ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

คาบเรียนช่วงบ่าย อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยถึงเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์ขึ้นมาอีกครั้ง

สถานการณ์ในเมืองหยางเฉิงไม่ถือว่าแย่มากนัก หลายปีที่ผ่านมาก็มีคนสอบสายวรยุทธ์ได้ทุกปี ปีก่อนเรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮา สอบครั้งเดียวได้ถึงห้าคน

ชั้นมัธยมปลายปีสามห้องสี่ แม้ว่าจะเป็นห้องเรียนธรรมดา แต่ปีก่อนผู้ที่สอบวรยุทธ์ผ่านทั้งห้าคน ก็มีสองคนมาจากห้องเรียนธรรมดา!

ฝ่ายบริหารของโรงเรียนที่เมื่อก่อนไม่คาดหวังกับห้องเรียนธรรมดา ปีนี้จึงให้ความสำคัญกับการสมัครสอบวรยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ ขอให้สมัครก่อนก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็มีโอกาสกว่าการไม่สมัครเลย

แต่ค่าสมัครสอบที่สูงลิ่ว กลับเป็นด่านแรกที่ขัดขวางโอกาสคนกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

ค่าสมัครสอบหนึ่งหมื่นหยวน เว้นเสียแต่ว่าตัวเองจะมีความมั่นใจ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีคนยอมจับปลาในน้ำขุ่น ส่วนพวกครอบครัวมีฐานะก็อีกเรื่อง

ดังนั้นตอนที่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้ จึงมีเสียงตอบรับบางตา มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจ

พูดเรื่องสมัครสอบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยอีกหนึ่งประโยคปิดท้าย “นักเรียนที่สอบวรยุทธ์ วันพุธหน้าตอนบ่าย โรงเรียนจะจัดกิจกรรมคลายข้อสงสัยก่อนสอบอีกหนึ่งครั้ง”

“ครั้งนี้โรงเรียนลงทุนไม่น้อย เชิญหวังจินหยาง นักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียง กลับมาโรงเรียนเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ให้กับทุกคน ทุกคนควรจะรักษาโอกาสครั้งนี้เอาไว้ นักเรียนที่สมัครสอบ เมื่อถึงเวลานั้นโรงเรียนจะแจ้งให้ทุกคนทราบ อย่าลืมแต่งกายให้เหมาะสม…”

อาจารย์ประจำชั้นกำชับยกใหญ่ ใจความคร่าวๆ ก็คืออยากเน้นหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้

ทั้งหวังจินหยาง นักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงคนนี้ ความจริงเพิ่งเป็นนักศึกษาปีหนึ่งสายวรยุทธ์ของเมืองหยางเฉิงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงได้เมื่อปีที่แล้ว

และแม้ว่าจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์ พวกอาจารย์ในเมืองหยางเฉิงก็ยังให้ความสำคัญ

ช่วงเวลานี้ ฟางผิงจึงตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับผู้ฝึกยุทธ์อีกครั้ง

แต่เฉินฝานที่อยู่ด้านข้าง กลับไม่ได้สนใจจุดนี้เหมือนฟางผิง เอ่ยพึมพำออกมา

“ครั้งนี้โรงเรียนใจป้ำจริงๆ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานอย่างน้อยก็ต้องใช้ห้าหกหมื่นแล้ว…”

ฟางผิงใจเต้นตึกตัก อดเอ่ยไม่ได้ “ศิษย์เก่ากลับมาเล่าประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ให้รุ่นน้องฟัง ต้องเก็บเงินด้วยเหรอ?”

เฉินฝานเอ่ยอย่างขบขัน “แน่นอนสิ นายคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์เชิญตัวง่ายหรือไง? นักศึกษาสายวรยุทธ์ยุ่งตัวเป็นเกลียว พวกเรายังมีปิดเทอมฤดูร้อนฤดูหนาว ส่วนพวกเขาปิดเทอมยังต้องหาเงิน ทั้งต้องฝึกวรยุทธ์ไปด้วย ถ้าไม่ให้เงิน ใครจะยอมเสียเวลามาให้ความรู้คนอื่นกัน? ต่อให้รุ่นพี่หวังไม่เอาเงิน โรงเรียนก็คงเป็นฝ่ายรบเร้าให้อยู่ดี ”

เฉินฝานพูดเช่นนี้ ทำให้ฟางผิงเข้าใจอย่างถ่องแท้

จากนั้นก็มองเฉินฝานอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนอย่างนายจะละเอียดลึกซึ้งไม่เบาเลยนะเนี่ย”

เฉินฝานเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง เพราะความแตกต่างในชาติก่อน ทำให้ฟางผิงนึกไม่ถึงในบางเรื่อง เจ้าหนุ่มคนนี้เข้าใจโลกไม่น้อย

“อะไรของนาย…”เฉินฝานขบขันกับตัวเองเล็กน้อย สั่นศีรษะไม่ได้พูดอะไรอีก

ทางด้านฟางผิงก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ กลับจมดิ่งในความคิด โอกาสหาเงินของผู้ฝึกยุทธ์มีมากกว่าคนธรรมดาเหมือนที่คิดจริงๆ ด้วย

นักศึกษาคนหนึ่ง มาตอบคำถามคลายข้อสงสัยให้รุ่นน้องฟัง เสียเวลาสองสามชั่วโมงเท่านั้น กลับได้ค่าตัวห้าหกหมื่นหยวนแล้ว

แม้ว่าจะไม่อาจเอาความเห็นของคนธรรมดามาเปรียบเทียบ แต่เงินห้าหกหมื่น พ่อแม่ของตัวเองต้องลำบากตรากตรําทั้งปีก็ยังหาไม่ได้เยอะถึงขนาดนั้น

เมื่อคาบของอาจารย์ประจำชั้นจบลง ฟางผิงทนเรียนต่ออีกไม่กี่คาบ เสียงกริ่งเลิกเรียนช่วงบ่ายก็ดังขึ้น

วันนี้เป็นวันเสาร์ โรงเรียนจึงไม่มีการเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำ

ความจริงตอนนี้การสอบเกาเข่าใกล้เข้ามาแล้ว นักเรียนบางคนที่เตรียมสอบสายวรยุทธ์ ปกติก็ไม่ค่อยมาเรียนภาคค่ำด้วยตัวเองที่โรงเรียน

มักจะเตร่เตร็ดเรียนเองอยู่ข้างนอก ทั้งโรงเรียนก็ให้ความสำคัญกับนักเรียนสายวรยุทธ์มากกว่านักเรียนธรรมดา แม้ว่าทุกปีจะมีคนสอบได้ไม่กี่คนก็ตาม

ฟางผิงเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับเฉินฝานและเพื่อนนักเรียนที่คุ้นเคยบางส่วน เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน ทุกคนค่อยแยกย้ายไปตามทางตัวเอง

ฟางผิงอาศัยเศษเสี้ยวความทรงจำที่คุ้นเคย เดินตามทางเพื่อกลับบ้าน

ขณะที่เดิน เขาก็ลังเลขึ้นมาอยู่บ้าง แม้ว่าชาตินี้จะมีความคล้ายคลึงกับโลกในความทรงจำของตัวเอง แต่ก็มีหลายสิ่งที่แตกต่างเช่นกัน

แล้วบ้านของตัวเองในชาตินี้ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?

และหากบ้านยังอยู่ พ่อแม่ของตัวเองจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นหรือไม่?

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ที่อายุจิตใจเข้าใกล้วัยสามสิบ หากจู่ๆ พ่อแม่กลับเปลี่ยนเป็นอีกคน ฟางผิงคงกระดากปากจะเรียกอย่างแน่นอน

“คงไม่เปลี่ยนหรอกน่า?” ฟางผิงปลอบใจตัวเองอย่างไม่มั่นใจนัก

เพื่อนร่วมชั้นเหมือนเดิม อาจารย์คนเดิม ไม่มีเหตุผลที่พ่อแม่ตัวเองต้องเปลี่ยนเป็นคนอื่นเสียหน่อย

แน่นอนว่า เป็นเหมือนเดิมย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าจะเปลี่ยนไป คนเป็นคนเดิม แต่ฐานะครอบครัวเปลี่ยนไปก็ไม่ได้แย่อะไร

ตัวอย่างเช่น หากฟางผิงกลับบ้านไป พบว่าเดิมทีครอบครัวของตัวเองก็เป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองหยางเฉิง นั่นคงจะเยี่ยมไปเลย!

หรือไม่ก็พ่อแม่ของตัวเองกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่!

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ เท่านั้น

หลังจากฟางผิงรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลกที่ตัวเองจากมา ก็ไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้มากมายแล้ว

ฟางผิงใช้เวลาเดินมาถึงย่านที่พักของตัวเองเกือบยี่สิบนาที

ย่านจิ่งหูหยวน

ชื่อฟังดูไม่แย่ ความจริงกลับเป็นเพียงย่านเล็กๆ ที่รวมบ้านอายุกว่าสามสิบปีไม่กี่หลังไว้ในเมืองหยางเฉิง

มองแวบเดียวก็เห็นย่านที่คุ้นตา ตึกบางส่วนเก่าซอมซ่อ ฟางผิงยิ่งสลัดความคิดที่ว่าบ้านของตัวเองจะสวยหรูออกจากสมองจนหมดสิ้น

ในความทรงจำหลายปีมานี้ ฟางผิงมีความไม่พอใจสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด

นั่นก็คือการที่เขาไม่ได้เป็นไชเอ้อร์ไต้[1]!

ตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ชุมชนจิ่งหูหยวนก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าจะมีการรื้อถอน

ผลปรากฏว่ามีข่าวลือทุกปี แต่จนเข้าสู่ปี 2018 แล้ว ชุมชนจิ่งหูหยวนก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

เขาไม่ได้มีความคิดถึงบ้านมากมาย ความจริงก่อนหน้านี้ หรือก็คือชาติที่แล้ว ฟางผิงเพิ่งจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่ที่จิ่งหูหยวนเช่นกัน

ยามนี้พ่อแม่อายุน้อยลงกว่าเดิม นี่ถือเป็นเรื่องดี ไม่มีความจำเป็นต้องคิดซับซ้อน

ตึกแถวที่ 6 ห้อง 101

ฟางผิงยืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้เคาะประตู เขาควักกุญแจพวงหนึ่งออกมาเปิดประตูห้อง

เมื่อประตูเปิดออก ห้องรับแขกที่คับแคบก็ปรากฏสู่ครรลองสายตา

ขึ้นชื่อว่าย่านเก่าแก่ที่อายุมากกว่าสามสิบปี ขนาดบ้านย่อมไม่ใหญ่ บ้านเก่าๆ ในอดีต ส่วนมากก็มีขนาดเล็กทั้งนั้น

แม้ว่าบ้านของฟางผิงจะมีสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก เอาเข้าจริงพื้นที่กลับน้อยมาก ประมาณหกสิบตารางเมตรเท่านั้น

ทั้งเป็นบ้านที่อาศัยมาหลายปี ในบ้านจึงเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ห้องรับแขกที่เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าจะแออัด แต่กลับไม่ได้รกจนเกินไป ห้องรับแขกขนาดเล็กถูกมารดาทำความสะอาดอย่างดี

ตึกชั้นหนึ่งในชุมชนเก่า ย่อมมีข้อเสียมากมาย พวกมด หนู แมลงสาบก็เยอะ ทั้งปัญหาฝุ่นและเชื้อราก็มีไม่น้อย

หากคนชั้นบนเดินขึ้นตึกเสียงดังก็มักจะได้ยินเสียงฝีเท้า

แต่ข้อเสียจะเยอะยังไง ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือสามารถสร้างลานเล็กๆ รอบล้อมได้

ทั้งย่านเก่าอย่างจิ่งหูหยวน ไม่มีระบบการดูแลนานแล้ว

ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็คงไม่มาอยู่ในพื้นที่ที่แดดส่องหลังแทบไหม้แห่งนี้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครมารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ฝ่าฝืนกฎอย่างนี้เช่นกัน

บ้านของเขามีห้องรับแขกอยู่ด้านหน้า มีอีกประตูหนึ่งเชื่อมไปทางลานด้านหลังบ้าน

ห้องครัวและห้องน้ำต่างก็ถูกสร้างในลาน

ห้องครัวและห้องน้ำเดิม กลับถูกเปลี่ยนเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งก็คือห้องที่ฟางผิงอยู่ในตอนนี้

ตามหลักแล้ว บ้านที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกก็พอให้อยู่อาศัยแล้ว

แต่ฟางผิงยังมีน้องสาวที่กำลังเรียนมัธยมต้นอีกหนึ่งคน ครอบครัวสี่คนแออัดในบ้านขนาดเล็กแห่งนี้ หากไม่มีลานบ้านคงจะไม่สะดวกอยู่จริงๆ

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[2]

ฟางผิงกำลังก้มตัวถอดรองเท้า ครุ่นคิดกับเรื่องพวกนี้ ก็ได้ยินเสียงฟางหยวน น้องสาวของเขาดังขึ้นจากห้องเล็กๆ ทางขวาของห้องรับแขก

“ฟางผิง นายยังกล้ากลับมาอีกเหรอ!”

เสียงของฟางหยวนแหลมเล็ก ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสามปี

เสียงแหลมนั้นมาพร้อมกับความโกรธเคือง ไม่นานห้องเล็กนั้นก็ปรากฏเงาพุ่งออกมา

ฟางหยวนรูปร่างไม่สูงนัก ในตอนนี้ยังคงมีแก้มยุ้ยราวกับเด็ก ใบหน้ากลมอย่างเห็นได้ชัด ถลึงตาด้วยท่าทางน่ารัก

เมื่อเห็นฟางหยวน ฟางผิงกลับคันไม้คันมือขึ้นมา ไม่ได้ถามเธอว่าโกรธเรื่องอะไร ไม่พูดพร่ำทำเพลง

หยัดกายขึ้นอย่างคุ้นเคย เข้าไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของเด็กสาว ออกแรงบีบให้ยืดออกจากกันเล็กน้อย

ท่ามกลางแววตาที่โมโหของฟางหยวน ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “ไม่ได้บีบตั้งนาน มีโอกาสสักที”

เด็กสาวที่มีแก้มกลมเป็นซาลาเปาในตอนนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะหน้าเรียวเป็นเมล็ดแตงโม ไม่รู้ว่าเนื้อบนใบหน้าหายไปไหนเหมือนกัน

นี่เป็นเรื่องที่ฟางผิงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด!

ฟางผิงรู้สึกพอใจไม่น้อย ด้านฟางหยวนโกรธจนสุดขีด สะบัดมือฟางผิงออกก็รีบเอ่ยว่า “แม่คะ ฟางผิงบีบแก้มหนูอีกแล้ว!”

หลี่อวี้อิง มารดาของเขากำลังยุ่งอยู่ในครัว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ตอบรับน้องสาว

“หยุดเล่นกันได้แล้ว อีกเดี๋ยวรอพ่อกลับมาก็กินข้าวได้ วันนี้แม่ทำของอร่อยให้พวกลูกๆ เยอะเลยนะ”

“แม่!”

ฟางหยวนตะโกนอย่างไม่เต็มใจนัก เห็นแม่ไม่เข้าข้างตัวเอง ก็ถลึงตามองฟางผิงอย่างหงุดหงิด

ครู่ต่อมาจึงค่อยนึกเรื่องสำคัญได้ เอ่ยอย่างโมโห “ฟางผิง คืนเงินมา!”

“หา?”

“ยังตีหน้าซื่ออีก! แม่ให้เงินพวกเราห้าสิบหยวน พูดกันแล้วว่าแบ่งคนละครึ่ง แล้วทำไมบนโต๊ะฉันมีแค่ห้าหยวน? เงินที่เหลือไปไหนล่ะ!”

ฟางผิงชะงักไป มีเรื่องแบบนี้ด้วย?

จะว่าไปแล้ว วันนี้เขามีเงินในมือทั้งหมดยี่สิบแปดหยวน นอกจากค่าอาหารกลางวัน ที่เหลือก็เป็นของเด็กนี่หมด?

ฟางผิงที่เดิมทีก็กระเป๋าแบนอยู่แล้ว ควักเงินสิบห้าหยวนที่เหลือออกมา อย่างไรก็ต้องมีเงินติดกระเป๋าไว้บ้าง ฟางผิงไม่คิดจะคืนเงิน ชั่วขณะนั้นก็สั่นศีรษะเอ่ยว่า “พี่ไม่รู้ เธออาจจะใช้ไปแล้วก็ได้ ลองไปหาดีๆ เถอะ”

“ฟางผิง!”

“เรียกพี่ด้วย”

“พี่บ้าบออะไร ว่าแล้วต้องรังแกเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ แม่ ยังไม่ว่าเขาอีก!”

“…”

สองพี่น้องทะเลาะกันอีกไม่กี่คำ ท้ายที่สุดเด็กสาวก็เป็นฝ่ายแพ้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ฟางผิงรู้สึกขบขัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกจนใจ ชีวิตนี้น่าอดสูเกินไปแล้ว

แค่เศษเงินค่าขนม ยังต้องรังแกเด็กจนเป็นแบบนี้

ฟางผิงหลอกล่อเธอด้วยเรื่องนับไม่ถ้วนจนฟางหยวนเผยแววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในที่สุดก็ทำให้เด็กสาวลืมเรื่องที่พี่ตัวเองหลอกเอาเงินยี่สิบหยวนไปได้

ถ้าไม่ใช่ว่าข่มใจไว้ ฟางผิงคิดว่า ตอนนี้ตัวเองคงจะหลอกเอาเงินห้าหยวนที่เหลือของเด็กคนนี้มาไว้ในมือได้อีก

จัดการฟางหยวนเสร็จแล้ว ฟางผิงก็เข้าไปทักทายแม่ในครัว

เมื่อออกมาจากครัว ในสมองก็เอาแต่คิดประโยคที่ว่า “เงินไม่มีย่อมไม่เกิดวีรบุรุษ!”

เมื่อครู่คุยกับแม่สองสามประโยค ฟางผิงจึงเพิ่งนึกได้ เพราะยามนี้เขาอยู่มัธยมปลายปีสาม เพื่อดูแลเขาและน้องสาว แม่จึงเข้างานเพียงครึ่งวัน พอไม่ใช่งานที่ต้องใช้ทักษะมากมาย ทั้งเมืองหยางเฉิงก็ไม่ใช่เขตที่เศรษฐกิจดี มารดาทำงานครึ่งวัน เดือนหนึ่งจึงได้แค่แปดร้อยหยวนเท่านั้น!

ใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะได้หนึ่งหมื่นหยวน

เดิมทีตัวเองคิดจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไร

ฟางผิงถูหน้าตัวเอง พึมพำว่า “สุดท้ายก็ไม่มีเงินจริงๆ ด้วย…”

———————

[1]ไชเอ้อร์ไต้ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เกิดหลังปี80 ใกล้ชานเมือง เนื่องจากมีการขยับขยายเมือง คนพวกนี้จึงต้องย้ายออก โดยได้รับเงินชดเชยจากรัฐและร่ำรวยขึ้นในชั่วพริบตา

[2]พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา อุปมาว่า พูดถึงใครสักคน คนๆ นั้นก็บังเอิญปรากฏตัวขึ้นมาทันที

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

คาบเรียนช่วงบ่าย อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยถึงเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์ขึ้นมาอีกครั้ง

สถานการณ์ในเมืองหยางเฉิงไม่ถือว่าแย่มากนัก หลายปีที่ผ่านมาก็มีคนสอบสายวรยุทธ์ได้ทุกปี ปีก่อนเรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮา สอบครั้งเดียวได้ถึงห้าคน

ชั้นมัธยมปลายปีสามห้องสี่ แม้ว่าจะเป็นห้องเรียนธรรมดา แต่ปีก่อนผู้ที่สอบวรยุทธ์ผ่านทั้งห้าคน ก็มีสองคนมาจากห้องเรียนธรรมดา!

ฝ่ายบริหารของโรงเรียนที่เมื่อก่อนไม่คาดหวังกับห้องเรียนธรรมดา ปีนี้จึงให้ความสำคัญกับการสมัครสอบวรยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ ขอให้สมัครก่อนก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็มีโอกาสกว่าการไม่สมัครเลย

แต่ค่าสมัครสอบที่สูงลิ่ว กลับเป็นด่านแรกที่ขัดขวางโอกาสคนกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

ค่าสมัครสอบหนึ่งหมื่นหยวน เว้นเสียแต่ว่าตัวเองจะมีความมั่นใจ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีคนยอมจับปลาในน้ำขุ่น ส่วนพวกครอบครัวมีฐานะก็อีกเรื่อง

ดังนั้นตอนที่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้ จึงมีเสียงตอบรับบางตา มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจ

พูดเรื่องสมัครสอบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยอีกหนึ่งประโยคปิดท้าย “นักเรียนที่สอบวรยุทธ์ วันพุธหน้าตอนบ่าย โรงเรียนจะจัดกิจกรรมคลายข้อสงสัยก่อนสอบอีกหนึ่งครั้ง”

“ครั้งนี้โรงเรียนลงทุนไม่น้อย เชิญหวังจินหยาง นักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียง กลับมาโรงเรียนเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ให้กับทุกคน ทุกคนควรจะรักษาโอกาสครั้งนี้เอาไว้ นักเรียนที่สมัครสอบ เมื่อถึงเวลานั้นโรงเรียนจะแจ้งให้ทุกคนทราบ อย่าลืมแต่งกายให้เหมาะสม…”

อาจารย์ประจำชั้นกำชับยกใหญ่ ใจความคร่าวๆ ก็คืออยากเน้นหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้

ทั้งหวังจินหยาง นักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงคนนี้ ความจริงเพิ่งเป็นนักศึกษาปีหนึ่งสายวรยุทธ์ของเมืองหยางเฉิงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงได้เมื่อปีที่แล้ว

และแม้ว่าจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์ พวกอาจารย์ในเมืองหยางเฉิงก็ยังให้ความสำคัญ

ช่วงเวลานี้ ฟางผิงจึงตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับผู้ฝึกยุทธ์อีกครั้ง

แต่เฉินฝานที่อยู่ด้านข้าง กลับไม่ได้สนใจจุดนี้เหมือนฟางผิง เอ่ยพึมพำออกมา

“ครั้งนี้โรงเรียนใจป้ำจริงๆ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานอย่างน้อยก็ต้องใช้ห้าหกหมื่นแล้ว…”

ฟางผิงใจเต้นตึกตัก อดเอ่ยไม่ได้ “ศิษย์เก่ากลับมาเล่าประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ให้รุ่นน้องฟัง ต้องเก็บเงินด้วยเหรอ?”

เฉินฝานเอ่ยอย่างขบขัน “แน่นอนสิ นายคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์เชิญตัวง่ายหรือไง? นักศึกษาสายวรยุทธ์ยุ่งตัวเป็นเกลียว พวกเรายังมีปิดเทอมฤดูร้อนฤดูหนาว ส่วนพวกเขาปิดเทอมยังต้องหาเงิน ทั้งต้องฝึกวรยุทธ์ไปด้วย ถ้าไม่ให้เงิน ใครจะยอมเสียเวลามาให้ความรู้คนอื่นกัน? ต่อให้รุ่นพี่หวังไม่เอาเงิน โรงเรียนก็คงเป็นฝ่ายรบเร้าให้อยู่ดี ”

เฉินฝานพูดเช่นนี้ ทำให้ฟางผิงเข้าใจอย่างถ่องแท้

จากนั้นก็มองเฉินฝานอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนอย่างนายจะละเอียดลึกซึ้งไม่เบาเลยนะเนี่ย”

เฉินฝานเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง เพราะความแตกต่างในชาติก่อน ทำให้ฟางผิงนึกไม่ถึงในบางเรื่อง เจ้าหนุ่มคนนี้เข้าใจโลกไม่น้อย

“อะไรของนาย…”เฉินฝานขบขันกับตัวเองเล็กน้อย สั่นศีรษะไม่ได้พูดอะไรอีก

ทางด้านฟางผิงก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ กลับจมดิ่งในความคิด โอกาสหาเงินของผู้ฝึกยุทธ์มีมากกว่าคนธรรมดาเหมือนที่คิดจริงๆ ด้วย

นักศึกษาคนหนึ่ง มาตอบคำถามคลายข้อสงสัยให้รุ่นน้องฟัง เสียเวลาสองสามชั่วโมงเท่านั้น กลับได้ค่าตัวห้าหกหมื่นหยวนแล้ว

แม้ว่าจะไม่อาจเอาความเห็นของคนธรรมดามาเปรียบเทียบ แต่เงินห้าหกหมื่น พ่อแม่ของตัวเองต้องลำบากตรากตรําทั้งปีก็ยังหาไม่ได้เยอะถึงขนาดนั้น

เมื่อคาบของอาจารย์ประจำชั้นจบลง ฟางผิงทนเรียนต่ออีกไม่กี่คาบ เสียงกริ่งเลิกเรียนช่วงบ่ายก็ดังขึ้น

วันนี้เป็นวันเสาร์ โรงเรียนจึงไม่มีการเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำ

ความจริงตอนนี้การสอบเกาเข่าใกล้เข้ามาแล้ว นักเรียนบางคนที่เตรียมสอบสายวรยุทธ์ ปกติก็ไม่ค่อยมาเรียนภาคค่ำด้วยตัวเองที่โรงเรียน

มักจะเตร่เตร็ดเรียนเองอยู่ข้างนอก ทั้งโรงเรียนก็ให้ความสำคัญกับนักเรียนสายวรยุทธ์มากกว่านักเรียนธรรมดา แม้ว่าทุกปีจะมีคนสอบได้ไม่กี่คนก็ตาม

ฟางผิงเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับเฉินฝานและเพื่อนนักเรียนที่คุ้นเคยบางส่วน เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน ทุกคนค่อยแยกย้ายไปตามทางตัวเอง

ฟางผิงอาศัยเศษเสี้ยวความทรงจำที่คุ้นเคย เดินตามทางเพื่อกลับบ้าน

ขณะที่เดิน เขาก็ลังเลขึ้นมาอยู่บ้าง แม้ว่าชาตินี้จะมีความคล้ายคลึงกับโลกในความทรงจำของตัวเอง แต่ก็มีหลายสิ่งที่แตกต่างเช่นกัน

แล้วบ้านของตัวเองในชาตินี้ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?

และหากบ้านยังอยู่ พ่อแม่ของตัวเองจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นหรือไม่?

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ที่อายุจิตใจเข้าใกล้วัยสามสิบ หากจู่ๆ พ่อแม่กลับเปลี่ยนเป็นอีกคน ฟางผิงคงกระดากปากจะเรียกอย่างแน่นอน

“คงไม่เปลี่ยนหรอกน่า?” ฟางผิงปลอบใจตัวเองอย่างไม่มั่นใจนัก

เพื่อนร่วมชั้นเหมือนเดิม อาจารย์คนเดิม ไม่มีเหตุผลที่พ่อแม่ตัวเองต้องเปลี่ยนเป็นคนอื่นเสียหน่อย

แน่นอนว่า เป็นเหมือนเดิมย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าจะเปลี่ยนไป คนเป็นคนเดิม แต่ฐานะครอบครัวเปลี่ยนไปก็ไม่ได้แย่อะไร

ตัวอย่างเช่น หากฟางผิงกลับบ้านไป พบว่าเดิมทีครอบครัวของตัวเองก็เป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองหยางเฉิง นั่นคงจะเยี่ยมไปเลย!

หรือไม่ก็พ่อแม่ของตัวเองกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่!

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ เท่านั้น

หลังจากฟางผิงรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลกที่ตัวเองจากมา ก็ไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้มากมายแล้ว

ฟางผิงใช้เวลาเดินมาถึงย่านที่พักของตัวเองเกือบยี่สิบนาที

ย่านจิ่งหูหยวน

ชื่อฟังดูไม่แย่ ความจริงกลับเป็นเพียงย่านเล็กๆ ที่รวมบ้านอายุกว่าสามสิบปีไม่กี่หลังไว้ในเมืองหยางเฉิง

มองแวบเดียวก็เห็นย่านที่คุ้นตา ตึกบางส่วนเก่าซอมซ่อ ฟางผิงยิ่งสลัดความคิดที่ว่าบ้านของตัวเองจะสวยหรูออกจากสมองจนหมดสิ้น

ในความทรงจำหลายปีมานี้ ฟางผิงมีความไม่พอใจสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด

นั่นก็คือการที่เขาไม่ได้เป็นไชเอ้อร์ไต้[1]!

ตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ชุมชนจิ่งหูหยวนก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าจะมีการรื้อถอน

ผลปรากฏว่ามีข่าวลือทุกปี แต่จนเข้าสู่ปี 2018 แล้ว ชุมชนจิ่งหูหยวนก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

เขาไม่ได้มีความคิดถึงบ้านมากมาย ความจริงก่อนหน้านี้ หรือก็คือชาติที่แล้ว ฟางผิงเพิ่งจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่ที่จิ่งหูหยวนเช่นกัน

ยามนี้พ่อแม่อายุน้อยลงกว่าเดิม นี่ถือเป็นเรื่องดี ไม่มีความจำเป็นต้องคิดซับซ้อน

ตึกแถวที่ 6 ห้อง 101

ฟางผิงยืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้เคาะประตู เขาควักกุญแจพวงหนึ่งออกมาเปิดประตูห้อง

เมื่อประตูเปิดออก ห้องรับแขกที่คับแคบก็ปรากฏสู่ครรลองสายตา

ขึ้นชื่อว่าย่านเก่าแก่ที่อายุมากกว่าสามสิบปี ขนาดบ้านย่อมไม่ใหญ่ บ้านเก่าๆ ในอดีต ส่วนมากก็มีขนาดเล็กทั้งนั้น

แม้ว่าบ้านของฟางผิงจะมีสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก เอาเข้าจริงพื้นที่กลับน้อยมาก ประมาณหกสิบตารางเมตรเท่านั้น

ทั้งเป็นบ้านที่อาศัยมาหลายปี ในบ้านจึงเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ห้องรับแขกที่เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าจะแออัด แต่กลับไม่ได้รกจนเกินไป ห้องรับแขกขนาดเล็กถูกมารดาทำความสะอาดอย่างดี

ตึกชั้นหนึ่งในชุมชนเก่า ย่อมมีข้อเสียมากมาย พวกมด หนู แมลงสาบก็เยอะ ทั้งปัญหาฝุ่นและเชื้อราก็มีไม่น้อย

หากคนชั้นบนเดินขึ้นตึกเสียงดังก็มักจะได้ยินเสียงฝีเท้า

แต่ข้อเสียจะเยอะยังไง ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือสามารถสร้างลานเล็กๆ รอบล้อมได้

ทั้งย่านเก่าอย่างจิ่งหูหยวน ไม่มีระบบการดูแลนานแล้ว

ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็คงไม่มาอยู่ในพื้นที่ที่แดดส่องหลังแทบไหม้แห่งนี้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครมารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ฝ่าฝืนกฎอย่างนี้เช่นกัน

บ้านของเขามีห้องรับแขกอยู่ด้านหน้า มีอีกประตูหนึ่งเชื่อมไปทางลานด้านหลังบ้าน

ห้องครัวและห้องน้ำต่างก็ถูกสร้างในลาน

ห้องครัวและห้องน้ำเดิม กลับถูกเปลี่ยนเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งก็คือห้องที่ฟางผิงอยู่ในตอนนี้

ตามหลักแล้ว บ้านที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกก็พอให้อยู่อาศัยแล้ว

แต่ฟางผิงยังมีน้องสาวที่กำลังเรียนมัธยมต้นอีกหนึ่งคน ครอบครัวสี่คนแออัดในบ้านขนาดเล็กแห่งนี้ หากไม่มีลานบ้านคงจะไม่สะดวกอยู่จริงๆ

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[2]

ฟางผิงกำลังก้มตัวถอดรองเท้า ครุ่นคิดกับเรื่องพวกนี้ ก็ได้ยินเสียงฟางหยวน น้องสาวของเขาดังขึ้นจากห้องเล็กๆ ทางขวาของห้องรับแขก

“ฟางผิง นายยังกล้ากลับมาอีกเหรอ!”

เสียงของฟางหยวนแหลมเล็ก ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสามปี

เสียงแหลมนั้นมาพร้อมกับความโกรธเคือง ไม่นานห้องเล็กนั้นก็ปรากฏเงาพุ่งออกมา

ฟางหยวนรูปร่างไม่สูงนัก ในตอนนี้ยังคงมีแก้มยุ้ยราวกับเด็ก ใบหน้ากลมอย่างเห็นได้ชัด ถลึงตาด้วยท่าทางน่ารัก

เมื่อเห็นฟางหยวน ฟางผิงกลับคันไม้คันมือขึ้นมา ไม่ได้ถามเธอว่าโกรธเรื่องอะไร ไม่พูดพร่ำทำเพลง

หยัดกายขึ้นอย่างคุ้นเคย เข้าไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของเด็กสาว ออกแรงบีบให้ยืดออกจากกันเล็กน้อย

ท่ามกลางแววตาที่โมโหของฟางหยวน ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “ไม่ได้บีบตั้งนาน มีโอกาสสักที”

เด็กสาวที่มีแก้มกลมเป็นซาลาเปาในตอนนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะหน้าเรียวเป็นเมล็ดแตงโม ไม่รู้ว่าเนื้อบนใบหน้าหายไปไหนเหมือนกัน

นี่เป็นเรื่องที่ฟางผิงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด!

ฟางผิงรู้สึกพอใจไม่น้อย ด้านฟางหยวนโกรธจนสุดขีด สะบัดมือฟางผิงออกก็รีบเอ่ยว่า “แม่คะ ฟางผิงบีบแก้มหนูอีกแล้ว!”

หลี่อวี้อิง มารดาของเขากำลังยุ่งอยู่ในครัว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ตอบรับน้องสาว

“หยุดเล่นกันได้แล้ว อีกเดี๋ยวรอพ่อกลับมาก็กินข้าวได้ วันนี้แม่ทำของอร่อยให้พวกลูกๆ เยอะเลยนะ”

“แม่!”

ฟางหยวนตะโกนอย่างไม่เต็มใจนัก เห็นแม่ไม่เข้าข้างตัวเอง ก็ถลึงตามองฟางผิงอย่างหงุดหงิด

ครู่ต่อมาจึงค่อยนึกเรื่องสำคัญได้ เอ่ยอย่างโมโห “ฟางผิง คืนเงินมา!”

“หา?”

“ยังตีหน้าซื่ออีก! แม่ให้เงินพวกเราห้าสิบหยวน พูดกันแล้วว่าแบ่งคนละครึ่ง แล้วทำไมบนโต๊ะฉันมีแค่ห้าหยวน? เงินที่เหลือไปไหนล่ะ!”

ฟางผิงชะงักไป มีเรื่องแบบนี้ด้วย?

จะว่าไปแล้ว วันนี้เขามีเงินในมือทั้งหมดยี่สิบแปดหยวน นอกจากค่าอาหารกลางวัน ที่เหลือก็เป็นของเด็กนี่หมด?

ฟางผิงที่เดิมทีก็กระเป๋าแบนอยู่แล้ว ควักเงินสิบห้าหยวนที่เหลือออกมา อย่างไรก็ต้องมีเงินติดกระเป๋าไว้บ้าง ฟางผิงไม่คิดจะคืนเงิน ชั่วขณะนั้นก็สั่นศีรษะเอ่ยว่า “พี่ไม่รู้ เธออาจจะใช้ไปแล้วก็ได้ ลองไปหาดีๆ เถอะ”

“ฟางผิง!”

“เรียกพี่ด้วย”

“พี่บ้าบออะไร ว่าแล้วต้องรังแกเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ แม่ ยังไม่ว่าเขาอีก!”

“…”

สองพี่น้องทะเลาะกันอีกไม่กี่คำ ท้ายที่สุดเด็กสาวก็เป็นฝ่ายแพ้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ฟางผิงรู้สึกขบขัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกจนใจ ชีวิตนี้น่าอดสูเกินไปแล้ว

แค่เศษเงินค่าขนม ยังต้องรังแกเด็กจนเป็นแบบนี้

ฟางผิงหลอกล่อเธอด้วยเรื่องนับไม่ถ้วนจนฟางหยวนเผยแววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในที่สุดก็ทำให้เด็กสาวลืมเรื่องที่พี่ตัวเองหลอกเอาเงินยี่สิบหยวนไปได้

ถ้าไม่ใช่ว่าข่มใจไว้ ฟางผิงคิดว่า ตอนนี้ตัวเองคงจะหลอกเอาเงินห้าหยวนที่เหลือของเด็กคนนี้มาไว้ในมือได้อีก

จัดการฟางหยวนเสร็จแล้ว ฟางผิงก็เข้าไปทักทายแม่ในครัว

เมื่อออกมาจากครัว ในสมองก็เอาแต่คิดประโยคที่ว่า “เงินไม่มีย่อมไม่เกิดวีรบุรุษ!”

เมื่อครู่คุยกับแม่สองสามประโยค ฟางผิงจึงเพิ่งนึกได้ เพราะยามนี้เขาอยู่มัธยมปลายปีสาม เพื่อดูแลเขาและน้องสาว แม่จึงเข้างานเพียงครึ่งวัน พอไม่ใช่งานที่ต้องใช้ทักษะมากมาย ทั้งเมืองหยางเฉิงก็ไม่ใช่เขตที่เศรษฐกิจดี มารดาทำงานครึ่งวัน เดือนหนึ่งจึงได้แค่แปดร้อยหยวนเท่านั้น!

ใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะได้หนึ่งหมื่นหยวน

เดิมทีตัวเองคิดจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไร

ฟางผิงถูหน้าตัวเอง พึมพำว่า “สุดท้ายก็ไม่มีเงินจริงๆ ด้วย…”

———————

[1]ไชเอ้อร์ไต้ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เกิดหลังปี80 ใกล้ชานเมือง เนื่องจากมีการขยับขยายเมือง คนพวกนี้จึงต้องย้ายออก โดยได้รับเงินชดเชยจากรัฐและร่ำรวยขึ้นในชั่วพริบตา

[2]พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา อุปมาว่า พูดถึงใครสักคน คนๆ นั้นก็บังเอิญปรากฏตัวขึ้นมาทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 4 ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

คาบเรียนช่วงบ่าย อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยถึงเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์ขึ้นมาอีกครั้ง

สถานการณ์ในเมืองหยางเฉิงไม่ถือว่าแย่มากนัก หลายปีที่ผ่านมาก็มีคนสอบสายวรยุทธ์ได้ทุกปี ปีก่อนเรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮา สอบครั้งเดียวได้ถึงห้าคน

ชั้นมัธยมปลายปีสามห้องสี่ แม้ว่าจะเป็นห้องเรียนธรรมดา แต่ปีก่อนผู้ที่สอบวรยุทธ์ผ่านทั้งห้าคน ก็มีสองคนมาจากห้องเรียนธรรมดา!

ฝ่ายบริหารของโรงเรียนที่เมื่อก่อนไม่คาดหวังกับห้องเรียนธรรมดา ปีนี้จึงให้ความสำคัญกับการสมัครสอบวรยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ ขอให้สมัครก่อนก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็มีโอกาสกว่าการไม่สมัครเลย

แต่ค่าสมัครสอบที่สูงลิ่ว กลับเป็นด่านแรกที่ขัดขวางโอกาสคนกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

ค่าสมัครสอบหนึ่งหมื่นหยวน เว้นเสียแต่ว่าตัวเองจะมีความมั่นใจ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีคนยอมจับปลาในน้ำขุ่น ส่วนพวกครอบครัวมีฐานะก็อีกเรื่อง

ดังนั้นตอนที่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้ จึงมีเสียงตอบรับบางตา มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจ

พูดเรื่องสมัครสอบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยอีกหนึ่งประโยคปิดท้าย “นักเรียนที่สอบวรยุทธ์ วันพุธหน้าตอนบ่าย โรงเรียนจะจัดกิจกรรมคลายข้อสงสัยก่อนสอบอีกหนึ่งครั้ง”

“ครั้งนี้โรงเรียนลงทุนไม่น้อย เชิญหวังจินหยาง นักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียง กลับมาโรงเรียนเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ให้กับทุกคน ทุกคนควรจะรักษาโอกาสครั้งนี้เอาไว้ นักเรียนที่สมัครสอบ เมื่อถึงเวลานั้นโรงเรียนจะแจ้งให้ทุกคนทราบ อย่าลืมแต่งกายให้เหมาะสม…”

อาจารย์ประจำชั้นกำชับยกใหญ่ ใจความคร่าวๆ ก็คืออยากเน้นหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้

ทั้งหวังจินหยาง นักศึกษามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงคนนี้ ความจริงเพิ่งเป็นนักศึกษาปีหนึ่งสายวรยุทธ์ของเมืองหยางเฉิงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงได้เมื่อปีที่แล้ว

และแม้ว่าจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์ พวกอาจารย์ในเมืองหยางเฉิงก็ยังให้ความสำคัญ

ช่วงเวลานี้ ฟางผิงจึงตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับผู้ฝึกยุทธ์อีกครั้ง

แต่เฉินฝานที่อยู่ด้านข้าง กลับไม่ได้สนใจจุดนี้เหมือนฟางผิง เอ่ยพึมพำออกมา

“ครั้งนี้โรงเรียนใจป้ำจริงๆ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานอย่างน้อยก็ต้องใช้ห้าหกหมื่นแล้ว…”

ฟางผิงใจเต้นตึกตัก อดเอ่ยไม่ได้ “ศิษย์เก่ากลับมาเล่าประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ให้รุ่นน้องฟัง ต้องเก็บเงินด้วยเหรอ?”

เฉินฝานเอ่ยอย่างขบขัน “แน่นอนสิ นายคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์เชิญตัวง่ายหรือไง? นักศึกษาสายวรยุทธ์ยุ่งตัวเป็นเกลียว พวกเรายังมีปิดเทอมฤดูร้อนฤดูหนาว ส่วนพวกเขาปิดเทอมยังต้องหาเงิน ทั้งต้องฝึกวรยุทธ์ไปด้วย ถ้าไม่ให้เงิน ใครจะยอมเสียเวลามาให้ความรู้คนอื่นกัน? ต่อให้รุ่นพี่หวังไม่เอาเงิน โรงเรียนก็คงเป็นฝ่ายรบเร้าให้อยู่ดี ”

เฉินฝานพูดเช่นนี้ ทำให้ฟางผิงเข้าใจอย่างถ่องแท้

จากนั้นก็มองเฉินฝานอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนอย่างนายจะละเอียดลึกซึ้งไม่เบาเลยนะเนี่ย”

เฉินฝานเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง เพราะความแตกต่างในชาติก่อน ทำให้ฟางผิงนึกไม่ถึงในบางเรื่อง เจ้าหนุ่มคนนี้เข้าใจโลกไม่น้อย

“อะไรของนาย…”เฉินฝานขบขันกับตัวเองเล็กน้อย สั่นศีรษะไม่ได้พูดอะไรอีก

ทางด้านฟางผิงก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ กลับจมดิ่งในความคิด โอกาสหาเงินของผู้ฝึกยุทธ์มีมากกว่าคนธรรมดาเหมือนที่คิดจริงๆ ด้วย

นักศึกษาคนหนึ่ง มาตอบคำถามคลายข้อสงสัยให้รุ่นน้องฟัง เสียเวลาสองสามชั่วโมงเท่านั้น กลับได้ค่าตัวห้าหกหมื่นหยวนแล้ว

แม้ว่าจะไม่อาจเอาความเห็นของคนธรรมดามาเปรียบเทียบ แต่เงินห้าหกหมื่น พ่อแม่ของตัวเองต้องลำบากตรากตรําทั้งปีก็ยังหาไม่ได้เยอะถึงขนาดนั้น

เมื่อคาบของอาจารย์ประจำชั้นจบลง ฟางผิงทนเรียนต่ออีกไม่กี่คาบ เสียงกริ่งเลิกเรียนช่วงบ่ายก็ดังขึ้น

วันนี้เป็นวันเสาร์ โรงเรียนจึงไม่มีการเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำ

ความจริงตอนนี้การสอบเกาเข่าใกล้เข้ามาแล้ว นักเรียนบางคนที่เตรียมสอบสายวรยุทธ์ ปกติก็ไม่ค่อยมาเรียนภาคค่ำด้วยตัวเองที่โรงเรียน

มักจะเตร่เตร็ดเรียนเองอยู่ข้างนอก ทั้งโรงเรียนก็ให้ความสำคัญกับนักเรียนสายวรยุทธ์มากกว่านักเรียนธรรมดา แม้ว่าทุกปีจะมีคนสอบได้ไม่กี่คนก็ตาม

ฟางผิงเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับเฉินฝานและเพื่อนนักเรียนที่คุ้นเคยบางส่วน เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน ทุกคนค่อยแยกย้ายไปตามทางตัวเอง

ฟางผิงอาศัยเศษเสี้ยวความทรงจำที่คุ้นเคย เดินตามทางเพื่อกลับบ้าน

ขณะที่เดิน เขาก็ลังเลขึ้นมาอยู่บ้าง แม้ว่าชาตินี้จะมีความคล้ายคลึงกับโลกในความทรงจำของตัวเอง แต่ก็มีหลายสิ่งที่แตกต่างเช่นกัน

แล้วบ้านของตัวเองในชาตินี้ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?

และหากบ้านยังอยู่ พ่อแม่ของตัวเองจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นหรือไม่?

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ที่อายุจิตใจเข้าใกล้วัยสามสิบ หากจู่ๆ พ่อแม่กลับเปลี่ยนเป็นอีกคน ฟางผิงคงกระดากปากจะเรียกอย่างแน่นอน

“คงไม่เปลี่ยนหรอกน่า?” ฟางผิงปลอบใจตัวเองอย่างไม่มั่นใจนัก

เพื่อนร่วมชั้นเหมือนเดิม อาจารย์คนเดิม ไม่มีเหตุผลที่พ่อแม่ตัวเองต้องเปลี่ยนเป็นคนอื่นเสียหน่อย

แน่นอนว่า เป็นเหมือนเดิมย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าจะเปลี่ยนไป คนเป็นคนเดิม แต่ฐานะครอบครัวเปลี่ยนไปก็ไม่ได้แย่อะไร

ตัวอย่างเช่น หากฟางผิงกลับบ้านไป พบว่าเดิมทีครอบครัวของตัวเองก็เป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองหยางเฉิง นั่นคงจะเยี่ยมไปเลย!

หรือไม่ก็พ่อแม่ของตัวเองกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่!

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ เท่านั้น

หลังจากฟางผิงรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลกที่ตัวเองจากมา ก็ไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้มากมายแล้ว

ฟางผิงใช้เวลาเดินมาถึงย่านที่พักของตัวเองเกือบยี่สิบนาที

ย่านจิ่งหูหยวน

ชื่อฟังดูไม่แย่ ความจริงกลับเป็นเพียงย่านเล็กๆ ที่รวมบ้านอายุกว่าสามสิบปีไม่กี่หลังไว้ในเมืองหยางเฉิง

มองแวบเดียวก็เห็นย่านที่คุ้นตา ตึกบางส่วนเก่าซอมซ่อ ฟางผิงยิ่งสลัดความคิดที่ว่าบ้านของตัวเองจะสวยหรูออกจากสมองจนหมดสิ้น

ในความทรงจำหลายปีมานี้ ฟางผิงมีความไม่พอใจสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด

นั่นก็คือการที่เขาไม่ได้เป็นไชเอ้อร์ไต้[1]!

ตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ชุมชนจิ่งหูหยวนก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าจะมีการรื้อถอน

ผลปรากฏว่ามีข่าวลือทุกปี แต่จนเข้าสู่ปี 2018 แล้ว ชุมชนจิ่งหูหยวนก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

เขาไม่ได้มีความคิดถึงบ้านมากมาย ความจริงก่อนหน้านี้ หรือก็คือชาติที่แล้ว ฟางผิงเพิ่งจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่ที่จิ่งหูหยวนเช่นกัน

ยามนี้พ่อแม่อายุน้อยลงกว่าเดิม นี่ถือเป็นเรื่องดี ไม่มีความจำเป็นต้องคิดซับซ้อน

ตึกแถวที่ 6 ห้อง 101

ฟางผิงยืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้เคาะประตู เขาควักกุญแจพวงหนึ่งออกมาเปิดประตูห้อง

เมื่อประตูเปิดออก ห้องรับแขกที่คับแคบก็ปรากฏสู่ครรลองสายตา

ขึ้นชื่อว่าย่านเก่าแก่ที่อายุมากกว่าสามสิบปี ขนาดบ้านย่อมไม่ใหญ่ บ้านเก่าๆ ในอดีต ส่วนมากก็มีขนาดเล็กทั้งนั้น

แม้ว่าบ้านของฟางผิงจะมีสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก เอาเข้าจริงพื้นที่กลับน้อยมาก ประมาณหกสิบตารางเมตรเท่านั้น

ทั้งเป็นบ้านที่อาศัยมาหลายปี ในบ้านจึงเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ห้องรับแขกที่เดิมทีก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าจะแออัด แต่กลับไม่ได้รกจนเกินไป ห้องรับแขกขนาดเล็กถูกมารดาทำความสะอาดอย่างดี

ตึกชั้นหนึ่งในชุมชนเก่า ย่อมมีข้อเสียมากมาย พวกมด หนู แมลงสาบก็เยอะ ทั้งปัญหาฝุ่นและเชื้อราก็มีไม่น้อย

หากคนชั้นบนเดินขึ้นตึกเสียงดังก็มักจะได้ยินเสียงฝีเท้า

แต่ข้อเสียจะเยอะยังไง ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือสามารถสร้างลานเล็กๆ รอบล้อมได้

ทั้งย่านเก่าอย่างจิ่งหูหยวน ไม่มีระบบการดูแลนานแล้ว

ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็คงไม่มาอยู่ในพื้นที่ที่แดดส่องหลังแทบไหม้แห่งนี้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครมารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ฝ่าฝืนกฎอย่างนี้เช่นกัน

บ้านของเขามีห้องรับแขกอยู่ด้านหน้า มีอีกประตูหนึ่งเชื่อมไปทางลานด้านหลังบ้าน

ห้องครัวและห้องน้ำต่างก็ถูกสร้างในลาน

ห้องครัวและห้องน้ำเดิม กลับถูกเปลี่ยนเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งก็คือห้องที่ฟางผิงอยู่ในตอนนี้

ตามหลักแล้ว บ้านที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกก็พอให้อยู่อาศัยแล้ว

แต่ฟางผิงยังมีน้องสาวที่กำลังเรียนมัธยมต้นอีกหนึ่งคน ครอบครัวสี่คนแออัดในบ้านขนาดเล็กแห่งนี้ หากไม่มีลานบ้านคงจะไม่สะดวกอยู่จริงๆ

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[2]

ฟางผิงกำลังก้มตัวถอดรองเท้า ครุ่นคิดกับเรื่องพวกนี้ ก็ได้ยินเสียงฟางหยวน น้องสาวของเขาดังขึ้นจากห้องเล็กๆ ทางขวาของห้องรับแขก

“ฟางผิง นายยังกล้ากลับมาอีกเหรอ!”

เสียงของฟางหยวนแหลมเล็ก ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสามปี

เสียงแหลมนั้นมาพร้อมกับความโกรธเคือง ไม่นานห้องเล็กนั้นก็ปรากฏเงาพุ่งออกมา

ฟางหยวนรูปร่างไม่สูงนัก ในตอนนี้ยังคงมีแก้มยุ้ยราวกับเด็ก ใบหน้ากลมอย่างเห็นได้ชัด ถลึงตาด้วยท่าทางน่ารัก

เมื่อเห็นฟางหยวน ฟางผิงกลับคันไม้คันมือขึ้นมา ไม่ได้ถามเธอว่าโกรธเรื่องอะไร ไม่พูดพร่ำทำเพลง

หยัดกายขึ้นอย่างคุ้นเคย เข้าไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของเด็กสาว ออกแรงบีบให้ยืดออกจากกันเล็กน้อย

ท่ามกลางแววตาที่โมโหของฟางหยวน ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “ไม่ได้บีบตั้งนาน มีโอกาสสักที”

เด็กสาวที่มีแก้มกลมเป็นซาลาเปาในตอนนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะหน้าเรียวเป็นเมล็ดแตงโม ไม่รู้ว่าเนื้อบนใบหน้าหายไปไหนเหมือนกัน

นี่เป็นเรื่องที่ฟางผิงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด!

ฟางผิงรู้สึกพอใจไม่น้อย ด้านฟางหยวนโกรธจนสุดขีด สะบัดมือฟางผิงออกก็รีบเอ่ยว่า “แม่คะ ฟางผิงบีบแก้มหนูอีกแล้ว!”

หลี่อวี้อิง มารดาของเขากำลังยุ่งอยู่ในครัว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ตอบรับน้องสาว

“หยุดเล่นกันได้แล้ว อีกเดี๋ยวรอพ่อกลับมาก็กินข้าวได้ วันนี้แม่ทำของอร่อยให้พวกลูกๆ เยอะเลยนะ”

“แม่!”

ฟางหยวนตะโกนอย่างไม่เต็มใจนัก เห็นแม่ไม่เข้าข้างตัวเอง ก็ถลึงตามองฟางผิงอย่างหงุดหงิด

ครู่ต่อมาจึงค่อยนึกเรื่องสำคัญได้ เอ่ยอย่างโมโห “ฟางผิง คืนเงินมา!”

“หา?”

“ยังตีหน้าซื่ออีก! แม่ให้เงินพวกเราห้าสิบหยวน พูดกันแล้วว่าแบ่งคนละครึ่ง แล้วทำไมบนโต๊ะฉันมีแค่ห้าหยวน? เงินที่เหลือไปไหนล่ะ!”

ฟางผิงชะงักไป มีเรื่องแบบนี้ด้วย?

จะว่าไปแล้ว วันนี้เขามีเงินในมือทั้งหมดยี่สิบแปดหยวน นอกจากค่าอาหารกลางวัน ที่เหลือก็เป็นของเด็กนี่หมด?

ฟางผิงที่เดิมทีก็กระเป๋าแบนอยู่แล้ว ควักเงินสิบห้าหยวนที่เหลือออกมา อย่างไรก็ต้องมีเงินติดกระเป๋าไว้บ้าง ฟางผิงไม่คิดจะคืนเงิน ชั่วขณะนั้นก็สั่นศีรษะเอ่ยว่า “พี่ไม่รู้ เธออาจจะใช้ไปแล้วก็ได้ ลองไปหาดีๆ เถอะ”

“ฟางผิง!”

“เรียกพี่ด้วย”

“พี่บ้าบออะไร ว่าแล้วต้องรังแกเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ แม่ ยังไม่ว่าเขาอีก!”

“…”

สองพี่น้องทะเลาะกันอีกไม่กี่คำ ท้ายที่สุดเด็กสาวก็เป็นฝ่ายแพ้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ฟางผิงรู้สึกขบขัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกจนใจ ชีวิตนี้น่าอดสูเกินไปแล้ว

แค่เศษเงินค่าขนม ยังต้องรังแกเด็กจนเป็นแบบนี้

ฟางผิงหลอกล่อเธอด้วยเรื่องนับไม่ถ้วนจนฟางหยวนเผยแววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในที่สุดก็ทำให้เด็กสาวลืมเรื่องที่พี่ตัวเองหลอกเอาเงินยี่สิบหยวนไปได้

ถ้าไม่ใช่ว่าข่มใจไว้ ฟางผิงคิดว่า ตอนนี้ตัวเองคงจะหลอกเอาเงินห้าหยวนที่เหลือของเด็กคนนี้มาไว้ในมือได้อีก

จัดการฟางหยวนเสร็จแล้ว ฟางผิงก็เข้าไปทักทายแม่ในครัว

เมื่อออกมาจากครัว ในสมองก็เอาแต่คิดประโยคที่ว่า “เงินไม่มีย่อมไม่เกิดวีรบุรุษ!”

เมื่อครู่คุยกับแม่สองสามประโยค ฟางผิงจึงเพิ่งนึกได้ เพราะยามนี้เขาอยู่มัธยมปลายปีสาม เพื่อดูแลเขาและน้องสาว แม่จึงเข้างานเพียงครึ่งวัน พอไม่ใช่งานที่ต้องใช้ทักษะมากมาย ทั้งเมืองหยางเฉิงก็ไม่ใช่เขตที่เศรษฐกิจดี มารดาทำงานครึ่งวัน เดือนหนึ่งจึงได้แค่แปดร้อยหยวนเท่านั้น!

ใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะได้หนึ่งหมื่นหยวน

เดิมทีตัวเองคิดจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องสมัครสอบวรยุทธ์ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไร

ฟางผิงถูหน้าตัวเอง พึมพำว่า “สุดท้ายก็ไม่มีเงินจริงๆ ด้วย…”

———————

[1]ไชเอ้อร์ไต้ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เกิดหลังปี80 ใกล้ชานเมือง เนื่องจากมีการขยับขยายเมือง คนพวกนี้จึงต้องย้ายออก โดยได้รับเงินชดเชยจากรัฐและร่ำรวยขึ้นในชั่วพริบตา

[2]พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา อุปมาว่า พูดถึงใครสักคน คนๆ นั้นก็บังเอิญปรากฏตัวขึ้นมาทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+