ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 9 มาตราฐานของปราณ

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 9 มาตราฐานของปราณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 มาตราฐานของปราณ

แม้ความท้อแท้จะหนักอึ้งเท่าใด ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ฟางผิงทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ อาจารย์ประจำชั้นที่ผมกลายเป็นสีเทาแล้วก็สาวเท้าเดินเข้ามาในห้อง

เมื่อห้องเรียนเงียบสงบลง อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยเข้าประเด็นหลักทันที “นักเรียนที่สมัครสอบวรยุทธ์ อีกสักครู่ให้ไปชำระค่าสมัครสอบที่ห้องทำงานของอาจารย์ กรอกข้อมูลลงใบสมัคร หลังจากนั้นฝ่ายวิชาการของโรงเรียนจะจัดการให้ทุกคนเอง”

ยามที่อาจารย์พูดออกมา ก็สอดส่องสายตาไปรอบๆ ดูว่านักเรียนคนไหนเตรียมจะสมัครสอบบ้าง

ความจริงใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าใครจะสอบวรยุทธ์

ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้น นักเรียนคนไหนในห้องจะสมัคร อาจารย์ประจำชั้นย่อมเดาได้รางๆ อยู่แล้ว

ต้องเป็นคนที่คะแนนสูง ร่างกายแข็งแรง ฐานะทางบ้านไม่แย่ เมื่อลองเลือกออกมา ห้องมัธยมปลายปีสามห้องสี่จะมีใครสมัครบ้างก็ง่ายนิดเดียว เพื่อนในห้องต่างพอจะรู้เช่นกัน

เมืองหยางเฉิง พื้นที่โดยรอบเป็นพื้นดิน แม้ว่าจะเรียกรวมว่าเมืองหยางเฉิง ความเป็นจริงกลับเป็นเมืองระดับอำเภอ

เทียบกับเมืองระดับอำเภออื่นแล้ว เมืองหยางเฉิงนับว่ามีเศรษฐกิจดีกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน

นี่ไม่ใช่เมืองระดับอำเภอที่มีพื้นที่ติดทะเล เพราะบางเมืองที่ติดทะเลมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองที่มีอาณาเขตติดพื้นดินอยู่มาก

ในเมืองหยางเฉิง คนที่เห็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนเป็นเศษเงินนั้นมีไม่มาก

ดังนั้น ลำพังแค่ค่าสมัครสอบ ก็ตัดโอกาสคนได้มากมายแล้ว

เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นก็ออกไปจากห้องเรียน

ยามนี้นักเรียนที่จะสมัครสอบก็ทยอยกันลุกขึ้น เตรียมจะมุ่งหน้าไปทางสำนักงาน

หยางเจี้ยนที่นั่งด้านหน้าฟางผิงก็หยัดกายยืนขึ้นเช่นกัน

จางเฮ่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง เพื่อนนักเรียนที่ปล่อยข่าวเรื่องพี่หม่าทะลวงขั้นแปด ต่างก็ยืนขึ้นมา

ยามที่ทั้งสองคนกำลังจะย่างเท้าออกไป ฟางผิงกลับลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย

เฉินฝานที่นั่งด้านข้างสะดุ้งเล็กน้อย หันไปถาม “ไปห้องน้ำเหรอ?”

“ไปสมัครสอบ”

“…”

เฉินฝานนิ่งไป ฟางผิงจะสมัตรสอบ?

ไม่เพียงแต่เฉินฝาน หยางเจี้ยนก็อดหันมองไปทางฟางผิงไม่ได้ เอ่ยอย่างตกใจ “ฟางผิง นายก็จะสมัครเหมือนกันเหรอ?”

เจ้าหนุ่มคนนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เพราะตกใจคำพูดของฟางผิง น้ำเสียงจึงดังกว่าปกติ

เมื่อคำพูดส่งออกมา นักเรียนจำนวนไม่น้อยจึงมองมาทางนี้หมด

ทุกคนร่วมชั้นเรียนกันมาหลายปี สถานการณ์ของเพื่อนในห้องเป็นอย่างไร ย่อมเข้าใจคร่าวๆ อยู่บ้าง

ไม่ใช่ว่าฟางผิงนั้นไม่อาจสมัครได้ แต่ฟางผิง เจ้าผอมแห้งนั้น…

ที่จริงฟางผิงนับว่า มีกล้ามเนื้อกว่าเฉินฝานอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับหยางเจี้ยนที่นั่งด้านหน้าเขา ก็เป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว

วิชาวัฒนธรรมและวิชาเฉพาะยังพอว่า แต่ด่านตรวจสอบร่างกายและภาคปฏิบัติ ฟางผิงจะผ่านไปด้วยดีรึ?

ด้านหยางเจี้ยนเพิ่งจะหายตกใจ จางเฮ่าที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงชื่นชมทันที “ฟางผิง นายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ร้ายกาจ!”

“ปกติหลังเลิกเรียนทุกคนไปออกกำลังกาย แต่นายไม่ไป คงแอบไปซุ่มที่บ้านล่ะสิ หมอนี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

จางเฮ่ากล่าวชม ไม่มีท่าทีเหน็บแนมแต่อย่างใด

เพียงคิดว่าฟางผิงผู้นี้ ปิดบังเก่งอย่างยิ่ง ถ้าไม่มั่นใจ อาศัยจากครอบครัวของจางผิง จะทำใจเสียค่าสมัครสอบตั้งหมื่นหยวนได้อย่างไร?

ฟางผิงก็ไม่สนใจนัก เอ่ยทั้งหัวเราะ “อย่าคิดไปขนาดนั้นเลย ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร ยังต้องฝึกอีกเยอะ?”

“ฉันคิดดูแล้ว ก็แค่เงินหนึ่งหมื่นหยวน ไม่ลองดู ใครจะรู้ว่าสอบได้หรือไม่ ปีนี้จู่ๆ หากมีการรับคนเพิ่มขึ้นมา ไม่แน่ว่าฉันอาจจะได้กลายเป็นเศรษฐี”

“ฮ่าๆ นายนี่คิดโลกสวยเกินไปแล้ว”

จางเฮ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อฟางผิงพูดออกมา กลับทำให้นักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้คิดจะสมัครสอบ ใจคล้อยตามขึ้นมาเล็กน้อย

คำพูดของฟางผิงไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว

ใครจะรู้ว่าปีนี้อาจจะรับคนเพิ่มมากกว่าปกติ?

หลายปีที่ผ่านมา โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งหยางเฉิงมีคนสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้เพียงสองสามคนเท่านั้น แต่ปีก่อนกลับสอบได้ถึงห้าคน

ปีนี้ไม่แน่ว่าอาจจะสอบได้มากกว่าเดิม?

แต่ความคิดก็เป็นได้เพียงความคิด ในเมื่อไม่ได้วางแผนจะสมัคร นั่นย่อมเป็นเพราะมีเหตุผล คำพูดของฟางผิงเพียงก่อให้เกิดเกลียวคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยเท่านั้น กลับไม่ได้ทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงความคิดได้

เฉินฝานที่นั่งอยู่ด้านข้างเผยแววตาซับซ้อนอยู่บ้าง แม้ว่าจะสมัครสอบ แต่ก็ไม่ได้หมายว่าจะสอบได้

แต่ฐานะบ้านของฟางผิงนั้นด้อยกว่าตัวเองอยู่บ้าง กระทั่งฟางผิงยังกล้าลอง เขากลับไม่มีความคิดนี้แม้แต่น้อย

เทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะลอง

เขาบีบปากกาในมือแน่น ท้ายที่สุด เฉินฝานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตัวเอง

แม้ว่าจะสมัครสอบ ความหวังที่เขาจะสอบได้ก็เลือนรางกว่าฟางผิงอยู่ดี

แทนที่จะเสียเวลากับเรื่องนี้ ไม่สู้เอาเวลาไปทุ่มเทกับการสอบสายสังคมดีกว่า

ฟางผิงนั้นไม่ได้สนใจความคิดของคนอื่นๆ ในห้อง

เขาเดินออกไปกับเหล่านักเรียนที่เตรียมจะสมัครสอบ ทุกคนเดินขึ้นไปหาครูประจำชั้นที่ห้องทำงานด้วยกัน

มัธยมปลายปีสามห้องสี่มีนักเรียนที่จะสมัครสอบไม่มาก

อย่างไรก็มีเปอร์เซ็นต์ผ่านน้อย ดังนั้นนักเรียนที่เห็นว่าตัวเองไม่ตรงตามคุณสมบัติ ย่อมไม่สมัครอยู่แล้ว

ท้ายที่สุดก็มีคนเดินออกจากห้องเรียนเพียงแปดคนเท่านั้น

ทั้งยังถือเป็นจำนวนที่มาก เมื่อเทียบกับการสมัครสอบของห้องเรียนธรรมดาหลายปีมานี้

เนื่องจากปีก่อนมีนักเรียนห้องเรียนธรรมดาสอบวรยุทธ์ได้สองคน ปีนี้ห้องเรียนธรรมดาสอบได้ห้าหกคนก็ไม่น่าเกลียดแล้ว

โรงเรียนมัธยมปลายทั่วไปมีนักเรียนสมัครสอบแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ฟางผิงกวาดสายตามองเพื่อนร่วมทางอย่างรวดเร็ว พบว่าต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นในห้องเรียนทั้งนั้น

ไม่เพียงเรียนได้คะแนนสูงลิ่ว แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สัดส่วนสมบูรณ์แบบ

แม้ว่าจะเป็นหยางเจี้ยน เจ้าหนวดคนนี้ก็เช่นกัน คะแนนอาจไม่สูงนัก แต่ไม่ถึงกับแย่เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สมัครสอบ

ในจำนวนนี้มีนักเรียนหญิงสองคน แม้ว่าจะไม่ได้ดูโดดเด่น แต่รูปร่างกลับดีทีเดียว

เทียบกับเด็กนักเรียนผู้หญิงในห้องที่เหมือนกับถั่วงอกโตไม่เต็มวัยแล้ว เห็นได้ชัดว่านักเรียนหญิงสองคนนี้ เตรียมตัวเพื่อการสอบวรยุทธ์ เลือกอาหารการกิน ออกกำลังสม่ำเสมอ หยางเจี้ยนและจางเฮ่าที่อยู่ข้างฟางผิงก็กวาดสายตามองพวกเธอเช่นกัน

นอกจากฟางผิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น

การสอบวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ตอนเย็นหากมีเวลาว่าง ทุกคนล้วนมักจะชวนกันไปออกกำลังกาย บางคนกระทั่งเคยสมัครเรียนติวสอบวรยุทธ์จากโรงเรียนกวดวิชาด้านนอกด้วยซ้ำ

ฟางผิงจัดอยู่ในประเภทที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามา

ยามนี้ทุกคนไม่ได้สนใจคนอื่นๆ นัก กลับพุ่งเป้าไปที่ฟางผิง

นักเรียนหญิงสองคนที่พวกเขาชำเลืองมองเมื่อครู่ ยามนี้มีคนหนึ่งมองพินิจฟางผิงเป็นครั้งคราว เมื่อเดินออกมาสักพัก ก็อดถามไม่ได้ “ฟางผิง นายค่าปราณเท่าไร?”

“หา?”

ฟางผิงไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่บ้าง ฉันพูดได้เหรอว่า ค่าปราณ 1.1?

ประเด็นหลักคือ เขาไม่รู้ว่าในความเป็นจริง คิดค่าปราณอย่างไรกันแน่ ทั้งใช้หน่วยอะไรนับ

ยังดีที่ฟางผิงไม่ต้องตอบเอง หยางเจี้ยนแทรกบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม “จางหนาน ฉันว่าเดิมทีฟางผิงก็ไม่เคยไปตรวจ หมอนี่ หากไปตรวจมาจริงๆ ก็คงบอกพวกเรานานแล้ว”

จางเฮ่าก็ช่วยพูดเช่นกัน “น่าจะไม่เคยตรวจจริงๆ แต่เห็นร่างผอมแห้งของหมอนี่แล้ว คงไม่สูงไปกว่าฉันหรอก”

“เชอะ โม้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”

จางหนานก็แค่ถามเท่านั้น ในเมื่อฟางผิงไม่พูด จะไม่เคยตรวจ หรือไม่อยากพูด เธอก็คร้านที่จะเค้นถาม

เธอเอ่ยดูแคลนจางเฮ่าไปหนึ่งประโยค ก่อนจะเอ่ยทั้งสั่นศีรษะ “ครั้งนี้ห้องพวกเราคงเป็นได้แค่ตัวประกอบสินะ วันก่อนฉันไปตรวจมาครั้งหนึ่ง ค่าปราณผันผวนสูงสุดแค่หนึ่งร้อยแปดแคล เฮ้อ ก่อนการตรวจร่างกายต้องหาวิธีกินยาบำรุงให้มากหน่อยซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถเพิ่มได้อีกหรือเปล่า”

จางหนานพูดจบ หยางเจี้ยนก็เบะปากขำ “ฉันดีกว่าเธอนิดหน่อย ครั้งก่อนตรวจได้ค่าสูงสุดที่ หนึ่งร้อยสิบสองข่า”

เห็นได้ชัดว่า ‘แคล’ คือหน่วยนับของค่าปราณ ฟังดูแล้วยิ่งสูงก็ยิ่งดี

ฟางผิงไม่เคยตรวจมาก่อน เวลานี้ก็ไม่กลัวขายหน้า เอ่ยถามว่า “ห้องพวกเราใครมีค่าปราณสูงที่สุด?”

นักเรียนที่บุคลิกสดใส เดินอยู่ข้างหน้าสุด ยามนี้หันศีรษะมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากยึดตามผลครั้งก่อน คงจะเป็นฉัน วัดสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล”

ความจริงแล้วฟางผิงรู้จักคนผู้นี้ แม้โลกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นคนเดิม

ผู้ที่เอ่ยคือคนที่ได้คะแนนวัฒนธรรมสูงที่สุดในห้อง แน่นอนว่า ตอนนี้ยังเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ฟางผิงไม่แน่ใจเช่นกัน

แต่หมอนี่ไม่ใช่หัวหน้าห้อง ความจริงคนที่อยู่ในนี้ล้วนไม่มีกรรมการนักเรียนสักคน

เพราะทุกคนยุ่งตัวเป็นเกลียว ย่อมไม่มีเวลาจะไปบริการนักเรียนคนอื่น

ชื่อว่าอะไรนะ ฟางผิงหวนคิดเล็กน้อย คงจะเป็นอู๋จื้อหาว

ขณะที่อู๋จื้อหาวพูด ก็สั่นศีรษะ “แม้ว่าค่าปราณฉันยังพอใช้ได้ แต่พวกห้องเรียนพิเศษน่าจะสูงกว่า โจวปินเป็นคนที่ค่าปราณสูงสุด ครั้งก่อนได้ยินเพื่อนในห้องของเขาพูดว่า ค่าสูงสุดวัดได้กว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแคล คนอื่นในโรงเรียนเรานั้นพูดยาก แต่โจวปินนั้นมีโอกาสสอบได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรเท่านั้น”

“ฮ่าๆ จื้อหาว งั้นนายก็จ้างคนไปตัดขาเขาเสียสิ พวกเราจะได้หมดคู่แข่งไปอีกหนึ่ง?” จางเฮ่าเอ่ยสัพหยอก

อู๋จื้อหาวมองค้อนไปที เอ่ยอย่างหมดคำพูด “โรงเรียนพวกเราไม่ได้เป็นผู้คัดเลือกเสียหน่อย แม้ว่าเขาจะสอบไม่ได้ ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเราอยู่ดี ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะคิดใช้วิธีนั้นอยู่”

จางเฮ่าหัวเราะ เอ่ยปากออกไป “ยังไงก็ลองก่อนเถอะ เผลอๆ อาจจะสอบติด ปีก่อนเกณฑ์รับนักเรียนของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์เจียงหนาน ค่าปราณก็อยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสองแคล ปีนี้แม้จะสูงขึ้นหน่อย ก็คงจะไม่มาก ฉันคิดว่า ไม่เป็นปัญหากับนายนักหรอก…”

อู๋จื้อหาวส่ายหน้าอีกครั้ง “เหอะ หลายปีมานี้มีมาตรฐานสูงขึ้นทุกปี ฉันว่าปีนี้ต่ำสุดคงต้องหนึ่งร้อยสิบห้าแคลขึ้นไป อีกอย่าง แค่ค่าปราณถึงอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องอื่นอีกล่ะ? ประเด็นหลักอยู่ที่ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว ยังต้องสู้กับคนอื่น หากคนอื่นค่าปราณต่ำหมด พวกเราคงมีหวัง แต่หากคนอื่นค่าปราณสูงลิ่ว แม้พวกเราจะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน ก็ไม่ผ่านอยู่ดี”

มาตรฐานการรับนักเรียนเหมือนกับการสอบสายสังคม ไม่ได้มีกฎตายตัว โควตาของนักเรียนสายวรยุทธ์ก็เช่นกัน

หากเทียบคะแนนปีนี้ของคุณกับคะแนนปีก่อน คะแนนของคุณเพียงพอที่จะสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้ แต่ถ้าปีนี้ทุกคนต่างก็แข็งแกร่ง เช่นนั้นคุณก็มีสิทธิ์หลุดได้เช่นกัน

หรือหากปีนี้คุณสอบได้ไม่ดี ผลปรากฏว่าทุกคนล้วนได้คะแนนแย่หมด แม้ว่าคะแนนคุณจะสู้ปีก่อนไม่ได้ ก็สามารถสอบเข้าได้อยู่ดี

แต่ในสมัยนี้ ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีจึงทำมาตรฐานได้สูงขึ้น มีความเป็นไปได้น้อยที่จะคะแนนต่ำ

จากที่อู๋จื้อหาวพูดมา เพื่อนร่วมห้องรวมถึงฟางผิง สมัครทั้งหมดแปดคน คนที่มีค่าปราณเกินหนึ่งร้อยสิบแคลก็มีเพียงสามคนเท่านั้น

อู๋จื้อหาว หยางเจี้ยน อีกคนคือหลิวรั่วฉี นักเรียนหญิงอีกคนที่ไม่ค่อยพูด

คนอื่นๆ รวมทั้งจางเฮ่าก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล

แต่จางเฮ่าก็ไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว ก่อนสอบ หากกินของบำรุงปราณเสียหน่อย ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นี่ไม่ใช่การโกง สมัยนี้ ของบำรุงที่มีประสิทธิภาพเพิ่มค่าปราณได้ล้วนราคาสูงลิ่วทั้งนั้น

คนที่กินของสิ่งนี้ได้ ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่ดีพอสมควร

และผู้ฝึกยุทธ์ก็จำเป็นต้องใช้เงิน

ครอบครัวมีเงินหรือไม่มีเงิน ความสามารถในการสนับสนุนผู้ฝึกยุทธ์ในอนาคตก็ไม่เหมือนกันแล้ว ความร่ำรวยนั้นตัดสินอนาคตได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สถานะที่แน่นอน แต่ก็เป็นสภาพที่ใกล้เคียงกับความจริง

ดังนั้นแม้ยามนี้จะไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล จางเฮ่าก็กล้าสมัครเช่นกัน เพราะทางบ้านของเขาได้เตรียมของบำรุงไว้ให้เขาแล้ว

เหตุผลที่ไม่กินในตอนนี้ เพราะกลัวว่าหลังจากยาออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพจะหายไปส่วนหนึ่ง สูงไม่ถึงมาตรฐาน

แต่หากกินก่อนตรวจร่างกาย แม้ว่าจะไม่อาจย่อยได้ในเวลาอันสั้น แต่นับเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่อยากผ่านด่าน ประสิทธิภาพของยาจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้จางเฮ่าไม่ได้พูด แต่ความเป็นจริงทุกคนล้วนมีการเตรียมพร้อมของพวกนี้ไว้อยู่แล้ว

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเช่นกัน อย่างเช่นฟางผิง

เขาสมัครสอบวรยุทธ์อย่างกะทันหันเกินไป เดิมทีพ่อแม่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะสมัคร

แต่ในความเป็นจริง ฟางผิงกลับไม่รู้ว่า ฟางหมิงหรงกำลังครุ่นคิดเรื่องที่จะซื้อของบำรุงให้ลูกชาย

น่าเสียดายที่ของบำรุงพวกนั้นแพงเกินไป แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มที่หนึ่งหมื่นหยวนแล้ว ยามนี้บิดาของเขาจึงยังไม่ได้ตัดสินใจ

ได้ฟังทุกคนพูดคุยกัน ฟางผิงก็ลอบขบคิดกับตัวเอง ‘ค่าปราณ 1.1 ของฉัน จะเปลี่ยนเป็นหนึ่งร้อยสิบแคลได้ไหมเนี่ย?’

มีความเป็นไปได้สูง

แต่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคล เหมือนว่าจะไม่ได้เปรียบอะไรอยู่ดี

อย่างไรห้องเรียนปกติอย่างอู๋จื้อหาวก็มีตั้งหนึ่งร้อยสิบห้าแคลแล้ว ทางห้องเรียนพิเศษคงจะสูงกว่าหนึ่งร้อยสิบอยู่หลายคน

มาตรฐานรับนักเรียนปีก่อนของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงก็อยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสอง ปีนี้ไม่รู้ว่าจะเท่าไร

“ดูท่ายังต้องลงแรงกับเรื่องนี้เสียหน่อย อย่างน้องก็ต้องผ่านสามด่านแรก ถึงจะมีเวลาไตร่ตรองเรื่องภายหลัง”

ยามที่ฟางผิงขบคิดเรื่องนี้ในใจ ทุกคนก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานแล้ว

————————-

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 9 มาตราฐานของปราณ

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 9 มาตราฐานของปราณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 มาตราฐานของปราณ

แม้ความท้อแท้จะหนักอึ้งเท่าใด ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ฟางผิงทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ อาจารย์ประจำชั้นที่ผมกลายเป็นสีเทาแล้วก็สาวเท้าเดินเข้ามาในห้อง

เมื่อห้องเรียนเงียบสงบลง อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยเข้าประเด็นหลักทันที “นักเรียนที่สมัครสอบวรยุทธ์ อีกสักครู่ให้ไปชำระค่าสมัครสอบที่ห้องทำงานของอาจารย์ กรอกข้อมูลลงใบสมัคร หลังจากนั้นฝ่ายวิชาการของโรงเรียนจะจัดการให้ทุกคนเอง”

ยามที่อาจารย์พูดออกมา ก็สอดส่องสายตาไปรอบๆ ดูว่านักเรียนคนไหนเตรียมจะสมัครสอบบ้าง

ความจริงใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าใครจะสอบวรยุทธ์

ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้น นักเรียนคนไหนในห้องจะสมัคร อาจารย์ประจำชั้นย่อมเดาได้รางๆ อยู่แล้ว

ต้องเป็นคนที่คะแนนสูง ร่างกายแข็งแรง ฐานะทางบ้านไม่แย่ เมื่อลองเลือกออกมา ห้องมัธยมปลายปีสามห้องสี่จะมีใครสมัครบ้างก็ง่ายนิดเดียว เพื่อนในห้องต่างพอจะรู้เช่นกัน

เมืองหยางเฉิง พื้นที่โดยรอบเป็นพื้นดิน แม้ว่าจะเรียกรวมว่าเมืองหยางเฉิง ความเป็นจริงกลับเป็นเมืองระดับอำเภอ

เทียบกับเมืองระดับอำเภออื่นแล้ว เมืองหยางเฉิงนับว่ามีเศรษฐกิจดีกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน

นี่ไม่ใช่เมืองระดับอำเภอที่มีพื้นที่ติดทะเล เพราะบางเมืองที่ติดทะเลมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองที่มีอาณาเขตติดพื้นดินอยู่มาก

ในเมืองหยางเฉิง คนที่เห็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนเป็นเศษเงินนั้นมีไม่มาก

ดังนั้น ลำพังแค่ค่าสมัครสอบ ก็ตัดโอกาสคนได้มากมายแล้ว

เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นก็ออกไปจากห้องเรียน

ยามนี้นักเรียนที่จะสมัครสอบก็ทยอยกันลุกขึ้น เตรียมจะมุ่งหน้าไปทางสำนักงาน

หยางเจี้ยนที่นั่งด้านหน้าฟางผิงก็หยัดกายยืนขึ้นเช่นกัน

จางเฮ่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง เพื่อนนักเรียนที่ปล่อยข่าวเรื่องพี่หม่าทะลวงขั้นแปด ต่างก็ยืนขึ้นมา

ยามที่ทั้งสองคนกำลังจะย่างเท้าออกไป ฟางผิงกลับลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย

เฉินฝานที่นั่งด้านข้างสะดุ้งเล็กน้อย หันไปถาม “ไปห้องน้ำเหรอ?”

“ไปสมัครสอบ”

“…”

เฉินฝานนิ่งไป ฟางผิงจะสมัตรสอบ?

ไม่เพียงแต่เฉินฝาน หยางเจี้ยนก็อดหันมองไปทางฟางผิงไม่ได้ เอ่ยอย่างตกใจ “ฟางผิง นายก็จะสมัครเหมือนกันเหรอ?”

เจ้าหนุ่มคนนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เพราะตกใจคำพูดของฟางผิง น้ำเสียงจึงดังกว่าปกติ

เมื่อคำพูดส่งออกมา นักเรียนจำนวนไม่น้อยจึงมองมาทางนี้หมด

ทุกคนร่วมชั้นเรียนกันมาหลายปี สถานการณ์ของเพื่อนในห้องเป็นอย่างไร ย่อมเข้าใจคร่าวๆ อยู่บ้าง

ไม่ใช่ว่าฟางผิงนั้นไม่อาจสมัครได้ แต่ฟางผิง เจ้าผอมแห้งนั้น…

ที่จริงฟางผิงนับว่า มีกล้ามเนื้อกว่าเฉินฝานอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับหยางเจี้ยนที่นั่งด้านหน้าเขา ก็เป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว

วิชาวัฒนธรรมและวิชาเฉพาะยังพอว่า แต่ด่านตรวจสอบร่างกายและภาคปฏิบัติ ฟางผิงจะผ่านไปด้วยดีรึ?

ด้านหยางเจี้ยนเพิ่งจะหายตกใจ จางเฮ่าที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงชื่นชมทันที “ฟางผิง นายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ร้ายกาจ!”

“ปกติหลังเลิกเรียนทุกคนไปออกกำลังกาย แต่นายไม่ไป คงแอบไปซุ่มที่บ้านล่ะสิ หมอนี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

จางเฮ่ากล่าวชม ไม่มีท่าทีเหน็บแนมแต่อย่างใด

เพียงคิดว่าฟางผิงผู้นี้ ปิดบังเก่งอย่างยิ่ง ถ้าไม่มั่นใจ อาศัยจากครอบครัวของจางผิง จะทำใจเสียค่าสมัครสอบตั้งหมื่นหยวนได้อย่างไร?

ฟางผิงก็ไม่สนใจนัก เอ่ยทั้งหัวเราะ “อย่าคิดไปขนาดนั้นเลย ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร ยังต้องฝึกอีกเยอะ?”

“ฉันคิดดูแล้ว ก็แค่เงินหนึ่งหมื่นหยวน ไม่ลองดู ใครจะรู้ว่าสอบได้หรือไม่ ปีนี้จู่ๆ หากมีการรับคนเพิ่มขึ้นมา ไม่แน่ว่าฉันอาจจะได้กลายเป็นเศรษฐี”

“ฮ่าๆ นายนี่คิดโลกสวยเกินไปแล้ว”

จางเฮ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อฟางผิงพูดออกมา กลับทำให้นักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้คิดจะสมัครสอบ ใจคล้อยตามขึ้นมาเล็กน้อย

คำพูดของฟางผิงไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว

ใครจะรู้ว่าปีนี้อาจจะรับคนเพิ่มมากกว่าปกติ?

หลายปีที่ผ่านมา โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งหยางเฉิงมีคนสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้เพียงสองสามคนเท่านั้น แต่ปีก่อนกลับสอบได้ถึงห้าคน

ปีนี้ไม่แน่ว่าอาจจะสอบได้มากกว่าเดิม?

แต่ความคิดก็เป็นได้เพียงความคิด ในเมื่อไม่ได้วางแผนจะสมัคร นั่นย่อมเป็นเพราะมีเหตุผล คำพูดของฟางผิงเพียงก่อให้เกิดเกลียวคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยเท่านั้น กลับไม่ได้ทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงความคิดได้

เฉินฝานที่นั่งอยู่ด้านข้างเผยแววตาซับซ้อนอยู่บ้าง แม้ว่าจะสมัครสอบ แต่ก็ไม่ได้หมายว่าจะสอบได้

แต่ฐานะบ้านของฟางผิงนั้นด้อยกว่าตัวเองอยู่บ้าง กระทั่งฟางผิงยังกล้าลอง เขากลับไม่มีความคิดนี้แม้แต่น้อย

เทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะลอง

เขาบีบปากกาในมือแน่น ท้ายที่สุด เฉินฝานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตัวเอง

แม้ว่าจะสมัครสอบ ความหวังที่เขาจะสอบได้ก็เลือนรางกว่าฟางผิงอยู่ดี

แทนที่จะเสียเวลากับเรื่องนี้ ไม่สู้เอาเวลาไปทุ่มเทกับการสอบสายสังคมดีกว่า

ฟางผิงนั้นไม่ได้สนใจความคิดของคนอื่นๆ ในห้อง

เขาเดินออกไปกับเหล่านักเรียนที่เตรียมจะสมัครสอบ ทุกคนเดินขึ้นไปหาครูประจำชั้นที่ห้องทำงานด้วยกัน

มัธยมปลายปีสามห้องสี่มีนักเรียนที่จะสมัครสอบไม่มาก

อย่างไรก็มีเปอร์เซ็นต์ผ่านน้อย ดังนั้นนักเรียนที่เห็นว่าตัวเองไม่ตรงตามคุณสมบัติ ย่อมไม่สมัครอยู่แล้ว

ท้ายที่สุดก็มีคนเดินออกจากห้องเรียนเพียงแปดคนเท่านั้น

ทั้งยังถือเป็นจำนวนที่มาก เมื่อเทียบกับการสมัครสอบของห้องเรียนธรรมดาหลายปีมานี้

เนื่องจากปีก่อนมีนักเรียนห้องเรียนธรรมดาสอบวรยุทธ์ได้สองคน ปีนี้ห้องเรียนธรรมดาสอบได้ห้าหกคนก็ไม่น่าเกลียดแล้ว

โรงเรียนมัธยมปลายทั่วไปมีนักเรียนสมัครสอบแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ฟางผิงกวาดสายตามองเพื่อนร่วมทางอย่างรวดเร็ว พบว่าต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นในห้องเรียนทั้งนั้น

ไม่เพียงเรียนได้คะแนนสูงลิ่ว แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สัดส่วนสมบูรณ์แบบ

แม้ว่าจะเป็นหยางเจี้ยน เจ้าหนวดคนนี้ก็เช่นกัน คะแนนอาจไม่สูงนัก แต่ไม่ถึงกับแย่เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สมัครสอบ

ในจำนวนนี้มีนักเรียนหญิงสองคน แม้ว่าจะไม่ได้ดูโดดเด่น แต่รูปร่างกลับดีทีเดียว

เทียบกับเด็กนักเรียนผู้หญิงในห้องที่เหมือนกับถั่วงอกโตไม่เต็มวัยแล้ว เห็นได้ชัดว่านักเรียนหญิงสองคนนี้ เตรียมตัวเพื่อการสอบวรยุทธ์ เลือกอาหารการกิน ออกกำลังสม่ำเสมอ หยางเจี้ยนและจางเฮ่าที่อยู่ข้างฟางผิงก็กวาดสายตามองพวกเธอเช่นกัน

นอกจากฟางผิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น

การสอบวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ตอนเย็นหากมีเวลาว่าง ทุกคนล้วนมักจะชวนกันไปออกกำลังกาย บางคนกระทั่งเคยสมัครเรียนติวสอบวรยุทธ์จากโรงเรียนกวดวิชาด้านนอกด้วยซ้ำ

ฟางผิงจัดอยู่ในประเภทที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามา

ยามนี้ทุกคนไม่ได้สนใจคนอื่นๆ นัก กลับพุ่งเป้าไปที่ฟางผิง

นักเรียนหญิงสองคนที่พวกเขาชำเลืองมองเมื่อครู่ ยามนี้มีคนหนึ่งมองพินิจฟางผิงเป็นครั้งคราว เมื่อเดินออกมาสักพัก ก็อดถามไม่ได้ “ฟางผิง นายค่าปราณเท่าไร?”

“หา?”

ฟางผิงไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่บ้าง ฉันพูดได้เหรอว่า ค่าปราณ 1.1?

ประเด็นหลักคือ เขาไม่รู้ว่าในความเป็นจริง คิดค่าปราณอย่างไรกันแน่ ทั้งใช้หน่วยอะไรนับ

ยังดีที่ฟางผิงไม่ต้องตอบเอง หยางเจี้ยนแทรกบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม “จางหนาน ฉันว่าเดิมทีฟางผิงก็ไม่เคยไปตรวจ หมอนี่ หากไปตรวจมาจริงๆ ก็คงบอกพวกเรานานแล้ว”

จางเฮ่าก็ช่วยพูดเช่นกัน “น่าจะไม่เคยตรวจจริงๆ แต่เห็นร่างผอมแห้งของหมอนี่แล้ว คงไม่สูงไปกว่าฉันหรอก”

“เชอะ โม้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”

จางหนานก็แค่ถามเท่านั้น ในเมื่อฟางผิงไม่พูด จะไม่เคยตรวจ หรือไม่อยากพูด เธอก็คร้านที่จะเค้นถาม

เธอเอ่ยดูแคลนจางเฮ่าไปหนึ่งประโยค ก่อนจะเอ่ยทั้งสั่นศีรษะ “ครั้งนี้ห้องพวกเราคงเป็นได้แค่ตัวประกอบสินะ วันก่อนฉันไปตรวจมาครั้งหนึ่ง ค่าปราณผันผวนสูงสุดแค่หนึ่งร้อยแปดแคล เฮ้อ ก่อนการตรวจร่างกายต้องหาวิธีกินยาบำรุงให้มากหน่อยซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถเพิ่มได้อีกหรือเปล่า”

จางหนานพูดจบ หยางเจี้ยนก็เบะปากขำ “ฉันดีกว่าเธอนิดหน่อย ครั้งก่อนตรวจได้ค่าสูงสุดที่ หนึ่งร้อยสิบสองข่า”

เห็นได้ชัดว่า ‘แคล’ คือหน่วยนับของค่าปราณ ฟังดูแล้วยิ่งสูงก็ยิ่งดี

ฟางผิงไม่เคยตรวจมาก่อน เวลานี้ก็ไม่กลัวขายหน้า เอ่ยถามว่า “ห้องพวกเราใครมีค่าปราณสูงที่สุด?”

นักเรียนที่บุคลิกสดใส เดินอยู่ข้างหน้าสุด ยามนี้หันศีรษะมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากยึดตามผลครั้งก่อน คงจะเป็นฉัน วัดสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล”

ความจริงแล้วฟางผิงรู้จักคนผู้นี้ แม้โลกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นคนเดิม

ผู้ที่เอ่ยคือคนที่ได้คะแนนวัฒนธรรมสูงที่สุดในห้อง แน่นอนว่า ตอนนี้ยังเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ฟางผิงไม่แน่ใจเช่นกัน

แต่หมอนี่ไม่ใช่หัวหน้าห้อง ความจริงคนที่อยู่ในนี้ล้วนไม่มีกรรมการนักเรียนสักคน

เพราะทุกคนยุ่งตัวเป็นเกลียว ย่อมไม่มีเวลาจะไปบริการนักเรียนคนอื่น

ชื่อว่าอะไรนะ ฟางผิงหวนคิดเล็กน้อย คงจะเป็นอู๋จื้อหาว

ขณะที่อู๋จื้อหาวพูด ก็สั่นศีรษะ “แม้ว่าค่าปราณฉันยังพอใช้ได้ แต่พวกห้องเรียนพิเศษน่าจะสูงกว่า โจวปินเป็นคนที่ค่าปราณสูงสุด ครั้งก่อนได้ยินเพื่อนในห้องของเขาพูดว่า ค่าสูงสุดวัดได้กว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแคล คนอื่นในโรงเรียนเรานั้นพูดยาก แต่โจวปินนั้นมีโอกาสสอบได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรเท่านั้น”

“ฮ่าๆ จื้อหาว งั้นนายก็จ้างคนไปตัดขาเขาเสียสิ พวกเราจะได้หมดคู่แข่งไปอีกหนึ่ง?” จางเฮ่าเอ่ยสัพหยอก

อู๋จื้อหาวมองค้อนไปที เอ่ยอย่างหมดคำพูด “โรงเรียนพวกเราไม่ได้เป็นผู้คัดเลือกเสียหน่อย แม้ว่าเขาจะสอบไม่ได้ ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเราอยู่ดี ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะคิดใช้วิธีนั้นอยู่”

จางเฮ่าหัวเราะ เอ่ยปากออกไป “ยังไงก็ลองก่อนเถอะ เผลอๆ อาจจะสอบติด ปีก่อนเกณฑ์รับนักเรียนของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์เจียงหนาน ค่าปราณก็อยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสองแคล ปีนี้แม้จะสูงขึ้นหน่อย ก็คงจะไม่มาก ฉันคิดว่า ไม่เป็นปัญหากับนายนักหรอก…”

อู๋จื้อหาวส่ายหน้าอีกครั้ง “เหอะ หลายปีมานี้มีมาตรฐานสูงขึ้นทุกปี ฉันว่าปีนี้ต่ำสุดคงต้องหนึ่งร้อยสิบห้าแคลขึ้นไป อีกอย่าง แค่ค่าปราณถึงอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องอื่นอีกล่ะ? ประเด็นหลักอยู่ที่ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว ยังต้องสู้กับคนอื่น หากคนอื่นค่าปราณต่ำหมด พวกเราคงมีหวัง แต่หากคนอื่นค่าปราณสูงลิ่ว แม้พวกเราจะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน ก็ไม่ผ่านอยู่ดี”

มาตรฐานการรับนักเรียนเหมือนกับการสอบสายสังคม ไม่ได้มีกฎตายตัว โควตาของนักเรียนสายวรยุทธ์ก็เช่นกัน

หากเทียบคะแนนปีนี้ของคุณกับคะแนนปีก่อน คะแนนของคุณเพียงพอที่จะสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้ แต่ถ้าปีนี้ทุกคนต่างก็แข็งแกร่ง เช่นนั้นคุณก็มีสิทธิ์หลุดได้เช่นกัน

หรือหากปีนี้คุณสอบได้ไม่ดี ผลปรากฏว่าทุกคนล้วนได้คะแนนแย่หมด แม้ว่าคะแนนคุณจะสู้ปีก่อนไม่ได้ ก็สามารถสอบเข้าได้อยู่ดี

แต่ในสมัยนี้ ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีจึงทำมาตรฐานได้สูงขึ้น มีความเป็นไปได้น้อยที่จะคะแนนต่ำ

จากที่อู๋จื้อหาวพูดมา เพื่อนร่วมห้องรวมถึงฟางผิง สมัครทั้งหมดแปดคน คนที่มีค่าปราณเกินหนึ่งร้อยสิบแคลก็มีเพียงสามคนเท่านั้น

อู๋จื้อหาว หยางเจี้ยน อีกคนคือหลิวรั่วฉี นักเรียนหญิงอีกคนที่ไม่ค่อยพูด

คนอื่นๆ รวมทั้งจางเฮ่าก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล

แต่จางเฮ่าก็ไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว ก่อนสอบ หากกินของบำรุงปราณเสียหน่อย ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นี่ไม่ใช่การโกง สมัยนี้ ของบำรุงที่มีประสิทธิภาพเพิ่มค่าปราณได้ล้วนราคาสูงลิ่วทั้งนั้น

คนที่กินของสิ่งนี้ได้ ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่ดีพอสมควร

และผู้ฝึกยุทธ์ก็จำเป็นต้องใช้เงิน

ครอบครัวมีเงินหรือไม่มีเงิน ความสามารถในการสนับสนุนผู้ฝึกยุทธ์ในอนาคตก็ไม่เหมือนกันแล้ว ความร่ำรวยนั้นตัดสินอนาคตได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สถานะที่แน่นอน แต่ก็เป็นสภาพที่ใกล้เคียงกับความจริง

ดังนั้นแม้ยามนี้จะไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล จางเฮ่าก็กล้าสมัครเช่นกัน เพราะทางบ้านของเขาได้เตรียมของบำรุงไว้ให้เขาแล้ว

เหตุผลที่ไม่กินในตอนนี้ เพราะกลัวว่าหลังจากยาออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพจะหายไปส่วนหนึ่ง สูงไม่ถึงมาตรฐาน

แต่หากกินก่อนตรวจร่างกาย แม้ว่าจะไม่อาจย่อยได้ในเวลาอันสั้น แต่นับเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่อยากผ่านด่าน ประสิทธิภาพของยาจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้จางเฮ่าไม่ได้พูด แต่ความเป็นจริงทุกคนล้วนมีการเตรียมพร้อมของพวกนี้ไว้อยู่แล้ว

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเช่นกัน อย่างเช่นฟางผิง

เขาสมัครสอบวรยุทธ์อย่างกะทันหันเกินไป เดิมทีพ่อแม่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะสมัคร

แต่ในความเป็นจริง ฟางผิงกลับไม่รู้ว่า ฟางหมิงหรงกำลังครุ่นคิดเรื่องที่จะซื้อของบำรุงให้ลูกชาย

น่าเสียดายที่ของบำรุงพวกนั้นแพงเกินไป แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มที่หนึ่งหมื่นหยวนแล้ว ยามนี้บิดาของเขาจึงยังไม่ได้ตัดสินใจ

ได้ฟังทุกคนพูดคุยกัน ฟางผิงก็ลอบขบคิดกับตัวเอง ‘ค่าปราณ 1.1 ของฉัน จะเปลี่ยนเป็นหนึ่งร้อยสิบแคลได้ไหมเนี่ย?’

มีความเป็นไปได้สูง

แต่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคล เหมือนว่าจะไม่ได้เปรียบอะไรอยู่ดี

อย่างไรห้องเรียนปกติอย่างอู๋จื้อหาวก็มีตั้งหนึ่งร้อยสิบห้าแคลแล้ว ทางห้องเรียนพิเศษคงจะสูงกว่าหนึ่งร้อยสิบอยู่หลายคน

มาตรฐานรับนักเรียนปีก่อนของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงก็อยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสอง ปีนี้ไม่รู้ว่าจะเท่าไร

“ดูท่ายังต้องลงแรงกับเรื่องนี้เสียหน่อย อย่างน้องก็ต้องผ่านสามด่านแรก ถึงจะมีเวลาไตร่ตรองเรื่องภายหลัง”

ยามที่ฟางผิงขบคิดเรื่องนี้ในใจ ทุกคนก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานแล้ว

————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 9 มาตราฐานของปราณ

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 9 มาตราฐานของปราณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 9 มาตราฐานของปราณ

แม้ความท้อแท้จะหนักอึ้งเท่าใด ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ฟางผิงทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ อาจารย์ประจำชั้นที่ผมกลายเป็นสีเทาแล้วก็สาวเท้าเดินเข้ามาในห้อง

เมื่อห้องเรียนเงียบสงบลง อาจารย์ประจำชั้นก็เอ่ยเข้าประเด็นหลักทันที “นักเรียนที่สมัครสอบวรยุทธ์ อีกสักครู่ให้ไปชำระค่าสมัครสอบที่ห้องทำงานของอาจารย์ กรอกข้อมูลลงใบสมัคร หลังจากนั้นฝ่ายวิชาการของโรงเรียนจะจัดการให้ทุกคนเอง”

ยามที่อาจารย์พูดออกมา ก็สอดส่องสายตาไปรอบๆ ดูว่านักเรียนคนไหนเตรียมจะสมัครสอบบ้าง

ความจริงใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าใครจะสอบวรยุทธ์

ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้น นักเรียนคนไหนในห้องจะสมัคร อาจารย์ประจำชั้นย่อมเดาได้รางๆ อยู่แล้ว

ต้องเป็นคนที่คะแนนสูง ร่างกายแข็งแรง ฐานะทางบ้านไม่แย่ เมื่อลองเลือกออกมา ห้องมัธยมปลายปีสามห้องสี่จะมีใครสมัครบ้างก็ง่ายนิดเดียว เพื่อนในห้องต่างพอจะรู้เช่นกัน

เมืองหยางเฉิง พื้นที่โดยรอบเป็นพื้นดิน แม้ว่าจะเรียกรวมว่าเมืองหยางเฉิง ความเป็นจริงกลับเป็นเมืองระดับอำเภอ

เทียบกับเมืองระดับอำเภออื่นแล้ว เมืองหยางเฉิงนับว่ามีเศรษฐกิจดีกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน

นี่ไม่ใช่เมืองระดับอำเภอที่มีพื้นที่ติดทะเล เพราะบางเมืองที่ติดทะเลมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองที่มีอาณาเขตติดพื้นดินอยู่มาก

ในเมืองหยางเฉิง คนที่เห็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนเป็นเศษเงินนั้นมีไม่มาก

ดังนั้น ลำพังแค่ค่าสมัครสอบ ก็ตัดโอกาสคนได้มากมายแล้ว

เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นก็ออกไปจากห้องเรียน

ยามนี้นักเรียนที่จะสมัครสอบก็ทยอยกันลุกขึ้น เตรียมจะมุ่งหน้าไปทางสำนักงาน

หยางเจี้ยนที่นั่งด้านหน้าฟางผิงก็หยัดกายยืนขึ้นเช่นกัน

จางเฮ่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง เพื่อนนักเรียนที่ปล่อยข่าวเรื่องพี่หม่าทะลวงขั้นแปด ต่างก็ยืนขึ้นมา

ยามที่ทั้งสองคนกำลังจะย่างเท้าออกไป ฟางผิงกลับลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย

เฉินฝานที่นั่งด้านข้างสะดุ้งเล็กน้อย หันไปถาม “ไปห้องน้ำเหรอ?”

“ไปสมัครสอบ”

“…”

เฉินฝานนิ่งไป ฟางผิงจะสมัตรสอบ?

ไม่เพียงแต่เฉินฝาน หยางเจี้ยนก็อดหันมองไปทางฟางผิงไม่ได้ เอ่ยอย่างตกใจ “ฟางผิง นายก็จะสมัครเหมือนกันเหรอ?”

เจ้าหนุ่มคนนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เพราะตกใจคำพูดของฟางผิง น้ำเสียงจึงดังกว่าปกติ

เมื่อคำพูดส่งออกมา นักเรียนจำนวนไม่น้อยจึงมองมาทางนี้หมด

ทุกคนร่วมชั้นเรียนกันมาหลายปี สถานการณ์ของเพื่อนในห้องเป็นอย่างไร ย่อมเข้าใจคร่าวๆ อยู่บ้าง

ไม่ใช่ว่าฟางผิงนั้นไม่อาจสมัครได้ แต่ฟางผิง เจ้าผอมแห้งนั้น…

ที่จริงฟางผิงนับว่า มีกล้ามเนื้อกว่าเฉินฝานอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับหยางเจี้ยนที่นั่งด้านหน้าเขา ก็เป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว

วิชาวัฒนธรรมและวิชาเฉพาะยังพอว่า แต่ด่านตรวจสอบร่างกายและภาคปฏิบัติ ฟางผิงจะผ่านไปด้วยดีรึ?

ด้านหยางเจี้ยนเพิ่งจะหายตกใจ จางเฮ่าที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงชื่นชมทันที “ฟางผิง นายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ร้ายกาจ!”

“ปกติหลังเลิกเรียนทุกคนไปออกกำลังกาย แต่นายไม่ไป คงแอบไปซุ่มที่บ้านล่ะสิ หมอนี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

จางเฮ่ากล่าวชม ไม่มีท่าทีเหน็บแนมแต่อย่างใด

เพียงคิดว่าฟางผิงผู้นี้ ปิดบังเก่งอย่างยิ่ง ถ้าไม่มั่นใจ อาศัยจากครอบครัวของจางผิง จะทำใจเสียค่าสมัครสอบตั้งหมื่นหยวนได้อย่างไร?

ฟางผิงก็ไม่สนใจนัก เอ่ยทั้งหัวเราะ “อย่าคิดไปขนาดนั้นเลย ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร ยังต้องฝึกอีกเยอะ?”

“ฉันคิดดูแล้ว ก็แค่เงินหนึ่งหมื่นหยวน ไม่ลองดู ใครจะรู้ว่าสอบได้หรือไม่ ปีนี้จู่ๆ หากมีการรับคนเพิ่มขึ้นมา ไม่แน่ว่าฉันอาจจะได้กลายเป็นเศรษฐี”

“ฮ่าๆ นายนี่คิดโลกสวยเกินไปแล้ว”

จางเฮ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อฟางผิงพูดออกมา กลับทำให้นักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้คิดจะสมัครสอบ ใจคล้อยตามขึ้นมาเล็กน้อย

คำพูดของฟางผิงไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว

ใครจะรู้ว่าปีนี้อาจจะรับคนเพิ่มมากกว่าปกติ?

หลายปีที่ผ่านมา โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งหยางเฉิงมีคนสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้เพียงสองสามคนเท่านั้น แต่ปีก่อนกลับสอบได้ถึงห้าคน

ปีนี้ไม่แน่ว่าอาจจะสอบได้มากกว่าเดิม?

แต่ความคิดก็เป็นได้เพียงความคิด ในเมื่อไม่ได้วางแผนจะสมัคร นั่นย่อมเป็นเพราะมีเหตุผล คำพูดของฟางผิงเพียงก่อให้เกิดเกลียวคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยเท่านั้น กลับไม่ได้ทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงความคิดได้

เฉินฝานที่นั่งอยู่ด้านข้างเผยแววตาซับซ้อนอยู่บ้าง แม้ว่าจะสมัครสอบ แต่ก็ไม่ได้หมายว่าจะสอบได้

แต่ฐานะบ้านของฟางผิงนั้นด้อยกว่าตัวเองอยู่บ้าง กระทั่งฟางผิงยังกล้าลอง เขากลับไม่มีความคิดนี้แม้แต่น้อย

เทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะลอง

เขาบีบปากกาในมือแน่น ท้ายที่สุด เฉินฝานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตัวเอง

แม้ว่าจะสมัครสอบ ความหวังที่เขาจะสอบได้ก็เลือนรางกว่าฟางผิงอยู่ดี

แทนที่จะเสียเวลากับเรื่องนี้ ไม่สู้เอาเวลาไปทุ่มเทกับการสอบสายสังคมดีกว่า

ฟางผิงนั้นไม่ได้สนใจความคิดของคนอื่นๆ ในห้อง

เขาเดินออกไปกับเหล่านักเรียนที่เตรียมจะสมัครสอบ ทุกคนเดินขึ้นไปหาครูประจำชั้นที่ห้องทำงานด้วยกัน

มัธยมปลายปีสามห้องสี่มีนักเรียนที่จะสมัครสอบไม่มาก

อย่างไรก็มีเปอร์เซ็นต์ผ่านน้อย ดังนั้นนักเรียนที่เห็นว่าตัวเองไม่ตรงตามคุณสมบัติ ย่อมไม่สมัครอยู่แล้ว

ท้ายที่สุดก็มีคนเดินออกจากห้องเรียนเพียงแปดคนเท่านั้น

ทั้งยังถือเป็นจำนวนที่มาก เมื่อเทียบกับการสมัครสอบของห้องเรียนธรรมดาหลายปีมานี้

เนื่องจากปีก่อนมีนักเรียนห้องเรียนธรรมดาสอบวรยุทธ์ได้สองคน ปีนี้ห้องเรียนธรรมดาสอบได้ห้าหกคนก็ไม่น่าเกลียดแล้ว

โรงเรียนมัธยมปลายทั่วไปมีนักเรียนสมัครสอบแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ฟางผิงกวาดสายตามองเพื่อนร่วมทางอย่างรวดเร็ว พบว่าต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นในห้องเรียนทั้งนั้น

ไม่เพียงเรียนได้คะแนนสูงลิ่ว แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สัดส่วนสมบูรณ์แบบ

แม้ว่าจะเป็นหยางเจี้ยน เจ้าหนวดคนนี้ก็เช่นกัน คะแนนอาจไม่สูงนัก แต่ไม่ถึงกับแย่เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สมัครสอบ

ในจำนวนนี้มีนักเรียนหญิงสองคน แม้ว่าจะไม่ได้ดูโดดเด่น แต่รูปร่างกลับดีทีเดียว

เทียบกับเด็กนักเรียนผู้หญิงในห้องที่เหมือนกับถั่วงอกโตไม่เต็มวัยแล้ว เห็นได้ชัดว่านักเรียนหญิงสองคนนี้ เตรียมตัวเพื่อการสอบวรยุทธ์ เลือกอาหารการกิน ออกกำลังสม่ำเสมอ หยางเจี้ยนและจางเฮ่าที่อยู่ข้างฟางผิงก็กวาดสายตามองพวกเธอเช่นกัน

นอกจากฟางผิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น

การสอบวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ตอนเย็นหากมีเวลาว่าง ทุกคนล้วนมักจะชวนกันไปออกกำลังกาย บางคนกระทั่งเคยสมัครเรียนติวสอบวรยุทธ์จากโรงเรียนกวดวิชาด้านนอกด้วยซ้ำ

ฟางผิงจัดอยู่ในประเภทที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามา

ยามนี้ทุกคนไม่ได้สนใจคนอื่นๆ นัก กลับพุ่งเป้าไปที่ฟางผิง

นักเรียนหญิงสองคนที่พวกเขาชำเลืองมองเมื่อครู่ ยามนี้มีคนหนึ่งมองพินิจฟางผิงเป็นครั้งคราว เมื่อเดินออกมาสักพัก ก็อดถามไม่ได้ “ฟางผิง นายค่าปราณเท่าไร?”

“หา?”

ฟางผิงไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่บ้าง ฉันพูดได้เหรอว่า ค่าปราณ 1.1?

ประเด็นหลักคือ เขาไม่รู้ว่าในความเป็นจริง คิดค่าปราณอย่างไรกันแน่ ทั้งใช้หน่วยอะไรนับ

ยังดีที่ฟางผิงไม่ต้องตอบเอง หยางเจี้ยนแทรกบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม “จางหนาน ฉันว่าเดิมทีฟางผิงก็ไม่เคยไปตรวจ หมอนี่ หากไปตรวจมาจริงๆ ก็คงบอกพวกเรานานแล้ว”

จางเฮ่าก็ช่วยพูดเช่นกัน “น่าจะไม่เคยตรวจจริงๆ แต่เห็นร่างผอมแห้งของหมอนี่แล้ว คงไม่สูงไปกว่าฉันหรอก”

“เชอะ โม้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”

จางหนานก็แค่ถามเท่านั้น ในเมื่อฟางผิงไม่พูด จะไม่เคยตรวจ หรือไม่อยากพูด เธอก็คร้านที่จะเค้นถาม

เธอเอ่ยดูแคลนจางเฮ่าไปหนึ่งประโยค ก่อนจะเอ่ยทั้งสั่นศีรษะ “ครั้งนี้ห้องพวกเราคงเป็นได้แค่ตัวประกอบสินะ วันก่อนฉันไปตรวจมาครั้งหนึ่ง ค่าปราณผันผวนสูงสุดแค่หนึ่งร้อยแปดแคล เฮ้อ ก่อนการตรวจร่างกายต้องหาวิธีกินยาบำรุงให้มากหน่อยซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถเพิ่มได้อีกหรือเปล่า”

จางหนานพูดจบ หยางเจี้ยนก็เบะปากขำ “ฉันดีกว่าเธอนิดหน่อย ครั้งก่อนตรวจได้ค่าสูงสุดที่ หนึ่งร้อยสิบสองข่า”

เห็นได้ชัดว่า ‘แคล’ คือหน่วยนับของค่าปราณ ฟังดูแล้วยิ่งสูงก็ยิ่งดี

ฟางผิงไม่เคยตรวจมาก่อน เวลานี้ก็ไม่กลัวขายหน้า เอ่ยถามว่า “ห้องพวกเราใครมีค่าปราณสูงที่สุด?”

นักเรียนที่บุคลิกสดใส เดินอยู่ข้างหน้าสุด ยามนี้หันศีรษะมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากยึดตามผลครั้งก่อน คงจะเป็นฉัน วัดสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล”

ความจริงแล้วฟางผิงรู้จักคนผู้นี้ แม้โลกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นคนเดิม

ผู้ที่เอ่ยคือคนที่ได้คะแนนวัฒนธรรมสูงที่สุดในห้อง แน่นอนว่า ตอนนี้ยังเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ฟางผิงไม่แน่ใจเช่นกัน

แต่หมอนี่ไม่ใช่หัวหน้าห้อง ความจริงคนที่อยู่ในนี้ล้วนไม่มีกรรมการนักเรียนสักคน

เพราะทุกคนยุ่งตัวเป็นเกลียว ย่อมไม่มีเวลาจะไปบริการนักเรียนคนอื่น

ชื่อว่าอะไรนะ ฟางผิงหวนคิดเล็กน้อย คงจะเป็นอู๋จื้อหาว

ขณะที่อู๋จื้อหาวพูด ก็สั่นศีรษะ “แม้ว่าค่าปราณฉันยังพอใช้ได้ แต่พวกห้องเรียนพิเศษน่าจะสูงกว่า โจวปินเป็นคนที่ค่าปราณสูงสุด ครั้งก่อนได้ยินเพื่อนในห้องของเขาพูดว่า ค่าสูงสุดวัดได้กว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแคล คนอื่นในโรงเรียนเรานั้นพูดยาก แต่โจวปินนั้นมีโอกาสสอบได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรเท่านั้น”

“ฮ่าๆ จื้อหาว งั้นนายก็จ้างคนไปตัดขาเขาเสียสิ พวกเราจะได้หมดคู่แข่งไปอีกหนึ่ง?” จางเฮ่าเอ่ยสัพหยอก

อู๋จื้อหาวมองค้อนไปที เอ่ยอย่างหมดคำพูด “โรงเรียนพวกเราไม่ได้เป็นผู้คัดเลือกเสียหน่อย แม้ว่าเขาจะสอบไม่ได้ ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเราอยู่ดี ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะคิดใช้วิธีนั้นอยู่”

จางเฮ่าหัวเราะ เอ่ยปากออกไป “ยังไงก็ลองก่อนเถอะ เผลอๆ อาจจะสอบติด ปีก่อนเกณฑ์รับนักเรียนของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์เจียงหนาน ค่าปราณก็อยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสองแคล ปีนี้แม้จะสูงขึ้นหน่อย ก็คงจะไม่มาก ฉันคิดว่า ไม่เป็นปัญหากับนายนักหรอก…”

อู๋จื้อหาวส่ายหน้าอีกครั้ง “เหอะ หลายปีมานี้มีมาตรฐานสูงขึ้นทุกปี ฉันว่าปีนี้ต่ำสุดคงต้องหนึ่งร้อยสิบห้าแคลขึ้นไป อีกอย่าง แค่ค่าปราณถึงอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องอื่นอีกล่ะ? ประเด็นหลักอยู่ที่ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว ยังต้องสู้กับคนอื่น หากคนอื่นค่าปราณต่ำหมด พวกเราคงมีหวัง แต่หากคนอื่นค่าปราณสูงลิ่ว แม้พวกเราจะสอบได้คะแนนดีแค่ไหน ก็ไม่ผ่านอยู่ดี”

มาตรฐานการรับนักเรียนเหมือนกับการสอบสายสังคม ไม่ได้มีกฎตายตัว โควตาของนักเรียนสายวรยุทธ์ก็เช่นกัน

หากเทียบคะแนนปีนี้ของคุณกับคะแนนปีก่อน คะแนนของคุณเพียงพอที่จะสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้ แต่ถ้าปีนี้ทุกคนต่างก็แข็งแกร่ง เช่นนั้นคุณก็มีสิทธิ์หลุดได้เช่นกัน

หรือหากปีนี้คุณสอบได้ไม่ดี ผลปรากฏว่าทุกคนล้วนได้คะแนนแย่หมด แม้ว่าคะแนนคุณจะสู้ปีก่อนไม่ได้ ก็สามารถสอบเข้าได้อยู่ดี

แต่ในสมัยนี้ ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีจึงทำมาตรฐานได้สูงขึ้น มีความเป็นไปได้น้อยที่จะคะแนนต่ำ

จากที่อู๋จื้อหาวพูดมา เพื่อนร่วมห้องรวมถึงฟางผิง สมัครทั้งหมดแปดคน คนที่มีค่าปราณเกินหนึ่งร้อยสิบแคลก็มีเพียงสามคนเท่านั้น

อู๋จื้อหาว หยางเจี้ยน อีกคนคือหลิวรั่วฉี นักเรียนหญิงอีกคนที่ไม่ค่อยพูด

คนอื่นๆ รวมทั้งจางเฮ่าก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล

แต่จางเฮ่าก็ไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว ก่อนสอบ หากกินของบำรุงปราณเสียหน่อย ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นี่ไม่ใช่การโกง สมัยนี้ ของบำรุงที่มีประสิทธิภาพเพิ่มค่าปราณได้ล้วนราคาสูงลิ่วทั้งนั้น

คนที่กินของสิ่งนี้ได้ ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่ดีพอสมควร

และผู้ฝึกยุทธ์ก็จำเป็นต้องใช้เงิน

ครอบครัวมีเงินหรือไม่มีเงิน ความสามารถในการสนับสนุนผู้ฝึกยุทธ์ในอนาคตก็ไม่เหมือนกันแล้ว ความร่ำรวยนั้นตัดสินอนาคตได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สถานะที่แน่นอน แต่ก็เป็นสภาพที่ใกล้เคียงกับความจริง

ดังนั้นแม้ยามนี้จะไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล จางเฮ่าก็กล้าสมัครเช่นกัน เพราะทางบ้านของเขาได้เตรียมของบำรุงไว้ให้เขาแล้ว

เหตุผลที่ไม่กินในตอนนี้ เพราะกลัวว่าหลังจากยาออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพจะหายไปส่วนหนึ่ง สูงไม่ถึงมาตรฐาน

แต่หากกินก่อนตรวจร่างกาย แม้ว่าจะไม่อาจย่อยได้ในเวลาอันสั้น แต่นับเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่อยากผ่านด่าน ประสิทธิภาพของยาจะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้จางเฮ่าไม่ได้พูด แต่ความเป็นจริงทุกคนล้วนมีการเตรียมพร้อมของพวกนี้ไว้อยู่แล้ว

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเช่นกัน อย่างเช่นฟางผิง

เขาสมัครสอบวรยุทธ์อย่างกะทันหันเกินไป เดิมทีพ่อแม่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะสมัคร

แต่ในความเป็นจริง ฟางผิงกลับไม่รู้ว่า ฟางหมิงหรงกำลังครุ่นคิดเรื่องที่จะซื้อของบำรุงให้ลูกชาย

น่าเสียดายที่ของบำรุงพวกนั้นแพงเกินไป แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มที่หนึ่งหมื่นหยวนแล้ว ยามนี้บิดาของเขาจึงยังไม่ได้ตัดสินใจ

ได้ฟังทุกคนพูดคุยกัน ฟางผิงก็ลอบขบคิดกับตัวเอง ‘ค่าปราณ 1.1 ของฉัน จะเปลี่ยนเป็นหนึ่งร้อยสิบแคลได้ไหมเนี่ย?’

มีความเป็นไปได้สูง

แต่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคล เหมือนว่าจะไม่ได้เปรียบอะไรอยู่ดี

อย่างไรห้องเรียนปกติอย่างอู๋จื้อหาวก็มีตั้งหนึ่งร้อยสิบห้าแคลแล้ว ทางห้องเรียนพิเศษคงจะสูงกว่าหนึ่งร้อยสิบอยู่หลายคน

มาตรฐานรับนักเรียนปีก่อนของมหาวิทยาลัยวรยุทธ์หนานเจียงก็อยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสอง ปีนี้ไม่รู้ว่าจะเท่าไร

“ดูท่ายังต้องลงแรงกับเรื่องนี้เสียหน่อย อย่างน้องก็ต้องผ่านสามด่านแรก ถึงจะมีเวลาไตร่ตรองเรื่องภายหลัง”

ยามที่ฟางผิงขบคิดเรื่องนี้ในใจ ทุกคนก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานแล้ว

————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+