ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 265-2 สู้แล้วจะรู้เอง (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 265-2 สู้แล้วจะรู้เอง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 265 สู้แล้วจะรู้เอง (2)

แต่ยังมีผู้ฝึกยุทธ์สำนักกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากให้คนของสำนักเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยการต่อสู้ นี่ทำให้ภาพจำของสำนักพวกเขาค่อยๆ เลือนหายไป ท้ายที่สุดอาจถูกกลมกลืน สำนักที่สืบทอดต่อกันมาหลายปี บางทีอาจจะหายไปในเร็วๆ นี้

เพราะหมู่บ้านฉางหยางเป็นสำนักในรูปแบบวงศ์ตระกูล ดังนั้นจึงไม่ผลักไสไล่ส่งลูกหลานที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัย จุดนี้สามารถเข้าใจได้

ด้านข้างจางเจิ้นกวงยังมีชายหนุ่มและหญิงสาวอีกหลายคน

เห็นจางเจิ้นกวงทักทายฟางผิง มีคนกระซิบว่า “นี่คือนักศึกษาจากเซี่ยงไฮ้ที่เอาชนะทีมพี่สามในครั้งก่อน?”

“เหมือนจะอย่างนั้น แต่เขาน่าจะไม่ได้ประมือกับพี่สาม”

ฟางผิงไม่ได้ต่อสู้กับจางเจิ้นกวง ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้วนมาเจอกันสองครั้ง ครั้งแรกจางเจิ้นกวงไม่ได้ลงสนามเพราะได้รับบาดเจ็บ

ครั้งที่สองฝืนลงสนามจนบาดเจ็บหนัก ชกเฉินอวิ๋นซีไปหนึ่งหมัด เฉินอวิ๋นซีบาดเจ็บจนหัวร้อนขึ้นมา ผลปรากฏว่าจางเจิ้นกวงถึงกับล้มลงไป เฉินอวิ๋นซียังเดือดดาลพาลโกรธหานซวี่ที่ลงสนามเป็นคนถัดไป สู้กับหานซวี่จนอีกฝ่ายตกตะลึงไป

จะว่าไปแล้วความบาดหมางระหว่างปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน

แต่ทั้งสองคนไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไร เจอหน้ากัน ฟางผิงและจางเจิ้นกวงต่างไม่เผยสีหน้าขุ่นเคืองอะไร ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น

“พี่สามเพิ่งจะขั้นสองตอนปลาย เขาทะลวงขั้นสามสูงสุดแล้ว?”

“เก่งชะมัด เก่งกว่าพี่สามอีก!” ในหมู่วัยรุ่นมีเด็กสาวที่ยังอายุน้อยหลายคนมองไปยังฟางผิงด้วยความนับถืออยู่บ้าง

จางเจิ้นกวงสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งได้ ทุกคนคิดว่าเป็นอัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะแล้ว

ตอนนี้เห็นฟางผิงแข็งแกร่งยิ่งกว่าจางเจิ้นกวง ทุกคนย่อมชื่นชมอยู่บ้าง

จางเจิ้นกวงไม่เคืองโกรธเช่นกัน กลับเอ่ยเสียงเบาว่า “นับถือได้ไม่ว่า แต่อย่าคิดเกินเลยดีกว่า ได้ยินว่าหมอนี้ไม่สนใจผู้หญิง เจอผู้หญิงสวยๆ เห็นคนหนึ่งก็อัดคนหนึ่ง พวกเธออย่าเข้าไปใกล้เขาดีกว่า!”

เด็กสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฟางหยวนเอ่ยอย่างตกใจ “ทำไมล่ะ? หรือเขาเป็น…”

จางเจิ้นกวงยักไหล่ ฉันไม่ได้สนิทกับเขา ทั้งไม่รู้สถานการณ์อะไรเลยด้วย

แต่ข่าวลือของฟางผิงที่ว่าชอบต่อยตีผู้ฝึกยุทธ์หญิงนั้น เขาเคยได้ยินมาจริงๆ

จะว่าไปเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว เพิ่งเข้าปักกิ่งได้ไม่เท่าไหร่ พวกนักศึกษาหญิงก็พูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เป็นข่าวที่เผยแพร่มาจากทางเซี่ยงไฮ้

