ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 91.2 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 91.2 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 91 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2)

ความจริงชายอ้วนที่อยู่ตรงข้ามเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน แต่อยู่แค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น

ทั้งดูแล้วคงเป็นประเภทที่อัดยาบำรุงจนทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ไม่รู้ว่าได้หลอมกระดูกแขนขาหรือเปล่า

แม้โจวอวิ๋นจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายแล้ว

พอระเบิดปราณ ชายอ้วนจึงหน้าเปลี่ยนสีทันที ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ค้าทางธุรกิจที่เขาสามารถเจรจาได้ทั่วไป

นักศึกษาที่นี่ต่างเป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ เป็นวีรบุรุษในสังคม

โจวอวิ๋นปะทุปราณแล้ว เวลานี้ค่อยเอ่ยว่า “ถ้าถือของไปไม่ได้จริงๆ ก็เอากลับไปได้”

ตอนนี้ชายอ้วนไม่กล้าพูดอีกแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่กลัวตาย

พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังปราณสูงกว่าเขา ใครจะยังร่ำรี้รำไรอีก รีบเลือกหยิบกระเป๋าบางส่วนออกไปจากมือลูกชาย “ขนมไม่ต้องเอาไปแล้ว ถ้าอยากกิน กลับบ้านค่อยซื้อใหม่…”

หลังจากประโยคที่ว่า ไม่ต้องเอาขนมไป ฟางผิงก็เห็นเขาเอากระเป๋าหลายใบออกไปจากมือกัวเซิ่ง รวมถึงใบที่ใหญ่ที่สุดด้วย

ทุกคนต่างมุมปากกระตุก!

นี่คือขนมหมดเลย?

ขึ้นชื่อว่าคนที่เตรียมพร้อมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ น้อยนักที่จะกินขนม เพราะไม่มีสารอาหาร ทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มปราณ

เมื่อครู่เห็นอีกฝ่ายหอบกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กพะรุงพะรัง ยังคิดว่าเป็นของอะไร นึกไม่ถึงว่าจะเป็นขนมเสียส่วนใหญ่ กระทั่งโจวอิ๋นยังตะลึงจนพูดไม่ออก

ผ่านไปสักพัก ด้านข้างนายอ้วนจึงเหลือกระเป๋าสัมภาระแค่สองใบเท่านั้น

พอเห็นกระเป๋าเหลือนิดเดียว ทั้งยังเป็นแบบมีล้อ โจวอวิ๋นที่ตอนแรกมีใจอยากดูเรื่องสนุกกลับห่อเหี่ยวลงไม่น้อย

รอจนกัวเซิ่งจัดการตัวเองเสร็จแล้ว โจวอวิ๋นจึงเดินไปข้างหน้าต่อ “พวกนายตามฉันมา!”

ฟางผิงและกัวเซิ่งเดินอยู่ข้างหลังด้วยกัน

กัวเซิ่งปรายตามองฟางผิง เห็นเขามามือเปล่าเลยอดถามไม่ได้ “นายเป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกัน?”

“อืม”

“นายไม่ได้เอาของมา?”

“เอาไว้ที่โรงแรมของมหาวิทยาลัย”

“แบบนี้นี่เอง ถ้ารู้มาก่อนฉันคงเอาไว้ที่โรงแรมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพอรายงานตัวเสร็จแล้ว จะไปเอาขนมพวกนั้นกลับมาได้หรือเปล่า”

เห็นได้ชัดว่ากัวเซิ่งทำใจไม่ได้อยู่บ้าง โจวอวิ๋นที่อยู่ด้านหน้าพูดโดยไม่หันกลับมา “ไม่ได้มีกฎห้าม ถ้านายจะไปเอาก็ไปเอากลับมาเอง!”

ความจริงเขาจะเอาของอะไรมาล้วนได้ทั้งนั้น แต่เมื่อครู่เป็นเพราะนายอ้วนนี่ถือไม่ไหวต่างหาก

“ค่อยยังชั่ว ขอบคุณครับรุ่นพี่” กัวเซิ่งรีบขอบคุณ

โจวอวิ๋นไม่สนใจ เดินห่างจากประตูใหญ่มาระยะหนึ่ง โจวอวิ๋นก็ชี้ไปที่ตึกใหญ่แรกที่เห็นหลังจากเข้ามาในมหาวิทยาลัย

“นี่คือหอประวัติมหาวิทยาลัย ประวัติเริ่มแรกของมหาวิทยาลัยและเหตุการณ์สำคัญถูกบันทึกไว้ที่นี่ทั้งหมด หอประวัติมหาวิทยาลัยมีเก้าชั้น นักศึกษาใหม่ขึ้นได้สามชั้นแรก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งและขั้นสองขึ้นได้หกชั้น ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปเข้าได้ทั้งเก้าชั้น”

กัวเซิ่งกล่าวด้วยใบหน้าตกใจ “มีข้อห้ามแบบนี้ด้วย?”

เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าแค่เข้าหอประวัติมหาวิทยาลัยยังจะมีข้อจำกัด

โจวอวิ๋นเบะปาก “ข้อห้ามพวกนี้นายต้องคุ้นเคยเข้าไว้ ในมหาวิทยาลัยมีสถานที่หลายแห่ง ต่างมีข้อจำกัดแบบนี้ทั้งสิ้น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปแทบจะไปได้หมด แต่ถ้าต่ำกว่านั้นจะจำกัดสถานที่บางแห่ง ส่วนคนธรรมดา…ไม่ค่อยไปที่ไหนได้นัก”

ขณะที่พูด โจวอวิ๋นยังถามว่า “ปราณนายเท่าไหร่?”

“หนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล”

“พอจะถูๆ ไถๆ ทะลวงด่านตอนปีหนึ่งได้อยู่บ้าง”

กัวเซิงเหมือนจะไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองเท่าไหร่ พูดเสียงเบาว่า “ผมหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล เทอมหนึ่งคงพอจะทะลวงด่านได้อยู่สินะ?”

ระยะห่างของหนึ่งร้อยสามสิบห้าและหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไม่ไกลกันเท่าไหร่ ทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ เวลาครึ่งปีจะทะลวงด่านไม่ได้เชียว?

“ถึงเวลานั้นนายจะรู้เอง”

โจวอวิ๋นไม่คิดอธิบาย มองนายอ้วนแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เคยฝึกเคล็ดหลอมกระดูกมาก่อน เกรงว่าจวงกงคงไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่

อาจจะเคยเรียนมาบ้าง เพราะพ่อเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ทั้งเห็นเจ้าหมอนี่เอาแต่ห่วงเรื่องขนม โจวอวิ๋นเลยไม่ได้ประเมินเขาไว้สูงนัก

ฟางผิงนั้นปิดปากเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอด ตอนนี้โจวอวิ๋นเพิ่งจะนึกถึงฟางผิง หันมาถามว่า “นายล่ะ?”

ฟางผิงลังเลอยู่บ้าง ฉันควรจะพูดความจริงดีหรือเปล่า?

ครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงรู้สึกว่าควรจะถ่อมตัวไว้ก่อน เอ่ยว่า “หนึ่งร้อยแปดสิบแคล”

“หื้ม?”

โจวอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนทันที เผลอชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยว่า “หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว?”

“น่าจะอย่างนั้น”

“ในหมู่นักศึกษาใหม่ ฉันจำได้ว่าไม่มีนายในรายชื่อคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว”

“เพิ่งทำได้หลังจากการตรวจร่างกาย”

“ไม่น่าล่ะ!”

โจวอวิ๋นพยักหน้างึกงัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นมาอยู่บ้าง “ครั้งนี้มีนักศึกษาใหม่ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบคน ในนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ห้าสิบสองคน คนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองมีแค่เก้าคนเท่านั้น รายชื่อคนพวกนี้อยู่ในมือพวกเรา นายไม่อยู่ในนั้น ตอนนี้ดูท่าต้องเพิ่มเป็นสิบคนแล้ว”

ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง เยอะขนาดนี้เชียว?

ใช่ เยอะมาก!

เขาจำได้ หวังจินหยางเคยบอกว่า มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองไม่กี่คนเท่านั้น

ตอนนี้แค่นักศึกษาใหม่กลับเยอะขนาดนี้แล้ว!

ส่วนจำนวนผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงไม่ตกใจเท่าไหร่

ทุกปีมีนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้ว แม้จะเป็นมณฑลหนานเจียง ปีหนึ่งก็มีสี่ห้าคนเหมือนกัน

ถ้าเป็นทั่วประเทศคงจะมีเกือบร้อยคนต่อปี

หากคนพวกนี้ไม่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ก็ไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง อันที่จริงห้าสิบสองคนนับว่ายังน้อย ปักกิ่งคงมีเยอะกว่านี้

หนานเจียงไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจ การฝึกวิชาไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ แต่กลับมีผู้ฝึกยุทธ์ตั้งสี่ห้าคน

หากรวมทั่วประเทศสามสิบกว่ามณฑล เมืองที่ใหญ่เหมือนเซี่ยงไฮ้ คงจะมีผู้ฝึกยุทธ์เยอะกว่า ทั้งประเทศน่าจะประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคน

ผู้ฝึกยุทธ์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถือว่าน้อยไปอยู่บ้าง

ทั้งสองคนพูดคุยกัน กัวเซิ่งกลับเผยสีหน้างุนงง “หลอมกระดูกครั้งที่สองคืออะไร?”

