ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 171 ค่อยๆ เปลี่ยน (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 171 ค่อยๆ เปลี่ยน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 171 ค่อยๆ เปลี่ยน (1)

โถงใหญ่ชั้นสอง

ฟางผิงและถานเจิ้นผิงเข้ามาพร้อมกัน

ในโถงใหญ่ตอนนี้มีคนสามสิบสี่สิบคนรวมตัวกันอยู่กระจัดกระจาย นี่แทบจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดที่หยางเฉิงสามารถเรียกกลับมาได้

ผู้ฝึกยุทธ์จากหยางเฉิงไม่ได้มีแค่นี้อยู่แล้ว ประชากรของหยางเฉิงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนออกไปอยู่ในเมืองใหญ่ ถึงขั้นยังเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนา คนที่กลับมาจึงมีน้อยอยู่บ้าง

ผู้ฝึกยุทธ์ที่หยางเฉิงเชิญมา ส่วนมากล้วนเป็นคนหยางเฉิงที่อยู่อาศัยอยู่รอบๆ เมืองแถวนี้

ฟางผิงขึ้นไป ก็มีคนทักทายอย่างเป็นมิตรทันที “สหายฟางมาถึงแล้ว นับว่าได้เจอท่านเทพตัวเป็นๆ แล้ว!”

“น้องฟาง ครั้งนี้ถือว่าช่วงชิงเกียรติยศมาให้พวกเราชาวหยางเฉิง ต่อสู้ในการแข่งขันแลกเปลี่ยนได้อย่างยอดเยี่ยม!”

“…”

คนพวกนี้เจอครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่า ราวกับรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

ฟางผิงไม่เขินอายเช่นกัน ทักทายด้วยรอยยิ้มไปหลายประโยค

พูดคุยพอหอมปากหอมคอแล้ว ฟางผิงค่อยเอ่ยว่า “ลุงถาน หยางเฉิงเรียกทุกคนกลับมาเพื่อเลี้ยงน้ำชาแค่นั้นเหรอครับ?”

สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงน้ำชาเอาซะเลย

ถานเจิ้นผิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ประเด็นหลักๆ ยังไม่รู้ อันที่จริงเรื่องนี้ผู้บัญชาการไป๋เป็นคนจัดขึ้น พวกเราแค่ช่วยเชิญผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนมาเข้าร่วมเท่านั้น…”

“ผู้บัญชาการไป๋…”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[1]

ทั้งสองคนเพิ่งจะคุยกัน ไป๋จิ่นซานก็มาถึงแล้ว!

ฟางผิงไม่เคยเจอไป๋จิ่นซานมาก่อน ตอนแรกคิดว่าไป๋จิ่นซานต้องเป็นพวกตาอ้วนพุงพลุ้ย

พอมาเห็นจริงๆ ฟางผิงกลับเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง

ไป๋จิ่นซานไม่ใช่ตาอ้วนหัวล้าน แต่เป็นหนุ่มหล่อวัยกลางคนที่บุคลิกสง่างาม

นอกจากใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว ตอนที่เดินเข้ายังคล้ายกับมังกรเยื้องกาย ดูท่าแล้วคงจะมีฝีมือพอตัว

ก่อนหน้านี้ถานเจิ้นผิงบอกว่าไม่มีคนที่สู้เป็นสักคน ฟางผิงคิดว่าไป๋จิ่นซานคงเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

แต่ตอนนี้ท่ามกลางผู้คนมากมาย คนที่ให้ความรู้สึกอันตรายกับฟางผิงมีแค่ไป๋จิ่นซานเท่านั้น นั่นหมายความว่าฝีมือของไป๋จิ่นซานคงไม่อ่อนด้อย

“ดูท่าหยางเฉิงยังไม่ตกต่ำซะทีเดียว…” ฟางผิงพึมพำเบาๆ

ไป๋จิ่นซานมาถึง ทุกคนก็ทยอยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบขึ้นมา

ไป๋จิ่นซานยิ้มมาตลอดทาง รอจนมาถึงเบื้องหน้าฟางผิง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นแนะนำ ไป๋จิ่นซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “คนนี้คือนักศึกษาฟางผิง อัจฉริยะของเซี่ยงไฮ้สินะ ดูมีแววประสบสำเร็จจริงๆ โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด…”

ไป๋จิ่นซานชมยกใหญ่ ฟางผิงรีบถ่อมตัว กล่าวอย่างเกรงใจกลับไป

มีคนตั้งมากมาย ไป๋จิ่นซานไม่อาจพูดกับฟางผิงนานอยู่แล้ว

รอจนเห็นฝูงชน ไป๋จิ่นซานจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนนั่งลงเถอะ ทำตัวสบาย เป็นคนหยางเฉิงเหมือนกันทั้งนั้น เป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะมารวมตัวกันเช่นนี้”

เขาพูดอย่างสบายๆ ทุกคนไม่อาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว

ครั้งนี้ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์มีสองคนที่อยู่ในขั้นสาม

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไม่มีสักคน เดิมทีหยางเฉิงก็ไม่ใช่เมืองใหญ่อยู่แล้ว หลายปีมานี้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางที่ออกไปข้างนอกมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

หวังจินหยางนับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่เจียงเฉิง คนไม่ได้มา

ไป๋จิ่นซานทักทายทุกคนแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามอายุเยอะคนหนึ่งก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการไป๋ กล่าวกันว่าไม่มีใครจะสนิทใจไปกว่าคนบ้านเดียวกัน ทุกคนล้วนนึกถึงบ้านเกิดจึงได้ปลีกตัวจากธุระอื่นมารวมตัวกันเช่นนี้ ทางหยางเฉิงมีอะไรที่พวกเราสามารถช่วยได้ รีบพูดออกมาเถอะ ทุกคนพูดอย่างตรงไปตรงมา ยังไงเวลาก็มีค่า…”

“ผู้เฒ่าจางพูดขนาดนี้แล้ว งั้นผมคงไม่พูดพิธีรีตองอะไรอีก”

ไป๋จิ่นซานหัวเราะ ก่อนจะถอนหายใจว่า “ตั้งแต่ผู้ว่าจางทะลวงด่านเป็นปรมาจารย์ ก็เริ่มไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมของผู้ฝึกยุทธ์ในหนานเจียงขึ้นเรื่อยๆ ทางมณฑล เอกสารที่ต้องดำเนินการกองกันอยู่เป็นภูเขา! วันนี้มีแผนแบบนี้ อีกวันเปลี่ยนเป็นอีกอย่าง พวกเราก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ครั้งนี้เชิญทุกคนมารวมตัวกัน ก็เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปพวกนี้”

ผู้ฝึกยุทธ์เฒ่าที่ถูกไป๋จิ่นซานเรียกว่าผู้เฒ่าจางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการไป๋ พูดมาตามตรงเถอะ อยากให้พวกเราทำอะไร?”

“ผู้เฒ่าจางอย่าเข้าใจผิดไป ผมไม่ได้เรียกทุกคนมารวมตัวกันเพราะรีดไถใช้ประโยชน์”

ไป๋จิ่นซานโบกมือ เขารู้ว่าคนพวกนี้คิดยังไง

งานชุมนุมคนบ้านเดียวกัน ไม่มีอะไรจะมากไปกว่าเรียกมาใช้ประโยชน์ ขอเงินบริจาค ดึงคนมาลงทุน…

ทางการต้องการเงินลงทุน คนพวกนี้ก็หวังจะสามารถฉวยผลประโยชน์เล็กน้อย ได้ผลดีทั้งสองฝ่าย ไม่นับเป็นเรื่องแย่อะไรเช่นกัน

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแบบนั้นจริงๆ

“คืออย่างนี้ แต่ละเมืองของหนานเจียงต้องการก่อตั้งทีมรบผู้ฝึกยุทธ์ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีใครทราบหรือยัง?”

“รู้แล้ว เห็นจากในข่าว หรือทีมรบมีปัญหาอะไร?”

ฟางผิงฟังจบก็เหลืองมองผู้เฒ่าจางคนนั้น คนผู้นี้คงไม่ใช่ว่าไป๋จิ่นซานดึงมาคอยประสมโรงหรอกนะ?

“เฮ้อ ผู้ฝึกยุทธ์หยางเฉิงนั้นหายากจริงๆ ตามเป้าประสงค์ ปลายปีก่อนควรจะก่อตั้งทีมรบ ปีนี้ต้องเริ่มรวมตัวฝึกฝนแล้ว แต่ทางหยางเฉิงจนถึงตอนนี้กลับยังหาสมาชิกไม่ครบ ครั้งนี้เชิญทุกคนมา แง่หนึ่งเพื่อความก้าวหน้าของหยางเฉิง อยากให้ทุกคนช่วยระดมความคิด ส่วนอีกแง่หนึ่งอยากดูว่ามีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนอยากจะเข้าร่วมทีมรบหรือไม่…”

ไป๋จิ่นซานพูดยังไม่ทันจบ มีคนพูดตัดบทขึ้นมาทันที “ผู้บัญชาการไป๋ ทุกคนต่างงานล้นมือ มีเวลามารวมกลุ่มฝึกฝนที่ไหนกัน หยางเฉิงคงไม่ถึงกับหาคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้หรอกมั้ง?”

“ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจของพวกเรายังมีธุระมากมาย บริษัทไม่อยู่ในหยางเฉิง จะเอาเวลาไหนกลับมาเข้าร่วมทีมรบกัน…”

“พวกเราต่างยุ่งกันหมด หากหยางเฉิงต้องการเงินทุนจริงๆ พวกเราบริจาคบางส่วนให้ได้ไม่มีปัญหา”

“มากไปคงไม่กล้าพูด สี่ห้าหมื่นไม่เป็นไรอยู่แล้ว”

“…”

คนพวกนี้แย่งกันพูดไปมา คล้ายจะใช้อำนาจจบเรื่องของวันนี้

ไป๋จิ่นซานไม่รีบร้อนเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนอย่าใจร้อนไป ไม่ได้บอกว่าต้องให้ทุกคนเข้าร่วมทีมรบ นี่ไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่ว่า…”

ไป๋จิ่นซานหยุดไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่ช่วงนี้เบื้องบนส่งเอกสารบริหารจัดการมาฉบับหนึ่ง ทุกท่านได้สังเกตไหมว่า วันนี้คนที่เชิญมา นอกจากคนที่ไม่มาแล้ว ที่เหลือเป็นคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในหยางเฉิงทั้งหมด”

“หื้ม?”

มีคนสงสัยอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าทุกคนออกไปจากหยางเฉิงแล้วจะย้ายทะเบียนบ้านกันหมด

คนที่อยู่ตรงนี้ยังมีทะเบียนบ้านอยู่ในหยางเฉิง

“เอกสารบริหารของเบื้องบนก็ง่ายๆ หลังจากนี้ผู้ฝึกยุทธ์ต้องถูกบังคับใช้ระบบจัดการทั้งสองแบบ ปกครองแบบยึดตามที่พักอาศัยและตามทะเบียนบ้านที่อยู่ ดำเนินควบคู่กัน”

ทุกคนยังคงไม่เข้าใจความหมายของเขา แล้วมันยังไงกัน?

ไป๋จิ่นซานเผยความหนักแน่น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นผมพูดให้ชัดเจนเลยแล้วกัน หลังจากบังคับใช้การปกครองสองแบบ ทุกปีต่อจากนี้ทุกท่านต้องกลับหยางเฉิงเพื่อรับการประเมินสิ้นปี”

“หา?”

“การประเมินสิ้นปีอะไร?”

“ผู้บัญชาการไป๋ พูดให้ชัดเจนอีกหน่อย”

“…”

ไป๋จิ่นซานเอ่ยด้วยยิ้ม “ผู้ฝึกยุทธ์ได้รับสิทธิพิเศษ เปิดบริษัทได้รับการละเว้นและลดหย่อนภาษี ลงการเมืองเกณฑ์ประเมินต่ำลง เข้ากองทัพเป็นทหารได้เลย ทำอาชีพอย่างอื่นก็มีอภิสิทธิ์ ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษ แต่ผู้ฝึกยุทธ์มีเยอะขึ้นทุกวัน ทั้งผู้ฝึกยุทธ์บางคนตอนนี้บอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แต่แทบไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป? พอคนพวกนี้มีเยอะ ได้รับอภิสิทธิ์มาก ก็อยู่กันเกลื่อนกลาดไม่คุ้มค่า ความประสงค์ของรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นไป ผู้ฝึกยุทธ์ต้องถูกบังคับใช้ระบบประเมิน! ทุกปีทุกฝึกยุทธ์ต้องกลับมายังภูมิลำเนาเพื่อดำเนินการประเมินสิ้นปีหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางขึ้นไป สามารถประเมินที่ไหนก็ได้ สอบประเมินผ่าน ทุกคนก็ใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปได้ แต่ถ้าไม่ผ่าน อาจต้องถูกประเมินเพื่อลดขั้นหรือต้องริบฐานะของผู้ฝึกยุทธ์คืน!”

“อะไรนะ?”

“ประเมิน?”

“ประเมินอะไร? พวกเราอยู่กันดีๆ ยึดตามกฎเกณฑ์นี้มาหลายปี ทำไมจู่ๆ ถึงต้องเข้าร่วมการประเมิน?”

“…”

ทุกคนแย่งกันถามขึ้นมา ไป๋จิ่นซานยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยาก หลักๆ คือประเมินปราณและเคล็ดวิชาต่อสู้เท่านั้น เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ ต่อสู้ไม่ได้ นั่นยังจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ยังไง? แต่การประเมินไม่ได้ยาก ทุกคนเจียดเวลาเล็กน้อยมาฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ก็สามารถผ่านอย่างสบายๆ แล้ว เหตุผลที่เรียกทุกคนมารวมตัวกัน เพราะกลัวพวกคุณจะไม่เข้าใจ ผมจะได้อธิบายให้ทุกคนกระจ่างใจ ตอนนี้มีหลายคนไม่พอใจพวกเรา คิดว่าผู้ฝึกยุทธ์รุกล้ำทรัพยากรในสังคม เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับพวกเขาทุกอย่าง ถือสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติที่พิเศษ? เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทของพวกเราและคนธรรมดา รัฐบาลทำได้เพียงเพิ่มความเข้มงวดกับพวกเรา กำหนดการประเมินขั้นให้ยากขึ้นเล็กน้อย”

ได้ฟังเรื่องพวกนี้ฟางผิงกลับไม่เหนือความคาดหมาย

ก่อนหน้านี้มีข่าวเล็ดลอดมาให้เห็นตลอด

เพียงแค่นึกไม่ถึงว่าจะตั้งใจเรียกทุกคนมารวมตัวโดยเฉพาะ ให้ผู้ฝึกยุทธ์มือหนึ่งในพื้นที่ช่วยอธิบายให้กระจ่าง

ในสายตาของฟางผิงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

แต่คิดดูแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ปล่อยเอกสารมาบังคับใช้ตรงๆ ทั้งยังสามารถทำให้ทุกคนผ่อนคลายแรงปะทะ

ฟางผิงกลับประเมินการตัดสินใจของเบื้องบนต่ำไป

ผ่อนคลายแรงปะทะ?

ไม่มีอยู่จริง!

คำพูดของไป๋จิ่นซานยังไม่จบสักหน่อย

เรียกทุกคนมารวมตัวกัน ไม่ใช่เพื่อแจ้งเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว

ผู้ฝึกยุทธ์ปราณจำเป็นต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลง นี่เป็นเรื่องที่เบื้องบนคุยกันมานานจนตัดสินใจเป็นเอกฉันท์

เหตุผลที่เรียกทุกคนมารวมตัว ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง

—————-

[1]พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เป็นสำนวนที่หมายความว่า เรากำลังพูดถึงใครสักคน คนๆ นั้นก็บังเอิญปรากฏตัวขึ้นมาพอดี

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *