แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 655 แกล้งเป็นอะไรไม่เป็น ดันแกล้งเป็นคนโง่

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 655 แกล้งเป็นอะไรไม่เป็น ดันแกล้งเป็นคนโง่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 655 แกล้งเป็นอะไรไม่เป็น ดันแกล้งเป็นคนโง่

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” หลิงม่อหัวเราะ แล้วตอบกลับ

“เขาไม่ได้กำลังชมซักหน่อยนะนั่น!” มู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ อดพูดขึ้นไม่ได้

ในฐานะผู้บาดเจ็บ ถึงแม้เขาไม่ได้เข้าร่วมการลอบโจมตี แต่ตอนนี้พอเหลือแค่ซ่งจินเซินคนเดียว เขาเองก็ไม่กลัวที่จะออกมายืนอยู่ต่อหน้าสมาชิกนิพพานสำนักงานใหญ่คนนี้อีกต่อไป

และนี่ก็เป็นความตั้งใจของหลิงม่อเหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องให้มู่เฉินเป็นคนทำ

และพอซ่งจินเซินได้ยินประโยคนี้ก็แทบกระอักเลือด มือที่กำปืนไว้แน่นของเขาสั่นไม่หยุด

จำเป็นต้องยอมรับอย่างเสียมิได้ ว่าเขาประเมินหลิงม่อต่ำไป และประเมินเพื่อนของหลิงม่อต่ำยิ่งกว่า

พอคิดได้ว่านับตั้งแต่ที่หลิงม่อเดินออกมา เขาคงจะวางแผนในใจเรียบร้อยแล้วว่าจะรับมือกับพวกตัวเองอย่างไร จากนั้นก็ค่อยๆ ล่อให้พวกเขาเดินมาติดกับทีละก้าวๆ ซ่งจินเซินก็รู้สึกหนังศีรษะชาไปหมด

“ก้าวออกมาด้วยตัวคนเดียว แต่กลับไม่ปิดบังตัวตนของพวกพ้องตัวเอง เพื่อจงใจทำให้พวกเราเข้าใจผิดว่ามีแค่แกที่มีพลังต่อสู้ และมองข้ามพวกพ้องของแก ต่อมาก็อาศัยการโจมตีอันแปลกประหลาดเบี่ยงเบนความสนใจจากพวกฉัน จากนั้นก็ฉวยโอกาสนั้นให้พวกพ้องของแกแยกย้ายออกไปซ่อนตัวบริเวณใกล้ๆ และมองหาโอกาสจู่โจม ฉันเดานะ ไม่ว่าเมื่อกี้นี้ฉันจะนึกเรื่องฆ่าพวกพ้องของแกขึ้นมาได้หรือไม่ก็ตาม ยังไงแกก็คงจะหยุดการโจมตีกะทันหัน แล้วล่อลวงให้พวกฉันแยกย้ายออกไปค้นหาใช่ไหม?”

ซ๋งจินเซินถามด้วยสีหน้าขึ้งเคียด เขายังคงไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น

หลิงม่อพยักหน้า แล้วพูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “มองได้ทะลุปรุโปร่งมาก เพียงแต่ช้าไปหน่อย”

ปึด!

ซ่งจินเซินกัดฟันกรอด ก้นบุหรี่ในปากถูกกัดจนขาด และร่วงลงพื้นพร้อมกับเศษผงสีเทา

“จากนั้น ก็ฉวยโอกาสตอนที่พวกฉันมัวแต่คิดจะฆ่าแก บวกกับพื้นที่บริเวณนี้ที่ไม่ได้กว้างอยู่แล้ว พวกฉันจึงเดินเข้าไปติดกับดักที่แกวางไว้อย่างง่ายดาย…แกวางแผนไว้อย่างนี้สินะ”

ครั้งนี้ไม่ต้องให้หลิงม่อพยักหน้ายืนยัน ซ่งจินเซินก็รู้ว่าตัวเองวิเคราะห์ไม่ผิดแน่

แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆ เพราะเป็นอย่างที่หลิงม่อบอก สายไปเสียแล้ว

ความจริงแผนการนี้เป็นการหลอกใช้จิตวิทยาของแต่ละคน ทั้งที่เป็นแผนการที่มองออกได้ง่ายมาก แต่กลับสามารถตีทีมของพวกเขาจนพ่ายในพริบตา

แม้แต่ฝูงกา ก็ยังไม่แตกฝูงเร็วขนาดนี้เลย

ทว่ายังมีบางเรื่องที่ซ่งจินเซินคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หรือพูดอีกอย่างคือ…รับไม่ได้!

พลังที่พวกหลิงม่อแสดงให้เห็น บ่งบอกว่าพวกเขาสามารถสู้กันซึ่งๆ หน้าได้ แต่ทำไมต้องเลือกใช้วิธีนี้ด้วย?!

ซ๋งจินเซินคิดในใจ แล้วเขาก็ถามออกไปอย่างที่คิด

หลิงม่อคิดอย่างจริงจัง แล้วตอบว่า “ก็มันอันตรายน้อยที่สุด แล้วก็ลงแรงน้อยที่สุดไง”

น่าอับอายนัก! ช่างน่าอับอายที่สุด!

เขาแลกความอับอายที่สุดของซ่งจินเซินไปได้ด้วยการลงแรงเพียงน้อยนิด!

พอได้ยินอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเมื่อกี้เขาเป็นฝ่ายเดินลงไปตกหลุมพรางของหลิงม่อ ที่ด้านบนมีแค่ฟางข้าวไม่กี่เส้นปิดอยู่ ด้วยตัวเองน่ะสิ ยังมีเรื่องไหนน่าอับอายกว่านี้อีกไหม?!

เรื่องง่ายๆ แค่นี้ แต่เวลามันเกิดขึ้น เขากลับคิดไม่ถึงเลยแม้แต่นิดเดียว!

สีหน้าของซ่งจินเซินสับสนงุนงงไปหมด แต่สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่

วิธีของหลิงม่อ ง่ายและได้ผล แต่เขาก็เหมือนกับซ่งจินเซิน ที่ตอนเกิดเรื่องกลับคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งตอนที่เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินแยกย้ายกันออกไป และซย่าน่าก็พาเขากับสวี่ซูหานไปซ่อนตัว มู่เฉินก็ยังไม่รู้ว่าหลิงม่อตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

และความสามารถที่หลิงม่อแสดงให้เห็นเมื่อกี้ ก็ได้ทำให้มู่เฉินอึ้งด้วยเช่นกัน

เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน พลังของหลิงม่อก็อัพเกรดขึ้นอีกแล้วหรอ?

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้เข้าใจความสามารถพิเศษของหลิงม่อดี แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าพลังของหลิงม่อไม่ได้สูงเท่าตอนนี้

เขาอัพเกรดพลังตั้งแต่เมื่อไหร่?!

ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่เฉินช็อกยิ่งกว่า กลับเป็นความสามัคคีในทีมของพวกเขา

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหลิงม่อสื่อสารกับพวกเธอด้วยวิธีไหน…เอาเป็นว่า มู่เฉินไม่มีทางเชื่อคำพูดไร้สาระอย่าง “กระแสจิต” อะไรนั่นแน่นอน

ทว่าเขาเองก็รู้ว่าหลิงม่อมีเรื่องน่าสงสัยอยู่มากมาย อย่างเช่นวัตถุสีใดที่ดูดเมล็ดพันธุ์พลังจิตในสมองของเขาออกไป เจ้าของสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่หลิงม่อค้นคว้าขึ้นมาได้อย่างไร…

แต่ในเมื่อถามแล้วก็มีแต่จะได้คำตอบซึ่งไร้ความจริงใจ และคำพูดไร้สาระกลับมา มู่เฉินคิดว่า เขาควรสะกดความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้เพื่อตัวเองจะดีกว่า

มองข้ามเรื่องวิธีการสื่อสาร สิ่งที่มู่เฉินเล็งเห็นคือ ความสามารถในการเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของพวกเธอ รวมถึงความเชื่อใจที่พวกเธอมีให้กัน

เพราะมีสองข้อนี้ แผนการของหลิงม่อถึงได้สำเร็จอย่างงดงาม

และเหตุผลที่พวกซ่งจินเซินถูกพวกหลิงม่อเล่นงานสำเร็จ ก็เพราะพวกเขาขาดปัจจัยสำคัญสองข้อนี้ไป

“ถ้าหากสามารถสร้างทีมอย่างนี้ขึ้นมาได้อีก…หรือทำได้แค่หนึ่งในสองส่วนของพวกเธอ ก็มากพอที่จะเพิ่มความสามารถในการเอาตัวรอดได้แล้ว” มู่เฉินคิดอย่างคาดหวัง

แต่พอดึงสติกลับมา จู่ๆ มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าตัวเองอินเกินไปแล้ว…

“บ้าจริง! น่าขายหน้าชะมัด!”

มู่เฉินแอบด่าตัวเองในใจ แต่ไม่นานเขาก็อดเผยสีหน้าแห่งความปรารถนาออกมาไม่ได้ “แต่ถ้าหากทำได้จริงๆ บางทีฉันอาจเจอเป้าหมายชีวิตที่มีความหมายมากกว่าเดิม เหมือนกับหลิงม่อก็ได้นะ…”

ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่มู่เฉินกลับจำต้องยอมรับว่า เขาได้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าการใช้ชีวิตไปวันๆ มาจากหลิงม่อ

และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นไม่ว่าหลิงม่อจะตัดสินใจทำเรื่องไร้สาระแค่ไหน แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกสงสัยตามสัญชาตญาณ แต่เขากลับทำตามสิ่งที่หลิงม่อบอกมาโดยตลอด

อย่างเช่นในตอนนี้ ทั้งที่เขารู้ว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ทีเดิมไม่ขยับไปไหน

ตายเป็นตายวะ!

“ยังไม่ลงมืออีก?” ซ่งจินเซินดวงตาแดงก่ำ เขาอ้าปากถุยก้นบุหรี่อีกครึ่งที่เหลือทิ้ง แล้วถามขึ้น

ถึงแม้มือทั้งสองข้างของเขาจะกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังคงกำปืนสองกระบอกนั้นไว้แน่น “บอกตามตรง ตอนแรกฉันนึกว่าจะจัดการแกได้เพราะมีกำลังคนมากกว่า ปรากฏว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นฉันคนเดียวต้องเผชิญหน้ากับพวกแก 5 คนซะงั้น เหตุการณ์พลิกผันเร็วจริงๆ”

“เชี่ย เจ้าหมอนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังพูดจาชวนเกลียดได้อีก ถึงขนาดไม่นับรวมสวี่ซูหานเข้าไปด้วย…” มู่เฉินสบถด่าสองสามประโยค แต่จู่ๆ กลับพบว่าซย่าน่ากำลังขมวดคิ้วจ้องตัวเองอยู่

เขามองตามสายตาของซย่าน่า แล้วก็หันไปสบตาเข้ากับสายตาบ้าคลั่งของสวี่ซูหานเข้าพอดี

ขณะเดียวกับที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มู่เฉินก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ แล้วระเบิดอารมณ์ออกมา “โอ้โห บาดเจ็บแล้วไม่ใช่คนหรอวะ! ถึงฉันจะวิ่งไม่ไหวแต่ก็ยังสู้ตายกับแกได้นะโว้ย!”

“ที่จริงนายก็รู้อยู่แก่ใจใช่ไหมล่ะ” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างแฝงความนัย

ซ่งจินเซินชะงักค้างไปอย่างสับสนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉันยอมรับว่าพวกแกแข็งแกร่งมาก แต่ก็อย่าหยิ่งผยองให้มากนัก แกอยากล้วงความลับจากปากฉัน แต่ปัญหาจากสำนักงานใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่แกจะรับมือได้”

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แกควรห่วง” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างราบเรียบ

“แต่ถ้าแกล้มเหลว เรื่องที่ฉันปากโป้งบอกความลับของนิพพานก็จะถูกเปิดเผย ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะรอดพ้นจากการไล่ล่าของสำนักงานใหญ่ ฉันเป็นแค่คนคนหนึ่ง จะหนีไปได้ไกลแค่ไหนกันเชียว? แทนที่จะรอความตายจากซอมบี้หรือสำนักงานใหญ่ ระหว่างนั้นยังต้องรับกรรมมากมาย สู้วัดดวงกับแกตอนนี้ซะดีกว่า” ขณะที่ซ่งจินเซินพูดประโยคนี้ สีหน้าท่าทางของเขาดูใจเย็นมาก เหมือนเขาได้ตัดสินใจดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น

แต่ในความเป็นจริง ฝ่ามือของเขาตอนนี้กลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไม่มีใครมองเห็น

เขาแพ้แล้ว แต่ก็ต้องแพ้อย่างงดงามหน่อย

อย่างน้อยก็ต้องได้รับคำมั่นและประโยชน์จากหลิงม่อบ้าง เขาจึงจะไม่ถูกมองว่ามีค่าต่ำ

ดูจากท่าทีของหลิงม่อ ความภาคภูมิเพียงเท่านี้เขาน่าจะยังกู้กลับมาได้อยู่…

ซ่งจินเซินคิดในใจ แล้วเขาก็เห็นหลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

เขาลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง กำลังจะอ้าปากพูด แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกได้ถึงลมแรงที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าตรงๆ

หลังจากที่เขาเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ซ่งจินเซินก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้างลำคอ ต่อมาเลือดอุ่นๆ ก็ไหลลงในร่องคอเสื้อ

“โอ๊ยย!”

ซ่งจินเซินตกใจจนเหงื่ออาบไปทั้งตัว เขายังไม่ทันโต้กลับ หลิงม่อก็หายตัวไปแล้ว

ปากปืนเพิ่งจะถูกยกขึ้นยิง ความรู้สึกขนลูกก็พลุ่งพล่านไปทั้งตัว

ขณะเดียวกัน กระแสลมแรงหลายสาย พลันพุ่งเข้ามาหาเขาจากสี่ทิศรอบกาย!

ครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะหลบยัง ก็หลบไม่พ้นอยู่ดี

ถ้าหากแลกด้วยชีวิต เขายังรีบเปลี่ยนเป้าหมายโจมตี และไม่แน่เขาอาจสามารถทำร้ายพวกพ้องหลิงม่อได้ซักคนสองคน แต่ถ้าทำอย่างนั้น เขาก็ต้องตายสถานเดียว…

“เดี๋ยวก่อน! ฉันยอมแพ้! ฉันยอมแพ้แล้วนี่ไง?!”

ซ่งจินเซินตะโกนเสียงดัง แล้วรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

กระแสลมแรงพลันสลายตัว กลับเป็นเสียงหลิงม่อที่ดังมาจากด้านหลังเขา “แกจะเสแสร้งแกล้งทำไปทำไมกัน? เป็นคนโง่แล้วดีตรงไหน?”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด