็นหลิงม่อตวัดสายตามองมาที่ตัวเอง เย่เลี่ยนขยับข้อมือ ยื่นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาตรงหน้าหลิงม่อ “พี่อ่าน…อันนี้ดูสิ…”

สมุดบันทึกเล่มนั้น!

หลิงม่ออยากรู้มาตลอดว่าสมุดบันทึกเล่มนี้เขียนอะไรไว้บ้าง เขามองหน้าเย่เลี่ยนอย่างมีความหมาย จากนั้นก็ยื่นมือไปรับ

“พี่ค่อยๆ…อ่านก็ได้” เย่เลี่ยนเดินไปยืนด้านหนึ่ง แล้วบอก

“แต่ว่า…เธอกำลังวิวัฒนาการอยู่ไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อถาม

เย่เลี่ยนเอียงคอ แล้วตอบว่า “ข้างในของฉันกำลังเปลี่ยนแปลง พี่มองไม่เห็น…”

“ก็ได้ เข้าใจแล้ว…”

ถ้ามองไม่เห็นก็แสดงว่าเจ็บมากน่ะสิ…

ถ้าหากเป็นพวกซย่าน่า เดาว่าคงมองออกตั้งแต่แวบแรกแล้วว่าในร่างกายของเย่เลี่ยนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่

แต่หลิงม่อนั้นนอกจากสัมผัสได้ว่าเย่เลี่ยนทั้งคุ้นเคยและอันตรายในเวลาเดียวกันแล้ว เขาก็สัมผัสสิ่งอื่นไม่ค่อยได้มากนัก

หากเขาจะใช้สายสัมพันธ์ทางจิตเพื่อสัมผัสรู้ดูก็ย่อมได้ แต่เวลาที่ซอมบี้กำลังอยู่ในขั้นตอนก้าวข้าม สัญชาตญาณการขัดขืนล้วนเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด สิ่งที่หลิงม่อทำได้ ก็มีเพียงต้องรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตเอาไว้ให้ได้เท่านั้น…ทว่าตอนนี้ หลิงม่อไม่ได้ใช้สายสัมพันธ์ทางจิตเป็นเครื่องมือพันธนาการอีกแล้ว…

แต่เมื่อพวกเธออัพเกรดขึ้นอีกหนึ่งขั้น หลิงม่อกลับรู้สึกได้รางๆ ว่าถ้าหากไม่มีสายสัมพันธ์ทางจิตนี้ บางที…

“ช่างเถอะ ไม่คิดดีกว่า…ไหนดูซิว่าเย่เลี่ยนซ่อนความลับอะไรไว้บ้าง”

หลิงม่อพ่นลมหายใจเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดสมุดบันทึก

มันเป็นสมุดไดอารี่…

ทันทีที่เห็นลายมือ หลิงม่อก็อึ้งงันไปเล็กน้อย

“นี่มัน…ลายมือเย่เลี่ยน…”

เขาจ้องมองอักษรเหล่านั้นอยู่นาน แต่ความจริงแล้ว เขากลับยังไม่ได้อ่านเลยว่าอักษรเหล่านั้นเขียนถึงเรื่องใดบ้าง…

ไม่คิดเลย…ลายมือยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน…

เพียงมองอักษรเหล่านี้ หลิงม่อก็นิ่งเงียบไปอย่างไม่รู้ตัว

เขาอดยกมือขึ้นมาและไล้นิ้วมือไปตามอักษรเหล่านั้นเบาๆ ไม่ได้

คิดถึงจัง…

คิดว่าจะไม่ได้เห็นลายมือแบบนี้อีกซะแล้ว…

ไม่คิดเลย ว่าจะได้มาเห็นอีกครั้งในตอนที่ไม่คาดฝันแบบนี้…

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ สายตาของหลิงม่อก็ค่อยๆ จับโฟกัส

ทว่า ไม่นานเขาก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

“นี่มัน…เพราะอะไร? ถึงแม้จะค่อยๆ ได้ความทรงจำของเมื่อก่อนกลับคืนมา…แต่นิสัยและความเคยชินเดิมกลับไม่หลงเหลือเลยซักนิดสินะ? อย่างเช่นนิสัยการกิน…และวิธีการพูด…แต่ทำไมลายมือยัง…”

หลิงม่อหัวใจเต้นโครมคราม พลันรีบพลิกหน้ากระดาษอ่านอย่างละเอียด

ถ้าหาก…ถ้าหากว่าไม่ใช่แค่ลายมือล่ะ!

ถ้าหากเป็นอย่างนั้น…

หลิงม่ออารมณ์พลุ่งพล่าน แต่เขายังคงพยายามข่มกลั้นไว้อย่างสุดกำลัง

“วันนี้ ฉันเรียนรู้วิธีทำอาหารได้อีกอย่างแล้ว ถึงแม้ระหว่างทำจะโดนน้ำมันกระเด็นใส่หลายที แต่ก็ถือว่าทำสำเร็จล่ะนะ! เมนูแปลกใหม่แบบนี้ แน่นอนว่าต้องให้ตาทึ่มคนนั้นชิมก่อนอยู่แล้ว แต่ตาทึ่มคนนั้นก็ช่างน่ารำคาญนัก ฉันทำอาหารแบบใหม่ให้เขากินตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมเขาไม่เคยดูออกเลยซักครั้ง! อย่างน้อยก็น่าจะพูดว่า ‘ว้าว ทำไมฉันไม่เคยเห็นเมนูนี้มาก่อนเลยล่ะ’ อะไรทำนองนี้บ้างสิ!”

“เหอะ เพื่อเป็นการทำโทษพี่ ฉันจะใส่เกลือเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า! ใส่เพิ่มแค่นิดเดียว ลิ้นอันด้านชาของเขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้ง…เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่อยากสิ้นเปลืองเกลืออันมีค่าของฉันเพื่อเขาหรอกนะ…”

“นี่…ไม่สิ…นี่มัน…” หลังจากอ่านจบอย่างตกตะลึง หลิงม่อก็รีบพลิกไปอีกหน้าหนึ่งทันที

ปรากฏว่าในหน้าที่สองกลับเขียนขึ้นด้วยสำเนียงการพูดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวที่บันทึกไว้ก็เช่นกัน…

“น่าแปลก ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ? หลังจากทำอาหารที่ต้องทนเจ็บปวดเสร็จ กลับดูเหมือนมีความสุขมาก…แต่ตอนนั้นเราอยากให้พี่หลิงกินหรือเปล่ากันแน่? ถ้าหากไม่อยากให้กิน ทำไมต้องบ่นที่พี่หลิงดูไม่ออกล่ะ? แล้วคำว่า ‘ทำโทษ’ นั่นอีก ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจ…”

“นี่…”

หลิงม่ออึ้งงันไปอีกครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พลิกหน้ากระดาษติดต่อกันหลายครั้ง…

ไม่ต่างกันเลย บันทึกเหล่านี้ล้วนเขียนขึ้นโดยอิงจากความทรงจำเมื่อก่อน สิ่งที่บันทึกไว้ ล้วนเป็นความคิดและชีวิตของเย่เลี่ยนในสมัยก่อน และตั้งแต่หน้าที่สองเป็นต้นไปของไดอารี่เล่มนี้ ล้วนเป็นคำถามที่ซอมบี้เย่เลี่ยนตั้งขึ้นกับตัวเองทั้งนั้น…

ถึงแม้ดูจากคำถามเหล่านี้ ซอมบี้เย่เลี่ยนยังคงมีวิธีคิดแบบซอมบี้อยู่ แต่ว่า…

“เด็กโง่!” หลิงม่อเงยหน้าอย่างตื่นเต้น พลางบอกว่า “ที่เธอเริ่มเปรียบเทียบเรื่องเหล่านี้เป็น ก็แสดงว่าเธอไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+