ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 130 ระบบอัปเกรด (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 130 ระบบอัปเกรด (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 130 ระบบอัปเกรด (1)

ฟางผิงอยู่ในห้องเก็บศพกว่าหนึ่งชั่วโมง

เพราะมีคนตาย ฟางผิงจึงต้องออกไปช่วยยกศพหนึ่งครั้ง ตลอดเส้นทางกลับไม่พบเรื่องแปลกๆ อะไร

พวกเสี่ยวจ้าวต่างมองเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง เจ้าลูกไก่นี้ทำได้ไม่เลว เคยเห็นเลือดมาก่อนอย่างนั้นสินะ?

จวบจนเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน จ้าวเสวี่ยเหมยทนไม่ไหวจริงๆ จึงอ้วกออกมา

หลู่เฟิ่งโหรวเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารกลางวัน นึกไม่ถึงว่าจะพามากินสเต็กดิบ!

“อ้วกออกมาเดี๋ยวก็ชินแล้ว”

หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้สนใจนัก เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ในถ้ำใต้ดิน จุดไฟไม่ได้ ทำได้แค่กินเสบียงแห้งหรืออาหารดิบเท่านั้น แน่นอนว่าถ้านายมีพลังงานแร่ ก็จะสามารถกินอาหารสุกได้ แต่พลังงานแร่ เป็นสิ่งที่พวกนายมีได้งั้นเหรอ? อีกอย่าง ของสิ่งนั้นมีมูลค่า เอามาใช้ทำอาหาร ยังไม่สู้เอาไปเปลี่ยนเป็นยาบำรุง ภายหลังต้องทำความคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไว้”

ขณะที่พูด เธอมองไปทางฟางผิงว่า “รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้สวยหรูเหมือนที่คนธรรมดาคิดขนาดนั้น”

“นี่ก็ถูกแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์เสวยสุขมากมาย ต้องตายไวเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณ ตอนนี้อาจมีอยู่ แต่ต่อจากนี้ไปไม่แน่แล้ว”

“ครับ”

“เคยคิดจะขึ้นประลองแบบชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนหรือเปล่า?”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยปากว่า “การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายจะทำให้นายมีประสบการณ์มากขึ้น ลองสัมผัสความรู้สึกระหว่างความเป็นความตายสักหน่อย แน่นอนว่าไม่ได้บังคับ เรื่องนี้แล้วแต่นาย”

“ผมจะครุ่นคิดดู…”

“อาจารย์ ฉันอยากลองค่ะ!”

จ้าวเสวี่ยเหมยที่กำลังอาเจียน จู่ๆ ก็แทรกขึ้นมา!

หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เธออ่อนแอเกินไป”

“ฉันไม่ได้อ่อนแอ! ฉันหลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปราณแตะหนึ่งร้อยหกสิบเก้าแคล เรียนรู้เคล็ดวิชาต่อสู้ จวงกงใกล้เข้าสู่ระดับที่สอง การแทงเท้าก็สำเร็จเบื้องต้นแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอ! อย่างน้อยพวกคนบนสังเวียนในวันนี้ ฉันก็ไม่กลัวพวกเขาเลย!”

“ตอนนี้ไม่รีบ เธอไปรับภารกิจตามจับกุมหรือเข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นทั่วไปซะก่อน ถ้าอยากจะสัมผัสความเป็นความตายจริงๆ ต้องรอให้เธอมีประสบการณ์เป็นอันดับแรก ตอนนี้เธออ่อนหัดเกินไป!”

เธอไม่อนุญาตให้จ้าวเสวี่ยเหมยเข้าร่วมการประลองชี้เป็นชี้ตายเหมือนฟางผิง สำหรับจ้าวเสวี่ยเหมย เธออยากให้รอก่อน

“ฉันรับภารกิจได้แล้ว?”

“อื้ม ได้”

“เยี่ยมไปเลย!”

จ้าวเสวี่ยเหมยหน้าตาเบิกบานขึ้นมา ลืมความรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อครู่ไปเสียสิ้น

ฟางผิงมองเธออย่างแปลกๆ อยู่บ้าง ผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกัน?

จ้าวเสวี่ยเหมยกลับไม่มองเขา ครุ่นคิดก่อนจะกัดฟันกินสเต็กที่ชุ่มเลือด ใบหน้านั้นซีดเผือดจนหน้าตกใจ

กินอยู่สักพัก จู่ๆ จ้าวเสวี่ยเหมยก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้สีเลือดว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย!”

พูดจบ เจ้าตัวรีบวิ่งผลุบไปอย่างเร็ว

พอเธอไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวค่อยเอ่ยว่า “ไม่ต้องมองแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะไล่ตามความสามารถ พ่อของเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ตายระหว่างเข้าร่วมสงครามที่ถ้ำใต้ดินเทียนหนาน ครอบครัวยังมีบริษัทอีกแห่ง ไม่ใช่เล็กๆ เลย ตอนนี้พ่อเธอตายไปแล้ว มีแต่คนจับจ้องอยู่ ถ้าไม่มีความสามารถ คงรักษาไว้ไม่ได้ ยังดีหน่อยที่อยู่ในมหาวิทยาลัย รวมกับมีฉันเป็นอาจารย์เลยพอประคองไว้ได้ แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ยังไม่ถึงขั้นสี่ จะรักษาไว้ได้ยังไง? หากเสียบริษัทไป แม้ว่าจะแบ่งเงินให้เล็กๆ น้อยๆ เธอจะยอมอย่างนั้นเหรอ? คนมีแรงผลักดันถึงจะดี ไม่เหมือนนาย…”

ฟางผิงร้องทุกข์ว่า “อาจารย์ ผมก็มีแรงผลักดันเหมือนกัน ผมอยากแข็งแกร่งขึ้น อยากมีเงิน อยากให้ครอบครัวอยู่อย่างสุขสบาย…”

“อันนี้เรียกว่าแรงผลักดันแล้ว? แต่นายเหมือนจะเป็นคนกลัวตาย นี่เป็นเรื่องดี ไม่อยากตายถือเป็นแรงผลักดันเหมือนกัน”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยสัพยอก

ฟางผิงทำหน้ากระดากอาย พูดอย่างกับเธอไม่กลัวตายงั้นแหละ

“ช่วงบ่ายไปดูการประลองต่อ ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อคุ้นชินกับคาวเลือด แต่เพื่อเรียนรู้ เรียนรู้ความโหดเหี้ยมของผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปพวกนี้ เรียนรู้การจู่โจมที่คาดไม่ถึงของพวกเขา เรียนรู้การดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดของพวกเขา! วันนี้ดูจบแล้ว พรุ่งนี้พวกเธอลองไปเข้าร่วมการต่อสู้ตามธรรมเนียม คิดว่าไง?”

“การต่อสู้ตามธรรมเนียมมีคนตายหรือเปล่าครับ?”

“อยู่ที่ดวง ส่วนมากจะบาดเจ็บ น้อยนักที่จะตาย ไม่เหมือนการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย คนไม่ตายถึงจะแปลกกว่า”

“งั้น…งั้นผมจะลองดู”

ฟางผิงถอนหายใจ ไม่อาจเอาแต่หลบหลีกไปตลอดได้

การต่อสู้ตามธรรมเนียมยังคงปลอดภัยกว่ามาก หากแค่นี้ยังไม่กล้า คงเท่ากับว่าเรียนศิลปะการต่อสู้มาเสียเปล่า

บ่ายวันนั้นฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยต่างชมการต่อสู้อย่างตั้งใจ จดจ่อกับรายละเอียดยิบย่อยระหว่างการต่อสู้

ฟางผิงพบว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนพวกนี้ บางทีอาจเป็นเพราะปราณไม่สูง จึงหลอมกระดูกได้ไม่เยอะ แต่ฝีมือกลับไม่อ่อนด้อยเลย

หลายครั้งเห็นได้ชัดว่าถูกอีกฝ่ายปะทะจนเนื้อแหลกแล้ว แต่ยังสามารถดิ้นรนโจมตีกลับไปได้

ไม่เหมือนกับที่ฟางผิงเคยประลองในมหาวิทยาลัย ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้โหดเหี้ยมกว่าเยอะ

เวลานี้ฟางผิงค่อยรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปมีความแตกต่างเช่นกัน

พวกถานเจิ้นผิงนับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแค่ปราณ ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกแบบ อยากจะทะลวงขั้นให้สูงยิ่งขึ้น เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมที่แสวงหาทางเดินที่สูงกว่าเดิม!

พวกเขาไม่มีทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งไม่มีความสามารถเปิดบริษัทเพื่อหาเงิน

ดังนั้นคนพวกนี้จึงพุ่งความสนใจไปที่สนามมวยใต้ดินทั้งหมด

เข้าร่วมการต่อสู้บนสังเวียนหนึ่งครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งจะได้รับเงินประกันสองแสนหยวน ส่วนเงินพนัน ต้องดูที่ตัวเอง พนันเท่าไหร่ล้วนได้ทั้งนั้น!

ส่วนการล้มมวย ถ้าไม่กลัวตายก็ลองดู ที่นี่หากพนันให้คู่ต่อสู้ชนะ จบเกมไปแล้วอาจจะเป็นคุณที่ถูกฆ่าตายจริงๆ

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ขึ้นสังเวียน ปกติจะลงพนันตัวเอง เมื่อตายทุกอย่างจะจบไปด้วยกัน

ชนะจะได้เงินก้อนโต ขึ้นสังเวียนครั้งหนึ่งได้เงินห้าหกแสนถึงเป็นเรื่องปกติ

“ให้เหล่าหวังมาประลองได้ ตายก็ลากลงมา ชนะจะได้เงินก้อนโต”

ฟางผิงพึมพำในใจ หมอนั่นชอบทำให้รู้สึกว่ากำลังโกงอยู่เรื่อย กลับไม่รู้ว่าใครบางคนเคยต่อสู้บนสังเวียนมาก่อนเหมือนกัน

แน่นอน ผลปรากฏว่าต่อสู้มาหลายสังเวียน แต่แวดวงในหนานเจียงนั้นคับแคบ จึงถูกปฏิเสธไม่ให้ลงสนามอีก

ไม่เหมือนเซี่ยงไฮ้ มีผู้ฝึกยุทธ์เยอะ ตายไปบ้างก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว

ในหนานเจียง เสียผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามไปหนึ่งคน ก่อผลกระทบไม่ใช่น้อย

วันสุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกฟางผิงมาคฤหาสน์หลังเมื่อวานอีกครั้ง

ครั้งนี้เถ้าแก่ของที่นี่ออกมารอต้อนรับ

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยไปตรงๆ ว่า “จัดการให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้ตามธรรมเนียมหน่อย ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย”

“คนผู้นี้มีฝีมือระ…”

“หลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว”

ชายร่างกำยำขมวดคิ้วเล็กน้อย “ห่างชั้นกันอยู่บ้าง มีความเสี่ยง”

“ถ้าตายที่นี่ ก็สมควรแล้ว”

“ได้ รอสักครู่ ฉันจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”

ชายกำยำตอบรับ ก่อนจะมองไปยังฟางผิง “เทียบกันแล้วการต่อสู้ตามธรรมเนียมจะปลอดภัยกว่า ปกติจะไม่คิดฆ่าคู่ต่อสู้ หากออมมือได้ ก็หวังว่าคุณจะออมมือไว้ ทุกคนไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย แต่เป็นการต่อสู้ตามธรรมเนียม ไม่อยากให้เกิดการตายขึ้นมาจริงๆ”

ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย หลู่เฟิ่งโหรวกลับเอ่ยว่า “อย่าฟังคำพูดไร้สาระของเขา ไม่ฆ่าตายคงดีที่สุด แต่อย่าได้คิดออมมือ ไม่งั้นถ้าตายจะโทษคนอื่นไม่ได้”

ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ เงินรางวัลคิดยังไง?”

“ห้าหมื่นต่อสนาม”

“น้อยขนาดนี้เลย?”

“ใช่ คุณสามารถพนันตัวเองได้ คุณหลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย ให้อัตราพนันหนึ่งต่อสาม”

“ผมพนันล้านหนึ่งก็ได้?”

“ได้!”

เถ้าแก่ไม่กังวลแม้แต่น้อย หนึ่งล้านจะเท่าไหร่กันเชียว?

ค่าตั๋วเข้าที่นี่วันหนึ่งยังมากกว่านี้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วเงินหนึ่งล้านไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

ส่วนฟางผิงเอาความมั่นใจมาจากไหน นักศึกษาศิลปะการต่อสู้มีความมั่นใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อขึ้นเวทีไปจริงๆ นั้นเป็นอีกเรื่อง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

พวกฟางผิงมาถึงอีกสนามหนึ่ง ไม่ใช่สังเวียนเมื่อวานอีกแล้ว

ตอนที่ยังไม่ขึ้นเวที หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “การต่อสู้ตามธรรมเนียมสามารถยอมแพ้ได้ แต่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายนั้นไร้ประโยชน์ เว้นเสียว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากฆ่านาย นี่คือความแตกต่าง เข้าใจรึยัง?”

“ครับ”

“ฉันพนันข้างนายไปห้าล้าน แพ้แล้วต้องใช้ฉันคืนด้วย”

ฟางผิงมุมปากกระตุก อะไรกัน!

จ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ฉันพนันข้างนายไปล้านหนึ่งเหมือนกัน…”

ฟางผิงหน้าดำคล้ำ ฉันก็พนันตัวเองไปล้านหนึ่ง พวกเธอนี้ใจป้ำจริงๆ

การต่อสู้ตามธรรมเนียมผลแพ้ชนะไม่แน่นอน เพราะไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายที่มีผลตายตัว ที่นี่ยอมแพ้เป็นเรื่องปกติ ใครแพ้ใครชนะจึงคาดเดาได้ยาก

ดังนั้นการพนันต่อสู้นี้จึงมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก

“ผมขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทั้งสองขึ้นเวที ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย เฮยเมี่ยน(หน้าดำ)!”

บนเวที พิธีกรตะโกนเสียงดัง ไม่นานชายวัยกลางคนผิวดำขลับก็เดินขึ้นเวที

“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนกลาง เตาหวัง (ราชาดาบ)!”

——————–

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 130 ระบบอัปเกรด (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 130 ระบบอัปเกรด (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 130 ระบบอัปเกรด (1)

ฟางผิงอยู่ในห้องเก็บศพกว่าหนึ่งชั่วโมง

เพราะมีคนตาย ฟางผิงจึงต้องออกไปช่วยยกศพหนึ่งครั้ง ตลอดเส้นทางกลับไม่พบเรื่องแปลกๆ อะไร

พวกเสี่ยวจ้าวต่างมองเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง เจ้าลูกไก่นี้ทำได้ไม่เลว เคยเห็นเลือดมาก่อนอย่างนั้นสินะ?

จวบจนเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน จ้าวเสวี่ยเหมยทนไม่ไหวจริงๆ จึงอ้วกออกมา

หลู่เฟิ่งโหรวเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารกลางวัน นึกไม่ถึงว่าจะพามากินสเต็กดิบ!

“อ้วกออกมาเดี๋ยวก็ชินแล้ว”

หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้สนใจนัก เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ในถ้ำใต้ดิน จุดไฟไม่ได้ ทำได้แค่กินเสบียงแห้งหรืออาหารดิบเท่านั้น แน่นอนว่าถ้านายมีพลังงานแร่ ก็จะสามารถกินอาหารสุกได้ แต่พลังงานแร่ เป็นสิ่งที่พวกนายมีได้งั้นเหรอ? อีกอย่าง ของสิ่งนั้นมีมูลค่า เอามาใช้ทำอาหาร ยังไม่สู้เอาไปเปลี่ยนเป็นยาบำรุง ภายหลังต้องทำความคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไว้”

ขณะที่พูด เธอมองไปทางฟางผิงว่า “รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้สวยหรูเหมือนที่คนธรรมดาคิดขนาดนั้น”

“นี่ก็ถูกแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์เสวยสุขมากมาย ต้องตายไวเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณ ตอนนี้อาจมีอยู่ แต่ต่อจากนี้ไปไม่แน่แล้ว”

“ครับ”

“เคยคิดจะขึ้นประลองแบบชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนหรือเปล่า?”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยปากว่า “การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายจะทำให้นายมีประสบการณ์มากขึ้น ลองสัมผัสความรู้สึกระหว่างความเป็นความตายสักหน่อย แน่นอนว่าไม่ได้บังคับ เรื่องนี้แล้วแต่นาย”

“ผมจะครุ่นคิดดู…”

“อาจารย์ ฉันอยากลองค่ะ!”

จ้าวเสวี่ยเหมยที่กำลังอาเจียน จู่ๆ ก็แทรกขึ้นมา!

หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เธออ่อนแอเกินไป”

“ฉันไม่ได้อ่อนแอ! ฉันหลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปราณแตะหนึ่งร้อยหกสิบเก้าแคล เรียนรู้เคล็ดวิชาต่อสู้ จวงกงใกล้เข้าสู่ระดับที่สอง การแทงเท้าก็สำเร็จเบื้องต้นแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอ! อย่างน้อยพวกคนบนสังเวียนในวันนี้ ฉันก็ไม่กลัวพวกเขาเลย!”

“ตอนนี้ไม่รีบ เธอไปรับภารกิจตามจับกุมหรือเข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นทั่วไปซะก่อน ถ้าอยากจะสัมผัสความเป็นความตายจริงๆ ต้องรอให้เธอมีประสบการณ์เป็นอันดับแรก ตอนนี้เธออ่อนหัดเกินไป!”

เธอไม่อนุญาตให้จ้าวเสวี่ยเหมยเข้าร่วมการประลองชี้เป็นชี้ตายเหมือนฟางผิง สำหรับจ้าวเสวี่ยเหมย เธออยากให้รอก่อน

“ฉันรับภารกิจได้แล้ว?”

“อื้ม ได้”

“เยี่ยมไปเลย!”

จ้าวเสวี่ยเหมยหน้าตาเบิกบานขึ้นมา ลืมความรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อครู่ไปเสียสิ้น

ฟางผิงมองเธออย่างแปลกๆ อยู่บ้าง ผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกัน?

จ้าวเสวี่ยเหมยกลับไม่มองเขา ครุ่นคิดก่อนจะกัดฟันกินสเต็กที่ชุ่มเลือด ใบหน้านั้นซีดเผือดจนหน้าตกใจ

กินอยู่สักพัก จู่ๆ จ้าวเสวี่ยเหมยก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้สีเลือดว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย!”

พูดจบ เจ้าตัวรีบวิ่งผลุบไปอย่างเร็ว

พอเธอไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวค่อยเอ่ยว่า “ไม่ต้องมองแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะไล่ตามความสามารถ พ่อของเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ตายระหว่างเข้าร่วมสงครามที่ถ้ำใต้ดินเทียนหนาน ครอบครัวยังมีบริษัทอีกแห่ง ไม่ใช่เล็กๆ เลย ตอนนี้พ่อเธอตายไปแล้ว มีแต่คนจับจ้องอยู่ ถ้าไม่มีความสามารถ คงรักษาไว้ไม่ได้ ยังดีหน่อยที่อยู่ในมหาวิทยาลัย รวมกับมีฉันเป็นอาจารย์เลยพอประคองไว้ได้ แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ยังไม่ถึงขั้นสี่ จะรักษาไว้ได้ยังไง? หากเสียบริษัทไป แม้ว่าจะแบ่งเงินให้เล็กๆ น้อยๆ เธอจะยอมอย่างนั้นเหรอ? คนมีแรงผลักดันถึงจะดี ไม่เหมือนนาย…”

ฟางผิงร้องทุกข์ว่า “อาจารย์ ผมก็มีแรงผลักดันเหมือนกัน ผมอยากแข็งแกร่งขึ้น อยากมีเงิน อยากให้ครอบครัวอยู่อย่างสุขสบาย…”

“อันนี้เรียกว่าแรงผลักดันแล้ว? แต่นายเหมือนจะเป็นคนกลัวตาย นี่เป็นเรื่องดี ไม่อยากตายถือเป็นแรงผลักดันเหมือนกัน”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยสัพยอก

ฟางผิงทำหน้ากระดากอาย พูดอย่างกับเธอไม่กลัวตายงั้นแหละ

“ช่วงบ่ายไปดูการประลองต่อ ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อคุ้นชินกับคาวเลือด แต่เพื่อเรียนรู้ เรียนรู้ความโหดเหี้ยมของผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปพวกนี้ เรียนรู้การจู่โจมที่คาดไม่ถึงของพวกเขา เรียนรู้การดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดของพวกเขา! วันนี้ดูจบแล้ว พรุ่งนี้พวกเธอลองไปเข้าร่วมการต่อสู้ตามธรรมเนียม คิดว่าไง?”

“การต่อสู้ตามธรรมเนียมมีคนตายหรือเปล่าครับ?”

“อยู่ที่ดวง ส่วนมากจะบาดเจ็บ น้อยนักที่จะตาย ไม่เหมือนการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย คนไม่ตายถึงจะแปลกกว่า”

“งั้น…งั้นผมจะลองดู”

ฟางผิงถอนหายใจ ไม่อาจเอาแต่หลบหลีกไปตลอดได้

การต่อสู้ตามธรรมเนียมยังคงปลอดภัยกว่ามาก หากแค่นี้ยังไม่กล้า คงเท่ากับว่าเรียนศิลปะการต่อสู้มาเสียเปล่า

บ่ายวันนั้นฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยต่างชมการต่อสู้อย่างตั้งใจ จดจ่อกับรายละเอียดยิบย่อยระหว่างการต่อสู้

ฟางผิงพบว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนพวกนี้ บางทีอาจเป็นเพราะปราณไม่สูง จึงหลอมกระดูกได้ไม่เยอะ แต่ฝีมือกลับไม่อ่อนด้อยเลย

หลายครั้งเห็นได้ชัดว่าถูกอีกฝ่ายปะทะจนเนื้อแหลกแล้ว แต่ยังสามารถดิ้นรนโจมตีกลับไปได้

ไม่เหมือนกับที่ฟางผิงเคยประลองในมหาวิทยาลัย ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้โหดเหี้ยมกว่าเยอะ

เวลานี้ฟางผิงค่อยรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปมีความแตกต่างเช่นกัน

พวกถานเจิ้นผิงนับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแค่ปราณ ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกแบบ อยากจะทะลวงขั้นให้สูงยิ่งขึ้น เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมที่แสวงหาทางเดินที่สูงกว่าเดิม!

พวกเขาไม่มีทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งไม่มีความสามารถเปิดบริษัทเพื่อหาเงิน

ดังนั้นคนพวกนี้จึงพุ่งความสนใจไปที่สนามมวยใต้ดินทั้งหมด

เข้าร่วมการต่อสู้บนสังเวียนหนึ่งครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งจะได้รับเงินประกันสองแสนหยวน ส่วนเงินพนัน ต้องดูที่ตัวเอง พนันเท่าไหร่ล้วนได้ทั้งนั้น!

ส่วนการล้มมวย ถ้าไม่กลัวตายก็ลองดู ที่นี่หากพนันให้คู่ต่อสู้ชนะ จบเกมไปแล้วอาจจะเป็นคุณที่ถูกฆ่าตายจริงๆ

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ขึ้นสังเวียน ปกติจะลงพนันตัวเอง เมื่อตายทุกอย่างจะจบไปด้วยกัน

ชนะจะได้เงินก้อนโต ขึ้นสังเวียนครั้งหนึ่งได้เงินห้าหกแสนถึงเป็นเรื่องปกติ

“ให้เหล่าหวังมาประลองได้ ตายก็ลากลงมา ชนะจะได้เงินก้อนโต”

ฟางผิงพึมพำในใจ หมอนั่นชอบทำให้รู้สึกว่ากำลังโกงอยู่เรื่อย กลับไม่รู้ว่าใครบางคนเคยต่อสู้บนสังเวียนมาก่อนเหมือนกัน

แน่นอน ผลปรากฏว่าต่อสู้มาหลายสังเวียน แต่แวดวงในหนานเจียงนั้นคับแคบ จึงถูกปฏิเสธไม่ให้ลงสนามอีก

ไม่เหมือนเซี่ยงไฮ้ มีผู้ฝึกยุทธ์เยอะ ตายไปบ้างก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว

ในหนานเจียง เสียผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามไปหนึ่งคน ก่อผลกระทบไม่ใช่น้อย

วันสุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกฟางผิงมาคฤหาสน์หลังเมื่อวานอีกครั้ง

ครั้งนี้เถ้าแก่ของที่นี่ออกมารอต้อนรับ

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยไปตรงๆ ว่า “จัดการให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้ตามธรรมเนียมหน่อย ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย”

“คนผู้นี้มีฝีมือระ…”

“หลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว”

ชายร่างกำยำขมวดคิ้วเล็กน้อย “ห่างชั้นกันอยู่บ้าง มีความเสี่ยง”

“ถ้าตายที่นี่ ก็สมควรแล้ว”

“ได้ รอสักครู่ ฉันจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”

ชายกำยำตอบรับ ก่อนจะมองไปยังฟางผิง “เทียบกันแล้วการต่อสู้ตามธรรมเนียมจะปลอดภัยกว่า ปกติจะไม่คิดฆ่าคู่ต่อสู้ หากออมมือได้ ก็หวังว่าคุณจะออมมือไว้ ทุกคนไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย แต่เป็นการต่อสู้ตามธรรมเนียม ไม่อยากให้เกิดการตายขึ้นมาจริงๆ”

ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย หลู่เฟิ่งโหรวกลับเอ่ยว่า “อย่าฟังคำพูดไร้สาระของเขา ไม่ฆ่าตายคงดีที่สุด แต่อย่าได้คิดออมมือ ไม่งั้นถ้าตายจะโทษคนอื่นไม่ได้”

ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ เงินรางวัลคิดยังไง?”

“ห้าหมื่นต่อสนาม”

“น้อยขนาดนี้เลย?”

“ใช่ คุณสามารถพนันตัวเองได้ คุณหลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย ให้อัตราพนันหนึ่งต่อสาม”

“ผมพนันล้านหนึ่งก็ได้?”

“ได้!”

เถ้าแก่ไม่กังวลแม้แต่น้อย หนึ่งล้านจะเท่าไหร่กันเชียว?

ค่าตั๋วเข้าที่นี่วันหนึ่งยังมากกว่านี้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วเงินหนึ่งล้านไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

ส่วนฟางผิงเอาความมั่นใจมาจากไหน นักศึกษาศิลปะการต่อสู้มีความมั่นใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อขึ้นเวทีไปจริงๆ นั้นเป็นอีกเรื่อง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

พวกฟางผิงมาถึงอีกสนามหนึ่ง ไม่ใช่สังเวียนเมื่อวานอีกแล้ว

ตอนที่ยังไม่ขึ้นเวที หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “การต่อสู้ตามธรรมเนียมสามารถยอมแพ้ได้ แต่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายนั้นไร้ประโยชน์ เว้นเสียว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากฆ่านาย นี่คือความแตกต่าง เข้าใจรึยัง?”

“ครับ”

“ฉันพนันข้างนายไปห้าล้าน แพ้แล้วต้องใช้ฉันคืนด้วย”

ฟางผิงมุมปากกระตุก อะไรกัน!

จ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ฉันพนันข้างนายไปล้านหนึ่งเหมือนกัน…”

ฟางผิงหน้าดำคล้ำ ฉันก็พนันตัวเองไปล้านหนึ่ง พวกเธอนี้ใจป้ำจริงๆ

การต่อสู้ตามธรรมเนียมผลแพ้ชนะไม่แน่นอน เพราะไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายที่มีผลตายตัว ที่นี่ยอมแพ้เป็นเรื่องปกติ ใครแพ้ใครชนะจึงคาดเดาได้ยาก

ดังนั้นการพนันต่อสู้นี้จึงมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก

“ผมขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทั้งสองขึ้นเวที ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย เฮยเมี่ยน(หน้าดำ)!”

บนเวที พิธีกรตะโกนเสียงดัง ไม่นานชายวัยกลางคนผิวดำขลับก็เดินขึ้นเวที

“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนกลาง เตาหวัง (ราชาดาบ)!”

——————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 130 ระบบอัปเกรด (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 130 ระบบอัปเกรด (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 130 ระบบอัปเกรด (1)

ฟางผิงอยู่ในห้องเก็บศพกว่าหนึ่งชั่วโมง

เพราะมีคนตาย ฟางผิงจึงต้องออกไปช่วยยกศพหนึ่งครั้ง ตลอดเส้นทางกลับไม่พบเรื่องแปลกๆ อะไร

พวกเสี่ยวจ้าวต่างมองเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง เจ้าลูกไก่นี้ทำได้ไม่เลว เคยเห็นเลือดมาก่อนอย่างนั้นสินะ?

จวบจนเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน จ้าวเสวี่ยเหมยทนไม่ไหวจริงๆ จึงอ้วกออกมา

หลู่เฟิ่งโหรวเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารกลางวัน นึกไม่ถึงว่าจะพามากินสเต็กดิบ!

“อ้วกออกมาเดี๋ยวก็ชินแล้ว”

หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้สนใจนัก เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ในถ้ำใต้ดิน จุดไฟไม่ได้ ทำได้แค่กินเสบียงแห้งหรืออาหารดิบเท่านั้น แน่นอนว่าถ้านายมีพลังงานแร่ ก็จะสามารถกินอาหารสุกได้ แต่พลังงานแร่ เป็นสิ่งที่พวกนายมีได้งั้นเหรอ? อีกอย่าง ของสิ่งนั้นมีมูลค่า เอามาใช้ทำอาหาร ยังไม่สู้เอาไปเปลี่ยนเป็นยาบำรุง ภายหลังต้องทำความคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ไว้”

ขณะที่พูด เธอมองไปทางฟางผิงว่า “รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้สวยหรูเหมือนที่คนธรรมดาคิดขนาดนั้น”

“นี่ก็ถูกแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์เสวยสุขมากมาย ต้องตายไวเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณ ตอนนี้อาจมีอยู่ แต่ต่อจากนี้ไปไม่แน่แล้ว”

“ครับ”

“เคยคิดจะขึ้นประลองแบบชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนหรือเปล่า?”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยปากว่า “การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายจะทำให้นายมีประสบการณ์มากขึ้น ลองสัมผัสความรู้สึกระหว่างความเป็นความตายสักหน่อย แน่นอนว่าไม่ได้บังคับ เรื่องนี้แล้วแต่นาย”

“ผมจะครุ่นคิดดู…”

“อาจารย์ ฉันอยากลองค่ะ!”

จ้าวเสวี่ยเหมยที่กำลังอาเจียน จู่ๆ ก็แทรกขึ้นมา!

หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เธออ่อนแอเกินไป”

“ฉันไม่ได้อ่อนแอ! ฉันหลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปราณแตะหนึ่งร้อยหกสิบเก้าแคล เรียนรู้เคล็ดวิชาต่อสู้ จวงกงใกล้เข้าสู่ระดับที่สอง การแทงเท้าก็สำเร็จเบื้องต้นแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอ! อย่างน้อยพวกคนบนสังเวียนในวันนี้ ฉันก็ไม่กลัวพวกเขาเลย!”

“ตอนนี้ไม่รีบ เธอไปรับภารกิจตามจับกุมหรือเข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นทั่วไปซะก่อน ถ้าอยากจะสัมผัสความเป็นความตายจริงๆ ต้องรอให้เธอมีประสบการณ์เป็นอันดับแรก ตอนนี้เธออ่อนหัดเกินไป!”

เธอไม่อนุญาตให้จ้าวเสวี่ยเหมยเข้าร่วมการประลองชี้เป็นชี้ตายเหมือนฟางผิง สำหรับจ้าวเสวี่ยเหมย เธออยากให้รอก่อน

“ฉันรับภารกิจได้แล้ว?”

“อื้ม ได้”

“เยี่ยมไปเลย!”

จ้าวเสวี่ยเหมยหน้าตาเบิกบานขึ้นมา ลืมความรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อครู่ไปเสียสิ้น

ฟางผิงมองเธออย่างแปลกๆ อยู่บ้าง ผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกัน?

จ้าวเสวี่ยเหมยกลับไม่มองเขา ครุ่นคิดก่อนจะกัดฟันกินสเต็กที่ชุ่มเลือด ใบหน้านั้นซีดเผือดจนหน้าตกใจ

กินอยู่สักพัก จู่ๆ จ้าวเสวี่ยเหมยก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้สีเลือดว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย!”

พูดจบ เจ้าตัวรีบวิ่งผลุบไปอย่างเร็ว

พอเธอไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวค่อยเอ่ยว่า “ไม่ต้องมองแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะไล่ตามความสามารถ พ่อของเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ตายระหว่างเข้าร่วมสงครามที่ถ้ำใต้ดินเทียนหนาน ครอบครัวยังมีบริษัทอีกแห่ง ไม่ใช่เล็กๆ เลย ตอนนี้พ่อเธอตายไปแล้ว มีแต่คนจับจ้องอยู่ ถ้าไม่มีความสามารถ คงรักษาไว้ไม่ได้ ยังดีหน่อยที่อยู่ในมหาวิทยาลัย รวมกับมีฉันเป็นอาจารย์เลยพอประคองไว้ได้ แต่เมื่อเรียนจบแล้ว ยังไม่ถึงขั้นสี่ จะรักษาไว้ได้ยังไง? หากเสียบริษัทไป แม้ว่าจะแบ่งเงินให้เล็กๆ น้อยๆ เธอจะยอมอย่างนั้นเหรอ? คนมีแรงผลักดันถึงจะดี ไม่เหมือนนาย…”

ฟางผิงร้องทุกข์ว่า “อาจารย์ ผมก็มีแรงผลักดันเหมือนกัน ผมอยากแข็งแกร่งขึ้น อยากมีเงิน อยากให้ครอบครัวอยู่อย่างสุขสบาย…”

“อันนี้เรียกว่าแรงผลักดันแล้ว? แต่นายเหมือนจะเป็นคนกลัวตาย นี่เป็นเรื่องดี ไม่อยากตายถือเป็นแรงผลักดันเหมือนกัน”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยสัพยอก

ฟางผิงทำหน้ากระดากอาย พูดอย่างกับเธอไม่กลัวตายงั้นแหละ

“ช่วงบ่ายไปดูการประลองต่อ ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อคุ้นชินกับคาวเลือด แต่เพื่อเรียนรู้ เรียนรู้ความโหดเหี้ยมของผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปพวกนี้ เรียนรู้การจู่โจมที่คาดไม่ถึงของพวกเขา เรียนรู้การดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดของพวกเขา! วันนี้ดูจบแล้ว พรุ่งนี้พวกเธอลองไปเข้าร่วมการต่อสู้ตามธรรมเนียม คิดว่าไง?”

“การต่อสู้ตามธรรมเนียมมีคนตายหรือเปล่าครับ?”

“อยู่ที่ดวง ส่วนมากจะบาดเจ็บ น้อยนักที่จะตาย ไม่เหมือนการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย คนไม่ตายถึงจะแปลกกว่า”

“งั้น…งั้นผมจะลองดู”

ฟางผิงถอนหายใจ ไม่อาจเอาแต่หลบหลีกไปตลอดได้

การต่อสู้ตามธรรมเนียมยังคงปลอดภัยกว่ามาก หากแค่นี้ยังไม่กล้า คงเท่ากับว่าเรียนศิลปะการต่อสู้มาเสียเปล่า

บ่ายวันนั้นฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยต่างชมการต่อสู้อย่างตั้งใจ จดจ่อกับรายละเอียดยิบย่อยระหว่างการต่อสู้

ฟางผิงพบว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนพวกนี้ บางทีอาจเป็นเพราะปราณไม่สูง จึงหลอมกระดูกได้ไม่เยอะ แต่ฝีมือกลับไม่อ่อนด้อยเลย

หลายครั้งเห็นได้ชัดว่าถูกอีกฝ่ายปะทะจนเนื้อแหลกแล้ว แต่ยังสามารถดิ้นรนโจมตีกลับไปได้

ไม่เหมือนกับที่ฟางผิงเคยประลองในมหาวิทยาลัย ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้โหดเหี้ยมกว่าเยอะ

เวลานี้ฟางผิงค่อยรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปมีความแตกต่างเช่นกัน

พวกถานเจิ้นผิงนับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแค่ปราณ ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกแบบ อยากจะทะลวงขั้นให้สูงยิ่งขึ้น เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมที่แสวงหาทางเดินที่สูงกว่าเดิม!

พวกเขาไม่มีทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งไม่มีความสามารถเปิดบริษัทเพื่อหาเงิน

ดังนั้นคนพวกนี้จึงพุ่งความสนใจไปที่สนามมวยใต้ดินทั้งหมด

เข้าร่วมการต่อสู้บนสังเวียนหนึ่งครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งจะได้รับเงินประกันสองแสนหยวน ส่วนเงินพนัน ต้องดูที่ตัวเอง พนันเท่าไหร่ล้วนได้ทั้งนั้น!

ส่วนการล้มมวย ถ้าไม่กลัวตายก็ลองดู ที่นี่หากพนันให้คู่ต่อสู้ชนะ จบเกมไปแล้วอาจจะเป็นคุณที่ถูกฆ่าตายจริงๆ

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ขึ้นสังเวียน ปกติจะลงพนันตัวเอง เมื่อตายทุกอย่างจะจบไปด้วยกัน

ชนะจะได้เงินก้อนโต ขึ้นสังเวียนครั้งหนึ่งได้เงินห้าหกแสนถึงเป็นเรื่องปกติ

“ให้เหล่าหวังมาประลองได้ ตายก็ลากลงมา ชนะจะได้เงินก้อนโต”

ฟางผิงพึมพำในใจ หมอนั่นชอบทำให้รู้สึกว่ากำลังโกงอยู่เรื่อย กลับไม่รู้ว่าใครบางคนเคยต่อสู้บนสังเวียนมาก่อนเหมือนกัน

แน่นอน ผลปรากฏว่าต่อสู้มาหลายสังเวียน แต่แวดวงในหนานเจียงนั้นคับแคบ จึงถูกปฏิเสธไม่ให้ลงสนามอีก

ไม่เหมือนเซี่ยงไฮ้ มีผู้ฝึกยุทธ์เยอะ ตายไปบ้างก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว

ในหนานเจียง เสียผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามไปหนึ่งคน ก่อผลกระทบไม่ใช่น้อย

วันสุดท้ายของเดือนตุลาคม พวกฟางผิงมาคฤหาสน์หลังเมื่อวานอีกครั้ง

ครั้งนี้เถ้าแก่ของที่นี่ออกมารอต้อนรับ

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยไปตรงๆ ว่า “จัดการให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้ตามธรรมเนียมหน่อย ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย”

“คนผู้นี้มีฝีมือระ…”

“หลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว”

ชายร่างกำยำขมวดคิ้วเล็กน้อย “ห่างชั้นกันอยู่บ้าง มีความเสี่ยง”

“ถ้าตายที่นี่ ก็สมควรแล้ว”

“ได้ รอสักครู่ ฉันจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”

ชายกำยำตอบรับ ก่อนจะมองไปยังฟางผิง “เทียบกันแล้วการต่อสู้ตามธรรมเนียมจะปลอดภัยกว่า ปกติจะไม่คิดฆ่าคู่ต่อสู้ หากออมมือได้ ก็หวังว่าคุณจะออมมือไว้ ทุกคนไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย แต่เป็นการต่อสู้ตามธรรมเนียม ไม่อยากให้เกิดการตายขึ้นมาจริงๆ”

ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย หลู่เฟิ่งโหรวกลับเอ่ยว่า “อย่าฟังคำพูดไร้สาระของเขา ไม่ฆ่าตายคงดีที่สุด แต่อย่าได้คิดออมมือ ไม่งั้นถ้าตายจะโทษคนอื่นไม่ได้”

ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ เงินรางวัลคิดยังไง?”

“ห้าหมื่นต่อสนาม”

“น้อยขนาดนี้เลย?”

“ใช่ คุณสามารถพนันตัวเองได้ คุณหลอมกระดูกสี่สิบชิ้นแล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย ให้อัตราพนันหนึ่งต่อสาม”

“ผมพนันล้านหนึ่งก็ได้?”

“ได้!”

เถ้าแก่ไม่กังวลแม้แต่น้อย หนึ่งล้านจะเท่าไหร่กันเชียว?

ค่าตั๋วเข้าที่นี่วันหนึ่งยังมากกว่านี้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วเงินหนึ่งล้านไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

ส่วนฟางผิงเอาความมั่นใจมาจากไหน นักศึกษาศิลปะการต่อสู้มีความมั่นใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อขึ้นเวทีไปจริงๆ นั้นเป็นอีกเรื่อง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

พวกฟางผิงมาถึงอีกสนามหนึ่ง ไม่ใช่สังเวียนเมื่อวานอีกแล้ว

ตอนที่ยังไม่ขึ้นเวที หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “การต่อสู้ตามธรรมเนียมสามารถยอมแพ้ได้ แต่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายนั้นไร้ประโยชน์ เว้นเสียว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากฆ่านาย นี่คือความแตกต่าง เข้าใจรึยัง?”

“ครับ”

“ฉันพนันข้างนายไปห้าล้าน แพ้แล้วต้องใช้ฉันคืนด้วย”

ฟางผิงมุมปากกระตุก อะไรกัน!

จ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ฉันพนันข้างนายไปล้านหนึ่งเหมือนกัน…”

ฟางผิงหน้าดำคล้ำ ฉันก็พนันตัวเองไปล้านหนึ่ง พวกเธอนี้ใจป้ำจริงๆ

การต่อสู้ตามธรรมเนียมผลแพ้ชนะไม่แน่นอน เพราะไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายที่มีผลตายตัว ที่นี่ยอมแพ้เป็นเรื่องปกติ ใครแพ้ใครชนะจึงคาดเดาได้ยาก

ดังนั้นการพนันต่อสู้นี้จึงมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก

“ผมขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทั้งสองขึ้นเวที ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย เฮยเมี่ยน(หน้าดำ)!”

บนเวที พิธีกรตะโกนเสียงดัง ไม่นานชายวัยกลางคนผิวดำขลับก็เดินขึ้นเวที

“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนกลาง เตาหวัง (ราชาดาบ)!”

——————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+