“อีกอย่าง ปราณของนายอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบแคลงั้นเหรอ?”

คำถามของกัวเซิ่งพาให้โจวอวิ๋นขมวดคิ้ว “พ่อนายไม่เคยบอก?”

“ไม่เคย พ่อผมบอกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบแคลก็สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว”

ขณะที่กัวเซิ่งพูด ยังหันไปทางฟางผิง “นายยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เหรอ?”

คำพูดเมื่อครู่ของโจวอวิ๋น เขาได้ยินเหมือนกัน หลอมกระดูกครั้งที่สอง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่อีกฝ่ายปราณแตะหนึ่งร้อยแปดสิบแคลแล้ว

กัวเซิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบหัวจนสมองเบลอ

โจวอวิ๋นส่ายหน้า พ่อของเจ้าอ้วนอาจไม่รู้เรื่องนี้ หรืออาจไม่ได้บอกลูกชายเพราะกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมบางคนไม่รู้เรื่องหลอมกระดูกครั้งที่สองถือเป็นเรื่องปกติ

คลาสศิลปะการต่อสู้ ขอแค่ปราณคุณแตะหนึ่งร้อยห้าสิบแคล ก็สามารถทำให้คุณทะลวงด่านได้แล้ว ใครจะสนใจว่าคุณยังจะสั่งสมปราณต่อหรือไม่

เป้าหมายของคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้คือผลิตผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว

ถ้าคุณรู้ คงแล้วแต่คุณ แต่หากไม่รู้ ทำได้เพียงทะลวงด่านไปเท่านั้น

ฟางผิงเห็นเจ้าอ้วนถามตัวเอง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ปราณหนึ่งร้อยห้าสิบแคลขึ้นไปสามารถสั่งสมปราณต่อได้ ตอนที่แตะหนึ่งร้อยห้าสิบแคล ร่างกายจะเข้าสู่การหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่ง หนึ่งร้อยแปดสิบแคลหลอมกระดูกครั้งที่สอง”

“แบบนี้หรอกเหรอ?”

กัวเซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้างงงวย “งั้นพวกเราต้องมีปราณถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคลถึงจะทะลวงด่านได้เหรอ? ไม่น่าล่ะรุ่นพี่ถึงบอกว่าฉันอาจไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปีหนึ่ง”

โจวอวิ๋นหางตากระตุก นายยังจะคิดหลอมกระดูกครั้งที่สองอีก?

เขาพูดถึงการทะลวงด่านปกติเถอะ!

คร้านจะอธิบายให้หมอนี่ฟังแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาจะรู้ว่าคำพูดในวันนี้น่าขันอย่างยิ่ง

ส่วนฟางผิง หลังจากโจวอวิ๋นนำทางต่อ กลับไม่จะปฏิบัติท่าทีเมินเฉยต่อเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีก

เห็นสิ่งก่อสร้างอะไรก็จะอธิบายอย่างละเอียดทันที จุดประสงค์หลักคือพูดให้ฟางผิงฟังทั้งนั้น

———————–

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 91.2 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 91.2 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 91 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2)

ความจริงชายอ้วนที่อยู่ตรงข้ามเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน แต่อยู่แค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น

ทั้งดูแล้วคงเป็นประเภทที่อัดยาบำรุงจนทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ไม่รู้ว่าได้หลอมกระดูกแขนขาหรือเปล่า

แม้โจวอวิ๋นจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายแล้ว

พอระเบิดปราณ ชายอ้วนจึงหน้าเปลี่ยนสีทันที ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ค้าทางธุรกิจที่เขาสามารถเจรจาได้ทั่วไป

นักศึกษาที่นี่ต่างเป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ เป็นวีรบุรุษในสังคม

โจวอวิ๋นปะทุปราณแล้ว เวลานี้ค่อยเอ่ยว่า “ถ้าถือของไปไม่ได้จริงๆ ก็เอากลับไปได้”

ตอนนี้ชายอ้วนไม่กล้าพูดอีกแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่กลัวตาย

พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังปราณสูงกว่าเขา ใครจะยังร่ำรี้รำไรอีก รีบเลือกหยิบกระเป๋าบางส่วนออกไปจากมือลูกชาย “ขนมไม่ต้องเอาไปแล้ว ถ้าอยากกิน กลับบ้านค่อยซื้อใหม่…”

หลังจากประโยคที่ว่า ไม่ต้องเอาขนมไป ฟางผิงก็เห็นเขาเอากระเป๋าหลายใบออกไปจากมือกัวเซิ่ง รวมถึงใบที่ใหญ่ที่สุดด้วย

ทุกคนต่างมุมปากกระตุก!

นี่คือขนมหมดเลย?

ขึ้นชื่อว่าคนที่เตรียมพร้อมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ น้อยนักที่จะกินขนม เพราะไม่มีสารอาหาร ทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มปราณ

เมื่อครู่เห็นอีกฝ่ายหอบกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กพะรุงพะรัง ยังคิดว่าเป็นของอะไร นึกไม่ถึงว่าจะเป็นขนมเสียส่วนใหญ่ กระทั่งโจวอิ๋นยังตะลึงจนพูดไม่ออก

ผ่านไปสักพัก ด้านข้างนายอ้วนจึงเหลือกระเป๋าสัมภาระแค่สองใบเท่านั้น

พอเห็นกระเป๋าเหลือนิดเดียว ทั้งยังเป็นแบบมีล้อ โจวอวิ๋นที่ตอนแรกมีใจอยากดูเรื่องสนุกกลับห่อเหี่ยวลงไม่น้อย

รอจนกัวเซิ่งจัดการตัวเองเสร็จแล้ว โจวอวิ๋นจึงเดินไปข้างหน้าต่อ “พวกนายตามฉันมา!”

ฟางผิงและกัวเซิ่งเดินอยู่ข้างหลังด้วยกัน

กัวเซิ่งปรายตามองฟางผิง เห็นเขามามือเปล่าเลยอดถามไม่ได้ “นายเป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกัน?”

“อืม”

“นายไม่ได้เอาของมา?”

“เอาไว้ที่โรงแรมของมหาวิทยาลัย”

“แบบนี้นี่เอง ถ้ารู้มาก่อนฉันคงเอาไว้ที่โรงแรมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพอรายงานตัวเสร็จแล้ว จะไปเอาขนมพวกนั้นกลับมาได้หรือเปล่า”

เห็นได้ชัดว่ากัวเซิ่งทำใจไม่ได้อยู่บ้าง โจวอวิ๋นที่อยู่ด้านหน้าพูดโดยไม่หันกลับมา “ไม่ได้มีกฎห้าม ถ้านายจะไปเอาก็ไปเอากลับมาเอง!”

ความจริงเขาจะเอาของอะไรมาล้วนได้ทั้งนั้น แต่เมื่อครู่เป็นเพราะนายอ้วนนี่ถือไม่ไหวต่างหาก

“ค่อยยังชั่ว ขอบคุณครับรุ่นพี่” กัวเซิ่งรีบขอบคุณ

โจวอวิ๋นไม่สนใจ เดินห่างจากประตูใหญ่มาระยะหนึ่ง โจวอวิ๋นก็ชี้ไปที่ตึกใหญ่แรกที่เห็นหลังจากเข้ามาในมหาวิทยาลัย

“นี่คือหอประวัติมหาวิทยาลัย ประวัติเริ่มแรกของมหาวิทยาลัยและเหตุการณ์สำคัญถูกบันทึกไว้ที่นี่ทั้งหมด หอประวัติมหาวิทยาลัยมีเก้าชั้น นักศึกษาใหม่ขึ้นได้สามชั้นแรก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งและขั้นสองขึ้นได้หกชั้น ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปเข้าได้ทั้งเก้าชั้น”

กัวเซิ่งกล่าวด้วยใบหน้าตกใจ “มีข้อห้ามแบบนี้ด้วย?”

เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าแค่เข้าหอประวัติมหาวิทยาลัยยังจะมีข้อจำกัด

โจวอวิ๋นเบะปาก “ข้อห้ามพวกนี้นายต้องคุ้นเคยเข้าไว้ ในมหาวิทยาลัยมีสถานที่หลายแห่ง ต่างมีข้อจำกัดแบบนี้ทั้งสิ้น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปแทบจะไปได้หมด แต่ถ้าต่ำกว่านั้นจะจำกัดสถานที่บางแห่ง ส่วนคนธรรมดา…ไม่ค่อยไปที่ไหนได้นัก”

ขณะที่พูด โจวอวิ๋นยังถามว่า “ปราณนายเท่าไหร่?”

“หนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล”

“พอจะถูๆ ไถๆ ทะลวงด่านตอนปีหนึ่งได้อยู่บ้าง”

กัวเซิงเหมือนจะไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองเท่าไหร่ พูดเสียงเบาว่า “ผมหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล เทอมหนึ่งคงพอจะทะลวงด่านได้อยู่สินะ?”

ระยะห่างของหนึ่งร้อยสามสิบห้าและหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไม่ไกลกันเท่าไหร่ ทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ เวลาครึ่งปีจะทะลวงด่านไม่ได้เชียว?

“ถึงเวลานั้นนายจะรู้เอง”

โจวอวิ๋นไม่คิดอธิบาย มองนายอ้วนแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เคยฝึกเคล็ดหลอมกระดูกมาก่อน เกรงว่าจวงกงคงไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่

อาจจะเคยเรียนมาบ้าง เพราะพ่อเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ทั้งเห็นเจ้าหมอนี่เอาแต่ห่วงเรื่องขนม โจวอวิ๋นเลยไม่ได้ประเมินเขาไว้สูงนัก

ฟางผิงนั้นปิดปากเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอด ตอนนี้โจวอวิ๋นเพิ่งจะนึกถึงฟางผิง หันมาถามว่า “นายล่ะ?”

ฟางผิงลังเลอยู่บ้าง ฉันควรจะพูดความจริงดีหรือเปล่า?

ครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงรู้สึกว่าควรจะถ่อมตัวไว้ก่อน เอ่ยว่า “หนึ่งร้อยแปดสิบแคล”

“หื้ม?”

โจวอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนทันที เผลอชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยว่า “หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว?”

“น่าจะอย่างนั้น”

“ในหมู่นักศึกษาใหม่ ฉันจำได้ว่าไม่มีนายในรายชื่อคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว”

“เพิ่งทำได้หลังจากการตรวจร่างกาย”

“ไม่น่าล่ะ!”

โจวอวิ๋นพยักหน้างึกงัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นมาอยู่บ้าง “ครั้งนี้มีนักศึกษาใหม่ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบคน ในนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ห้าสิบสองคน คนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองมีแค่เก้าคนเท่านั้น รายชื่อคนพวกนี้อยู่ในมือพวกเรา นายไม่อยู่ในนั้น ตอนนี้ดูท่าต้องเพิ่มเป็นสิบคนแล้ว”

ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง เยอะขนาดนี้เชียว?

ใช่ เยอะมาก!

เขาจำได้ หวังจินหยางเคยบอกว่า มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองไม่กี่คนเท่านั้น

ตอนนี้แค่นักศึกษาใหม่กลับเยอะขนาดนี้แล้ว!

ส่วนจำนวนผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงไม่ตกใจเท่าไหร่

ทุกปีมีนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้ว แม้จะเป็นมณฑลหนานเจียง ปีหนึ่งก็มีสี่ห้าคนเหมือนกัน

ถ้าเป็นทั่วประเทศคงจะมีเกือบร้อยคนต่อปี

หากคนพวกนี้ไม่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ก็ไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง อันที่จริงห้าสิบสองคนนับว่ายังน้อย ปักกิ่งคงมีเยอะกว่านี้

หนานเจียงไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจ การฝึกวิชาไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ แต่กลับมีผู้ฝึกยุทธ์ตั้งสี่ห้าคน

หากรวมทั่วประเทศสามสิบกว่ามณฑล เมืองที่ใหญ่เหมือนเซี่ยงไฮ้ คงจะมีผู้ฝึกยุทธ์เยอะกว่า ทั้งประเทศน่าจะประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคน

ผู้ฝึกยุทธ์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถือว่าน้อยไปอยู่บ้าง

ทั้งสองคนพูดคุยกัน กัวเซิ่งกลับเผยสีหน้างุนงง “หลอมกระดูกครั้งที่สองคืออะไร?”

“อีกอย่าง ปราณของนายอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบแคลงั้นเหรอ?”

คำถามของกัวเซิ่งพาให้โจวอวิ๋นขมวดคิ้ว “พ่อนายไม่เคยบอก?”

“ไม่เคย พ่อผมบอกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบแคลก็สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว”

ขณะที่กัวเซิ่งพูด ยังหันไปทางฟางผิง “นายยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เหรอ?”

คำพูดเมื่อครู่ของโจวอวิ๋น เขาได้ยินเหมือนกัน หลอมกระดูกครั้งที่สอง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่อีกฝ่ายปราณแตะหนึ่งร้อยแปดสิบแคลแล้ว

กัวเซิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบหัวจนสมองเบลอ

โจวอวิ๋นส่ายหน้า พ่อของเจ้าอ้วนอาจไม่รู้เรื่องนี้ หรืออาจไม่ได้บอกลูกชายเพราะกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมบางคนไม่รู้เรื่องหลอมกระดูกครั้งที่สองถือเป็นเรื่องปกติ

คลาสศิลปะการต่อสู้ ขอแค่ปราณคุณแตะหนึ่งร้อยห้าสิบแคล ก็สามารถทำให้คุณทะลวงด่านได้แล้ว ใครจะสนใจว่าคุณยังจะสั่งสมปราณต่อหรือไม่

เป้าหมายของคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้คือผลิตผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว

ถ้าคุณรู้ คงแล้วแต่คุณ แต่หากไม่รู้ ทำได้เพียงทะลวงด่านไปเท่านั้น

ฟางผิงเห็นเจ้าอ้วนถามตัวเอง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ปราณหนึ่งร้อยห้าสิบแคลขึ้นไปสามารถสั่งสมปราณต่อได้ ตอนที่แตะหนึ่งร้อยห้าสิบแคล ร่างกายจะเข้าสู่การหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่ง หนึ่งร้อยแปดสิบแคลหลอมกระดูกครั้งที่สอง”

“แบบนี้หรอกเหรอ?”

กัวเซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้างงงวย “งั้นพวกเราต้องมีปราณถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคลถึงจะทะลวงด่านได้เหรอ? ไม่น่าล่ะรุ่นพี่ถึงบอกว่าฉันอาจไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปีหนึ่ง”

โจวอวิ๋นหางตากระตุก นายยังจะคิดหลอมกระดูกครั้งที่สองอีก?

เขาพูดถึงการทะลวงด่านปกติเถอะ!

คร้านจะอธิบายให้หมอนี่ฟังแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาจะรู้ว่าคำพูดในวันนี้น่าขันอย่างยิ่ง

ส่วนฟางผิง หลังจากโจวอวิ๋นนำทางต่อ กลับไม่จะปฏิบัติท่าทีเมินเฉยต่อเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีก

เห็นสิ่งก่อสร้างอะไรก็จะอธิบายอย่างละเอียดทันที จุดประสงค์หลักคือพูดให้ฟางผิงฟังทั้งนั้น

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 91.2 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 91.2 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 91 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (2)

ความจริงชายอ้วนที่อยู่ตรงข้ามเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน แต่อยู่แค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น

ทั้งดูแล้วคงเป็นประเภทที่อัดยาบำรุงจนทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ไม่รู้ว่าได้หลอมกระดูกแขนขาหรือเปล่า

แม้โจวอวิ๋นจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายแล้ว

พอระเบิดปราณ ชายอ้วนจึงหน้าเปลี่ยนสีทันที ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ค้าทางธุรกิจที่เขาสามารถเจรจาได้ทั่วไป

นักศึกษาที่นี่ต่างเป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ เป็นวีรบุรุษในสังคม

โจวอวิ๋นปะทุปราณแล้ว เวลานี้ค่อยเอ่ยว่า “ถ้าถือของไปไม่ได้จริงๆ ก็เอากลับไปได้”

ตอนนี้ชายอ้วนไม่กล้าพูดอีกแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่กลัวตาย

พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังปราณสูงกว่าเขา ใครจะยังร่ำรี้รำไรอีก รีบเลือกหยิบกระเป๋าบางส่วนออกไปจากมือลูกชาย “ขนมไม่ต้องเอาไปแล้ว ถ้าอยากกิน กลับบ้านค่อยซื้อใหม่…”

หลังจากประโยคที่ว่า ไม่ต้องเอาขนมไป ฟางผิงก็เห็นเขาเอากระเป๋าหลายใบออกไปจากมือกัวเซิ่ง รวมถึงใบที่ใหญ่ที่สุดด้วย

ทุกคนต่างมุมปากกระตุก!

นี่คือขนมหมดเลย?

ขึ้นชื่อว่าคนที่เตรียมพร้อมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ น้อยนักที่จะกินขนม เพราะไม่มีสารอาหาร ทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มปราณ

เมื่อครู่เห็นอีกฝ่ายหอบกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กพะรุงพะรัง ยังคิดว่าเป็นของอะไร นึกไม่ถึงว่าจะเป็นขนมเสียส่วนใหญ่ กระทั่งโจวอิ๋นยังตะลึงจนพูดไม่ออก

ผ่านไปสักพัก ด้านข้างนายอ้วนจึงเหลือกระเป๋าสัมภาระแค่สองใบเท่านั้น

พอเห็นกระเป๋าเหลือนิดเดียว ทั้งยังเป็นแบบมีล้อ โจวอวิ๋นที่ตอนแรกมีใจอยากดูเรื่องสนุกกลับห่อเหี่ยวลงไม่น้อย

รอจนกัวเซิ่งจัดการตัวเองเสร็จแล้ว โจวอวิ๋นจึงเดินไปข้างหน้าต่อ “พวกนายตามฉันมา!”

ฟางผิงและกัวเซิ่งเดินอยู่ข้างหลังด้วยกัน

กัวเซิ่งปรายตามองฟางผิง เห็นเขามามือเปล่าเลยอดถามไม่ได้ “นายเป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกัน?”

“อืม”

“นายไม่ได้เอาของมา?”

“เอาไว้ที่โรงแรมของมหาวิทยาลัย”

“แบบนี้นี่เอง ถ้ารู้มาก่อนฉันคงเอาไว้ที่โรงแรมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพอรายงานตัวเสร็จแล้ว จะไปเอาขนมพวกนั้นกลับมาได้หรือเปล่า”

เห็นได้ชัดว่ากัวเซิ่งทำใจไม่ได้อยู่บ้าง โจวอวิ๋นที่อยู่ด้านหน้าพูดโดยไม่หันกลับมา “ไม่ได้มีกฎห้าม ถ้านายจะไปเอาก็ไปเอากลับมาเอง!”

ความจริงเขาจะเอาของอะไรมาล้วนได้ทั้งนั้น แต่เมื่อครู่เป็นเพราะนายอ้วนนี่ถือไม่ไหวต่างหาก

“ค่อยยังชั่ว ขอบคุณครับรุ่นพี่” กัวเซิ่งรีบขอบคุณ

โจวอวิ๋นไม่สนใจ เดินห่างจากประตูใหญ่มาระยะหนึ่ง โจวอวิ๋นก็ชี้ไปที่ตึกใหญ่แรกที่เห็นหลังจากเข้ามาในมหาวิทยาลัย

“นี่คือหอประวัติมหาวิทยาลัย ประวัติเริ่มแรกของมหาวิทยาลัยและเหตุการณ์สำคัญถูกบันทึกไว้ที่นี่ทั้งหมด หอประวัติมหาวิทยาลัยมีเก้าชั้น นักศึกษาใหม่ขึ้นได้สามชั้นแรก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งและขั้นสองขึ้นได้หกชั้น ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปเข้าได้ทั้งเก้าชั้น”

กัวเซิ่งกล่าวด้วยใบหน้าตกใจ “มีข้อห้ามแบบนี้ด้วย?”

เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าแค่เข้าหอประวัติมหาวิทยาลัยยังจะมีข้อจำกัด

โจวอวิ๋นเบะปาก “ข้อห้ามพวกนี้นายต้องคุ้นเคยเข้าไว้ ในมหาวิทยาลัยมีสถานที่หลายแห่ง ต่างมีข้อจำกัดแบบนี้ทั้งสิ้น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปแทบจะไปได้หมด แต่ถ้าต่ำกว่านั้นจะจำกัดสถานที่บางแห่ง ส่วนคนธรรมดา…ไม่ค่อยไปที่ไหนได้นัก”

ขณะที่พูด โจวอวิ๋นยังถามว่า “ปราณนายเท่าไหร่?”

“หนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล”

“พอจะถูๆ ไถๆ ทะลวงด่านตอนปีหนึ่งได้อยู่บ้าง”

กัวเซิงเหมือนจะไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองเท่าไหร่ พูดเสียงเบาว่า “ผมหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล เทอมหนึ่งคงพอจะทะลวงด่านได้อยู่สินะ?”

ระยะห่างของหนึ่งร้อยสามสิบห้าและหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไม่ไกลกันเท่าไหร่ ทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ เวลาครึ่งปีจะทะลวงด่านไม่ได้เชียว?

“ถึงเวลานั้นนายจะรู้เอง”

โจวอวิ๋นไม่คิดอธิบาย มองนายอ้วนแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เคยฝึกเคล็ดหลอมกระดูกมาก่อน เกรงว่าจวงกงคงไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่

อาจจะเคยเรียนมาบ้าง เพราะพ่อเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ทั้งเห็นเจ้าหมอนี่เอาแต่ห่วงเรื่องขนม โจวอวิ๋นเลยไม่ได้ประเมินเขาไว้สูงนัก

ฟางผิงนั้นปิดปากเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอด ตอนนี้โจวอวิ๋นเพิ่งจะนึกถึงฟางผิง หันมาถามว่า “นายล่ะ?”

ฟางผิงลังเลอยู่บ้าง ฉันควรจะพูดความจริงดีหรือเปล่า?

ครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงรู้สึกว่าควรจะถ่อมตัวไว้ก่อน เอ่ยว่า “หนึ่งร้อยแปดสิบแคล”

“หื้ม?”

โจวอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนทันที เผลอชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยว่า “หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว?”

“น่าจะอย่างนั้น”

“ในหมู่นักศึกษาใหม่ ฉันจำได้ว่าไม่มีนายในรายชื่อคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว”

“เพิ่งทำได้หลังจากการตรวจร่างกาย”

“ไม่น่าล่ะ!”

โจวอวิ๋นพยักหน้างึกงัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นมาอยู่บ้าง “ครั้งนี้มีนักศึกษาใหม่ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบคน ในนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ห้าสิบสองคน คนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองมีแค่เก้าคนเท่านั้น รายชื่อคนพวกนี้อยู่ในมือพวกเรา นายไม่อยู่ในนั้น ตอนนี้ดูท่าต้องเพิ่มเป็นสิบคนแล้ว”

ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง เยอะขนาดนี้เชียว?

ใช่ เยอะมาก!

เขาจำได้ หวังจินหยางเคยบอกว่า มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีคนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองไม่กี่คนเท่านั้น

ตอนนี้แค่นักศึกษาใหม่กลับเยอะขนาดนี้แล้ว!

ส่วนจำนวนผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงไม่ตกใจเท่าไหร่

ทุกปีมีนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้ว แม้จะเป็นมณฑลหนานเจียง ปีหนึ่งก็มีสี่ห้าคนเหมือนกัน

ถ้าเป็นทั่วประเทศคงจะมีเกือบร้อยคนต่อปี

หากคนพวกนี้ไม่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ก็ไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง อันที่จริงห้าสิบสองคนนับว่ายังน้อย ปักกิ่งคงมีเยอะกว่านี้

หนานเจียงไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจ การฝึกวิชาไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ แต่กลับมีผู้ฝึกยุทธ์ตั้งสี่ห้าคน

หากรวมทั่วประเทศสามสิบกว่ามณฑล เมืองที่ใหญ่เหมือนเซี่ยงไฮ้ คงจะมีผู้ฝึกยุทธ์เยอะกว่า ทั้งประเทศน่าจะประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคน

ผู้ฝึกยุทธ์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถือว่าน้อยไปอยู่บ้าง

ทั้งสองคนพูดคุยกัน กัวเซิ่งกลับเผยสีหน้างุนงง “หลอมกระดูกครั้งที่สองคืออะไร?”

“อีกอย่าง ปราณของนายอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบแคลงั้นเหรอ?”

คำถามของกัวเซิ่งพาให้โจวอวิ๋นขมวดคิ้ว “พ่อนายไม่เคยบอก?”

“ไม่เคย พ่อผมบอกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบแคลก็สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว”

ขณะที่กัวเซิ่งพูด ยังหันไปทางฟางผิง “นายยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เหรอ?”

คำพูดเมื่อครู่ของโจวอวิ๋น เขาได้ยินเหมือนกัน หลอมกระดูกครั้งที่สอง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่อีกฝ่ายปราณแตะหนึ่งร้อยแปดสิบแคลแล้ว

กัวเซิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบหัวจนสมองเบลอ

โจวอวิ๋นส่ายหน้า พ่อของเจ้าอ้วนอาจไม่รู้เรื่องนี้ หรืออาจไม่ได้บอกลูกชายเพราะกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมบางคนไม่รู้เรื่องหลอมกระดูกครั้งที่สองถือเป็นเรื่องปกติ

คลาสศิลปะการต่อสู้ ขอแค่ปราณคุณแตะหนึ่งร้อยห้าสิบแคล ก็สามารถทำให้คุณทะลวงด่านได้แล้ว ใครจะสนใจว่าคุณยังจะสั่งสมปราณต่อหรือไม่

เป้าหมายของคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้คือผลิตผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว

ถ้าคุณรู้ คงแล้วแต่คุณ แต่หากไม่รู้ ทำได้เพียงทะลวงด่านไปเท่านั้น

ฟางผิงเห็นเจ้าอ้วนถามตัวเอง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ปราณหนึ่งร้อยห้าสิบแคลขึ้นไปสามารถสั่งสมปราณต่อได้ ตอนที่แตะหนึ่งร้อยห้าสิบแคล ร่างกายจะเข้าสู่การหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่ง หนึ่งร้อยแปดสิบแคลหลอมกระดูกครั้งที่สอง”

“แบบนี้หรอกเหรอ?”

กัวเซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้างงงวย “งั้นพวกเราต้องมีปราณถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคลถึงจะทะลวงด่านได้เหรอ? ไม่น่าล่ะรุ่นพี่ถึงบอกว่าฉันอาจไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปีหนึ่ง”

โจวอวิ๋นหางตากระตุก นายยังจะคิดหลอมกระดูกครั้งที่สองอีก?

เขาพูดถึงการทะลวงด่านปกติเถอะ!

คร้านจะอธิบายให้หมอนี่ฟังแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาจะรู้ว่าคำพูดในวันนี้น่าขันอย่างยิ่ง

ส่วนฟางผิง หลังจากโจวอวิ๋นนำทางต่อ กลับไม่จะปฏิบัติท่าทีเมินเฉยต่อเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีก

เห็นสิ่งก่อสร้างอะไรก็จะอธิบายอย่างละเอียดทันที จุดประสงค์หลักคือพูดให้ฟางผิงฟังทั้งนั้น

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด