ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 40 ฝึกวิชาครั้งแรก

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 40 ฝึกวิชาครั้งแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 40 ฝึกวิชาครั้งแรก

การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็คงง่าย

ไม่ใช่ว่ารู้หนังสือก็สามารถทำได้

วิชาทั่วไปที่สอบตอนมัธยม ที่จริงก็เพื่อปูพื้นฐานในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพวกนี้

(เคล็ดหลอมกระดูก) เกี่ยวพันถึงความรู้ของระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงกระดูกทุกข้อส่วนของร่างกาย ถ้าคุณไม่รู้เรื่องการไหลเวียนของเลือดและปราณ มีเคล็ดวิชาอยู่ในมือก็เสียเปล่า คงไม่อาจฝึกได้ แต่ว่านี่เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐาน

เคล็ดวิชาพื้นฐานคืออะไร แน่นอนว่าเป็นการฝึกฝนทั่วไป

ดังนั้นจึงไม่ได้ลงลึกข้อมูลอะไรมาก

รวมทั้งระบบไหลเวียนของเลือดและปราณ ก็มีความเกี่ยวโยงกัน

โดยปกติ ถึงจะฝึกพลาดตั้งแต่เริ่ม ก็ไม่ทำให้ตาย อย่างน้อยคงจะบาดเจ็บเท่านั้น

ส่วนฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรก ฟางผิงคงยังไม่อาจถึงจุดนั้น

เขามีค่าปราณเพียง 124 แคล ถึงตอนฝึกจะเดินปราณผิดพลาด แรงโจมตีก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น

เทียบกับการเพิ่มปราณสิบแคลในครั้งเดียวแล้ว นับว่าอันตรายน้อยกว่ามาก

ก่อนจะฝึกวิชา ฟางผิงยังคงกังวลใจอยู่บ้าง

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโทรหาหวังจินหยาง

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง

หลายวันนี้หวังจินหยางฝึกฝนร่างกายจิตใจ เตรียมพร้อมที่จะทะลวงด่าน

ตอนที่รับโทรศัพท์ ได้ยินว่าฟางผิงจะฝึกวิชา หวังจินหยางก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “(เคล็ดหลอมกระดูก) นั้นฝึกได้ ถึงเริ่มแรกจะเกิดปัญหาก็ไม่เกิดผลร้ายแรงอะไร แต่ว่า…”

ฟางผิงยืดหูตั้งใจฟัง

“แต่มีบางเรื่องที่ฉันต้องเตือนนาย อย่างแรก การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จะต้องบีบอัดปราณ ใช้เลือดในการหลอมกระดูก เรื่องพวกนี้ล้วนใช้เลือดและปราณทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ปราณก็เพิ่มขึ้นได้ แม้ร่างกายจะสามารถให้กำเนิดปราณ แต่ก็ไม่อาจผลิตเร็วเท่าการใช้ เมื่อฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) ขีดจำกัดของปราณนายจะเพิ่มขึ้น แต่ว่าในความเป็นจริงค่าปราณนายจะลดลง ทั้งลดลงมากอย่างยิ่ง! หากบำรุงไม่ทัน เกาเข่าและด่านตรวจร่างกายที่ใกล้เข้ามาคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนาย สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสอบศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่ฝึกเคล็ดวิชา”

ฟางผิงขมวดคิ้ว “ปราณจะลดลง?”

“ใช่แล้ว!”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างขบขัน “การหลอมกระดูกต้องใช้ปราณมาหล่อเลี้ยง การหลอมเส้นลมปราณก็ต้องอาศัยปราณเหมือนกัน นายว่าจะสิ้นเปลืองเยอะหรือเปล่าล่ะ? สมมุติตอนนี้ปราณนายอยู่ที่ 120 แคล ฝึกเพียงครั้งเดียวก็อาจลดลงถึง 115 แคล ถึงการฟื้นฟูจะทำได้เร็วกว่าการเพิ่ม แต่ถ้านายกินยาบำรุงปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสามวันขึ้นไป กินยาวันละเม็ดต่อวัน นายคิดว่าเป็นเงินเท่าไหร่ล่ะ? ครอบครัวพร้อมสนับสนุนเท่าไหร่กัน? ถ้าบำรุงไม่ทัน ปราณลดลง ไม่อาจฟื้นฟูได้ ขีดจำกัดของปราณที่เพิ่มขึ้นจากการฝึกฝนก่อนหน้าก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ฟางผิง ในมือนายมีทรัพยากรอยู่ แต่ก็มีอย่างจำกัด ไม่อาจเอามาใช้มั่วซั่วได้ ในความเห็นฉัน เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนค่อยฝึกฝน ทั้งมหาวิทยาลัยจะจัดเตรียมทรัพยากรครึ่งหนึ่งให้นายด้วย แค่ต้องรอไม่กี่เดือนเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่านายผลาญเงินครอบครัวจนเกลี้ยง”

ฟางผิงไม่สนใจเรื่องนี้ ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “แต่ถ้าเพิ่มปราณได้ทัน ขีดจำกัดสูงสุดของปราณก็สามารถเพิ่มขึ้นได้?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น (เคล็ดหลอมกระดูก) จะทำให้ปราณของคนธรรมดาสูงขึ้นจนแตะขีดจำกัดได้ยังไง!”

“นายเพิ่งพูดถึงอย่างแรก แล้วนอกจากนี้ยังมีข้อเสียอะไรอีกล่ะ?”

“อย่างที่สอง!”

หวังจินหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งแรก “อย่างที่สอง การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จากค่าปราณของนาย คงไม่อาจเกิดความเสียหายร้ายแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่บาดเจ็บเลย! หากเส้นเดินปราณหลัก โดยเฉพาะส่วนที่ใกล้สมองได้รับบาดเจ็บ แม้จะรักษาหายได้ แต่ก็สามารถทำให้นายล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเดือนได้เหมือนกัน ฟางผิง ใกล้จะสอบเกาเข่าแล้ว นายต้องระวังตัวให้ดี การฝึกวิชาครั้งแรกนั้นอันตรายที่สุด ถ้าเจ็บหนัก นายอาจจะพลาดการสอบครั้งนี้ เส้นเลือดเล็กๆ ฉีกขาดคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงนายฟื้นฟูปราณก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วแล้ว แต่ไม่ใช่กับเส้นเดินปราณหลัก!”

“พี่หวัง ผมจะระวังแล้วกัน” ฟางผิงตอบกลับไป

ได้ยินฟางผิงพูดแบบนี้ หวังจินหยางก็รู้แล้วว่าเขาตัดสินใจแล้ว สั่นศีรษะ “แล้วแต่นายเถอะ ถ้าบาดเจ็บจริงๆ อย่างมากก็สอบใหม่ปีหน้า อันหนึ่งเสียเวลาหนึ่งปี อีกอันเสียเวลาไม่กี่เดือน นายตรึกตรองเองก็เพียงพอแล้ว”

หวังจินหยางไม่ใช่พ่อเขา ในเมื่อฟางผิงตัดสินใจแล้ว คงไม่อาจเกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้

พูดเรื่องนี้เสร็จแล้ว หวังจินหยางก็เอ่ยต่อ “จวงกงสิบหกท่านั้น นายคิดรึยังว่าจะเลือกอันไหน?”

“เรื่องนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ พี่หวังแนะนำให้หน่อยสิ?”

“หลักๆ ต้องดูหลังจากการเลือกทะลวงด่านขั้นหนึ่งของนาย”

หวังจินหยางเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หลอมกระดูกส่วนบน ค่อนข้างเหมาะสมกว่า ถูกต้องตามหลักการ ส่วนการหลอมกระดูกส่วนล่าง สามารถเคลื่อนไหวได้เร็ว ร่างกายช่วงล่างมั่นคงมีกำลัง แต่หลอมกระดูกด้านล่างก่อน อันตรายกว่าเล็กน้อย ถ้าบาดเจ็บ อาจทำให้ขากะเผลกได้ ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นายอาจจะเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเดินขาเผลกอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าบาดเจ็บช่วงบน คงมองไม่ออกอยู่แล้ว”

“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกส่วนล่าง แข็งแกร่งกว่าคนที่หลอมกระดูกส่วนบน?”

“นี่ขึ้นอยู่แต่ละคน ต้องดูการประมือในสถานการณ์จริง แต่ถ้าอยู่ในเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกส่วนล่าง ถึงจะสู้ไม่ได้ กลับสามารถวิ่งเร็ว ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกส่วนบนไม่อาจตามทันได้”

พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หวังจินหยางก็ยิ้ม “ตอนฉันอยู่ขั้นหนึ่งก็หลอมกระดูกส่วนล่างก่อน เลยวิ่งได้เร็วมากๆ ตอนที่ประมือกับรุ่นพี่ขั้นสอง รุ่นพี่คนนั้นเลือกหลอมกระดูกส่วนบนก่อน เพิ่งจะเริ่มหลอมกระดูกส่วนล่างไม่นาน ท้ายที่สุดฉันจึงเป็นฝ่ายชนะเขา!”

เหมือนหวังจินหยางจะเล่าให้ฟางผิงฟังขำๆ ความเป็นจริงเรื่องนี้กลับดังในเวลานั้นไม่น้อย

ทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด หวังจินหยางพารุ่นพี่คนนั้นวิ่งวนอยู่ในมหาวิทยาลัยกว่าสามสิบรอบ!

ท้ายที่สุดทำเอารุ่นพี่คนนั้นเหนื่อยจนน้ำลายฟูมปาก ไล่ตามยังไงก็ไม่ทัน

อีกฝ่ายโมโหถึงกับสาบานว่า หลังจากนี้ถ้าเขายังหลอมกระดูกส่วนล่างไม่สำเร็จ จะไม่ต่อสู้ตัวต่อตัวกับหวังจินหยางอีก!

แน่นอนว่าฟางผิงไม่รู้เรื่องราวภายใน

พอได้ยินว่าหลอมกระดูกส่วนล่างนั้นดีกว่าส่วนบน ฟางผิงก็รีบถามว่า “พี่หวัง ถ้าผมเลือกหลอมกระดูกส่วนล่างก่อน พี่คิดว่าท่าจวงกงไหนเหมาะสม?”

“ท่าหม่าปู้! นี่เป็นท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกส่วนล่างเลือกเป็นอันดับแรก”

“…”

ทั้งสองคนพูดกันเรื่องฝึกวิชาอยู่นาน

หวังจินหยางไม่มีท่าทีหงุดหงิดใจแม้แต่น้อย หากพูดไม่ชัดเจน ฟางผิงฝึกมั่วซั่วอาจจะเกิดปัญหาได้ง่าย

หากบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องพลาดเกาเข่าปีนี้…

ระยะห่างหนึ่งปี ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ เลย

ในความคิดของหวังจินหยาง ฟางผิงไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนก็ไม่สาย ทั้งยังสามารถประหยัดเรื่องทรัพยากร

ถ้าฟางผิงใช้ทรัพยากรพวกนั้นอย่างประหยัด รวมกับของที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ก็เพียงพอให้ทะลวงขั้นสองแล้ว

แต่เขาเป็นคนที่ใช้ของสิ้นเปลือง เป็นไปได้ว่าหลังจากทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งก็คงหมดเกลี้ยงแล้ว

คิดจะหาหวงปินอีกคน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟางผิงจะหาเรื่องแบบนี้ได้อีกยังไงกัน

ฟางผิงพูดคุยกับเขาเกือบหนึ่งชั่วโมงเสียทีเดียว

เขารู้สึกว่าหวังจินหยางน่าสนใจไม่น้อย

แม้จะได้ส่วนแบ่งจากเขาไม่มาก แต่เหล่าหวังยังบริการหลังการขายได้อย่างดีเยี่ยม

เมื่อวางสาย ฟางผิงจึงค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก

บ่ายสามโมง ฟางผิงเริ่มฝึกวิชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยตัวเอง

เขาทำความเข้าใจกับการฝึกวิชาคร่าวๆ แล้ว แม้ว่าจะผิดพลาด อย่างมากก็นอนพักสักสองวันเท่านั้น ขอเพียงแค่ไม่รนหาที่ตาย ทำให้เส้นเดินปราณหลักบาดเจ็บหนัก

เขาไม่มีความสามารถหยั่งรู้ทางใน ทำได้เพียงอาศัยความรู้สึก

ฟางผิงถอดเสื้อผ้าท่อนบน รวบรวมสติฝึกวิชาตามภาพ (เคล็ดหลอมกระดูก) ไปพลาง ทั้งสังเกตปราณที่หมุนเวียนในร่างเขาไปพลาง

ยามที่ปราณบีบอัด เมื่อปราณแข็งแกร่งขึ้นมา ทางเดินปราณที่ปกติเว้าแหว่ง ก็จะนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ปวดอยู่ไม่น้อย…”

“ฝึกครั้งแรก ทางเดินปราณคงปรับตัวไม่ค่อยได้”

“หากผ่านครั้งแรกไปก็คงดีขึ้น สามารถใช้ศักยภาพอย่างไร้ขีดจำกัด”

“…”

ฟางผิงเอาแต่สรุปผลได้ผลเสีย ตอนที่ปราณบีบรัดใกล้ขมับ เขาก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง

หากเส้นเลือดระเบิดที่อื่นคงไม่อันตรายเท่าไหร่

แต่เส้นเลือดใกล้ศีรษะ หากแตกไปหนึ่งเส้น ล้วนสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้

ใน (เคล็ดหลอมกระดูก) ทางเดินปราณที่ไหลเวียนในศีรษะนั้นมีน้อย มีเพียงเส้นเดินปราณหลักเส้นเดียวเท่านั้น

ดีที่เคล็ดวิชาพื้นฐานนั้นยึดตามระบบไหลเวียนเลือด ไม่มีการเปิดเส้นปราณใหม่

ไม่นาน ฟางผิงก็โคจรปราณผ่านเส้นเลือดหลักบนศีรษะอย่างราบรื่น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ฟางผิงก็ทำการฝึกวิชาครั้งแรกสำเร็จ

“ราบรื่นดี!”

ฟางผิงแยกเขี้ยวยิงฟัน ปากบอกว่าราบรื่น ในใจกลับเริ่มก่นด่าขึ้นมา

ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเขามีแต่เลือดเปรอะเปื้อน

เส้นเลือดหลักไม่เป็นปัญหา แต่เส้นเลือดเล็กๆ จำนวนหนึ่งกลับฉีกขาด ทำให้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด

ตอนนี้ ถ้าฟางหยวนหรือหลี่อวี้อิงเข้ามาคงจะตกใจแน่ๆ

การฝึกวิชาครั้งแรกสำเร็จ ฟางผิงคิดว่าเส้นเลือดที่บวมเป่งอยู่ก่อนหน้านี้ ล้วนผ่อนคลายลงไม่น้อย

ส่วนเรื่องเลือดนั้นช่างเถอะ ยังไงเขาก็มีปราณเยอะอยู่แล้ว

รวบรวมสติมองกระดานเบื้องหน้า เขาอยากเห็นว่าครั้งนี้ปราณลดไปเท่าไหร่

ทรัพย์สิน : 3,370,800

ปราณ : 120 แคล

จิตใจ : 140 เฮิร์ท

“ลดลงไป 4 แคล ถ้าเป็นคนอื่น กินยาบำรุงหนึ่งเม็ดก็คงยากจะฟื้นฟูกลับมาอยู่ดี หมายความว่า ฝึกวิชาครั้งหนึ่ง เงินก็หายไปแสนหนึ่งแล้ว!”

ฟางผิงพูดไม่ออกอยู่บ้าง ตอนนี้จึงเข้าใจ ทำไม่ถึงมีนักเรียนเพียงส่วนน้อยที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่า

ถึงเงื่อนไขทุกอย่างจะครบแล้ว กลับต้องใช้เงินราวกับกระดาษ

ถ้าไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะ ใครจะไปยอมเสียเงินขนาดนี้กัน?

รวมทั้งยังอันตราย ส่วนมากต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วถึงจะได้เคล็ดวิชา ดังนั้นนักเรียนส่วนมากจึงไม่มีโอกาสนี้

แต่คนอื่นก็คือคนอื่น ฟางผิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้

หวังจินหยางกลัวว่าเขาจะใช้ทรัพยากรจนหมด ความจริงฟางผิงนั้นไม่คิดจะใช้ยาบำรุงพวกนั้น

เขาไม่ลังเลอีก เริ่มรวบรวมสมาธิอัพเกรดค่าปราณทันที

ทรัพย์สิน : 3,365,800

ปราณ : 125 แคล

จิตใจ : 140 เฮิรตซ์

“ขีดจำกัดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแคล!”

ฟางผิงตาเป็นประกาย การฝึกครั้งเดียว ทำให้ขีดจำกัดสูงขึ้นอีกหนึ่งแคล นี่ไม่นับว่าช้า

แน่นอนว่าสำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น

นักเรียนคนอื่นคิดจะฟื้นฟูปราณต้องใช้เวลาประมาณสามวัน สามวันเพิ่มหนึ่งแคล เสียเงินหนึ่งแสนหยวน คาดว่าคงจะมีหลายคนอยากใช้วิธีนี้มากกว่า

“เราฟื้นฟูปราณแล้ว ไม่ต้องรอให้ร่างกายดูดซึม คนอื่นสามวันฝึกครั้งหนึ่ง ส่วนเราขอแค่ร่างกายรับไหว จะกี่ครั้งก็ได้ทั้งนั้น…”

“ที่แท้ระบบก็ใช้อย่างนี้นี่เอง!”

“เหล่าหวัง ขั้นสามมันหมูๆ แล้ว นายรอเถอะ ถึงเวลานั้นนายจะต้องตะลึง!”

ฟางผิงพูดกับตัวเอง ใบหน้าปกปิดความยินดีไม่มิด รวมกับร่างกายที่เปื้อนเลือด ตอนนี้หากมีเด็กมาพบเข้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งไปแล้ว

—————-

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 40 ฝึกวิชาครั้งแรก

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 40 ฝึกวิชาครั้งแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 40 ฝึกวิชาครั้งแรก

การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็คงง่าย

ไม่ใช่ว่ารู้หนังสือก็สามารถทำได้

วิชาทั่วไปที่สอบตอนมัธยม ที่จริงก็เพื่อปูพื้นฐานในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพวกนี้

(เคล็ดหลอมกระดูก) เกี่ยวพันถึงความรู้ของระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงกระดูกทุกข้อส่วนของร่างกาย ถ้าคุณไม่รู้เรื่องการไหลเวียนของเลือดและปราณ มีเคล็ดวิชาอยู่ในมือก็เสียเปล่า คงไม่อาจฝึกได้ แต่ว่านี่เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐาน

เคล็ดวิชาพื้นฐานคืออะไร แน่นอนว่าเป็นการฝึกฝนทั่วไป

ดังนั้นจึงไม่ได้ลงลึกข้อมูลอะไรมาก

รวมทั้งระบบไหลเวียนของเลือดและปราณ ก็มีความเกี่ยวโยงกัน

โดยปกติ ถึงจะฝึกพลาดตั้งแต่เริ่ม ก็ไม่ทำให้ตาย อย่างน้อยคงจะบาดเจ็บเท่านั้น

ส่วนฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรก ฟางผิงคงยังไม่อาจถึงจุดนั้น

เขามีค่าปราณเพียง 124 แคล ถึงตอนฝึกจะเดินปราณผิดพลาด แรงโจมตีก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น

เทียบกับการเพิ่มปราณสิบแคลในครั้งเดียวแล้ว นับว่าอันตรายน้อยกว่ามาก

ก่อนจะฝึกวิชา ฟางผิงยังคงกังวลใจอยู่บ้าง

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโทรหาหวังจินหยาง

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง

หลายวันนี้หวังจินหยางฝึกฝนร่างกายจิตใจ เตรียมพร้อมที่จะทะลวงด่าน

ตอนที่รับโทรศัพท์ ได้ยินว่าฟางผิงจะฝึกวิชา หวังจินหยางก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “(เคล็ดหลอมกระดูก) นั้นฝึกได้ ถึงเริ่มแรกจะเกิดปัญหาก็ไม่เกิดผลร้ายแรงอะไร แต่ว่า…”

ฟางผิงยืดหูตั้งใจฟัง

“แต่มีบางเรื่องที่ฉันต้องเตือนนาย อย่างแรก การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จะต้องบีบอัดปราณ ใช้เลือดในการหลอมกระดูก เรื่องพวกนี้ล้วนใช้เลือดและปราณทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ปราณก็เพิ่มขึ้นได้ แม้ร่างกายจะสามารถให้กำเนิดปราณ แต่ก็ไม่อาจผลิตเร็วเท่าการใช้ เมื่อฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) ขีดจำกัดของปราณนายจะเพิ่มขึ้น แต่ว่าในความเป็นจริงค่าปราณนายจะลดลง ทั้งลดลงมากอย่างยิ่ง! หากบำรุงไม่ทัน เกาเข่าและด่านตรวจร่างกายที่ใกล้เข้ามาคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนาย สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสอบศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่ฝึกเคล็ดวิชา”

ฟางผิงขมวดคิ้ว “ปราณจะลดลง?”

“ใช่แล้ว!”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างขบขัน “การหลอมกระดูกต้องใช้ปราณมาหล่อเลี้ยง การหลอมเส้นลมปราณก็ต้องอาศัยปราณเหมือนกัน นายว่าจะสิ้นเปลืองเยอะหรือเปล่าล่ะ? สมมุติตอนนี้ปราณนายอยู่ที่ 120 แคล ฝึกเพียงครั้งเดียวก็อาจลดลงถึง 115 แคล ถึงการฟื้นฟูจะทำได้เร็วกว่าการเพิ่ม แต่ถ้านายกินยาบำรุงปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสามวันขึ้นไป กินยาวันละเม็ดต่อวัน นายคิดว่าเป็นเงินเท่าไหร่ล่ะ? ครอบครัวพร้อมสนับสนุนเท่าไหร่กัน? ถ้าบำรุงไม่ทัน ปราณลดลง ไม่อาจฟื้นฟูได้ ขีดจำกัดของปราณที่เพิ่มขึ้นจากการฝึกฝนก่อนหน้าก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ฟางผิง ในมือนายมีทรัพยากรอยู่ แต่ก็มีอย่างจำกัด ไม่อาจเอามาใช้มั่วซั่วได้ ในความเห็นฉัน เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนค่อยฝึกฝน ทั้งมหาวิทยาลัยจะจัดเตรียมทรัพยากรครึ่งหนึ่งให้นายด้วย แค่ต้องรอไม่กี่เดือนเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่านายผลาญเงินครอบครัวจนเกลี้ยง”

ฟางผิงไม่สนใจเรื่องนี้ ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “แต่ถ้าเพิ่มปราณได้ทัน ขีดจำกัดสูงสุดของปราณก็สามารถเพิ่มขึ้นได้?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น (เคล็ดหลอมกระดูก) จะทำให้ปราณของคนธรรมดาสูงขึ้นจนแตะขีดจำกัดได้ยังไง!”

“นายเพิ่งพูดถึงอย่างแรก แล้วนอกจากนี้ยังมีข้อเสียอะไรอีกล่ะ?”

“อย่างที่สอง!”

หวังจินหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งแรก “อย่างที่สอง การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จากค่าปราณของนาย คงไม่อาจเกิดความเสียหายร้ายแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่บาดเจ็บเลย! หากเส้นเดินปราณหลัก โดยเฉพาะส่วนที่ใกล้สมองได้รับบาดเจ็บ แม้จะรักษาหายได้ แต่ก็สามารถทำให้นายล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเดือนได้เหมือนกัน ฟางผิง ใกล้จะสอบเกาเข่าแล้ว นายต้องระวังตัวให้ดี การฝึกวิชาครั้งแรกนั้นอันตรายที่สุด ถ้าเจ็บหนัก นายอาจจะพลาดการสอบครั้งนี้ เส้นเลือดเล็กๆ ฉีกขาดคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงนายฟื้นฟูปราณก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วแล้ว แต่ไม่ใช่กับเส้นเดินปราณหลัก!”

“พี่หวัง ผมจะระวังแล้วกัน” ฟางผิงตอบกลับไป

ได้ยินฟางผิงพูดแบบนี้ หวังจินหยางก็รู้แล้วว่าเขาตัดสินใจแล้ว สั่นศีรษะ “แล้วแต่นายเถอะ ถ้าบาดเจ็บจริงๆ อย่างมากก็สอบใหม่ปีหน้า อันหนึ่งเสียเวลาหนึ่งปี อีกอันเสียเวลาไม่กี่เดือน นายตรึกตรองเองก็เพียงพอแล้ว”

หวังจินหยางไม่ใช่พ่อเขา ในเมื่อฟางผิงตัดสินใจแล้ว คงไม่อาจเกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้

พูดเรื่องนี้เสร็จแล้ว หวังจินหยางก็เอ่ยต่อ “จวงกงสิบหกท่านั้น นายคิดรึยังว่าจะเลือกอันไหน?”

“เรื่องนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ พี่หวังแนะนำให้หน่อยสิ?”

“หลักๆ ต้องดูหลังจากการเลือกทะลวงด่านขั้นหนึ่งของนาย”

หวังจินหยางเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หลอมกระดูกส่วนบน ค่อนข้างเหมาะสมกว่า ถูกต้องตามหลักการ ส่วนการหลอมกระดูกส่วนล่าง สามารถเคลื่อนไหวได้เร็ว ร่างกายช่วงล่างมั่นคงมีกำลัง แต่หลอมกระดูกด้านล่างก่อน อันตรายกว่าเล็กน้อย ถ้าบาดเจ็บ อาจทำให้ขากะเผลกได้ ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นายอาจจะเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเดินขาเผลกอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าบาดเจ็บช่วงบน คงมองไม่ออกอยู่แล้ว”

“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกส่วนล่าง แข็งแกร่งกว่าคนที่หลอมกระดูกส่วนบน?”

“นี่ขึ้นอยู่แต่ละคน ต้องดูการประมือในสถานการณ์จริง แต่ถ้าอยู่ในเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกส่วนล่าง ถึงจะสู้ไม่ได้ กลับสามารถวิ่งเร็ว ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกส่วนบนไม่อาจตามทันได้”

พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หวังจินหยางก็ยิ้ม “ตอนฉันอยู่ขั้นหนึ่งก็หลอมกระดูกส่วนล่างก่อน เลยวิ่งได้เร็วมากๆ ตอนที่ประมือกับรุ่นพี่ขั้นสอง รุ่นพี่คนนั้นเลือกหลอมกระดูกส่วนบนก่อน เพิ่งจะเริ่มหลอมกระดูกส่วนล่างไม่นาน ท้ายที่สุดฉันจึงเป็นฝ่ายชนะเขา!”

เหมือนหวังจินหยางจะเล่าให้ฟางผิงฟังขำๆ ความเป็นจริงเรื่องนี้กลับดังในเวลานั้นไม่น้อย

ทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด หวังจินหยางพารุ่นพี่คนนั้นวิ่งวนอยู่ในมหาวิทยาลัยกว่าสามสิบรอบ!

ท้ายที่สุดทำเอารุ่นพี่คนนั้นเหนื่อยจนน้ำลายฟูมปาก ไล่ตามยังไงก็ไม่ทัน

อีกฝ่ายโมโหถึงกับสาบานว่า หลังจากนี้ถ้าเขายังหลอมกระดูกส่วนล่างไม่สำเร็จ จะไม่ต่อสู้ตัวต่อตัวกับหวังจินหยางอีก!

แน่นอนว่าฟางผิงไม่รู้เรื่องราวภายใน

พอได้ยินว่าหลอมกระดูกส่วนล่างนั้นดีกว่าส่วนบน ฟางผิงก็รีบถามว่า “พี่หวัง ถ้าผมเลือกหลอมกระดูกส่วนล่างก่อน พี่คิดว่าท่าจวงกงไหนเหมาะสม?”

“ท่าหม่าปู้! นี่เป็นท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกส่วนล่างเลือกเป็นอันดับแรก”

“…”

ทั้งสองคนพูดกันเรื่องฝึกวิชาอยู่นาน

หวังจินหยางไม่มีท่าทีหงุดหงิดใจแม้แต่น้อย หากพูดไม่ชัดเจน ฟางผิงฝึกมั่วซั่วอาจจะเกิดปัญหาได้ง่าย

หากบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องพลาดเกาเข่าปีนี้…

ระยะห่างหนึ่งปี ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ เลย

ในความคิดของหวังจินหยาง ฟางผิงไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนก็ไม่สาย ทั้งยังสามารถประหยัดเรื่องทรัพยากร

ถ้าฟางผิงใช้ทรัพยากรพวกนั้นอย่างประหยัด รวมกับของที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ก็เพียงพอให้ทะลวงขั้นสองแล้ว

แต่เขาเป็นคนที่ใช้ของสิ้นเปลือง เป็นไปได้ว่าหลังจากทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งก็คงหมดเกลี้ยงแล้ว

คิดจะหาหวงปินอีกคน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟางผิงจะหาเรื่องแบบนี้ได้อีกยังไงกัน

ฟางผิงพูดคุยกับเขาเกือบหนึ่งชั่วโมงเสียทีเดียว

เขารู้สึกว่าหวังจินหยางน่าสนใจไม่น้อย

แม้จะได้ส่วนแบ่งจากเขาไม่มาก แต่เหล่าหวังยังบริการหลังการขายได้อย่างดีเยี่ยม

เมื่อวางสาย ฟางผิงจึงค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก

บ่ายสามโมง ฟางผิงเริ่มฝึกวิชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยตัวเอง

เขาทำความเข้าใจกับการฝึกวิชาคร่าวๆ แล้ว แม้ว่าจะผิดพลาด อย่างมากก็นอนพักสักสองวันเท่านั้น ขอเพียงแค่ไม่รนหาที่ตาย ทำให้เส้นเดินปราณหลักบาดเจ็บหนัก

เขาไม่มีความสามารถหยั่งรู้ทางใน ทำได้เพียงอาศัยความรู้สึก

ฟางผิงถอดเสื้อผ้าท่อนบน รวบรวมสติฝึกวิชาตามภาพ (เคล็ดหลอมกระดูก) ไปพลาง ทั้งสังเกตปราณที่หมุนเวียนในร่างเขาไปพลาง

ยามที่ปราณบีบอัด เมื่อปราณแข็งแกร่งขึ้นมา ทางเดินปราณที่ปกติเว้าแหว่ง ก็จะนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ปวดอยู่ไม่น้อย…”

“ฝึกครั้งแรก ทางเดินปราณคงปรับตัวไม่ค่อยได้”

“หากผ่านครั้งแรกไปก็คงดีขึ้น สามารถใช้ศักยภาพอย่างไร้ขีดจำกัด”

“…”

ฟางผิงเอาแต่สรุปผลได้ผลเสีย ตอนที่ปราณบีบรัดใกล้ขมับ เขาก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง

หากเส้นเลือดระเบิดที่อื่นคงไม่อันตรายเท่าไหร่

แต่เส้นเลือดใกล้ศีรษะ หากแตกไปหนึ่งเส้น ล้วนสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้

ใน (เคล็ดหลอมกระดูก) ทางเดินปราณที่ไหลเวียนในศีรษะนั้นมีน้อย มีเพียงเส้นเดินปราณหลักเส้นเดียวเท่านั้น

ดีที่เคล็ดวิชาพื้นฐานนั้นยึดตามระบบไหลเวียนเลือด ไม่มีการเปิดเส้นปราณใหม่

ไม่นาน ฟางผิงก็โคจรปราณผ่านเส้นเลือดหลักบนศีรษะอย่างราบรื่น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ฟางผิงก็ทำการฝึกวิชาครั้งแรกสำเร็จ

“ราบรื่นดี!”

ฟางผิงแยกเขี้ยวยิงฟัน ปากบอกว่าราบรื่น ในใจกลับเริ่มก่นด่าขึ้นมา

ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเขามีแต่เลือดเปรอะเปื้อน

เส้นเลือดหลักไม่เป็นปัญหา แต่เส้นเลือดเล็กๆ จำนวนหนึ่งกลับฉีกขาด ทำให้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด

ตอนนี้ ถ้าฟางหยวนหรือหลี่อวี้อิงเข้ามาคงจะตกใจแน่ๆ

การฝึกวิชาครั้งแรกสำเร็จ ฟางผิงคิดว่าเส้นเลือดที่บวมเป่งอยู่ก่อนหน้านี้ ล้วนผ่อนคลายลงไม่น้อย

ส่วนเรื่องเลือดนั้นช่างเถอะ ยังไงเขาก็มีปราณเยอะอยู่แล้ว

รวบรวมสติมองกระดานเบื้องหน้า เขาอยากเห็นว่าครั้งนี้ปราณลดไปเท่าไหร่

ทรัพย์สิน : 3,370,800

ปราณ : 120 แคล

จิตใจ : 140 เฮิร์ท

“ลดลงไป 4 แคล ถ้าเป็นคนอื่น กินยาบำรุงหนึ่งเม็ดก็คงยากจะฟื้นฟูกลับมาอยู่ดี หมายความว่า ฝึกวิชาครั้งหนึ่ง เงินก็หายไปแสนหนึ่งแล้ว!”

ฟางผิงพูดไม่ออกอยู่บ้าง ตอนนี้จึงเข้าใจ ทำไม่ถึงมีนักเรียนเพียงส่วนน้อยที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่า

ถึงเงื่อนไขทุกอย่างจะครบแล้ว กลับต้องใช้เงินราวกับกระดาษ

ถ้าไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะ ใครจะไปยอมเสียเงินขนาดนี้กัน?

รวมทั้งยังอันตราย ส่วนมากต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วถึงจะได้เคล็ดวิชา ดังนั้นนักเรียนส่วนมากจึงไม่มีโอกาสนี้

แต่คนอื่นก็คือคนอื่น ฟางผิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้

หวังจินหยางกลัวว่าเขาจะใช้ทรัพยากรจนหมด ความจริงฟางผิงนั้นไม่คิดจะใช้ยาบำรุงพวกนั้น

เขาไม่ลังเลอีก เริ่มรวบรวมสมาธิอัพเกรดค่าปราณทันที

ทรัพย์สิน : 3,365,800

ปราณ : 125 แคล

จิตใจ : 140 เฮิรตซ์

“ขีดจำกัดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแคล!”

ฟางผิงตาเป็นประกาย การฝึกครั้งเดียว ทำให้ขีดจำกัดสูงขึ้นอีกหนึ่งแคล นี่ไม่นับว่าช้า

แน่นอนว่าสำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น

นักเรียนคนอื่นคิดจะฟื้นฟูปราณต้องใช้เวลาประมาณสามวัน สามวันเพิ่มหนึ่งแคล เสียเงินหนึ่งแสนหยวน คาดว่าคงจะมีหลายคนอยากใช้วิธีนี้มากกว่า

“เราฟื้นฟูปราณแล้ว ไม่ต้องรอให้ร่างกายดูดซึม คนอื่นสามวันฝึกครั้งหนึ่ง ส่วนเราขอแค่ร่างกายรับไหว จะกี่ครั้งก็ได้ทั้งนั้น…”

“ที่แท้ระบบก็ใช้อย่างนี้นี่เอง!”

“เหล่าหวัง ขั้นสามมันหมูๆ แล้ว นายรอเถอะ ถึงเวลานั้นนายจะต้องตะลึง!”

ฟางผิงพูดกับตัวเอง ใบหน้าปกปิดความยินดีไม่มิด รวมกับร่างกายที่เปื้อนเลือด ตอนนี้หากมีเด็กมาพบเข้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งไปแล้ว

—————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 40 ฝึกวิชาครั้งแรก

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 40 ฝึกวิชาครั้งแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 40 ฝึกวิชาครั้งแรก

การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็คงง่าย

ไม่ใช่ว่ารู้หนังสือก็สามารถทำได้

วิชาทั่วไปที่สอบตอนมัธยม ที่จริงก็เพื่อปูพื้นฐานในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพวกนี้

(เคล็ดหลอมกระดูก) เกี่ยวพันถึงความรู้ของระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงกระดูกทุกข้อส่วนของร่างกาย ถ้าคุณไม่รู้เรื่องการไหลเวียนของเลือดและปราณ มีเคล็ดวิชาอยู่ในมือก็เสียเปล่า คงไม่อาจฝึกได้ แต่ว่านี่เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐาน

เคล็ดวิชาพื้นฐานคืออะไร แน่นอนว่าเป็นการฝึกฝนทั่วไป

ดังนั้นจึงไม่ได้ลงลึกข้อมูลอะไรมาก

รวมทั้งระบบไหลเวียนของเลือดและปราณ ก็มีความเกี่ยวโยงกัน

โดยปกติ ถึงจะฝึกพลาดตั้งแต่เริ่ม ก็ไม่ทำให้ตาย อย่างน้อยคงจะบาดเจ็บเท่านั้น

ส่วนฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรก ฟางผิงคงยังไม่อาจถึงจุดนั้น

เขามีค่าปราณเพียง 124 แคล ถึงตอนฝึกจะเดินปราณผิดพลาด แรงโจมตีก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น

เทียบกับการเพิ่มปราณสิบแคลในครั้งเดียวแล้ว นับว่าอันตรายน้อยกว่ามาก

ก่อนจะฝึกวิชา ฟางผิงยังคงกังวลใจอยู่บ้าง

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโทรหาหวังจินหยาง

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง

หลายวันนี้หวังจินหยางฝึกฝนร่างกายจิตใจ เตรียมพร้อมที่จะทะลวงด่าน

ตอนที่รับโทรศัพท์ ได้ยินว่าฟางผิงจะฝึกวิชา หวังจินหยางก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “(เคล็ดหลอมกระดูก) นั้นฝึกได้ ถึงเริ่มแรกจะเกิดปัญหาก็ไม่เกิดผลร้ายแรงอะไร แต่ว่า…”

ฟางผิงยืดหูตั้งใจฟัง

“แต่มีบางเรื่องที่ฉันต้องเตือนนาย อย่างแรก การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จะต้องบีบอัดปราณ ใช้เลือดในการหลอมกระดูก เรื่องพวกนี้ล้วนใช้เลือดและปราณทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ปราณก็เพิ่มขึ้นได้ แม้ร่างกายจะสามารถให้กำเนิดปราณ แต่ก็ไม่อาจผลิตเร็วเท่าการใช้ เมื่อฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) ขีดจำกัดของปราณนายจะเพิ่มขึ้น แต่ว่าในความเป็นจริงค่าปราณนายจะลดลง ทั้งลดลงมากอย่างยิ่ง! หากบำรุงไม่ทัน เกาเข่าและด่านตรวจร่างกายที่ใกล้เข้ามาคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนาย สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสอบศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่ฝึกเคล็ดวิชา”

ฟางผิงขมวดคิ้ว “ปราณจะลดลง?”

“ใช่แล้ว!”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างขบขัน “การหลอมกระดูกต้องใช้ปราณมาหล่อเลี้ยง การหลอมเส้นลมปราณก็ต้องอาศัยปราณเหมือนกัน นายว่าจะสิ้นเปลืองเยอะหรือเปล่าล่ะ? สมมุติตอนนี้ปราณนายอยู่ที่ 120 แคล ฝึกเพียงครั้งเดียวก็อาจลดลงถึง 115 แคล ถึงการฟื้นฟูจะทำได้เร็วกว่าการเพิ่ม แต่ถ้านายกินยาบำรุงปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสามวันขึ้นไป กินยาวันละเม็ดต่อวัน นายคิดว่าเป็นเงินเท่าไหร่ล่ะ? ครอบครัวพร้อมสนับสนุนเท่าไหร่กัน? ถ้าบำรุงไม่ทัน ปราณลดลง ไม่อาจฟื้นฟูได้ ขีดจำกัดของปราณที่เพิ่มขึ้นจากการฝึกฝนก่อนหน้าก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ฟางผิง ในมือนายมีทรัพยากรอยู่ แต่ก็มีอย่างจำกัด ไม่อาจเอามาใช้มั่วซั่วได้ ในความเห็นฉัน เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนค่อยฝึกฝน ทั้งมหาวิทยาลัยจะจัดเตรียมทรัพยากรครึ่งหนึ่งให้นายด้วย แค่ต้องรอไม่กี่เดือนเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่านายผลาญเงินครอบครัวจนเกลี้ยง”

ฟางผิงไม่สนใจเรื่องนี้ ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “แต่ถ้าเพิ่มปราณได้ทัน ขีดจำกัดสูงสุดของปราณก็สามารถเพิ่มขึ้นได้?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น (เคล็ดหลอมกระดูก) จะทำให้ปราณของคนธรรมดาสูงขึ้นจนแตะขีดจำกัดได้ยังไง!”

“นายเพิ่งพูดถึงอย่างแรก แล้วนอกจากนี้ยังมีข้อเสียอะไรอีกล่ะ?”

“อย่างที่สอง!”

หวังจินหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งแรก “อย่างที่สอง การฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) จากค่าปราณของนาย คงไม่อาจเกิดความเสียหายร้ายแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่บาดเจ็บเลย! หากเส้นเดินปราณหลัก โดยเฉพาะส่วนที่ใกล้สมองได้รับบาดเจ็บ แม้จะรักษาหายได้ แต่ก็สามารถทำให้นายล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเดือนได้เหมือนกัน ฟางผิง ใกล้จะสอบเกาเข่าแล้ว นายต้องระวังตัวให้ดี การฝึกวิชาครั้งแรกนั้นอันตรายที่สุด ถ้าเจ็บหนัก นายอาจจะพลาดการสอบครั้งนี้ เส้นเลือดเล็กๆ ฉีกขาดคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงนายฟื้นฟูปราณก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วแล้ว แต่ไม่ใช่กับเส้นเดินปราณหลัก!”

“พี่หวัง ผมจะระวังแล้วกัน” ฟางผิงตอบกลับไป

ได้ยินฟางผิงพูดแบบนี้ หวังจินหยางก็รู้แล้วว่าเขาตัดสินใจแล้ว สั่นศีรษะ “แล้วแต่นายเถอะ ถ้าบาดเจ็บจริงๆ อย่างมากก็สอบใหม่ปีหน้า อันหนึ่งเสียเวลาหนึ่งปี อีกอันเสียเวลาไม่กี่เดือน นายตรึกตรองเองก็เพียงพอแล้ว”

หวังจินหยางไม่ใช่พ่อเขา ในเมื่อฟางผิงตัดสินใจแล้ว คงไม่อาจเกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้

พูดเรื่องนี้เสร็จแล้ว หวังจินหยางก็เอ่ยต่อ “จวงกงสิบหกท่านั้น นายคิดรึยังว่าจะเลือกอันไหน?”

“เรื่องนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ พี่หวังแนะนำให้หน่อยสิ?”

“หลักๆ ต้องดูหลังจากการเลือกทะลวงด่านขั้นหนึ่งของนาย”

หวังจินหยางเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หลอมกระดูกส่วนบน ค่อนข้างเหมาะสมกว่า ถูกต้องตามหลักการ ส่วนการหลอมกระดูกส่วนล่าง สามารถเคลื่อนไหวได้เร็ว ร่างกายช่วงล่างมั่นคงมีกำลัง แต่หลอมกระดูกด้านล่างก่อน อันตรายกว่าเล็กน้อย ถ้าบาดเจ็บ อาจทำให้ขากะเผลกได้ ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นายอาจจะเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเดินขาเผลกอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าบาดเจ็บช่วงบน คงมองไม่ออกอยู่แล้ว”

“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกส่วนล่าง แข็งแกร่งกว่าคนที่หลอมกระดูกส่วนบน?”

“นี่ขึ้นอยู่แต่ละคน ต้องดูการประมือในสถานการณ์จริง แต่ถ้าอยู่ในเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกส่วนล่าง ถึงจะสู้ไม่ได้ กลับสามารถวิ่งเร็ว ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกส่วนบนไม่อาจตามทันได้”

พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หวังจินหยางก็ยิ้ม “ตอนฉันอยู่ขั้นหนึ่งก็หลอมกระดูกส่วนล่างก่อน เลยวิ่งได้เร็วมากๆ ตอนที่ประมือกับรุ่นพี่ขั้นสอง รุ่นพี่คนนั้นเลือกหลอมกระดูกส่วนบนก่อน เพิ่งจะเริ่มหลอมกระดูกส่วนล่างไม่นาน ท้ายที่สุดฉันจึงเป็นฝ่ายชนะเขา!”

เหมือนหวังจินหยางจะเล่าให้ฟางผิงฟังขำๆ ความเป็นจริงเรื่องนี้กลับดังในเวลานั้นไม่น้อย

ทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด หวังจินหยางพารุ่นพี่คนนั้นวิ่งวนอยู่ในมหาวิทยาลัยกว่าสามสิบรอบ!

ท้ายที่สุดทำเอารุ่นพี่คนนั้นเหนื่อยจนน้ำลายฟูมปาก ไล่ตามยังไงก็ไม่ทัน

อีกฝ่ายโมโหถึงกับสาบานว่า หลังจากนี้ถ้าเขายังหลอมกระดูกส่วนล่างไม่สำเร็จ จะไม่ต่อสู้ตัวต่อตัวกับหวังจินหยางอีก!

แน่นอนว่าฟางผิงไม่รู้เรื่องราวภายใน

พอได้ยินว่าหลอมกระดูกส่วนล่างนั้นดีกว่าส่วนบน ฟางผิงก็รีบถามว่า “พี่หวัง ถ้าผมเลือกหลอมกระดูกส่วนล่างก่อน พี่คิดว่าท่าจวงกงไหนเหมาะสม?”

“ท่าหม่าปู้! นี่เป็นท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกส่วนล่างเลือกเป็นอันดับแรก”

“…”

ทั้งสองคนพูดกันเรื่องฝึกวิชาอยู่นาน

หวังจินหยางไม่มีท่าทีหงุดหงิดใจแม้แต่น้อย หากพูดไม่ชัดเจน ฟางผิงฝึกมั่วซั่วอาจจะเกิดปัญหาได้ง่าย

หากบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องพลาดเกาเข่าปีนี้…

ระยะห่างหนึ่งปี ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ เลย

ในความคิดของหวังจินหยาง ฟางผิงไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนก็ไม่สาย ทั้งยังสามารถประหยัดเรื่องทรัพยากร

ถ้าฟางผิงใช้ทรัพยากรพวกนั้นอย่างประหยัด รวมกับของที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ก็เพียงพอให้ทะลวงขั้นสองแล้ว

แต่เขาเป็นคนที่ใช้ของสิ้นเปลือง เป็นไปได้ว่าหลังจากทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งก็คงหมดเกลี้ยงแล้ว

คิดจะหาหวงปินอีกคน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟางผิงจะหาเรื่องแบบนี้ได้อีกยังไงกัน

ฟางผิงพูดคุยกับเขาเกือบหนึ่งชั่วโมงเสียทีเดียว

เขารู้สึกว่าหวังจินหยางน่าสนใจไม่น้อย

แม้จะได้ส่วนแบ่งจากเขาไม่มาก แต่เหล่าหวังยังบริการหลังการขายได้อย่างดีเยี่ยม

เมื่อวางสาย ฟางผิงจึงค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก

บ่ายสามโมง ฟางผิงเริ่มฝึกวิชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยตัวเอง

เขาทำความเข้าใจกับการฝึกวิชาคร่าวๆ แล้ว แม้ว่าจะผิดพลาด อย่างมากก็นอนพักสักสองวันเท่านั้น ขอเพียงแค่ไม่รนหาที่ตาย ทำให้เส้นเดินปราณหลักบาดเจ็บหนัก

เขาไม่มีความสามารถหยั่งรู้ทางใน ทำได้เพียงอาศัยความรู้สึก

ฟางผิงถอดเสื้อผ้าท่อนบน รวบรวมสติฝึกวิชาตามภาพ (เคล็ดหลอมกระดูก) ไปพลาง ทั้งสังเกตปราณที่หมุนเวียนในร่างเขาไปพลาง

ยามที่ปราณบีบอัด เมื่อปราณแข็งแกร่งขึ้นมา ทางเดินปราณที่ปกติเว้าแหว่ง ก็จะนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ปวดอยู่ไม่น้อย…”

“ฝึกครั้งแรก ทางเดินปราณคงปรับตัวไม่ค่อยได้”

“หากผ่านครั้งแรกไปก็คงดีขึ้น สามารถใช้ศักยภาพอย่างไร้ขีดจำกัด”

“…”

ฟางผิงเอาแต่สรุปผลได้ผลเสีย ตอนที่ปราณบีบรัดใกล้ขมับ เขาก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง

หากเส้นเลือดระเบิดที่อื่นคงไม่อันตรายเท่าไหร่

แต่เส้นเลือดใกล้ศีรษะ หากแตกไปหนึ่งเส้น ล้วนสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้

ใน (เคล็ดหลอมกระดูก) ทางเดินปราณที่ไหลเวียนในศีรษะนั้นมีน้อย มีเพียงเส้นเดินปราณหลักเส้นเดียวเท่านั้น

ดีที่เคล็ดวิชาพื้นฐานนั้นยึดตามระบบไหลเวียนเลือด ไม่มีการเปิดเส้นปราณใหม่

ไม่นาน ฟางผิงก็โคจรปราณผ่านเส้นเลือดหลักบนศีรษะอย่างราบรื่น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ฟางผิงก็ทำการฝึกวิชาครั้งแรกสำเร็จ

“ราบรื่นดี!”

ฟางผิงแยกเขี้ยวยิงฟัน ปากบอกว่าราบรื่น ในใจกลับเริ่มก่นด่าขึ้นมา

ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเขามีแต่เลือดเปรอะเปื้อน

เส้นเลือดหลักไม่เป็นปัญหา แต่เส้นเลือดเล็กๆ จำนวนหนึ่งกลับฉีกขาด ทำให้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด

ตอนนี้ ถ้าฟางหยวนหรือหลี่อวี้อิงเข้ามาคงจะตกใจแน่ๆ

การฝึกวิชาครั้งแรกสำเร็จ ฟางผิงคิดว่าเส้นเลือดที่บวมเป่งอยู่ก่อนหน้านี้ ล้วนผ่อนคลายลงไม่น้อย

ส่วนเรื่องเลือดนั้นช่างเถอะ ยังไงเขาก็มีปราณเยอะอยู่แล้ว

รวบรวมสติมองกระดานเบื้องหน้า เขาอยากเห็นว่าครั้งนี้ปราณลดไปเท่าไหร่

ทรัพย์สิน : 3,370,800

ปราณ : 120 แคล

จิตใจ : 140 เฮิร์ท

“ลดลงไป 4 แคล ถ้าเป็นคนอื่น กินยาบำรุงหนึ่งเม็ดก็คงยากจะฟื้นฟูกลับมาอยู่ดี หมายความว่า ฝึกวิชาครั้งหนึ่ง เงินก็หายไปแสนหนึ่งแล้ว!”

ฟางผิงพูดไม่ออกอยู่บ้าง ตอนนี้จึงเข้าใจ ทำไม่ถึงมีนักเรียนเพียงส่วนน้อยที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่า

ถึงเงื่อนไขทุกอย่างจะครบแล้ว กลับต้องใช้เงินราวกับกระดาษ

ถ้าไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะ ใครจะไปยอมเสียเงินขนาดนี้กัน?

รวมทั้งยังอันตราย ส่วนมากต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วถึงจะได้เคล็ดวิชา ดังนั้นนักเรียนส่วนมากจึงไม่มีโอกาสนี้

แต่คนอื่นก็คือคนอื่น ฟางผิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้

หวังจินหยางกลัวว่าเขาจะใช้ทรัพยากรจนหมด ความจริงฟางผิงนั้นไม่คิดจะใช้ยาบำรุงพวกนั้น

เขาไม่ลังเลอีก เริ่มรวบรวมสมาธิอัพเกรดค่าปราณทันที

ทรัพย์สิน : 3,365,800

ปราณ : 125 แคล

จิตใจ : 140 เฮิรตซ์

“ขีดจำกัดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแคล!”

ฟางผิงตาเป็นประกาย การฝึกครั้งเดียว ทำให้ขีดจำกัดสูงขึ้นอีกหนึ่งแคล นี่ไม่นับว่าช้า

แน่นอนว่าสำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น

นักเรียนคนอื่นคิดจะฟื้นฟูปราณต้องใช้เวลาประมาณสามวัน สามวันเพิ่มหนึ่งแคล เสียเงินหนึ่งแสนหยวน คาดว่าคงจะมีหลายคนอยากใช้วิธีนี้มากกว่า

“เราฟื้นฟูปราณแล้ว ไม่ต้องรอให้ร่างกายดูดซึม คนอื่นสามวันฝึกครั้งหนึ่ง ส่วนเราขอแค่ร่างกายรับไหว จะกี่ครั้งก็ได้ทั้งนั้น…”

“ที่แท้ระบบก็ใช้อย่างนี้นี่เอง!”

“เหล่าหวัง ขั้นสามมันหมูๆ แล้ว นายรอเถอะ ถึงเวลานั้นนายจะต้องตะลึง!”

ฟางผิงพูดกับตัวเอง ใบหน้าปกปิดความยินดีไม่มิด รวมกับร่างกายที่เปื้อนเลือด ตอนนี้หากมีเด็กมาพบเข้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งไปแล้ว

—————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+