ได้ยินว่าช่วงเปิดเทอม ฟางผิงต่อยตีกับผู้ฝึกยุทธ์หญิงของเซี่ยงไฮ้หลายคนจนเจ็บปางตาย นักศึกษาหญิงปีหนึ่งต่างต่อต้านฟางผิง

เรื่องนี้…น่าจะจริงล่ะมั้ง ยังไงจางเจิ้นกวงก์รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูง ไม่งั้นข่าวลือจากเซี่ยงไฮ้จะลอยมาถึงปักกิ่งได้ยังไง

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด ฟางผิงย่อมตาไวหูไวอยู่แล้ว

เสียงกระซิบกระซาบของจางเจิ้นกวง ฟางผิงกลับได้ยินอย่างชัดเจน

ตอนนี้ฟางผิงหน้าดำราวกับก้นหม้อ!

เรื่องนี้ตอนที่อยู่ในโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่งเหมือนเขาจะรู้สึกทะแม่งๆ อยู่บ้างเหมือนกัน เขาไม่ได้คุ้นเคยกับคนของอวิ๋นเมิ่ง แต่ผู้ฝึกยุทธ์หญิงจากอวิ๋นเมิ่งกลับรู้จักเขา ยังบอกว่าเขาชอบตีผู้หญิงโดยเฉพาะ!

ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจางเจิ้นกวงจากปักกิ่งยังรู้เรื่องนี้!

“หยางเสี่ยวม่าน!”

ฟางผิงแค่นเสียงอย่างขุ่นเคือง เรื่องนี้แทบจะมีความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เธอเป็นคนปล่อยข่าว ตอนที่เปิดเทอม ผู้หญิงคนนี้ก็ชักจูงนักศึกษาหญิงในชั้นเรียนมาต่อต้านเขาแล้ว

ตอนนี้กลับแพร่กระจายไปทั่ว!

ไม่ช้าก็เร็วต้องจัดการเธอสักหน่อย!

ตอนที่พวกจางเจิ้นกวงซุบซิบกัน เด็กหนุ่มที่ดูเป็นผู้ใหญ่ด้านข้างกลับมองสำรวจฟางผิงคร่าวๆ

ผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฟางผิงจากเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้มีชื่อเสียงล้ำหน้าฉันเยอะแล้ว ทำไมถึงอยากมาประลองกับฉันอีก?”

“สะสมบารมี!”

จางเจิ้นหวาขมวดคิ้วเล็กน้อย แค่นยิ้มบางๆ “พูดแบบนี้ นายคิดจะประลองเพื่อสร้างชื่อไร้ศัตรูในขั้นสามสินะ? แต่ขอโทษที่ฉันพูดตรงไปหน่อย น่าจะยากแล้ว! การสะสมบารมีแบบนี้ หยุดไม่ได้ แพ้ไม่ได้ เรียกว่าไร้ศัตรูได้ยังไง? ในขั้นสามต่อให้นายจะแข็งแกร่งแค่ไหน ฉันก็ทำให้แพ้ได้! ฉินเฟิ่งชิงเหมือนจะทะลวงขั้นสี่แล้ว แต่คนที่อยู่เหนือกว่านายก็มียอดฝีมือขั้นสามไม่น้อยเหมือนกัน หลิงอีอีจากปักกิ่งใกล้จะทะลวงขั้นสี่แล้ว สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนปลายมาก่อน แต่เธออยู่ในอันดับสามของการจัดอันดับรวมเท่านั้น ฉันได้ยินน้องชายพูดว่า หลิงอีอีฝีมือแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าฉันเยอะ นายมั่นใจหรือเปล่าล่ะว่าจะเอาชนะเธอได้? นายสะสมอำนาจบารมีจนถึงจุดสูงสุด หากแพ้ให้คนอื่น ก็จะเป็นการสร้างบารมีให้คนทันที ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดหลายคนกำลังรอคนอย่างพวกนายมาท้าประลองถึงหน้าประตูเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา แค่เอาชนะพวกนายก็เพียงพอให้พลังของพวกเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว…”

“ยังไม่พูดถึงหลิงอีอี ครั้งนี้นายมาจงโจว ภิกษุหนุ่มจากสำนักว่านซานคนนั้น เกรงว่าคงต้องไปท้าประลองเหมือนกัน…แต่ในความคิดของฉัน นายอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสมอไป ฉันเคยประลองกับเขามาหลายครั้ง พลังของนายยังสู้เขาไม่ได้…”

พลังของผู้ฝึกยุทธ์ ไม่อาจใช้การต่อสู้เป็นตัวตัดสิน

แต่ในระดับขั้นเดียวกัน อายุรุ่นราวเดียวกัน พลังฟางผิงนั้นสู้คนอื่นไม่ได้ จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบก่อน

ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่สู้กันสักครั้ง จะรู้ได้ไงว่าใครแพ้หรือชนะ! แม้ว่าจะแพ้จริงๆ อย่างมากก็แค่มาใหม่ ฉายาไร้ศัตรูต่อสู้ของขั้นสาม อยู่ในมือฉันอยู่แล้ว!”

จางเจิ้นหวาหลุดขำ “มั่นใจดีนี่ ปีก่อนหวังจินหยางเคยมาที่นี่ยังไม่กล้าพูดแบบนี้เลย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ท้าประลองต่ออีก แม้ว่าปีก่อนฉันจะแพ้ให้หวังจินหยาง แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว เขาทะลวงขั้นสี่ ฉันอยู่ขั้นสาม แต่ฉันในตอนนี้ไม่ใช่ฉันในปีก่อนอีกแล้ว ฟางผิง ด่านนี้ของฉัน นายอาจจะผ่านไปไม่ได้ อาวุธที่เสียไปแล้ว นายคิดจะเอากลับไป คงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น”

“พูดมากไปไม่มีประโยชน์ สู้แล้วจะรู้เอง!”

“ช่างเถอะ ดูท่าหากนายไม่แพ้ก็คงไม่ยอมเลิกรา”

จางเจิ้นหวาไม่ได้ร่ำรี้ร่ำไรต่อ ชายชราผอมแห้งกลับพูดเสียงดังว่า “ถอยไปให้หมด คนของคลาสฝึกศิลปะต่อสู้ออกห่างมาหน่อย ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง!”

นักเรียนของคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้แก้วหูแทบจะแตก พากันหน้าถอดสี รีบถอยไปอย่างรวดเร็ว

คนของหมู่บ้านฉางหยาง พวกเด็กๆ และวัยรุ่นต่างถอยหลังไปหนึ่งช่วงเช่นกัน พวกผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนกลับไม่ได้ถอยไปไกลนัก เผยสีหน้าสงสัย ยืนรอชมการต่อสู้อยู่ด้านข้าง

จางเจิ้นหวาเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนหนุ่มสาวของหมู่บ้านฉางหยาง ส่วนจางเจิ้นกวง ตอนนี้ยังไม่ทะลวงขั้นสาม เทียบกับพี่ชายแล้วยังอ่อนด้อยไปอยู่บ้าง

แต่จางเจิ้นกวงยังอายุน้อย ทั้งยังเรียนในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในอนาคตอาจไม่ด้อยไปกว่าจางเจิ้นหวาเช่นกัน

ฟางผิงอายุพอๆ กับจางเจิ้นกวง เข้าสู่ขั้นสามได้ไม่นาน แม้ว่าจะถูกจัดอยู่ในอันดับสูงกว่าจางเจิ้นหวา แต่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่เคยประมือกัน ย่อมไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอกว่า

ในสายตาของหลายคน ฟางผิงแค่พึ่งพาชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้ อาศัยเรื่องที่ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลางจึงถูกจัดอันดับอยู่หน้าจางเจิ้นหวา

แต่เมื่อประมือกันจริงๆ อาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป!

หลังจากทุกคนถอยไป จางเจิ้นหวาก็รับอาวุธที่คนอื่นส่งมาให้

เหล็กท่อนคู่!

นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่ฟางผิงเห็นมีคนใช้อาวุธแบบนี้

“ในสายตาของคนภายนอก หมู่บ้านฉางหยางนั้นขึ้นชื่อเรื่องมวยไท่จี๋ กลับไม่รู้ว่าพวกเราชำนาญการต่อสู้ด้วยอาวุธมากกว่า!”

จางเจิ้นหวาอธิบายด้วยรอยยิ้ม กวัดแกว่งเหล็กท่อนคู่ในมือเบาๆ ทว่ากลับสร้างความปั่นป่วนให้อากาศรอบๆ ทันที

ฟางผิงเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา

เหล็กท่อนไม่มีคม พูดให้เห็นภาพหน่อย จัดอยู่ในอาวุธประเภทแส้เหล็ก

แต่เหล็กท่อนค่อนข้างหนัก หนักกว่ากระบี่ทั่วไปอยู่บ้าง ส่วนมากจะใช้เพื่อทุบกระทุ้ง

แน่นอนว่าจะแทง ยก กวาด ดัน กดต่างทำได้หมด แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้เหล็กท่อนจะชอบทุบคนมากกว่า ทั้งยังค่อนข้างมีความมั่นใจ ด้านพลังก็มีความพิเศษอยู่บ้าง ผู้ฝึกยุทธ์ที่พลังล้นเหลือโดยกำเนิดหลายคนหรือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีปราณเต็มเปี่ยมล้วนชอบใช้อาวุธนี้

“ได้โปรดชี้แนะด้วย!”

ฟางผิงวางดาบยาวไว้ด้านข้าง ไม่ได้หยิบขึ้นมา

เขาพลังหมัดรวมเป็นหนึ่งแล้ว ตอนนี้อยากให้วิชาหมัดจินกังให้ลึกล้ำมากขึ้นยิ่งกว่า ส่วนวิชาดาบ พักไว้ก่อนชั่วคราว

จางเจิ้นหวาไม่สนใจเช่นกันว่าเขาจะใช้อาวุธอะไร คารวะกลับแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บนสังเวียน แม้การแลกเปลี่ยนความรู้จะไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย แต่ถ้าทำให้บาดเจ็บ ก็อย่าโทษฉันที่ไม่ออมมือให้แล้วกัน”

“งั้นรอนายบาดเจ็บเพราะฉันค่อยว่ากันอีกที!”

“ได้!”

สิ้นเสียงนั้น จางเจิ้นหวาก็กระโดดขึ้นในอากาศ ในมือถือเหล็กท่อนคู่ ทุบลงมาจากด้านบน!

ฟางผิงมีความคิดอยากจะหยั่งเชิงเขาอยู่บ้าง ไม่ได้ถอยหลบ หลังเหยียดตรงขึ้นมาในพริบตา ก่อนจะคำรามเสียงดัง

ปราณทั่วร่างถูกเคลื่อนย้ายทันที แม้หมัดทั้งสองข้างจะไม่มีประกายแสง กลับมีปราณอยู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยม ระเบิดออกไปสุดกำลัง!

‘ปัง!’

เสียงปะทะดังลั่น ฟางผิงถอยหลังไปติดต่อกัน หมัดสองข้างชาหนึบทันที เมื่อมองดูก็พบว่าเต็มไปด้วยคราบเลือด

จางเจิ้นหวาไม่ได้ไล่ตาม ส่ายหัวเล็กน้อย “หากมีฝีมือแค่นี้ นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ฉันหรอก ไม่มีความจำเป็นต้องสู้ต่อ!”

ฟางผิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงเรียบ “พละกำลังเยอะโดยกำเนิด?”

“จะพูดแบบนี้ก็ได้”

จางเจิ้นหวาหัวเราะ เห็นฟางผิงไม่มีทีท่าจะเลิกล้มความคิดก็ไม่แปลกใจเช่นกัน กระโดดขึ้นอย่างว่องไว เป็นฝ่ายรุกโจมตีฟางผิงอีกครั้ง!

ครั้งนี้ฟางผิงไม่ใช่เนื้อหนังปะทะอีกแล้ว เบี่ยงกายหลบ ก่อนจะยื่นมือสองข้างไปจับแขนซ้ายของเขาอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงเขาไปด้านหลังอย่างแรง!

จางเจิ้นหวาย่ำน้ำหนักลงที่เท้า พื้นที่ทำจากหินแกรนิต ถูกเขาเหยียบจมลงลึกในชั่วพริบตา

“แค่นี้ยังไม่พอหรอก!” จางเจิ้นหวาคำราม ร่างกายแทบไม่ขยับเขยื้อน เหล็กท่อนคู่กวัดแกว่งมายังหน้าผากของฟางผิงอย่างว่องไว

ฟางผิงไม่อาจเหวี่ยงเขาออกไปได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่คิดจะชักช้าเช่นกัน รีบเคลื่อนไหวฝีเท้า ถอยหลังไปหลายก้าว หลบจากการโจมตี

“ร่างกายแข็งแกร่ง พละกำลังมหาศาล…”

ฟางผิงถอนหายใจ เขาต้องระวังตัวดีๆ แล้ว

——————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด