ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1)

สนามประลอง

ผู้ชมด้านล่างเวทีขมวดคิ้วอย่างตกใจ ฟางผิงหลับตาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลืมตาเอ่ยว่า “ต่อกันเลย!”

โจวเหยียนแววตาเปลี่ยนเล็กน้อย “นายจะไม่พักสักหน่อยเหรอ?”

“จองตั๋วรถไว้แล้ว!”

ฟางผิงพูดแบบนี้ โจวเหยียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกลางตัดสินจึงไม่เกลี้ยกล่อมอะไรอีก หันไปมองสองคนข้างเวที “พวกนายอยากจะประลองอยู่หรือเปล่า?”

สองคนด้านล่างเวทีไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนตอนแรกแล้ว!

ตอนที่หมอและคนของสมาคมยกร่างจางกั๋วเวยผ่านพวกเขาไป แววตาของทั้งสองก็มืดหม่นอยู่บ้าง

ผ่านไปพักหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “ฉันยอมแพ้ นับจากนี้ต่อไปฉันจะฝึกวิชาอย่างเงียบๆ ขั้นหนึ่งก็ดี ขั้นสองก็ช่าง เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์…”

“บางที…อาจไม่เหมาะกับฉัน…”

คำพูดด้านหลังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

เขากลัวและขยาดแล้ว!

เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเหมือนกัน เขาอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลาย ฟางผิงเพิ่งก้าวสู่ขั้นหนึ่ง

แต่หลังจากฟางผิงฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคนติดต่อกัน เขาไม่กล้าจะขึ้นเวทีอีกแล้ว

พูดจบ คนผู้นี้ก็หมุนตัวเดินไปทันที

พอเขาจากไป ล่างเวทีจึงเหลือคนสุดท้ายแค่คนเดียว

คนสุดท้ายไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

ตอนนี้หญิงสาวลังเลอยู่บ้าง หันไปมองหลิวหย่งเหวินแวบหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันเตรียมก้าวขึ้นเวที

หลิวหย่งเหวินที่อยู่ด้านล่างพูดขึ้นโดยพลัน “ช่างเถอะ ยอมแพ้ซะ!”

“หย่งเหวิน!”

หญิงสาวไม่เต็มใจอยู่บ้าง กัดฟันว่า “ฉันทำได้!”

หลิวหย่งเหวินส่ายหัว มองไปทางฟางผิง “เธอยอมแพ้แล้ว”

“หย่งเหวิน…”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวและหลิวหย่งเหวินมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แววตานั้นไม่รู้ว่าปรากฏความโล่งใจหรือเสียดาย

เธอหันไปมองฟางผิง เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “หากไม่ใช่ว่าวันนี้ใช้อาวุธไม่ได้…”

ฟางผิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “พูดพล่ามอะไรเยอะแยะ ถ้าจะสู้ก็ขึ้นเวที ดูสิว่าฉันจะฆ่าเธอได้หรือเปล่า!”

“นาย!”

“เธอถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน! บนเวทีประลองใครจะพูดไร้สาระกัน สู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ยอมแพ้ หากไม่ยอม ขึ้นเวทีได้ ปราณฉันลดไปกว่าครึ่งแล้ว บางทีอาจฆ่าเธอไม่ตายหรอก!”

“ไอ้เลว…ฉัน…”

“พอได้แล้ว!”

หลิวหย่งเหวินตะโกนเสียงดัง จางกั๋วหรูขมวดคิ้วเหมือนกัน “ฉีเวย พอแล้ว ยอมแพ้ก็ลงมาเถอะ!”

ผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ควรฝีมืออ่อนด้อยและพูดไม่คิด

คำพูดคุยโวสามารถฆ่าคนได้ ทั้งขึ้นอยู่กับพื้นฐานความสามารถเช่นกัน

ฉินเฟิ่งชิงสามารถคุยโวไปทั่ว เพราะคนทั่วไปฆ่าเขาไม่ได้ ส่วนคนที่ฆ่าเขาได้ ก็ไม่คิดจะฆ่าเขาเหมือนกัน

แต่คู่ต่อสู้ของฉีเวยคือฟางผิง เพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่งไม่นาน ก็ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปแล้วสองคน

หากฉีเวยพูดอวดตัวอีก คงปกปิดความจริงที่ว่าเธอยอมแพ้เพราะไม่กล้าสู้ได้อีกแล้ว

ฉีเวยเผยสีหน้ามืดครึ้ม ก้มหน้าเดินออกมาข้างนอก

เธอยังจะกล้าสู้งั้นเหรอ?

บางทีอาจจะกล้า!

ถ้าหลิวหย่งเหวินต้องการแบบนั้นจริงๆ เธออาจจะแบกรับการต่อสู้ไว้ แต่หลิวหย่งเหวินยอมแพ้แทนเธอไปแล้ว เธอจึงสลัดความคิดนั้นทิ้ง ตอนนี้ถ้าเธอขึ้นเวที มีโอกาสสูงที่จะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว!

ผู้ท้าประลองทั้งสองจากไปแล้ว การแลกเปลี่ยนความรู้จึงถือเป็นอันสิ้นสุด

หลิวหย่งเหวินมองฟางผิงด้วยแววตาลึกล้ำ หยัดกายขึ้นว่า “ฝีมือสู้ไม่ได้ จะแพ้ก็ไม่ผิด แต่ตอนแรกน้องชายฉันเป็นอัจฉริยะเหมือนกับนายเช่นกัน ถูกฝากความหวังไว้ ครอบครัวนั้นคาดหวังเขามากกว่าฉันเสียอีก หวังให้เขาจบการศึกษาด้วยขั้นสี่ แต่ตอนนี้เขายังพักรักษาตัว แค่ขั้นหนึ่งตอนปลายยังรักษาไว้ไม่ได้ ปราณลดฮวบจนอยู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนต้นเท่านั้น อย่าพูดว่าเรียนจบด้วยขั้นสี่เลย แต่แค่ขั้นสองยังยาก ชั่วชีวิตนี้อาจหยุดที่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ…”

หลิวหย่งเหวินเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่อยากบอกนายว่าการแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ไม่มีถูกผิด อาศัยแค่ฝีมือ! หวังจินหยางทำให้น้องฉันพิการได้ ฉันก็ให้คนสู้นายจนพิการได้เหมือนกัน! แน่นอนว่าต้องทำตามกฎอยู่แล้ว ฉันยินดีจะทำให้นายรับรู้ถึงสิ่งที่น้องชายของฉันประสบพบเจอ ตอนนี้พลังของนายเทียบเท่ากับขั้นหนึ่งตอนปลาย เรื่องวันนี้ช่างเถอะ รอนายอยู่ขั้นสามแล้ว…พวกเราค่อยว่ากันอีกที!”

สิ้นเสียงของเขา จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาในสนามประลอง เอ่ยเสียงดังก้อง “ไม่ต้องรอเขาถึงขั้นสามหรอก ฉันอยู่ขั้นสามเหมือนกัน หลิวหย่งเหวิน ฉันจะท้าประลองกับนาย!”

“พลั่ก…”

ในสนามประลองมีเสียงคนชนกันดังขึ้น

“นายเองเหรอ!”

“หวังจินหยาง!”

“นึกไม่ถึงว่าจะกล้ามาที่นี่”

“…”

ในสนามเกิดคลื่นลูกใหญ่กระทบเป็นวงกว้าง พวกนักศึกษาที่ติดตามหลิวหย่งเหวินมาต่างมองอย่างมีโทสะ

หน้าประตูใหญ่ของสนามประลอง หวังจินหยางกำลังพูดสบายๆ อย่างเช่นเคย “หลิวหย่งเหวิน รับการประลองหรือเปล่า?”

“นาย!”

“กล้าหรือไม่กล้า”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ขึ้นเวทีแล้วถ้าฉันฆ่านายไม่ได้ในสามกระบวนท่า ฉันจะคุกเข่าอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หนึ่งเดือนแล้วยอมรับว่า ฉันไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้!”

“หวังจินหยาง!”

มีอาจารย์เอ่ยขึ้นมาเสียงดัง “ที่นี่คือมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ใช่หนานเจียง!”

หวังจินหยางเบนแววตาไปยังอาจารย์ที่พูด ยังคงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ผมจะทะลวงด่านภายในสามวัน หนึ่งเดือนหลังจากนี้คุณประลองกับผมได้ เป็นหรือตายรับผิดชอบกันเอง”

“อวดดี!”

อาจารย์ขั้นสี่โมโหอย่างมาก

“คำพูดคุยโวฆ่าคนไม่ตายหรอก”

“นายกล้าดูถูกมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของเราอย่างนั้นรึ”

“ฉันไม่ได้ดูถูกใคร แต่ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น! ฉันเดินมาจนถึงวันนี้ได้ จ่ายค่าตอบแทนออกไปมากกว่าพวกนายอีก!”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ตอนนี้ฉันจะใช้ความสามารถของขั้นสาม ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามระดับเดียวกันของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้! กล้าประลองหรือเปล่า?”

“ไอ้คนกำเริบเสิบสาน!”

“รับการประลองแล้วให้พวกขั้นสามตอนปลายจัดเขาซะ!”

“…”

บางคนนั้นแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม บางคนไม่พอใจอย่างยิ่ง

หลิวหย่งเหวินสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างหลากหลาย กลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

พวกอาจารย์พากันขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครรับบทสนทนา

หวังจินหยางที่อยู่ขั้นสามตอนปลาย ก่อนหน้านี้หายไปช่วงหนึ่ง ทุกคนคิดว่าเขาจำศีลเพื่อทะลวงขั้นสี่เสียอีก

ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ทะลวง กลับมาที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แทน

ตอนนี้จากความสามารถขั้นสามตอนปลายของหวังจินหยาง คงอยู่ห่างจากขั้นสี่อยู่นิดเดียว แม้ที่นี่จะมีนักศึกษาระดับเดียวกับเขา แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหวังจินหยางได้จริงๆ เหรอ?

จัดการขั้นหนึ่ง ยังพอดูเป็นเรื่องสนุกได้

แต่ขั้นสามถือเป็นนักศึกษาแนวหน้าแล้ว หากถูกหวังจินหยางจัดการ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกรงว่าต่อไปต้องเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริง!

หวังจินหยางเห็นทุกคนไม่ตอบ ไม่ได้เผยความผิดหวังและอวดตัว เอ่ยเรียบนิ่งว่า “ในเมื่อไม่กล้า ฉันก็จะไม่บังคับ! แต่ฉันคือฉัน เขาคือเขา ฟางผิงเป็นนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่หนานเจียง เซี่ยงไฮ้ปฏิบัติกับเด็กใหม่แบบนี้ นี่เป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยชื่อดัง?”

หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้ว “หวังจินหยาง นี่เป็นการประลองอย่างยุติธรรม ฟางผิงเป็นคนตอบรับเอง”

หวังจินหยางหันไปมองเขา “ได้ ครั้งนี้แล้วไปละกัน แต่ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะมาประลองอย่างยุติธรรมเหมือนกัน! ฉันอยู่ขั้นสาม พวกนายไม่กล้าประลอง! รอฉันเข้าสู่ขั้นสี่ ฉันจะยังไม่สู้ พอถึงขั้นสี่ตอนปลายจะมาขวางประตูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง ฉันอยากจะเห็นว่าถ้าฆ่านักศึกษาขั้นสี่ของพวกนายหมดแล้ว จะยุติธรรมเหมือนกันหรือเปล่า?”

“ต่ำทราม!”

จางกั๋วหรูเอ่ยอย่างโมโห “นายเห็นพวกเราขาดคนมีฝีมือหรือไง!”

“งั้นก็ประลองสิ!”

หวังจินหยางตะโกนกร้าวทันที “วันนี้ฉันจะท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ปฏิเสธใครทั้งนั้น! คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านักศึกษาของพวกคุณหรือไง!”

“นาย…”

“หุบปาก!”

หลู่เฟิ่งโหรวที่เงียบมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง ถลึงตามองจางกั๋วหรู!

หวังจินหยางกวาดขั้นสามทางเหนือมาจนเรียบ พวกรองประธานในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยปักกิ่งพ่ายแพ่ในชั่วพริบตา จะสู้ยังไง?

หวังจินหยางไม่ได้ฆ่าใครในปักกิ่ง

วันนี้หากลงมือหนักในเซี่ยงไฮ้ เกรงว่านักศึกษาขั้นสามต้องนองเลือดในมหาวิทยาลัยแล้ว

จางกั๋วหรูใบหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไรออกมาอีก

——————–

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1)

สนามประลอง

ผู้ชมด้านล่างเวทีขมวดคิ้วอย่างตกใจ ฟางผิงหลับตาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลืมตาเอ่ยว่า “ต่อกันเลย!”

โจวเหยียนแววตาเปลี่ยนเล็กน้อย “นายจะไม่พักสักหน่อยเหรอ?”

“จองตั๋วรถไว้แล้ว!”

ฟางผิงพูดแบบนี้ โจวเหยียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกลางตัดสินจึงไม่เกลี้ยกล่อมอะไรอีก หันไปมองสองคนข้างเวที “พวกนายอยากจะประลองอยู่หรือเปล่า?”

สองคนด้านล่างเวทีไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนตอนแรกแล้ว!

ตอนที่หมอและคนของสมาคมยกร่างจางกั๋วเวยผ่านพวกเขาไป แววตาของทั้งสองก็มืดหม่นอยู่บ้าง

ผ่านไปพักหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “ฉันยอมแพ้ นับจากนี้ต่อไปฉันจะฝึกวิชาอย่างเงียบๆ ขั้นหนึ่งก็ดี ขั้นสองก็ช่าง เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์…”

“บางที…อาจไม่เหมาะกับฉัน…”

คำพูดด้านหลังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

เขากลัวและขยาดแล้ว!

เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเหมือนกัน เขาอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลาย ฟางผิงเพิ่งก้าวสู่ขั้นหนึ่ง

แต่หลังจากฟางผิงฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคนติดต่อกัน เขาไม่กล้าจะขึ้นเวทีอีกแล้ว

พูดจบ คนผู้นี้ก็หมุนตัวเดินไปทันที

พอเขาจากไป ล่างเวทีจึงเหลือคนสุดท้ายแค่คนเดียว

คนสุดท้ายไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

ตอนนี้หญิงสาวลังเลอยู่บ้าง หันไปมองหลิวหย่งเหวินแวบหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันเตรียมก้าวขึ้นเวที

หลิวหย่งเหวินที่อยู่ด้านล่างพูดขึ้นโดยพลัน “ช่างเถอะ ยอมแพ้ซะ!”

“หย่งเหวิน!”

หญิงสาวไม่เต็มใจอยู่บ้าง กัดฟันว่า “ฉันทำได้!”

หลิวหย่งเหวินส่ายหัว มองไปทางฟางผิง “เธอยอมแพ้แล้ว”

“หย่งเหวิน…”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวและหลิวหย่งเหวินมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แววตานั้นไม่รู้ว่าปรากฏความโล่งใจหรือเสียดาย

เธอหันไปมองฟางผิง เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “หากไม่ใช่ว่าวันนี้ใช้อาวุธไม่ได้…”

ฟางผิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “พูดพล่ามอะไรเยอะแยะ ถ้าจะสู้ก็ขึ้นเวที ดูสิว่าฉันจะฆ่าเธอได้หรือเปล่า!”

“นาย!”

“เธอถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน! บนเวทีประลองใครจะพูดไร้สาระกัน สู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ยอมแพ้ หากไม่ยอม ขึ้นเวทีได้ ปราณฉันลดไปกว่าครึ่งแล้ว บางทีอาจฆ่าเธอไม่ตายหรอก!”

“ไอ้เลว…ฉัน…”

“พอได้แล้ว!”

หลิวหย่งเหวินตะโกนเสียงดัง จางกั๋วหรูขมวดคิ้วเหมือนกัน “ฉีเวย พอแล้ว ยอมแพ้ก็ลงมาเถอะ!”

ผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ควรฝีมืออ่อนด้อยและพูดไม่คิด

คำพูดคุยโวสามารถฆ่าคนได้ ทั้งขึ้นอยู่กับพื้นฐานความสามารถเช่นกัน

ฉินเฟิ่งชิงสามารถคุยโวไปทั่ว เพราะคนทั่วไปฆ่าเขาไม่ได้ ส่วนคนที่ฆ่าเขาได้ ก็ไม่คิดจะฆ่าเขาเหมือนกัน

แต่คู่ต่อสู้ของฉีเวยคือฟางผิง เพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่งไม่นาน ก็ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปแล้วสองคน

หากฉีเวยพูดอวดตัวอีก คงปกปิดความจริงที่ว่าเธอยอมแพ้เพราะไม่กล้าสู้ได้อีกแล้ว

ฉีเวยเผยสีหน้ามืดครึ้ม ก้มหน้าเดินออกมาข้างนอก

เธอยังจะกล้าสู้งั้นเหรอ?

บางทีอาจจะกล้า!

ถ้าหลิวหย่งเหวินต้องการแบบนั้นจริงๆ เธออาจจะแบกรับการต่อสู้ไว้ แต่หลิวหย่งเหวินยอมแพ้แทนเธอไปแล้ว เธอจึงสลัดความคิดนั้นทิ้ง ตอนนี้ถ้าเธอขึ้นเวที มีโอกาสสูงที่จะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว!

ผู้ท้าประลองทั้งสองจากไปแล้ว การแลกเปลี่ยนความรู้จึงถือเป็นอันสิ้นสุด

หลิวหย่งเหวินมองฟางผิงด้วยแววตาลึกล้ำ หยัดกายขึ้นว่า “ฝีมือสู้ไม่ได้ จะแพ้ก็ไม่ผิด แต่ตอนแรกน้องชายฉันเป็นอัจฉริยะเหมือนกับนายเช่นกัน ถูกฝากความหวังไว้ ครอบครัวนั้นคาดหวังเขามากกว่าฉันเสียอีก หวังให้เขาจบการศึกษาด้วยขั้นสี่ แต่ตอนนี้เขายังพักรักษาตัว แค่ขั้นหนึ่งตอนปลายยังรักษาไว้ไม่ได้ ปราณลดฮวบจนอยู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนต้นเท่านั้น อย่าพูดว่าเรียนจบด้วยขั้นสี่เลย แต่แค่ขั้นสองยังยาก ชั่วชีวิตนี้อาจหยุดที่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ…”

หลิวหย่งเหวินเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่อยากบอกนายว่าการแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ไม่มีถูกผิด อาศัยแค่ฝีมือ! หวังจินหยางทำให้น้องฉันพิการได้ ฉันก็ให้คนสู้นายจนพิการได้เหมือนกัน! แน่นอนว่าต้องทำตามกฎอยู่แล้ว ฉันยินดีจะทำให้นายรับรู้ถึงสิ่งที่น้องชายของฉันประสบพบเจอ ตอนนี้พลังของนายเทียบเท่ากับขั้นหนึ่งตอนปลาย เรื่องวันนี้ช่างเถอะ รอนายอยู่ขั้นสามแล้ว…พวกเราค่อยว่ากันอีกที!”

สิ้นเสียงของเขา จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาในสนามประลอง เอ่ยเสียงดังก้อง “ไม่ต้องรอเขาถึงขั้นสามหรอก ฉันอยู่ขั้นสามเหมือนกัน หลิวหย่งเหวิน ฉันจะท้าประลองกับนาย!”

“พลั่ก…”

ในสนามประลองมีเสียงคนชนกันดังขึ้น

“นายเองเหรอ!”

“หวังจินหยาง!”

“นึกไม่ถึงว่าจะกล้ามาที่นี่”

“…”

ในสนามเกิดคลื่นลูกใหญ่กระทบเป็นวงกว้าง พวกนักศึกษาที่ติดตามหลิวหย่งเหวินมาต่างมองอย่างมีโทสะ

หน้าประตูใหญ่ของสนามประลอง หวังจินหยางกำลังพูดสบายๆ อย่างเช่นเคย “หลิวหย่งเหวิน รับการประลองหรือเปล่า?”

“นาย!”

“กล้าหรือไม่กล้า”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ขึ้นเวทีแล้วถ้าฉันฆ่านายไม่ได้ในสามกระบวนท่า ฉันจะคุกเข่าอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หนึ่งเดือนแล้วยอมรับว่า ฉันไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้!”

“หวังจินหยาง!”

มีอาจารย์เอ่ยขึ้นมาเสียงดัง “ที่นี่คือมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ใช่หนานเจียง!”

หวังจินหยางเบนแววตาไปยังอาจารย์ที่พูด ยังคงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ผมจะทะลวงด่านภายในสามวัน หนึ่งเดือนหลังจากนี้คุณประลองกับผมได้ เป็นหรือตายรับผิดชอบกันเอง”

“อวดดี!”

อาจารย์ขั้นสี่โมโหอย่างมาก

“คำพูดคุยโวฆ่าคนไม่ตายหรอก”

“นายกล้าดูถูกมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของเราอย่างนั้นรึ”

“ฉันไม่ได้ดูถูกใคร แต่ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น! ฉันเดินมาจนถึงวันนี้ได้ จ่ายค่าตอบแทนออกไปมากกว่าพวกนายอีก!”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ตอนนี้ฉันจะใช้ความสามารถของขั้นสาม ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามระดับเดียวกันของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้! กล้าประลองหรือเปล่า?”

“ไอ้คนกำเริบเสิบสาน!”

“รับการประลองแล้วให้พวกขั้นสามตอนปลายจัดเขาซะ!”

“…”

บางคนนั้นแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม บางคนไม่พอใจอย่างยิ่ง

หลิวหย่งเหวินสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างหลากหลาย กลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

พวกอาจารย์พากันขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครรับบทสนทนา

หวังจินหยางที่อยู่ขั้นสามตอนปลาย ก่อนหน้านี้หายไปช่วงหนึ่ง ทุกคนคิดว่าเขาจำศีลเพื่อทะลวงขั้นสี่เสียอีก

ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ทะลวง กลับมาที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แทน

ตอนนี้จากความสามารถขั้นสามตอนปลายของหวังจินหยาง คงอยู่ห่างจากขั้นสี่อยู่นิดเดียว แม้ที่นี่จะมีนักศึกษาระดับเดียวกับเขา แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหวังจินหยางได้จริงๆ เหรอ?

จัดการขั้นหนึ่ง ยังพอดูเป็นเรื่องสนุกได้

แต่ขั้นสามถือเป็นนักศึกษาแนวหน้าแล้ว หากถูกหวังจินหยางจัดการ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกรงว่าต่อไปต้องเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริง!

หวังจินหยางเห็นทุกคนไม่ตอบ ไม่ได้เผยความผิดหวังและอวดตัว เอ่ยเรียบนิ่งว่า “ในเมื่อไม่กล้า ฉันก็จะไม่บังคับ! แต่ฉันคือฉัน เขาคือเขา ฟางผิงเป็นนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่หนานเจียง เซี่ยงไฮ้ปฏิบัติกับเด็กใหม่แบบนี้ นี่เป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยชื่อดัง?”

หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้ว “หวังจินหยาง นี่เป็นการประลองอย่างยุติธรรม ฟางผิงเป็นคนตอบรับเอง”

หวังจินหยางหันไปมองเขา “ได้ ครั้งนี้แล้วไปละกัน แต่ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะมาประลองอย่างยุติธรรมเหมือนกัน! ฉันอยู่ขั้นสาม พวกนายไม่กล้าประลอง! รอฉันเข้าสู่ขั้นสี่ ฉันจะยังไม่สู้ พอถึงขั้นสี่ตอนปลายจะมาขวางประตูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง ฉันอยากจะเห็นว่าถ้าฆ่านักศึกษาขั้นสี่ของพวกนายหมดแล้ว จะยุติธรรมเหมือนกันหรือเปล่า?”

“ต่ำทราม!”

จางกั๋วหรูเอ่ยอย่างโมโห “นายเห็นพวกเราขาดคนมีฝีมือหรือไง!”

“งั้นก็ประลองสิ!”

หวังจินหยางตะโกนกร้าวทันที “วันนี้ฉันจะท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ปฏิเสธใครทั้งนั้น! คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านักศึกษาของพวกคุณหรือไง!”

“นาย…”

“หุบปาก!”

หลู่เฟิ่งโหรวที่เงียบมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง ถลึงตามองจางกั๋วหรู!

หวังจินหยางกวาดขั้นสามทางเหนือมาจนเรียบ พวกรองประธานในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยปักกิ่งพ่ายแพ่ในชั่วพริบตา จะสู้ยังไง?

หวังจินหยางไม่ได้ฆ่าใครในปักกิ่ง

วันนี้หากลงมือหนักในเซี่ยงไฮ้ เกรงว่านักศึกษาขั้นสามต้องนองเลือดในมหาวิทยาลัยแล้ว

จางกั๋วหรูใบหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไรออกมาอีก

——————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (1)

สนามประลอง

ผู้ชมด้านล่างเวทีขมวดคิ้วอย่างตกใจ ฟางผิงหลับตาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลืมตาเอ่ยว่า “ต่อกันเลย!”

โจวเหยียนแววตาเปลี่ยนเล็กน้อย “นายจะไม่พักสักหน่อยเหรอ?”

“จองตั๋วรถไว้แล้ว!”

ฟางผิงพูดแบบนี้ โจวเหยียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกลางตัดสินจึงไม่เกลี้ยกล่อมอะไรอีก หันไปมองสองคนข้างเวที “พวกนายอยากจะประลองอยู่หรือเปล่า?”

สองคนด้านล่างเวทีไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนตอนแรกแล้ว!

ตอนที่หมอและคนของสมาคมยกร่างจางกั๋วเวยผ่านพวกเขาไป แววตาของทั้งสองก็มืดหม่นอยู่บ้าง

ผ่านไปพักหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “ฉันยอมแพ้ นับจากนี้ต่อไปฉันจะฝึกวิชาอย่างเงียบๆ ขั้นหนึ่งก็ดี ขั้นสองก็ช่าง เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์…”

“บางที…อาจไม่เหมาะกับฉัน…”

คำพูดด้านหลังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

เขากลัวและขยาดแล้ว!

เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเหมือนกัน เขาอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลาย ฟางผิงเพิ่งก้าวสู่ขั้นหนึ่ง

แต่หลังจากฟางผิงฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคนติดต่อกัน เขาไม่กล้าจะขึ้นเวทีอีกแล้ว

พูดจบ คนผู้นี้ก็หมุนตัวเดินไปทันที

พอเขาจากไป ล่างเวทีจึงเหลือคนสุดท้ายแค่คนเดียว

คนสุดท้ายไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

ตอนนี้หญิงสาวลังเลอยู่บ้าง หันไปมองหลิวหย่งเหวินแวบหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันเตรียมก้าวขึ้นเวที

หลิวหย่งเหวินที่อยู่ด้านล่างพูดขึ้นโดยพลัน “ช่างเถอะ ยอมแพ้ซะ!”

“หย่งเหวิน!”

หญิงสาวไม่เต็มใจอยู่บ้าง กัดฟันว่า “ฉันทำได้!”

หลิวหย่งเหวินส่ายหัว มองไปทางฟางผิง “เธอยอมแพ้แล้ว”

“หย่งเหวิน…”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวและหลิวหย่งเหวินมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แววตานั้นไม่รู้ว่าปรากฏความโล่งใจหรือเสียดาย

เธอหันไปมองฟางผิง เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “หากไม่ใช่ว่าวันนี้ใช้อาวุธไม่ได้…”

ฟางผิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “พูดพล่ามอะไรเยอะแยะ ถ้าจะสู้ก็ขึ้นเวที ดูสิว่าฉันจะฆ่าเธอได้หรือเปล่า!”

“นาย!”

“เธอถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน! บนเวทีประลองใครจะพูดไร้สาระกัน สู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ยอมแพ้ หากไม่ยอม ขึ้นเวทีได้ ปราณฉันลดไปกว่าครึ่งแล้ว บางทีอาจฆ่าเธอไม่ตายหรอก!”

“ไอ้เลว…ฉัน…”

“พอได้แล้ว!”

หลิวหย่งเหวินตะโกนเสียงดัง จางกั๋วหรูขมวดคิ้วเหมือนกัน “ฉีเวย พอแล้ว ยอมแพ้ก็ลงมาเถอะ!”

ผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ควรฝีมืออ่อนด้อยและพูดไม่คิด

คำพูดคุยโวสามารถฆ่าคนได้ ทั้งขึ้นอยู่กับพื้นฐานความสามารถเช่นกัน

ฉินเฟิ่งชิงสามารถคุยโวไปทั่ว เพราะคนทั่วไปฆ่าเขาไม่ได้ ส่วนคนที่ฆ่าเขาได้ ก็ไม่คิดจะฆ่าเขาเหมือนกัน

แต่คู่ต่อสู้ของฉีเวยคือฟางผิง เพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่งไม่นาน ก็ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปแล้วสองคน

หากฉีเวยพูดอวดตัวอีก คงปกปิดความจริงที่ว่าเธอยอมแพ้เพราะไม่กล้าสู้ได้อีกแล้ว

ฉีเวยเผยสีหน้ามืดครึ้ม ก้มหน้าเดินออกมาข้างนอก

เธอยังจะกล้าสู้งั้นเหรอ?

บางทีอาจจะกล้า!

ถ้าหลิวหย่งเหวินต้องการแบบนั้นจริงๆ เธออาจจะแบกรับการต่อสู้ไว้ แต่หลิวหย่งเหวินยอมแพ้แทนเธอไปแล้ว เธอจึงสลัดความคิดนั้นทิ้ง ตอนนี้ถ้าเธอขึ้นเวที มีโอกาสสูงที่จะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว!

ผู้ท้าประลองทั้งสองจากไปแล้ว การแลกเปลี่ยนความรู้จึงถือเป็นอันสิ้นสุด

หลิวหย่งเหวินมองฟางผิงด้วยแววตาลึกล้ำ หยัดกายขึ้นว่า “ฝีมือสู้ไม่ได้ จะแพ้ก็ไม่ผิด แต่ตอนแรกน้องชายฉันเป็นอัจฉริยะเหมือนกับนายเช่นกัน ถูกฝากความหวังไว้ ครอบครัวนั้นคาดหวังเขามากกว่าฉันเสียอีก หวังให้เขาจบการศึกษาด้วยขั้นสี่ แต่ตอนนี้เขายังพักรักษาตัว แค่ขั้นหนึ่งตอนปลายยังรักษาไว้ไม่ได้ ปราณลดฮวบจนอยู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนต้นเท่านั้น อย่าพูดว่าเรียนจบด้วยขั้นสี่เลย แต่แค่ขั้นสองยังยาก ชั่วชีวิตนี้อาจหยุดที่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ…”

หลิวหย่งเหวินเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่อยากบอกนายว่าการแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ไม่มีถูกผิด อาศัยแค่ฝีมือ! หวังจินหยางทำให้น้องฉันพิการได้ ฉันก็ให้คนสู้นายจนพิการได้เหมือนกัน! แน่นอนว่าต้องทำตามกฎอยู่แล้ว ฉันยินดีจะทำให้นายรับรู้ถึงสิ่งที่น้องชายของฉันประสบพบเจอ ตอนนี้พลังของนายเทียบเท่ากับขั้นหนึ่งตอนปลาย เรื่องวันนี้ช่างเถอะ รอนายอยู่ขั้นสามแล้ว…พวกเราค่อยว่ากันอีกที!”

สิ้นเสียงของเขา จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาในสนามประลอง เอ่ยเสียงดังก้อง “ไม่ต้องรอเขาถึงขั้นสามหรอก ฉันอยู่ขั้นสามเหมือนกัน หลิวหย่งเหวิน ฉันจะท้าประลองกับนาย!”

“พลั่ก…”

ในสนามประลองมีเสียงคนชนกันดังขึ้น

“นายเองเหรอ!”

“หวังจินหยาง!”

“นึกไม่ถึงว่าจะกล้ามาที่นี่”

“…”

ในสนามเกิดคลื่นลูกใหญ่กระทบเป็นวงกว้าง พวกนักศึกษาที่ติดตามหลิวหย่งเหวินมาต่างมองอย่างมีโทสะ

หน้าประตูใหญ่ของสนามประลอง หวังจินหยางกำลังพูดสบายๆ อย่างเช่นเคย “หลิวหย่งเหวิน รับการประลองหรือเปล่า?”

“นาย!”

“กล้าหรือไม่กล้า”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ขึ้นเวทีแล้วถ้าฉันฆ่านายไม่ได้ในสามกระบวนท่า ฉันจะคุกเข่าอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หนึ่งเดือนแล้วยอมรับว่า ฉันไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้!”

“หวังจินหยาง!”

มีอาจารย์เอ่ยขึ้นมาเสียงดัง “ที่นี่คือมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ใช่หนานเจียง!”

หวังจินหยางเบนแววตาไปยังอาจารย์ที่พูด ยังคงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ผมจะทะลวงด่านภายในสามวัน หนึ่งเดือนหลังจากนี้คุณประลองกับผมได้ เป็นหรือตายรับผิดชอบกันเอง”

“อวดดี!”

อาจารย์ขั้นสี่โมโหอย่างมาก

“คำพูดคุยโวฆ่าคนไม่ตายหรอก”

“นายกล้าดูถูกมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของเราอย่างนั้นรึ”

“ฉันไม่ได้ดูถูกใคร แต่ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น! ฉันเดินมาจนถึงวันนี้ได้ จ่ายค่าตอบแทนออกไปมากกว่าพวกนายอีก!”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ตอนนี้ฉันจะใช้ความสามารถของขั้นสาม ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามระดับเดียวกันของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้! กล้าประลองหรือเปล่า?”

“ไอ้คนกำเริบเสิบสาน!”

“รับการประลองแล้วให้พวกขั้นสามตอนปลายจัดเขาซะ!”

“…”

บางคนนั้นแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม บางคนไม่พอใจอย่างยิ่ง

หลิวหย่งเหวินสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างหลากหลาย กลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

พวกอาจารย์พากันขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครรับบทสนทนา

หวังจินหยางที่อยู่ขั้นสามตอนปลาย ก่อนหน้านี้หายไปช่วงหนึ่ง ทุกคนคิดว่าเขาจำศีลเพื่อทะลวงขั้นสี่เสียอีก

ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ทะลวง กลับมาที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แทน

ตอนนี้จากความสามารถขั้นสามตอนปลายของหวังจินหยาง คงอยู่ห่างจากขั้นสี่อยู่นิดเดียว แม้ที่นี่จะมีนักศึกษาระดับเดียวกับเขา แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหวังจินหยางได้จริงๆ เหรอ?

จัดการขั้นหนึ่ง ยังพอดูเป็นเรื่องสนุกได้

แต่ขั้นสามถือเป็นนักศึกษาแนวหน้าแล้ว หากถูกหวังจินหยางจัดการ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกรงว่าต่อไปต้องเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริง!

หวังจินหยางเห็นทุกคนไม่ตอบ ไม่ได้เผยความผิดหวังและอวดตัว เอ่ยเรียบนิ่งว่า “ในเมื่อไม่กล้า ฉันก็จะไม่บังคับ! แต่ฉันคือฉัน เขาคือเขา ฟางผิงเป็นนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่หนานเจียง เซี่ยงไฮ้ปฏิบัติกับเด็กใหม่แบบนี้ นี่เป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยชื่อดัง?”

หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้ว “หวังจินหยาง นี่เป็นการประลองอย่างยุติธรรม ฟางผิงเป็นคนตอบรับเอง”

หวังจินหยางหันไปมองเขา “ได้ ครั้งนี้แล้วไปละกัน แต่ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะมาประลองอย่างยุติธรรมเหมือนกัน! ฉันอยู่ขั้นสาม พวกนายไม่กล้าประลอง! รอฉันเข้าสู่ขั้นสี่ ฉันจะยังไม่สู้ พอถึงขั้นสี่ตอนปลายจะมาขวางประตูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง ฉันอยากจะเห็นว่าถ้าฆ่านักศึกษาขั้นสี่ของพวกนายหมดแล้ว จะยุติธรรมเหมือนกันหรือเปล่า?”

“ต่ำทราม!”

จางกั๋วหรูเอ่ยอย่างโมโห “นายเห็นพวกเราขาดคนมีฝีมือหรือไง!”

“งั้นก็ประลองสิ!”

หวังจินหยางตะโกนกร้าวทันที “วันนี้ฉันจะท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ปฏิเสธใครทั้งนั้น! คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านักศึกษาของพวกคุณหรือไง!”

“นาย…”

“หุบปาก!”

หลู่เฟิ่งโหรวที่เงียบมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง ถลึงตามองจางกั๋วหรู!

หวังจินหยางกวาดขั้นสามทางเหนือมาจนเรียบ พวกรองประธานในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยปักกิ่งพ่ายแพ่ในชั่วพริบตา จะสู้ยังไง?

หวังจินหยางไม่ได้ฆ่าใครในปักกิ่ง

วันนี้หากลงมือหนักในเซี่ยงไฮ้ เกรงว่านักศึกษาขั้นสามต้องนองเลือดในมหาวิทยาลัยแล้ว

จางกั๋วหรูใบหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไรออกมาอีก

——————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+