แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 663 ปัญญาอ่อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

Now you are reading แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ Chapter 663 ปัญญาอ่อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 663 ปัญญาอ่อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

วูบ!

เมื่อสายลมพัดผ่านไประลอกหนึ่ง ป้ายโฆษณาที่ห้อยโตงเตงอยู่ข้างทางก็สั่นไหวดัง “พั่บพั่บ” เบาๆ ขึ้นมาทันที

และด้านล่างป้ายโฆษณา คือทางเดินเท้าเส้นหนึ่งซึ่งเงียบและวังเวงมาก

ร้านรวงที่มีคนแวะเวียนกันมาไม่ขาดสายเมื่อวันวาน เวลานี้ประตูร้านกลับเปิดอ้าซ่า ข้างทางเต็มไปด้วยเศษกระจกจากตู้โชว์ที่แตกละเอียดเป็นกองๆ ซึ่งในนั้นมีเลือดสีน้ำตาลเข้ม หรือกระทั่งเศษชิ้นส่วนน่าขยะแขยงปะปนอยู่ด้วย

ในร้านมืดมิด สินค้ามากมายถูกทิ้งเกลื่อนกลาดเต็มพื้น

รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งถูกห้อยไว้ข้างประตูของหนึ่งในร้านค้าพวกนั้น ของประดับตกแต่งบนร้องเท้าขึ้นสนิมไปนานแล้ว มันเหมือนกำลังรอให้เท้าคู่นั้นที่เคยสวมใส่มัน แต่เห็นชัดว่าเธอคนนั้นคงไม่มีวันหวนคืน…

“ปั๊ก!”

ทันใดนั้น มีก้อนหินก้อนหนึ่งถูกโยนเข้ามาและหล่นกระทบกับพื้นใกล้ๆ รองเท้าส้นสูงข้างนั้น

“อึก อึก…”

ซอมบี้สองตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบหันมา พวกมันตวัดสายตามองไปยังทิศทางที่ก้อนหินกระทบกับพื้น

และในตอนนั้นเอง ก็มีก้อนหินอีกก้อนหล่นลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับห่างออกไปเล็กน้อย

ซอมบี้สองตัวที่รู้สึกเหมือนเป้าหมายหายไปแล้วรีบหันกลับมาอีกครั้ง แล้วพวกมันก็วิ่งพุ่งเข้าไปแทบจะพร้อมกัน

“พลั่ก! พลั่ก!”

ทันใดนั้น ซอมบี้สองตัวนี้ล้มลงไปพร้อมกัน และนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้น ราวกับว่าพวกมันได้สูญเสียเรี่ยวแรงในการเคลื่อนไหวไปแล้ว

ไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆ ซอมบี้สองตัวนี้ที่กำลังนอนหน้าจิ้มดินอยู่ก็ขยับตัว จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนไปทางด้านข้าง สุดท้ายพวกมันก็ถูกพลังงานที่มองไม่เห็นลากกลับหัวกลับหางเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง

“จัดการได้อีกสองตัว”

ในร้าน หลิงม่อกำลังยกมือนวดหว่างคิ้ว พร้อมกับพูดขึ้น

หลังจากที่ซอมบี้สองตัวนี้ถูกลากเข้ามา ก็ถูกเอาไปกองรวมไว้อีกด้านหนึ่ง

และบนพื้นทางนั้น ก็เต็มไปด้วยศพของซอมบี้มากมาย…

“เอื๊อก”

เย่เลี่ยนที่กำลังเบิกตากว้างจ้องมองศพเหล่านี้อยู่ อดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกไม่ได้

ส่วนซย่าน่านั้นทำเป็นมองออกไปข้างนอก แล้วก็เหลือบมองศพเหล่านั้นเป็นครั้งคราว

หลี่ย่าหลินเองก็จ้องตาไม่กระพริบ แต่คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดเห็นจะเป็นสวี่ซูหาน

มนุษย์กึ่ง “ซอมบี้” ตัวนี้กำลังพยายามสลัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของซย่าน่า ดวงตาสีแดงจางของเธอจ้องไปที่ศพเหล่านั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ปากก็เปล่งเสียงงับฟันอย่างต่อเนื่อง

แต่บางครั้งบางคราว จู่ๆ เธอก็ผงะถอยหลัง เหมือนกับขยะแขยงและเกลียดชังศพเหล่านั้นเต็มที

บางครั้งก็มองเห็นแววตาโหดเหี้ยมที่แฝงอยู่ในดวงตาเธอ ถึงแม้จะเป็นแค่เวลาสั้น แต่กลับเห็นได้อย่างชัดเจน

มู่เฉินนั้นยืนหลบอยู่ในมุมร้าน สายตาที่เขามองไปที่สวี่ซูหานดูสับสนยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด

เขาเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก ถ้าเป็นเมื่อก่อนสำหรับเพื่อนร่วมงานที่ติดเชื้อแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อความปลอดภัยของคนในกลุ่ม หรือเพื่อเป็นการปลดปล่อยอีกฝ่าย พวกเขามักจะฆ่าคนที่ติดเชื้อไวรัสทันที

คนที่ยอมรับความตายอย่างเด็ดเดี่ยวนั้นมีไม่มาก แต่เสียงร้ำไห้เหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรเล่า?

แต่กรณีของสวี่ซูหานในตอนนี้ กลับยากที่จะตัดสินได้ว่าเธอติดเชื้อแล้ว หรือยังหลงเหลือสติรู้คิด และยังถือว่าเป็นมนุษย์อยู่

“ดูจากสีหน้าและดวงตา น่าจะใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่านะ แต่สภาวะนี้มัน…”

ความคิดนั้นเพิ่งจะผุดขึ้นมาได้เพียงเสี้ยววินาที มู่เฉินก็รีบส่ายหัวสลัดมันทิ้งไป

ในเมื่อหลิงม่อบอกแล้วว่าจะลองช่วยสวี่ซูหานดู เขาจะต้องไม่คืนคำแน่นอน

แต่ไหนแต่ไรมาสำหรับพวกเขาการติดเชื้อก็หมายถึงการกลายพันธุ์ 100% ตอนนี้แค่มีความหวังแม้เพียงน้อยนิด ก็ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว

มู่เฉินคิด ถ้าหากตอนนี้สวี่ซูหานยังมีสติและคิดได้ ก็คงจะรู้สึกขอบคุณหลิงม่อมากเหมือนกัน…

แล้วก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า ยัยคนนี้อาจสติแตกเพราะตัวเองเผยด้านที่ “ขี้เหร่” ของตัวเองให้หลิงม่อเห็น…

“แต่ว่า ทำไมไม่ออกไปฆ่าซอมบี้พวกนั้นตรงๆ เลยล่ะ?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถาม

เขาทำหน้าปวดสมอง ถึงแม้ด้วยความเร็วของหลิงม่อ การฆ่าซอมบี้ทีละตัวสองตัวอย่างนี้จะไม่ถือว่าช้า แต่ความจริงอาศัยความสามารถของเขา ขอเพียงเลือกจุดใดจุหนึ่งบนถนนเส้นนี้ที่ค่อนข้างเงียบหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะผ่านไปได้

ขอเพียงหนีไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ซอมบี้ตัวอื่นจะถูกดึงดูดเข้ามาก็พอ

ที่นี่คือจุดศูนย์กลางของอำเภอซินหลาน และหลังจากที่เดินทะลุทางเดินหลายเส้นนี้ไป พวกเขาก็จะเข้าไปในเขตของเมืองชุ่ยหูแล้ว

เวลาอย่างนี้ ควรจะเร่งความเร็วไม่ใช่หรอ!

ความจริงหลังจากที่เข้ามาในอำเภอซินหลาย มู่เฉินเพิ่งจะพบว่า เขาได้ประเมินความยากลำบากที่จะต้องเจอบนเส้นทางที่ตัวเองเลือกต่ำไปมาก

หลังจากขับรถมาถึงจุดศูนย์กลางของอำเภอซินหลาน พวกเขาก็ไม่อาจขับต่อไปได้ ที่จริงหลิงม่อได้ดูแผนที่และให้ซย่าน่าขับอ้อมไปอ้อมมาจนฝืนขับมาถึงตรงนี้ได้ด้วยซ้ำ

คิดไปคิดมา เดิมพวกซ่งจินเซินก็หารถออฟโรดคันนี้มาได้จากแถวนี้เหมือนกัน พอถึงเขตที่รถยนต์สามารถสัญจรไปมาได้ พวกเขาก็คงจะเจอรถที่พวกนั้นทิ้งไว้อีก

ทว่าเส้นทางที่ต้องเดินเท้าในระหว่างนี้ กลับมีปัญหายุ่งยากไม่น้อย

เขตพื้นที่ที่พวกเขาเลือกเดินก็ไม่ใช่ทางที่พวกซ่งจินเซินเคยใช้ ในอำเภอใหญ่อย่างนี้ เส้นทางที่ผ่านการทำความสะอาดมาแล้วกลับจะยิ่งดึงดูดซอมบี้ให้เข้ามามากกว่าเดิม

“อ้อ เรื่องนี้หรอ? ทำแบบนี้ปลอดภัยกว่า” หลิงม่อให้คำตอบที่มู่เฉินได้ยินแล้วอยากจะเอาหัวโขกกำแพงอีกครั้ง

ทีเวลาอย่างนี้มาเรียกร้องความปลอดภัย เมื่อก่อนไม่เห็นจะดูออกว่าสนเรื่องนี้ด้วย!

แต่ครั้งนี้หลิงม่อไม่ได้ตอบแบบส่งๆ เขาทำไปเพื่อรักษาความปลอดภัยในการเดินทางจริงๆ

ในรายงานของกองทัพอากาศที่เขาค้นเจอ ได้ระบุระดับความอันตรายของเมืองชุ่ยหูไว้อย่างชัดเจน

อำเภอซินหลานอยู่ติดกับเมืองชุ่ยหู ถึงแม้จะไม่ได้ถูกพูดถึงในรายงาน แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าระดับความอันตรายอยู่ในระดับใด

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานฉบับนั้นเป็นของหลายเดือนก่อน เนื้อหาย่อมต่างจากสถานการณ์จริงในปัจจุบันมากอยู่แล้ว

แม้เป้าหมายในการมาเมืองชุ่ยหูของเขา ก็เพื่อจะทำให้พวกเย่เลี่ยนได้รับการวิวัฒนาการและอัพเกรดให้มากที่สุด ก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับนิพพานสาขาใหญ่ แต่ในสถานการณ์ที่ยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ทำอะไรอย่างระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า

ความจริงวิธีที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ เป็นการตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบไปในตัวด้วย

เสียงการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาอย่างนี้ ไม่มีทางที่ซอมบี้ทั่วไปจะได้ยิน แต่กลับมีความเป็นไปได้มากกว่าเสียงเหล่านี้จะไม่รอดพ้นประสาทสัมผัสด้านกลิ่นและการได้ยินของซอมบี้ระดับสูง

ในอีกด้าน ตอนนี้ยิ่งอยู่ในอำเภอซินหลานนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้หลี่ย่าหลินจำอะไรได้มากขึ้น

นับตั้งแต่เข้ามาในอำเภอซินหลาน เขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของหลี่ย่าหลินเป็นระยะๆ

รุ่นพี่ของเขาเอาแต่มองไปทั่วทิศด้วยท่าทางฉงนสงสัย เมื่อไหร่ที่เดินผ่านสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างโดดเด่นหรือเป็นสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์เธอมักจะหยุดเดินแล้วจ้องมอง แต่ทุกครั้งเหมือนว่าความรู้สึกแปลกใหม่ที่ซอมบี้มีต่อสิ่งของหรือเรื่องใหม่ๆ จะมีมากกว่า

หลิงม่อเอ่ยปากถามเป็นบางครั้ง แต่สิ่งที่เธอตอบกลับไม่เกี่ยวข้องกับความทรงจำเลยแม้แต่น้อย

“ใจเย็น อย่าใจร้อน…” หลิงม่อปลอบใจตัวเองในใจ แล้วหันไปพูดกับมู่เฉินที่ตอนนี้ทำหน้าเบื่อเต็มทน “ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่ซอมบี้น้อยที่สุดแล้ว ก่อนหน้านี้นายไม่อยากไปสำนักงานใหญ่ไม่ใช่หรอ? ตอนนี้กลับมาเร่งเร้าเอาๆ”

“แล้วนายไม่กลัวโดนกัดบ้างรึไงล่ะ! ตอนนี้เธอใกล้จะกลายร่างเป็นเสือสาวอยู่แล้วนะ!” คนที่มู่เฉินพูดถึงคือสวี่ซูหาน

เสียงคำรามต่ำของเขา กระตุ้นสวี่ซูหานให้ดิ้นพล่านอีกครั้ง เธอแยกเขี้ยวแล้วหมายจะพุ่งเข้ามาหาเขา

ถึงแม้จะไม่สามารถหลุดพ้นจากการจับกุมของซย่าน่าได้ แต่สายตาอันคลุ้มคลั่งนั่นก็ยังคงทำให้มู่เฉินสะดุ้งตกใจอย่างแรง

“ดูสิ นายนินทาเธอ เธอยังมีปฏิกิริยาอยู่เลยนะ” หลิงม่อบอก

“นายก็เป็นเสือเหมือนกัน เสือที่กินคนแล้วไม่คายออกมาแม้แต่กระดูก!” มู่เฉินเดือด สองคนนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันแท้ๆ แต่นึกไม่ถึงว่าจะยัง “ร่วมมือ” กันโจมตีเข้าได้สำเร็จอีกแล้ว

“พวกเธอก็เป็นเสือเหมือนกันนั่นแหละ!” มู่เฉินมองพวกเย่เลี่ยนอย่างขุ่นเคือง แล้วพูดขึ้น

ซย่าน่าร้อง “ชิ” หนึ่งที ส่วนหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนนั้นมีปฏิกิริยาที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

“เสือ? กินได้ไหม?”

“เสือ…เสือ…?”

มู่เฉินกลอกตาขาว คนพวกนี้แอบไปคุยกันลับหลังว่าจะยั่วโมโหเขาให้ตายสินะ? ทำไมอยู่ไปอยู่มา กลับกลายเป็นว่าเขาคือคนที่ปกติที่สุดในกลุ่ม 6 คนนี้ได้ล่ะ?

ระหว่างที่พูดคุย หลิงม่อก็มองเห็นซอมบี้กลุ่มหนึ่งถูกล่อเข้ามาอีกครั้ง จึงได้จัดการสังหารพวกมัน

เขาโยนก้อนหินก้อนสุดท้ายกลับเข้าไปในตู้ปลาอันแห้งเหือดของร้านค้า จากนั้นก็สะบัดมือ “ไปกันเถอะ”

ตอนนี้ถนนทั้งสายโล่งเปล่าไร้เงาคน ไม่มีกลิ่นคาวเลือด มีเพียงร้านค้าแห่งนั้นเท่านั้นที่มีศพนอนกองอยู่เต็มไปหมด

หลังออกมา หลิงม่อก็พลิกมือปิดประตูร้าน เพื่อขังกลิ่นเลือดไว้ข้างในอย่างมิดชิด

สิบนาที ไม่มีอะไรถูกดึงดูดออกมา อย่างน้อยก็แสดงว่าถนนส้นนี้ปลอดภัยแล้ว

แต่มู่เฉินที่เห็นเหตุการณ์กลับสงสัย แต่พอคิดไปคิดมา เขากลับนึกออกเพียงคำตอบเดียว

ยอดฝีมือก็ยังคงเป็นยอดฝีมือวันยังค่ำ วิธีการที่ใช้ก็แตกต่างกัน แม้แต่การจัดการศพก็ยังระวังขนาดนี้…

แต่พอคิดดูดีๆ หลิงม่อในตอนนี้ กลับเหมือนกำลังกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างถูกดึงดูดออกมาเลยนี่!

ยิ่งคิด มู่เฉินก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ และหลังจากตระหนักเรื่องนี้ได้ จู่ๆ เขาก็พบว่า เหมือนตัวเองจะถูกลากลงไปในหลุมกับดักอีกคน…

“โอ๊ยยย ฮึ่ยยยย!”

เย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินกระตุกเสื้อซย่าน่าพร้อมกัน แล้วถามว่า “เขาเป็นอะไรไป?”

ซย่าน่าเหลือบมองหลิงม่อที่เดินนำอยู่หน้าสุดแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองมู่เฉินที่กำลังจ้องแผ่นหลังของหลิงม่อ พร้อมกับเกาหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นจึงตอบเสียงเบาว่า “น่าจะลืมกินยาล่ะมั้ง? ฉันจำได้ว่ามนุษย์มีโรคอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ปัญญาอ่อน” อยู่ด้วย…”

“อา…รักษษได้ไหม?” หลี่ย่าหลินถามอย่างอยากรู้

ซย่าน่าส่ายหัว “ไม่มีทางหายขาด…”

—————————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด