แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 641 ต่อติดสัญญาณแห่งความตาย

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 641 ต่อติดสัญญาณแห่งความตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 641 ต่อติดสัญญาณแห่งความตาย

หลังเชื่อมต่อกับหมายเลข 0 ขอบเขตและความสามารถในการค้นหาของหลัวอวี้หลงก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย

เหมือนสวิตช์ได้ถูกกดเปิด ส่องสว่างความสัมพันธ์ลับๆ ให้ปรากฏอย่างชัดเจน

ทว่าสำหรับหลัวอวี้หลงนั้น ความรู้สึกนี้เหมือนกับเขาเปิดประตูเชื้อเชิญเพื่อนบ้านที่แอบมองตัวเองจากฝั่งตรงข้ามเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็สัมผัสความรู้สึก “ถูกแอบมอง” ต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น สิ่งสำคัญคือ การเผาผลาญพลังงานของเขาก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

เดิมความสามารถพิเศษนี้ของหลัวอวี้หลง ต้องเผาผลาญพลังจิตในปริมาณมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งถูกพลังงานภายนอกแทรกแซง ดวงแสงแห่งจิตก็ถูกกระตุ้นโดยไม่จำยอมอย่างนี้ เขาจึงเพิ่งพบว่าหากเปรียบเทียบกันแล้ว การเผาผลาญเมื่อก่อนคือการประหยัดไฟดีๆ นี่เอง

แต่ตอนนี้ เขาถูกบังคับให้สู้อย่างเต็มที่ และเชื้อไฟในตัวเขาก็กำลังถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นถึงแม้จะถูกเยาะเย้ย หลัวอวี้หลงก็ไม่โต้เถียง แต่ยังทำหน้าเคร่งเครียดแล้วพยักหน้าบอกว่า “ฉันทนได้ไม่นานจริงๆ ที่นี่กว้างขนาดนี้ ฉัน…”

“ถ้าหาไม่เจอก็ห้ามหยุด” อ้ายเฟิงกลับตัดบทเขาอย่างไร้ความปรานี

ยามนี้ ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยแผลเป็นจากมีดของเขากำลังแผ่รังสีอำมหิต หลัวอวี้หลงอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ก้มหน้ายอมรับความจริงแต่โดยดี

“เข้าใจแล้ว…” ถ้าหากหาพวกนั้นไม่เจอ เขาก็จะถูกสูบพลังจนหมด จากนั้นก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน…

พอนึกถึงเรื่องนี้ หลัวอวี้หลงก็ขบกรามแน่น สีหน้าของเขาดูดุร้ายขึ้นมาทันที

“หัวหน้า นี่มัน…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว”

ท่าทีอย่างนี้ของอ้ายเฟิงมีอิทธิพลต่อคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาพึมพำสองสามคำ น้ำเสียงฟังดูไม่ปกติ

ดูท่าว่าเรื่องคราวนี้สำหรับอ้ายเฟิง คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงความเป็นความตายเลยทีเดียว…

แต่ถ้าอ้ายเฟิงลำบาก พวกเขาเองก็อย่าหวังว่าจะมีจุดจบที่ดี เมื่อเป็นอย่างนี้ สู้คิดหาวิธีสร้างผลงานให้สุดความสามารถไม่ดีกว่าหรือ…

ชั่วขณะหนึ่งทุกคนต่างไม่มีใครพูดอะไร ส่วนหลัวอวี้หลงก็รีบร้อนค้นหาไปตามทิศทางที่ศพกลิ้งตกลงมา

และในระหว่างนี้ เจ้าหน้าที่ค้นหาที่ถูกส่งออกไปกลับกำลังถูกฆ่าอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างทางพวกอ้ายเฟิงเจอศพของสมาชิกศพแล้วศพเล่า หลังจากที่นั่งลงและยืนยันศพแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เร็วเข้า! ถ้าพวกเขาลอบโจมตี จะทำให้มีช่องโหว่เร็วขึ้น”

แต่หลังจากที่ค้นหาติดต่อกันถึงสามชั้น หลัวอวี้หลงผู้ซึ่งกำลังทนรับแรงกดดันมหาศาลเห็นว่าพลังจิตของตัวเองยังคงถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย ก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที

“พวกเรากำลังถูกจูงจมูกให้เดินตามศพพวกนี้หรือเปล่า?” หลัวอวี้หลงตั้งคำถามอย่างระมัดระวัง

อ้ายเฟิงเองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้ว แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งเดือดพล่าน

คนคนนี้คิดจะอวดดีในถิ่นของเขาไปจนถึงไหนกันแน่?

พอเห็นว่าอ้ายเฟิงไม่พูดอะไร หลัวอวี้หลงก็พยักหน้าอย่างเศร้าสลด แล้วหันไปกวาดมองรอบทิศอีกครั้ง

และในขณะที่จิตใจของเขากำลังร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา ทันใดนั้น ก็มีสิ่งผิดปกติวิ่งผ่านเข้ามาใน “สายตา” ของเขา

แม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่หลัวอวี้หลงกลับดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก

เขารีบวิ่งออกไประยะหนึ่ง จากนั้นก็จับคลื่นสัญญาณเมื่อครู่ได้อีกครั้ง “ฉันรู้สึกได้แล้ว!”

หลัวอวี้หลงจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมละสายตา เขาตะโกนบอกเสียงเบาอย่างดีอกดีใจ “คลื่นแรงมาก ปฏิกิริยาของหมายเลข 0 ก็รุนแรงมากเหมือนกัน! เป้าหมาย ต้องเป็นเป้าหมายแน่ๆ!”

ถ้าหากคราวนี้ยังไม่ใช่ เขาคงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ…

“หมายเลข 0 มีปฏิกิริยางั้นหรอ?” อ้ายเฟิงอึ้ง จากนั้นก็พยักหน้า “ต้องเป็นเขาแน่! รีบตามไปเดี๋ยวนี้ ห้ามปล่อยให้เขาหนีไปได้อีกเด็ดขาด!”

ในความคิดของอ้ายเฟิง คนที่สามารถทำให้หมายเลข 0 มีปฏิกิริยาตอบสนองได้ จะต้องเป็นคนที่โจมตีมันในตอนนั้นอย่างแน่นอน

ส่วนพวกมู่เฉิน ถึงแม้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในเมืองตงหมิง หมายเลข 0 ก็ไม่เคยสัมผัสได้ถึงพวกเขาเลย

ที่สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้ ก็แสดงว่าสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างพวกเขาและหมายเลข 0 ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว

“ไม่ดีแล้ว! อีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังหนี!” สายตาของหลัวอวี้หลงเหลือบมองขึ้นไปบนเพดาน

ตอนนี้เขาเองก็ร้อนใจมากเหมือนกัน กว่าจะตามหาจนเจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกฝ่ายกลับคิดจะหนีอีก!

“ความรู้สึกไวขนาดนี้เลยหรือ? ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเขาแน่ๆ” อ้ายเฟิงถามต่ออย่างลิงโลด “มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“มี แต่สัมผัสเลือนรางมาก และยังมีแค่คนเดียว นอกจากนี้ยังอยู่ห่างจากเป้าหมายในระยะหนึ่งอีกด้วย” หลัวอวี้หลงรีบบอก “ถ้ายังไงส่งคนไป…”

หลัวอวี้หลงพูดพร้อมยกมือขึ้นทำท่าปาดคอ

“ฉันคิดดูก่อน” อ้ายเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขา พวกเราจะแตกกลุ่มกันไม่ได้ ต้องระวังตัวไว้ก่อน”

“หัวหน้าตัดสินใจได้รอบคอบที่สุด” หลัวอวี้หลงรีบยิ้มเอาใจ

ชั้นบนเองก็เป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่กว้างใหญ่ แถมยังจัดวางเครื่องใช้ในบ้านไว้มากมาย

คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาหลายคู่สอดส่องไปที่เงาตะคุ่มซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไปอย่างระมัดระวัง

หนึ่งในกลุ่มเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งแวบๆ เขารีบหันกายไปทางนั้นทันที แต่กลับพบว่าด้านหลังมีเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะอยู่หนึ่งดวงเท่านั้น

“หลัวอวี้หลง ระบุตำแหน่งของเขาด้วย” อ้ายเฟิงกระชับมีด แล้วถามเสียงเบา

ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ทั้งกว้างขวางและเงียบสงัด แม้แต่เสียงหัวใจเต้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน พออ้ายเฟิงพูด ทุกคนต่างพากันหวั่นใจว่าจะมีใครกระโดดออกมาจากมุมมืดหรือไม่

“ระบุไม่ได้ ที่นี่มีพลังจิตก่อกวน อีกฝ่ายเตรียมการไว้ก่อนแล้ว…อีกอย่างเขาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา” หลัวอวี้หลงใช้สัมผัสรู้ แล้วบอก

ส่วนอีกคนก็ยังคงหลบอยู่อีกด้านหนึ่งเหมือนเดิม ราวกับหนูขี้ขลาดตัวหนึ่ง

หลัวอวี้หลงครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็มองข้ามคนคนนั้นไป ก็แค่หนอนไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง ไม่แน่ว่าเจ้านั่นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว

“เตรียมการไว้ก่อนไม่เท่าไหร่ แต่ที่นี่กว้างเกินไปจริงๆ โชคดีที่คลื่นยังไม่ถูกตัด…เขารนหาที่ตายเองแท้ๆ” อ้ายเฟิงหัวเราะเย็นชา เขาสั่งให้สมาชิกทีมคนหนึ่งเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า จากนั้นก็โบกมือเรียกคนที่เหลือให้ตามเขาไป

เขายกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ และกระชับมีดพร้อมกับเดินหน้าไปช้าๆ

คนที่เหลือแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แล้วเดินเข้าไปข้างในช้าๆ โดยใช้ทางเดินทั้งเส้นที่อยู่ทางซ้ายและขวา ทว่าระหว่างพวกเขามีเพียงเครื่องใช้ในบ้านบางส่วนกั้นไว้เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น แต่มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย

ขอแค่ค้นพบเป้าหมาย แม้จะอดทนได้แค่วินาทีเดียว คนอื่นๆ ก็จะต้องตามมาช่วยได้ทันเวลาอย่างแน่นอน

และพวกเขาก็มีความมั่นใจ ว่าตัวเองจะยืนหยัดได้ในหนึ่งวินาที

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีหลัวอวี้หลงเดินตามอยู่ข้างหลัง อีกฝ่ายไม่มีทางเข้าใกล้พวกเขาได้อย่างไร้ซุ่มเสียงแน่นอน

“ออกมาเถอะ นายซ่อนตัวมานานเกินไปแล้ว”

อ้ายเฟิงคิดในใจ ขณะเดียวกันเขายื่นมือออกไปเปิดตู้เสื้อผ้าตู้หนึ่งอย่างระมัดระวัง

ข้างในมืดทึบ ไม่มีอะไรเลย

“เขายังอยู่ข้างหน้า” อ้ายเฟิงหันหน้ากลับมามอง หลัวอวี้หลงจึงรีบพยักหน้าแล้วบอก

“ระวังไว้หน่อย คนคนนี้จะต้องเจ้าเล่ห์มากแน่ๆ…” อ้ายเฟิงคิดในใจ เขายังคงย่องเท้าอย่างเบาที่สุด แล้วค่อยๆ เดินไปข้างหน้าช้าๆ

หลัวอวี้หลงเดินอยู่หลังสุด สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความดีใจและตื่นเต้นอย่างชัดเจน

ตอนนี้ เขาถือว่าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่แล้ว

ไม่เพียงแค่อ้ายเฟิงเท่านั้นที่จะให้รางวัลเขา ไม่แน่ว่าสำนักงานใหญ่เก็อาจตบรางวัลให้เขาด้วย

มีคนเข้ามาพร้อมกันมากมายขนาดนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่มีประโยชน์มากที่สุดกลับเป็นเขา

“ยอมรับว่าหายาก แต่สุดท้ายก็โดนฉันจับได้ซะแล้ว” หลัวอวี้หลงคิดอย่างได้ใจ พลางลอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่คนเดียว

แต่ในเสี้ยววินาทีที่เขาเผลอคิดอย่างอื่น ทันใดนั้น “คลื่นสัญญาณ” ของอีกฝ่ายกลับรุนแรงขึ้นกะทันหัน

“ทำไม…”

หลัวอวี้หลงเพิ่งจะเพ่งสมาธิมองไป แต่ทันใดนั้นเขากลับอ้าปากกว้างแล้วยกมือขึ้นกุมคอ ร่างกายเขาเอนไปด้านหลัง และหายตัวไปท่ามกลางความมืดในชั่วพริบตา

“ยังระยุตำแหน่งชัดเจนไม่ได้อีกหรือ?”

อ้ายเฟิงขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปถามอีกครั้ง

แต่พอหันกลับไป เขาก็ต้องอึ้งค้างไปทันที “หลัวอวี้หลงล่ะ?”

ยืนห่างกันแค่ไม่กี่เมตร หลัวอวี้หลงหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!

อ้ายเฟิงกระชับมีด เขาเบิกตากว้างมองหน้ามองหลัง ในใจตื่นตะลึงสุดขีด

เจ้าหมอนี่ไม่มีทางหนีหายไปด้วยตัวเองแน่นอน หรือว่าถูกลอบโจมตีต่อหน้าต่อตาตัวเอง?

เมื่อกี้เขาเพ่งสมาธิไปกับการตามหาก็จริง แต่หลัวอวี้หลงคือผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต หากมีใครเข้าใกล้เขาต้องรู้ตัวแน่นอน…

ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ขณะที่เข้าใกล้เขาก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาวะที่พลังถูกเปิดใช้อย่างเต็มที่

นอกเสียจากว่า ผู้ลอบโจมตีก็เป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากเหมือนกัน…

แต่มันเป็นไปไม่ได้! เพราะผู้มีพลังจิตหนึ่งเดียวคนนั้นกำลังถูกเขาเพ่งเล็งอย่างไม่ละสายตานี่นา!

“หลัวอวี้หลง!”

อ้ายเฟิงตะโกนเรียกเสียงเบา แต่รอบด้านยังคงมืดและเงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา

“คิดจะปั่นหัวฉัน? ฉันไม่เชื่อว่าแกจะเล็ดลอดออกไปจากช่องนิ้วของฉันได้!” อ้ายเฟิงพูด พลางเบนสายตาไปยังด้านข้าง

ไม่ควรแตกกลุ่มกันตามคาด ตอนนี้ต้องกลับมารวมกลุ่มกันก่อร แล้วค่อยสั่งให้ทุกคนออกตามหาเขาทุกซอกทุกมุม!

แต่หลังจากที่อ้ายเฟิงวิ่งไปยังทางเดินอีกเส้น เขากลับต้องอึ้งไปอีกครั้ง

สมาชิกทีมคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางตู้มากมาย แล้วมองมาทางเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง

“หาย…หายไปแล้ว เมื่อกี้เขายังยืนอยู่ข้างหลังผมอยู่เลย” สมาชิกทีมคนนี้พูดขึ้นแล้วชี้ไปทางข้างหลังตัวเอง

ห่างกันเพียงไม่ถึงสิบเมตร แต่กลับมีสมาชิกทีมหายตัวไปอีกหนึ่งคนแล้ว

อ้ายเฟิงสีหน้าตึงเครียดถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้ว

อีกฝ่ายไม่คิดจะปะทะกับพวกเขาตรงๆ แต่กลับคิดจะกลืนกินพวกเขาไปทีละนิดๆ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นตูมไป พวกนั้นมีคนไม่มากเท่าพวกเรา อีกอย่างคนที่สามารถลอบโจมตีพวกเราอย่างนี้ได้ ก็มีแค่เขาคนเดียว…” อ้ายเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ แล้วบอก

แต่เสียงพูดของเขาเพิ่งจะจบลง เสียง “เคร้ง” ก็ดังขึ้นภายในห้างสรรพสินค้า

อ้ายเฟิงและสมาชิกทีมคนนี้รีบหันไปมองยังทิศทางของเสียง แล้วจากนั้นก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็มีสมาชิกทีมอีกสองคนวิ่งออกมาจากทางเดินอีกเส้น วิ่งตามไปยังทิศทางที่เกิดเสียงเช่นกัน

“ทางนั้น!”

อ้ายเฟิงมองเห็นเงาร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาเผยสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา

คนคนนี้เอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ มาโดยตลอด แล้วยังลอบโจมตีพวกเขาติดกันถึงสองครั้ง ในที่สุดก็เผยช่องโหว่ออกมาให้เห็นแล้ว

ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต พอถูกจับตัวได้ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น

พอคิดอย่างนี้ อ้ายเฟิงก็เร่งฝีเท้าทันที

สมาชิกทีมอีกสามคนก็รีบวิ่งพุ่งไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน ทว่าหนึ่งในนั้นช้าไปหนึ่งก้าว

แต่เพราะก้าวเดียวที่ช้านี้ ระหว่างที่เขากำลังพุ่งไปข้างหน้า จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง ร่างกายโน้มไปข้างหลัง และหายตัวไปในเครื่องใช้ในบ้านเหล่านั้น

เสี้ยววินาทีที่เขาหายตัวไป อ้ายเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน

เขาหยุดวิ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันศีรษะที่ท่วมไปด้วยเหงื่อกลับมาช้าๆ

หันกลับไปมองเพียงแวบเดียว เขาก็รู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด