ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 67 กลับหยางเฉิง

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 67 กลับหยางเฉิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 67 กลับหยางเฉิง

ห้องทำงานรองผู้อำนวยการ

จางหย่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างเนิบช้า “เหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นายเป็นพิเศษ…ตอนนี้หน่วยทหารและหน่วยสืบสวนของรุ่ยหยางได้ร่วมมือกันเก็บกวาดเรื่องนี้แล้ว นายไม่ต้องกังวลว่าจะมีการแก้แค้นหรอก แน่นอนว่าถ้านายไม่วางใจ ทางหน่วยสืบสวนของหยางเฉิงสามารถส่งคนไปคุ้มครองนายระยะหนึ่งได้ จนกว่าเรื่องนี้จะถูกจัดการอย่างเสร็จสม…”

แม้ฟางผิงจะรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะถูกล้างแค้น และถ้ามีคนจับตามองเขาอยู่ อาจจะอึดอัดอยู่บ้าง

แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของเขา ทั้งความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงผงกหัวรับ “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุ้มครองครอบครัวผมด้วย”

“ไม่มีปัญหา รอนายกลับหยางเฉิงแล้ว พวกเราจะจัดการทันที”

ตอนนี้จางหย่งแทบอยากจะส่งเจ้าเด็กนี่ออกไปให้เร็วที่สุด ยังไงการคุ้มครองก็เป็นเรื่องของพวกใต้บังคับบัญชาอยู่แล้ว เขาไม่ต้องเดือดร้อนอะไร

หลังจากนั้นจางหย่งยังเอ่ยชมฟางผิงต่อหลายประโยค

พูดประมาณว่า ‘ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย’ ‘ความภาคภูมิใจของสวรรค์’ ‘เด็กหนุ่มอนาคตไกล’…

หากเป็นนักเรียนคนอื่น ถูกจางหย่งชมแบบนี้ คงตัวลอยไปนานแล้ว

อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง มีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการหน่วยสืบสวนของรุ่ยหยาง นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในรุ่ยหยางเหมือนกัน

แต่ฟางผิงกลับไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง รอเขาพูดจบแล้ว ค่อยเอ่ยอย่างกระดากอายอยู่บ้าง “รองผู้อำนวยการจาง ผมเคยได้ยินพี่ชายบอกว่า จับคนร้ายช่วยทางการ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีรางวัลให้ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

จางหย่งมุมปากกระตุก สรุปแล้วฉันชมเสียน้ำลายเปล่าสินะ?

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจางหย่งจะอธิบายว่า “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ แต่ต้องมีลำดับขั้นตอน ภารกิจช่วยเหลือแบบนี้ เหมาะกับนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ บางครั้งหน่วยสืบสวนขาดแคลนคน ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะขอความร่วมมือ ส่งภารกิจให้ทางมหาวิทยาลัย พวกเราติดต่อกับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่ไดเจาะจงคนใดคนหนึ่ง ไม่งั้นคงจะทำลายระบบระเบียบไปหมด…”

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย หากทุกคนสามารถรับภารกิจเหมือนหน่วยสืบสวนได้หมด มีอำนาจอยู่ในมือ แล้วยังจะมีหน่วยสืบสวนไว้ทำอะไร!

เรื่องแบบนี้หน่วยสืบสวนจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เท่านั้น

รวมถึงภารกิจบางอย่างของหน่วยทหาร ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ในสายตาของทุกคน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐบาล นักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถือว่าอยู่ในระบบเดียวกับพวกเขา

ประจวบเหมาะที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อยากให้พวกนักศึกษามีประสบการณ์ ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งคู่ จึงทำให้พวกหวังจินหยางได้มีโอกาสออกทำภารกิจแบบนี้

ฟางผิงไม่ใช่นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ แม้ครั้งนี้เขาจะให้ความช่วยเหลือ ทว่ากลับไม่ได้เข้าในหลักเกณฑ์นี้

ฟางผิงได้ฟัง ชั่วขณะนั้นจึงถกเสื้อขึ้นมาทันที เผยร่องรอยฟกช้ำดำเขียวบนแขนทั้งสองข้างให้จางหย่งดู

“ครั้งนี้ผมได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะมีผลกระทบกับการฝึกวิชาหรือเปล่า…”

จางหย่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตรึกตรองพักหนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “นักเรียนฟางผิง นี่ไม่เข้าเกณฑ์ของเราจริงๆ พวกเราไม่ใช่หน่วยงานเอกชน บางเรื่องยังต้องยึดตามระบบระเบียบ เอาอย่างนี้เถอะ…”

ตระหนักได้ว่า ฟางผิงเป็นปัญหาที่ใหญ่พอตัว จางหย่งจึงพิจารณาอยู่พักหนึ่ง “พวกเราจะส่งเรื่องให้เบื้องบน อาศัยเรื่อง ‘กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง’ มอบรางวัลและเงินปลอบใจให้นักเรียนฟางผิง นายคิดว่ายังไง?”

“เป็นเงินประมาณเท่าไหร่เหรอครับ?” ฟางผิงแสร้งถามอย่างใสซื่อ

จางหย่งกระแอมไอเบาๆ “อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พวกเราจะพยายามช่วงชิงเพื่อนาย…”

ความหมายคือไม่อาจพูดได้ชัดเจน เงินคงไม่มากมายเท่าไหร่

อย่างมากน่าจะประมาณสี่ห้าหมื่น น้อยที่สุดคงสักหมื่น

ส่วนเงินหลักแสนหลักล้านในจินตนาการฟางผิง นั่นแทบไม่ต่างอะไรจากฝันหวาน

ตอนแรกหวังจินหยางรับภารกิจของหวงปิน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เกือบทะลวงขั้นสามยังได้แค่สามแสนเอง

พอหวงปินหนีไป หยางเฉิงค่อยเพิ่มค่าหัวให้

ครั้งนี้ฟางผิงแค่ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย เขาไม่ได้จับคน ทั้งไม่ได้สังหารคนร้าย เงินไม่กี่หมื่นที่ได้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าหวังจินหยางเท่านั้น

ฟางผิงเห็นท่าทีของเขา รู้ทันทีว่า คงไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว

เพื่อเงินไม่กี่หมื่น กลับต้องยื่นเรื่องให้เบื้องบน ทั้งยังลากหวังจินหยางมาเกี่ยวข้อง ไม่คุ้มค่าจริงๆ

นอกจากนี้ฟางผิงยังกังวลว่า หากทำเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าพวกบ้านั้นรู้เข้า จะมาล้างแค้นเขาอีก

หากตอนนี้ให้รางวัลเขาเป็นยาบำรุงไม่กี่เม็ด หรือเงินสด เขาคงจะยอมรับไว้

พอรู้ว่าต้องยื่นเรื่องให้เบื้องบน ฟางผิงทำได้เพียงโยนความคิดนี้ทิ้งไป แสร้งเอ่ยเสียงดัง “ช่างเถอะครับ ขึ้นชื่อว่าเด็กสมัยใหม่ ช่วยเหลือรัฐบาล ขจัดเภทภัยให้ผู้คน เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องทำอยู่แล้ว ทั้งครั้งนี้โชคดีที่รองผู้อำนวยการจางช่วยชีวิตผมเอาไว้ เมื่อครู่แค่พูดขำๆ เท่านั้น รองผู้อำนวยการอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังเลย”

ตอนนี้เป็นจางหย่งที่แปลกใจแทน ตอนแรกเด็กนี้ทำท่าเหมือนจะไม่ปล่อยเงินให้หลุดลอยแม้แต่หยวนเดียว เขายังคิดว่าจะไล่กลับไปไม่ได้ง่ายๆ ซะอีก

คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นคนพูดง่ายขนาดนี้!

แต่ฟางผิงไม่เกาะแกะเขา ถือเป็นเรื่องดี จางหย่งรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นักเรียนฟางผิงใจกว้างเหมือนที่คิดไว้จริงๆ พอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ต้องไปได้ไกลแน่ๆ…”

จางหย่งแค่อ้าปาก คำชมก็พรั่งพรูออกมาราวกับสั่งได้

พอไม่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง จางหย่งจึงเกรงใจกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย

พยายามคลายข้อสงสัยที่ฟางผิงอยากรู้เท่าที่ทำได้

ตอนที่บอกลากัน จางหย่งยังดึงดันจะไปส่งฟางผิงออกจากประตูให้ได้ ฟางผิงไม่ปฏิเสธเช่นกัน

ฟางผิงเดินไป พลางถามขึ้นมาว่า “รองผู้อำนวยการจาง พบเจอเรื่องอย่างวันนี้บ่อยหรือเปล่า?”

“ไม่บ่อย นี่เป็นฝีมือของพวกที่ชอบปลุกปั่นสร้างเรื่อง น้อยครั้งจะเกิดคดีร้ายแรงแบบนี้ ครั้งนี้เพราะว่า…”

จางหย่งชะงักไป ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงอธิบายต่อ “ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้ว่าจางนำทีมไปสมทบกับเทียนหนาน คนฝีมือดีของหนานเจียงส่วนหนึ่งไปรวมตัวที่เทียนหนาน พวกนอกรีตเห็นโอกาสเลยทำเรื่องอย่างไม่เกรงกลัวอะไร…”

“ผู้ว่าจางไปปฏิบัติภารกิจต่างถิ่น?”

ฟางผิงพึมพำ ไม่ได้ซักไซ้เรื่องนี้ต่อ มองจากท่าทีของจางหย่ง คงจะพูดอะไรมากไม่ได้แล้ว

ตอนที่เดินมาถึงที่จอดรถ ฟางผิงคล้ายจะนึกคำถามอะไรขึ้นมาได้ “รองผู้อำนวยการจาง ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า บางครั้งภารกิจช่วยเหลือการจับกุมจะอาศัยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นี่หมายความว่า นักศึกษาพวกนี้มีพลังพร้อมที่จะต่อสู้?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

“แต่ก่อนหน้านี้ผมคุยกับรองผู้อำนวยการถาน เขาคิดว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น…”

จางหย่งแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ว่าแบบนี้ดีกว่า ผู้ฝึกยุทธ์สมัยนี้แบ่งเป็นสามประเภทหลัก หนึ่งคือนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ สองคือผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหาร สามคือผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไป หรือจะเพิ่มเข้าไปอีกประเภทหนึ่งคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่สืบทอดจากตระกูล แต่คนแบบนี้มักจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ หรือผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหาร ต่างให้ความสำคัญกับการต่อสู้เป็นหลัก ลำดับขั้นนั้นเป็นเรื่องรอง ผู้ฝึกยุทธ์สองแบบนี้ เป็นกระแสหลักของสังคม ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป อันที่จริงไม่ค่อยถูกยอมรับในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์เท่าไหร่ หลายคนคิดว่า ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปบกพร่องเรื่องสติปัญญา ทั้งยังไม่ชำนาญการต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ฉลาดเฉลียว ทั้งสู้ไม่เป็น ยังจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ยังไง? คนแบบนี้เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่พิการไม่ได้ด้วยซ้ำ นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ เพียบพร้อมทั้งความรู้และพลังต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์หน่วยทหาร อาจจะขาดแคลนเรื่องวิชาการความรู้ไปบ้าง แต่การต่อสู้ไม่อ่อนด้อยอย่างแน่นอน มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ส่วนมากไม่มีอะไรดีสักอย่าง มีแค่ลำดับขั้นเท่านั้น นายบอกว่า รองผู้อำนวยการถาน คงเป็นถานเจิ้นผิงสินะ? เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ ไม่ค่อยเข้าใจอะไรหรอก นายอย่าสนใจคำพูดของเขานักเลย”

จางหย่งไม่เห็นถานเจิ้นผิงในสายตาอยู่แล้ว เขาไม่คิดปกปิดสักนิด แสดงให้ฟางผิงฟังเห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับถานเจิ้นผิง

ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้ อันที่จริงแค่เอาตำแหน่งของผู้ฝึกยุทธ์มาคล้องคอ เพื่อสามารถใช้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปนั้นแทบไม่เป็นที่ยอมรับ เว้นแต่ว่าเขาจะใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง

ฟางผิงได้ฟังเขาพูด จึงเอ่ยคล้ายคิดอะไรอยู่ “ความหมายของคุณคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงต้องมีพลังในการต่อสู้ ไม่ใช่เป็นดอกไม้ประดับในแจกัน…”

“ถูกต้อง!”

“แต่ว่า…ในสมัยนี้ยังมีพื้นที่ให้เราทำการต่อสู้เหรอครับ?”

ฟางผิงเพิ่งพูดจบ จางหย่งแค่นหัวเราะออกมาทันที “นายคิดว่าไงล่ะ? เหตุการณ์วันนี้ หรือนายยังสัมผัสไม่ได้อีก? ถึงเรื่องแบบนี้จะมีโอกาสเกิดน้อย กลับไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้น ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หากแตะถึงขั้นสาม ปืนธรรมดาคงทำให้พวกเขาเกรงกลัวไม่ได้แล้ว จะให้ขับรถถังออกปฏิบัติทุกภารกิจเป็นไปไม่ได้หรอก?”

ที่จริงมีบางเรื่องที่จางหย่งไม่ได้พูด เช่นเรื่องถ้ำใต้ดิน…

แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้เข้าใจลึกซึ้ง ตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเท่านั้น

โดยปกติ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปถึงจะเข้าใจเรื่องลึกลับภายในพวกนี้ได้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอย่างพวกเขา รับผิดชอบแค่ภารกิจในขอบเขตหน้าที่ตัวเองเท่านั้น

แม้จางหย่งจะไม่ได้พูดอย่างละเอียด ฟางผิงกลับรับรู้ได้อย่างเลือนราง

นี่มันห่างกันไม่นานเอง?

ตอนแรกเป็นหวงปิน ต่อมาถูกพวกนอกรีตโจมตี บางทีสังคมอาจจะไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิดไว้ขนาดนั้น

เขายังไม่เคยมีประสบการณ์กับโลกใบนี้ ชาติก่อนเป็นแค่คนธรรมดา บางทีชั่วชีวิตอาจจะไม่เจอกับเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ

แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงจะยอมเป็นเหมือนถานเจิ้นผิง หดหัวอยู่ในหยางเฉิงไปชั่วชีวิตอย่างนั้นเหรอ?

หยางเฉิงเล็กเกินไป ถานเจิ้นผิงยอมใช้ชีวิตสบายๆ ในนี้ ฟางผิงกลับทำไม่ได้

ตอนแรกเขายังลังเลอยู่บ้างว่าจะฝึกวิชาต่อสู้สักหน่อยดีหรือไม่

ตอนนี้ดูท่าต้องฝึกจริงจังซะแล้ว!

เขาไม่รู้ว่าต้องสะสมปราณอีกเท่าไหร่ถึงจะทะลวงขั้นหนึ่งได้ ยังไงการฝึกวิชาต่อสู้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกอย่าง วันนี้ลัทธิสร้างโลกอะไรนั้นกล้าโจมตีคนในที่สาธารณะ แม้จางหย่งจะบอกว่า รุ่ยหยางได้สั่งคนให้กวาดล้างแล้ว จับเป็นบ้าง จับตายบ้าง แต่ใครจะรู้ว่า อาจมีครั้งต่อไปหรือไม่ ครั้งนี้เขาถูกหมายตา ครั้งหน้าล่ะ? ดังนั้นกันย่อมดีกว่าแก้ เขาต้องฝึกวิชาต่อสู้ไว้สักหน่อย

ถึงครั้งนี้ฟางผิงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมา แต่การได้ปะมือกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง ทั้งได้รู้ข้อมูลบางอย่างจากจางหย่ง ฟางผิงคิดว่า ไม่ได้ขาดทุนเลย

ตอนนี้สิ่งที่ฟางผิงขาดแคลนไม่ใช่ทรัพยากร แต่เป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ต่างหาก

ฟางผิงกลับมาโรงแรม พบว่าพวกอู๋จื้อหาวกลับมาก่อนแล้ว

พวกเขาไม่รู้ว่าฟางผิงถูกโจมตี ทุกคนยังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่รุ่ยหยางประกาศออกมาแล้วว่าจะจัดการเรื่องให้เรียบร้อย รวมทั้งไม่มีผู้เสียชีวิต ทุกคนจึงถกประเด็นอย่างสนุกปาก

รอจนรู้ว่าพวกนอกรีตถูกจับ ส่วนหนึ่งยังถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุ พวกเขาค่อยหมดความสนใจไป

กินอาหารกลางวันที่โรงแรมแล้ว ช่วงบ่ายขบวนรถของหยางเฉิง ก็เริ่มมุ่งกลับถิ่นเดิม

หากพักโรงแรมต่ออีกวัน ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีกไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นรุ่ยหยางเพิ่งเกิดเรื่อง ทุกคนไม่อยากรั้งตัวอยู่นาน กลับหยางเฉิงจะปลอดภัยกว่า

คล้อยหลังรถบัสที่ทยอยออกจากรุ่ยหยาง ฟางผิงที่อยู่บนรถเผยแววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง

ตอนแรกเขามารุ่ยหยางเพื่อสอบเท่านั้น

แต่ไม่นานกลับมีเรื่องทยอยเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะวันที่ถูกโจมตี ทำให้ฟางผิงได้เข้าใจผู้ฝึกยุทธ์ลึกซึ้งมากขึ้น

ฟางผิงโยนคำพูดที่ถานเจิ้นผิงเคยพูดกับเขาทิ้งไปจนหมดสิ้น

หยางเฉิงเล็กเกินไป เล็กจนถานเจิ้นผิงที่พวกเขามองว่าเป็นบุคคลสำคัญ กลับไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่

ผู้ว่าจางไปทำภารกิจต่างถิ่น พวกนอกรีตถือโอกาสโจมตี นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ร่วมมือกับทางการทำคดี…

เรื่องพวกนี้ค่อยๆ ประติดประต่อกันในหัวของฟางผิง เขามักรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้

“ใกล้แล้ว…”

ฟางผิงพึมพำ รอสอบวิชาวัฒนธรรมเสร็จ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คงอยู่ไม่ห่างจากเขาแล้ว

คาดว่าพอถึงตอนนั้น เขาคงจะรู้เรื่องที่เขาควรรู้แล้ว

——————————

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 67 กลับหยางเฉิง

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 67 กลับหยางเฉิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 67 กลับหยางเฉิง

ห้องทำงานรองผู้อำนวยการ

จางหย่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างเนิบช้า “เหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นายเป็นพิเศษ…ตอนนี้หน่วยทหารและหน่วยสืบสวนของรุ่ยหยางได้ร่วมมือกันเก็บกวาดเรื่องนี้แล้ว นายไม่ต้องกังวลว่าจะมีการแก้แค้นหรอก แน่นอนว่าถ้านายไม่วางใจ ทางหน่วยสืบสวนของหยางเฉิงสามารถส่งคนไปคุ้มครองนายระยะหนึ่งได้ จนกว่าเรื่องนี้จะถูกจัดการอย่างเสร็จสม…”

แม้ฟางผิงจะรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะถูกล้างแค้น และถ้ามีคนจับตามองเขาอยู่ อาจจะอึดอัดอยู่บ้าง

แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของเขา ทั้งความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงผงกหัวรับ “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุ้มครองครอบครัวผมด้วย”

“ไม่มีปัญหา รอนายกลับหยางเฉิงแล้ว พวกเราจะจัดการทันที”

ตอนนี้จางหย่งแทบอยากจะส่งเจ้าเด็กนี่ออกไปให้เร็วที่สุด ยังไงการคุ้มครองก็เป็นเรื่องของพวกใต้บังคับบัญชาอยู่แล้ว เขาไม่ต้องเดือดร้อนอะไร

หลังจากนั้นจางหย่งยังเอ่ยชมฟางผิงต่อหลายประโยค

พูดประมาณว่า ‘ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย’ ‘ความภาคภูมิใจของสวรรค์’ ‘เด็กหนุ่มอนาคตไกล’…

หากเป็นนักเรียนคนอื่น ถูกจางหย่งชมแบบนี้ คงตัวลอยไปนานแล้ว

อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง มีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการหน่วยสืบสวนของรุ่ยหยาง นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในรุ่ยหยางเหมือนกัน

แต่ฟางผิงกลับไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง รอเขาพูดจบแล้ว ค่อยเอ่ยอย่างกระดากอายอยู่บ้าง “รองผู้อำนวยการจาง ผมเคยได้ยินพี่ชายบอกว่า จับคนร้ายช่วยทางการ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีรางวัลให้ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

จางหย่งมุมปากกระตุก สรุปแล้วฉันชมเสียน้ำลายเปล่าสินะ?

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจางหย่งจะอธิบายว่า “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ แต่ต้องมีลำดับขั้นตอน ภารกิจช่วยเหลือแบบนี้ เหมาะกับนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ บางครั้งหน่วยสืบสวนขาดแคลนคน ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะขอความร่วมมือ ส่งภารกิจให้ทางมหาวิทยาลัย พวกเราติดต่อกับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่ไดเจาะจงคนใดคนหนึ่ง ไม่งั้นคงจะทำลายระบบระเบียบไปหมด…”

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย หากทุกคนสามารถรับภารกิจเหมือนหน่วยสืบสวนได้หมด มีอำนาจอยู่ในมือ แล้วยังจะมีหน่วยสืบสวนไว้ทำอะไร!

เรื่องแบบนี้หน่วยสืบสวนจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เท่านั้น

รวมถึงภารกิจบางอย่างของหน่วยทหาร ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ในสายตาของทุกคน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐบาล นักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถือว่าอยู่ในระบบเดียวกับพวกเขา

ประจวบเหมาะที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อยากให้พวกนักศึกษามีประสบการณ์ ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งคู่ จึงทำให้พวกหวังจินหยางได้มีโอกาสออกทำภารกิจแบบนี้

ฟางผิงไม่ใช่นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ แม้ครั้งนี้เขาจะให้ความช่วยเหลือ ทว่ากลับไม่ได้เข้าในหลักเกณฑ์นี้

ฟางผิงได้ฟัง ชั่วขณะนั้นจึงถกเสื้อขึ้นมาทันที เผยร่องรอยฟกช้ำดำเขียวบนแขนทั้งสองข้างให้จางหย่งดู

“ครั้งนี้ผมได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะมีผลกระทบกับการฝึกวิชาหรือเปล่า…”

จางหย่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตรึกตรองพักหนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “นักเรียนฟางผิง นี่ไม่เข้าเกณฑ์ของเราจริงๆ พวกเราไม่ใช่หน่วยงานเอกชน บางเรื่องยังต้องยึดตามระบบระเบียบ เอาอย่างนี้เถอะ…”

ตระหนักได้ว่า ฟางผิงเป็นปัญหาที่ใหญ่พอตัว จางหย่งจึงพิจารณาอยู่พักหนึ่ง “พวกเราจะส่งเรื่องให้เบื้องบน อาศัยเรื่อง ‘กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง’ มอบรางวัลและเงินปลอบใจให้นักเรียนฟางผิง นายคิดว่ายังไง?”

“เป็นเงินประมาณเท่าไหร่เหรอครับ?” ฟางผิงแสร้งถามอย่างใสซื่อ

จางหย่งกระแอมไอเบาๆ “อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พวกเราจะพยายามช่วงชิงเพื่อนาย…”

ความหมายคือไม่อาจพูดได้ชัดเจน เงินคงไม่มากมายเท่าไหร่

อย่างมากน่าจะประมาณสี่ห้าหมื่น น้อยที่สุดคงสักหมื่น

ส่วนเงินหลักแสนหลักล้านในจินตนาการฟางผิง นั่นแทบไม่ต่างอะไรจากฝันหวาน

ตอนแรกหวังจินหยางรับภารกิจของหวงปิน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เกือบทะลวงขั้นสามยังได้แค่สามแสนเอง

พอหวงปินหนีไป หยางเฉิงค่อยเพิ่มค่าหัวให้

ครั้งนี้ฟางผิงแค่ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย เขาไม่ได้จับคน ทั้งไม่ได้สังหารคนร้าย เงินไม่กี่หมื่นที่ได้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าหวังจินหยางเท่านั้น

ฟางผิงเห็นท่าทีของเขา รู้ทันทีว่า คงไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว

เพื่อเงินไม่กี่หมื่น กลับต้องยื่นเรื่องให้เบื้องบน ทั้งยังลากหวังจินหยางมาเกี่ยวข้อง ไม่คุ้มค่าจริงๆ

นอกจากนี้ฟางผิงยังกังวลว่า หากทำเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าพวกบ้านั้นรู้เข้า จะมาล้างแค้นเขาอีก

หากตอนนี้ให้รางวัลเขาเป็นยาบำรุงไม่กี่เม็ด หรือเงินสด เขาคงจะยอมรับไว้

พอรู้ว่าต้องยื่นเรื่องให้เบื้องบน ฟางผิงทำได้เพียงโยนความคิดนี้ทิ้งไป แสร้งเอ่ยเสียงดัง “ช่างเถอะครับ ขึ้นชื่อว่าเด็กสมัยใหม่ ช่วยเหลือรัฐบาล ขจัดเภทภัยให้ผู้คน เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องทำอยู่แล้ว ทั้งครั้งนี้โชคดีที่รองผู้อำนวยการจางช่วยชีวิตผมเอาไว้ เมื่อครู่แค่พูดขำๆ เท่านั้น รองผู้อำนวยการอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังเลย”

ตอนนี้เป็นจางหย่งที่แปลกใจแทน ตอนแรกเด็กนี้ทำท่าเหมือนจะไม่ปล่อยเงินให้หลุดลอยแม้แต่หยวนเดียว เขายังคิดว่าจะไล่กลับไปไม่ได้ง่ายๆ ซะอีก

คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นคนพูดง่ายขนาดนี้!

แต่ฟางผิงไม่เกาะแกะเขา ถือเป็นเรื่องดี จางหย่งรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นักเรียนฟางผิงใจกว้างเหมือนที่คิดไว้จริงๆ พอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ต้องไปได้ไกลแน่ๆ…”

จางหย่งแค่อ้าปาก คำชมก็พรั่งพรูออกมาราวกับสั่งได้

พอไม่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง จางหย่งจึงเกรงใจกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย

พยายามคลายข้อสงสัยที่ฟางผิงอยากรู้เท่าที่ทำได้

ตอนที่บอกลากัน จางหย่งยังดึงดันจะไปส่งฟางผิงออกจากประตูให้ได้ ฟางผิงไม่ปฏิเสธเช่นกัน

ฟางผิงเดินไป พลางถามขึ้นมาว่า “รองผู้อำนวยการจาง พบเจอเรื่องอย่างวันนี้บ่อยหรือเปล่า?”

“ไม่บ่อย นี่เป็นฝีมือของพวกที่ชอบปลุกปั่นสร้างเรื่อง น้อยครั้งจะเกิดคดีร้ายแรงแบบนี้ ครั้งนี้เพราะว่า…”

จางหย่งชะงักไป ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงอธิบายต่อ “ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้ว่าจางนำทีมไปสมทบกับเทียนหนาน คนฝีมือดีของหนานเจียงส่วนหนึ่งไปรวมตัวที่เทียนหนาน พวกนอกรีตเห็นโอกาสเลยทำเรื่องอย่างไม่เกรงกลัวอะไร…”

“ผู้ว่าจางไปปฏิบัติภารกิจต่างถิ่น?”

ฟางผิงพึมพำ ไม่ได้ซักไซ้เรื่องนี้ต่อ มองจากท่าทีของจางหย่ง คงจะพูดอะไรมากไม่ได้แล้ว

ตอนที่เดินมาถึงที่จอดรถ ฟางผิงคล้ายจะนึกคำถามอะไรขึ้นมาได้ “รองผู้อำนวยการจาง ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า บางครั้งภารกิจช่วยเหลือการจับกุมจะอาศัยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นี่หมายความว่า นักศึกษาพวกนี้มีพลังพร้อมที่จะต่อสู้?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

“แต่ก่อนหน้านี้ผมคุยกับรองผู้อำนวยการถาน เขาคิดว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น…”

จางหย่งแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ว่าแบบนี้ดีกว่า ผู้ฝึกยุทธ์สมัยนี้แบ่งเป็นสามประเภทหลัก หนึ่งคือนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ สองคือผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหาร สามคือผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไป หรือจะเพิ่มเข้าไปอีกประเภทหนึ่งคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่สืบทอดจากตระกูล แต่คนแบบนี้มักจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ หรือผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหาร ต่างให้ความสำคัญกับการต่อสู้เป็นหลัก ลำดับขั้นนั้นเป็นเรื่องรอง ผู้ฝึกยุทธ์สองแบบนี้ เป็นกระแสหลักของสังคม ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป อันที่จริงไม่ค่อยถูกยอมรับในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์เท่าไหร่ หลายคนคิดว่า ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปบกพร่องเรื่องสติปัญญา ทั้งยังไม่ชำนาญการต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ฉลาดเฉลียว ทั้งสู้ไม่เป็น ยังจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ยังไง? คนแบบนี้เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่พิการไม่ได้ด้วยซ้ำ นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ เพียบพร้อมทั้งความรู้และพลังต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์หน่วยทหาร อาจจะขาดแคลนเรื่องวิชาการความรู้ไปบ้าง แต่การต่อสู้ไม่อ่อนด้อยอย่างแน่นอน มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ส่วนมากไม่มีอะไรดีสักอย่าง มีแค่ลำดับขั้นเท่านั้น นายบอกว่า รองผู้อำนวยการถาน คงเป็นถานเจิ้นผิงสินะ? เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ ไม่ค่อยเข้าใจอะไรหรอก นายอย่าสนใจคำพูดของเขานักเลย”

จางหย่งไม่เห็นถานเจิ้นผิงในสายตาอยู่แล้ว เขาไม่คิดปกปิดสักนิด แสดงให้ฟางผิงฟังเห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับถานเจิ้นผิง

ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้ อันที่จริงแค่เอาตำแหน่งของผู้ฝึกยุทธ์มาคล้องคอ เพื่อสามารถใช้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปนั้นแทบไม่เป็นที่ยอมรับ เว้นแต่ว่าเขาจะใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง

ฟางผิงได้ฟังเขาพูด จึงเอ่ยคล้ายคิดอะไรอยู่ “ความหมายของคุณคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงต้องมีพลังในการต่อสู้ ไม่ใช่เป็นดอกไม้ประดับในแจกัน…”

“ถูกต้อง!”

“แต่ว่า…ในสมัยนี้ยังมีพื้นที่ให้เราทำการต่อสู้เหรอครับ?”

ฟางผิงเพิ่งพูดจบ จางหย่งแค่นหัวเราะออกมาทันที “นายคิดว่าไงล่ะ? เหตุการณ์วันนี้ หรือนายยังสัมผัสไม่ได้อีก? ถึงเรื่องแบบนี้จะมีโอกาสเกิดน้อย กลับไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้น ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หากแตะถึงขั้นสาม ปืนธรรมดาคงทำให้พวกเขาเกรงกลัวไม่ได้แล้ว จะให้ขับรถถังออกปฏิบัติทุกภารกิจเป็นไปไม่ได้หรอก?”

ที่จริงมีบางเรื่องที่จางหย่งไม่ได้พูด เช่นเรื่องถ้ำใต้ดิน…

แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้เข้าใจลึกซึ้ง ตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเท่านั้น

โดยปกติ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปถึงจะเข้าใจเรื่องลึกลับภายในพวกนี้ได้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอย่างพวกเขา รับผิดชอบแค่ภารกิจในขอบเขตหน้าที่ตัวเองเท่านั้น

แม้จางหย่งจะไม่ได้พูดอย่างละเอียด ฟางผิงกลับรับรู้ได้อย่างเลือนราง

นี่มันห่างกันไม่นานเอง?

ตอนแรกเป็นหวงปิน ต่อมาถูกพวกนอกรีตโจมตี บางทีสังคมอาจจะไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิดไว้ขนาดนั้น

เขายังไม่เคยมีประสบการณ์กับโลกใบนี้ ชาติก่อนเป็นแค่คนธรรมดา บางทีชั่วชีวิตอาจจะไม่เจอกับเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ

แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงจะยอมเป็นเหมือนถานเจิ้นผิง หดหัวอยู่ในหยางเฉิงไปชั่วชีวิตอย่างนั้นเหรอ?

หยางเฉิงเล็กเกินไป ถานเจิ้นผิงยอมใช้ชีวิตสบายๆ ในนี้ ฟางผิงกลับทำไม่ได้

ตอนแรกเขายังลังเลอยู่บ้างว่าจะฝึกวิชาต่อสู้สักหน่อยดีหรือไม่

ตอนนี้ดูท่าต้องฝึกจริงจังซะแล้ว!

เขาไม่รู้ว่าต้องสะสมปราณอีกเท่าไหร่ถึงจะทะลวงขั้นหนึ่งได้ ยังไงการฝึกวิชาต่อสู้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกอย่าง วันนี้ลัทธิสร้างโลกอะไรนั้นกล้าโจมตีคนในที่สาธารณะ แม้จางหย่งจะบอกว่า รุ่ยหยางได้สั่งคนให้กวาดล้างแล้ว จับเป็นบ้าง จับตายบ้าง แต่ใครจะรู้ว่า อาจมีครั้งต่อไปหรือไม่ ครั้งนี้เขาถูกหมายตา ครั้งหน้าล่ะ? ดังนั้นกันย่อมดีกว่าแก้ เขาต้องฝึกวิชาต่อสู้ไว้สักหน่อย

ถึงครั้งนี้ฟางผิงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมา แต่การได้ปะมือกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง ทั้งได้รู้ข้อมูลบางอย่างจากจางหย่ง ฟางผิงคิดว่า ไม่ได้ขาดทุนเลย

ตอนนี้สิ่งที่ฟางผิงขาดแคลนไม่ใช่ทรัพยากร แต่เป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ต่างหาก

ฟางผิงกลับมาโรงแรม พบว่าพวกอู๋จื้อหาวกลับมาก่อนแล้ว

พวกเขาไม่รู้ว่าฟางผิงถูกโจมตี ทุกคนยังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่รุ่ยหยางประกาศออกมาแล้วว่าจะจัดการเรื่องให้เรียบร้อย รวมทั้งไม่มีผู้เสียชีวิต ทุกคนจึงถกประเด็นอย่างสนุกปาก

รอจนรู้ว่าพวกนอกรีตถูกจับ ส่วนหนึ่งยังถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุ พวกเขาค่อยหมดความสนใจไป

กินอาหารกลางวันที่โรงแรมแล้ว ช่วงบ่ายขบวนรถของหยางเฉิง ก็เริ่มมุ่งกลับถิ่นเดิม

หากพักโรงแรมต่ออีกวัน ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีกไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นรุ่ยหยางเพิ่งเกิดเรื่อง ทุกคนไม่อยากรั้งตัวอยู่นาน กลับหยางเฉิงจะปลอดภัยกว่า

คล้อยหลังรถบัสที่ทยอยออกจากรุ่ยหยาง ฟางผิงที่อยู่บนรถเผยแววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง

ตอนแรกเขามารุ่ยหยางเพื่อสอบเท่านั้น

แต่ไม่นานกลับมีเรื่องทยอยเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะวันที่ถูกโจมตี ทำให้ฟางผิงได้เข้าใจผู้ฝึกยุทธ์ลึกซึ้งมากขึ้น

ฟางผิงโยนคำพูดที่ถานเจิ้นผิงเคยพูดกับเขาทิ้งไปจนหมดสิ้น

หยางเฉิงเล็กเกินไป เล็กจนถานเจิ้นผิงที่พวกเขามองว่าเป็นบุคคลสำคัญ กลับไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่

ผู้ว่าจางไปทำภารกิจต่างถิ่น พวกนอกรีตถือโอกาสโจมตี นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ร่วมมือกับทางการทำคดี…

เรื่องพวกนี้ค่อยๆ ประติดประต่อกันในหัวของฟางผิง เขามักรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้

“ใกล้แล้ว…”

ฟางผิงพึมพำ รอสอบวิชาวัฒนธรรมเสร็จ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คงอยู่ไม่ห่างจากเขาแล้ว

คาดว่าพอถึงตอนนั้น เขาคงจะรู้เรื่องที่เขาควรรู้แล้ว

——————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 67 กลับหยางเฉิง

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 67 กลับหยางเฉิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 67 กลับหยางเฉิง

ห้องทำงานรองผู้อำนวยการ

จางหย่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างเนิบช้า “เหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นายเป็นพิเศษ…ตอนนี้หน่วยทหารและหน่วยสืบสวนของรุ่ยหยางได้ร่วมมือกันเก็บกวาดเรื่องนี้แล้ว นายไม่ต้องกังวลว่าจะมีการแก้แค้นหรอก แน่นอนว่าถ้านายไม่วางใจ ทางหน่วยสืบสวนของหยางเฉิงสามารถส่งคนไปคุ้มครองนายระยะหนึ่งได้ จนกว่าเรื่องนี้จะถูกจัดการอย่างเสร็จสม…”

แม้ฟางผิงจะรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะถูกล้างแค้น และถ้ามีคนจับตามองเขาอยู่ อาจจะอึดอัดอยู่บ้าง

แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของเขา ทั้งความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงผงกหัวรับ “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุ้มครองครอบครัวผมด้วย”

“ไม่มีปัญหา รอนายกลับหยางเฉิงแล้ว พวกเราจะจัดการทันที”

ตอนนี้จางหย่งแทบอยากจะส่งเจ้าเด็กนี่ออกไปให้เร็วที่สุด ยังไงการคุ้มครองก็เป็นเรื่องของพวกใต้บังคับบัญชาอยู่แล้ว เขาไม่ต้องเดือดร้อนอะไร

หลังจากนั้นจางหย่งยังเอ่ยชมฟางผิงต่อหลายประโยค

พูดประมาณว่า ‘ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย’ ‘ความภาคภูมิใจของสวรรค์’ ‘เด็กหนุ่มอนาคตไกล’…

หากเป็นนักเรียนคนอื่น ถูกจางหย่งชมแบบนี้ คงตัวลอยไปนานแล้ว

อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง มีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการหน่วยสืบสวนของรุ่ยหยาง นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในรุ่ยหยางเหมือนกัน

แต่ฟางผิงกลับไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง รอเขาพูดจบแล้ว ค่อยเอ่ยอย่างกระดากอายอยู่บ้าง “รองผู้อำนวยการจาง ผมเคยได้ยินพี่ชายบอกว่า จับคนร้ายช่วยทางการ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีรางวัลให้ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

จางหย่งมุมปากกระตุก สรุปแล้วฉันชมเสียน้ำลายเปล่าสินะ?

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจางหย่งจะอธิบายว่า “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ แต่ต้องมีลำดับขั้นตอน ภารกิจช่วยเหลือแบบนี้ เหมาะกับนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ บางครั้งหน่วยสืบสวนขาดแคลนคน ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะขอความร่วมมือ ส่งภารกิจให้ทางมหาวิทยาลัย พวกเราติดต่อกับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่ไดเจาะจงคนใดคนหนึ่ง ไม่งั้นคงจะทำลายระบบระเบียบไปหมด…”

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย หากทุกคนสามารถรับภารกิจเหมือนหน่วยสืบสวนได้หมด มีอำนาจอยู่ในมือ แล้วยังจะมีหน่วยสืบสวนไว้ทำอะไร!

เรื่องแบบนี้หน่วยสืบสวนจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เท่านั้น

รวมถึงภารกิจบางอย่างของหน่วยทหาร ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ในสายตาของทุกคน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐบาล นักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถือว่าอยู่ในระบบเดียวกับพวกเขา

ประจวบเหมาะที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อยากให้พวกนักศึกษามีประสบการณ์ ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งคู่ จึงทำให้พวกหวังจินหยางได้มีโอกาสออกทำภารกิจแบบนี้

ฟางผิงไม่ใช่นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ แม้ครั้งนี้เขาจะให้ความช่วยเหลือ ทว่ากลับไม่ได้เข้าในหลักเกณฑ์นี้

ฟางผิงได้ฟัง ชั่วขณะนั้นจึงถกเสื้อขึ้นมาทันที เผยร่องรอยฟกช้ำดำเขียวบนแขนทั้งสองข้างให้จางหย่งดู

“ครั้งนี้ผมได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะมีผลกระทบกับการฝึกวิชาหรือเปล่า…”

จางหย่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตรึกตรองพักหนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “นักเรียนฟางผิง นี่ไม่เข้าเกณฑ์ของเราจริงๆ พวกเราไม่ใช่หน่วยงานเอกชน บางเรื่องยังต้องยึดตามระบบระเบียบ เอาอย่างนี้เถอะ…”

ตระหนักได้ว่า ฟางผิงเป็นปัญหาที่ใหญ่พอตัว จางหย่งจึงพิจารณาอยู่พักหนึ่ง “พวกเราจะส่งเรื่องให้เบื้องบน อาศัยเรื่อง ‘กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง’ มอบรางวัลและเงินปลอบใจให้นักเรียนฟางผิง นายคิดว่ายังไง?”

“เป็นเงินประมาณเท่าไหร่เหรอครับ?” ฟางผิงแสร้งถามอย่างใสซื่อ

จางหย่งกระแอมไอเบาๆ “อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พวกเราจะพยายามช่วงชิงเพื่อนาย…”

ความหมายคือไม่อาจพูดได้ชัดเจน เงินคงไม่มากมายเท่าไหร่

อย่างมากน่าจะประมาณสี่ห้าหมื่น น้อยที่สุดคงสักหมื่น

ส่วนเงินหลักแสนหลักล้านในจินตนาการฟางผิง นั่นแทบไม่ต่างอะไรจากฝันหวาน

ตอนแรกหวังจินหยางรับภารกิจของหวงปิน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เกือบทะลวงขั้นสามยังได้แค่สามแสนเอง

พอหวงปินหนีไป หยางเฉิงค่อยเพิ่มค่าหัวให้

ครั้งนี้ฟางผิงแค่ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย เขาไม่ได้จับคน ทั้งไม่ได้สังหารคนร้าย เงินไม่กี่หมื่นที่ได้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าหวังจินหยางเท่านั้น

ฟางผิงเห็นท่าทีของเขา รู้ทันทีว่า คงไม่ได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว

เพื่อเงินไม่กี่หมื่น กลับต้องยื่นเรื่องให้เบื้องบน ทั้งยังลากหวังจินหยางมาเกี่ยวข้อง ไม่คุ้มค่าจริงๆ

นอกจากนี้ฟางผิงยังกังวลว่า หากทำเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าพวกบ้านั้นรู้เข้า จะมาล้างแค้นเขาอีก

หากตอนนี้ให้รางวัลเขาเป็นยาบำรุงไม่กี่เม็ด หรือเงินสด เขาคงจะยอมรับไว้

พอรู้ว่าต้องยื่นเรื่องให้เบื้องบน ฟางผิงทำได้เพียงโยนความคิดนี้ทิ้งไป แสร้งเอ่ยเสียงดัง “ช่างเถอะครับ ขึ้นชื่อว่าเด็กสมัยใหม่ ช่วยเหลือรัฐบาล ขจัดเภทภัยให้ผู้คน เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องทำอยู่แล้ว ทั้งครั้งนี้โชคดีที่รองผู้อำนวยการจางช่วยชีวิตผมเอาไว้ เมื่อครู่แค่พูดขำๆ เท่านั้น รองผู้อำนวยการอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังเลย”

ตอนนี้เป็นจางหย่งที่แปลกใจแทน ตอนแรกเด็กนี้ทำท่าเหมือนจะไม่ปล่อยเงินให้หลุดลอยแม้แต่หยวนเดียว เขายังคิดว่าจะไล่กลับไปไม่ได้ง่ายๆ ซะอีก

คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นคนพูดง่ายขนาดนี้!

แต่ฟางผิงไม่เกาะแกะเขา ถือเป็นเรื่องดี จางหย่งรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นักเรียนฟางผิงใจกว้างเหมือนที่คิดไว้จริงๆ พอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ต้องไปได้ไกลแน่ๆ…”

จางหย่งแค่อ้าปาก คำชมก็พรั่งพรูออกมาราวกับสั่งได้

พอไม่มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง จางหย่งจึงเกรงใจกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย

พยายามคลายข้อสงสัยที่ฟางผิงอยากรู้เท่าที่ทำได้

ตอนที่บอกลากัน จางหย่งยังดึงดันจะไปส่งฟางผิงออกจากประตูให้ได้ ฟางผิงไม่ปฏิเสธเช่นกัน

ฟางผิงเดินไป พลางถามขึ้นมาว่า “รองผู้อำนวยการจาง พบเจอเรื่องอย่างวันนี้บ่อยหรือเปล่า?”

“ไม่บ่อย นี่เป็นฝีมือของพวกที่ชอบปลุกปั่นสร้างเรื่อง น้อยครั้งจะเกิดคดีร้ายแรงแบบนี้ ครั้งนี้เพราะว่า…”

จางหย่งชะงักไป ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงอธิบายต่อ “ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้ว่าจางนำทีมไปสมทบกับเทียนหนาน คนฝีมือดีของหนานเจียงส่วนหนึ่งไปรวมตัวที่เทียนหนาน พวกนอกรีตเห็นโอกาสเลยทำเรื่องอย่างไม่เกรงกลัวอะไร…”

“ผู้ว่าจางไปปฏิบัติภารกิจต่างถิ่น?”

ฟางผิงพึมพำ ไม่ได้ซักไซ้เรื่องนี้ต่อ มองจากท่าทีของจางหย่ง คงจะพูดอะไรมากไม่ได้แล้ว

ตอนที่เดินมาถึงที่จอดรถ ฟางผิงคล้ายจะนึกคำถามอะไรขึ้นมาได้ “รองผู้อำนวยการจาง ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า บางครั้งภารกิจช่วยเหลือการจับกุมจะอาศัยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นี่หมายความว่า นักศึกษาพวกนี้มีพลังพร้อมที่จะต่อสู้?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

“แต่ก่อนหน้านี้ผมคุยกับรองผู้อำนวยการถาน เขาคิดว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น…”

จางหย่งแค่นเสียงอย่างดูแคลน “ว่าแบบนี้ดีกว่า ผู้ฝึกยุทธ์สมัยนี้แบ่งเป็นสามประเภทหลัก หนึ่งคือนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ สองคือผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหาร สามคือผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไป หรือจะเพิ่มเข้าไปอีกประเภทหนึ่งคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่สืบทอดจากตระกูล แต่คนแบบนี้มักจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ หรือผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหาร ต่างให้ความสำคัญกับการต่อสู้เป็นหลัก ลำดับขั้นนั้นเป็นเรื่องรอง ผู้ฝึกยุทธ์สองแบบนี้ เป็นกระแสหลักของสังคม ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป อันที่จริงไม่ค่อยถูกยอมรับในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์เท่าไหร่ หลายคนคิดว่า ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปบกพร่องเรื่องสติปัญญา ทั้งยังไม่ชำนาญการต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ฉลาดเฉลียว ทั้งสู้ไม่เป็น ยังจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ยังไง? คนแบบนี้เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่พิการไม่ได้ด้วยซ้ำ นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ เพียบพร้อมทั้งความรู้และพลังต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์หน่วยทหาร อาจจะขาดแคลนเรื่องวิชาการความรู้ไปบ้าง แต่การต่อสู้ไม่อ่อนด้อยอย่างแน่นอน มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ส่วนมากไม่มีอะไรดีสักอย่าง มีแค่ลำดับขั้นเท่านั้น นายบอกว่า รองผู้อำนวยการถาน คงเป็นถานเจิ้นผิงสินะ? เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ ไม่ค่อยเข้าใจอะไรหรอก นายอย่าสนใจคำพูดของเขานักเลย”

จางหย่งไม่เห็นถานเจิ้นผิงในสายตาอยู่แล้ว เขาไม่คิดปกปิดสักนิด แสดงให้ฟางผิงฟังเห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับถานเจิ้นผิง

ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้ อันที่จริงแค่เอาตำแหน่งของผู้ฝึกยุทธ์มาคล้องคอ เพื่อสามารถใช้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปนั้นแทบไม่เป็นที่ยอมรับ เว้นแต่ว่าเขาจะใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง

ฟางผิงได้ฟังเขาพูด จึงเอ่ยคล้ายคิดอะไรอยู่ “ความหมายของคุณคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงต้องมีพลังในการต่อสู้ ไม่ใช่เป็นดอกไม้ประดับในแจกัน…”

“ถูกต้อง!”

“แต่ว่า…ในสมัยนี้ยังมีพื้นที่ให้เราทำการต่อสู้เหรอครับ?”

ฟางผิงเพิ่งพูดจบ จางหย่งแค่นหัวเราะออกมาทันที “นายคิดว่าไงล่ะ? เหตุการณ์วันนี้ หรือนายยังสัมผัสไม่ได้อีก? ถึงเรื่องแบบนี้จะมีโอกาสเกิดน้อย กลับไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้น ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หากแตะถึงขั้นสาม ปืนธรรมดาคงทำให้พวกเขาเกรงกลัวไม่ได้แล้ว จะให้ขับรถถังออกปฏิบัติทุกภารกิจเป็นไปไม่ได้หรอก?”

ที่จริงมีบางเรื่องที่จางหย่งไม่ได้พูด เช่นเรื่องถ้ำใต้ดิน…

แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้เข้าใจลึกซึ้ง ตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเท่านั้น

โดยปกติ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปถึงจะเข้าใจเรื่องลึกลับภายในพวกนี้ได้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอย่างพวกเขา รับผิดชอบแค่ภารกิจในขอบเขตหน้าที่ตัวเองเท่านั้น

แม้จางหย่งจะไม่ได้พูดอย่างละเอียด ฟางผิงกลับรับรู้ได้อย่างเลือนราง

นี่มันห่างกันไม่นานเอง?

ตอนแรกเป็นหวงปิน ต่อมาถูกพวกนอกรีตโจมตี บางทีสังคมอาจจะไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิดไว้ขนาดนั้น

เขายังไม่เคยมีประสบการณ์กับโลกใบนี้ ชาติก่อนเป็นแค่คนธรรมดา บางทีชั่วชีวิตอาจจะไม่เจอกับเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ

แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงจะยอมเป็นเหมือนถานเจิ้นผิง หดหัวอยู่ในหยางเฉิงไปชั่วชีวิตอย่างนั้นเหรอ?

หยางเฉิงเล็กเกินไป ถานเจิ้นผิงยอมใช้ชีวิตสบายๆ ในนี้ ฟางผิงกลับทำไม่ได้

ตอนแรกเขายังลังเลอยู่บ้างว่าจะฝึกวิชาต่อสู้สักหน่อยดีหรือไม่

ตอนนี้ดูท่าต้องฝึกจริงจังซะแล้ว!

เขาไม่รู้ว่าต้องสะสมปราณอีกเท่าไหร่ถึงจะทะลวงขั้นหนึ่งได้ ยังไงการฝึกวิชาต่อสู้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกอย่าง วันนี้ลัทธิสร้างโลกอะไรนั้นกล้าโจมตีคนในที่สาธารณะ แม้จางหย่งจะบอกว่า รุ่ยหยางได้สั่งคนให้กวาดล้างแล้ว จับเป็นบ้าง จับตายบ้าง แต่ใครจะรู้ว่า อาจมีครั้งต่อไปหรือไม่ ครั้งนี้เขาถูกหมายตา ครั้งหน้าล่ะ? ดังนั้นกันย่อมดีกว่าแก้ เขาต้องฝึกวิชาต่อสู้ไว้สักหน่อย

ถึงครั้งนี้ฟางผิงจะไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมา แต่การได้ปะมือกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง ทั้งได้รู้ข้อมูลบางอย่างจากจางหย่ง ฟางผิงคิดว่า ไม่ได้ขาดทุนเลย

ตอนนี้สิ่งที่ฟางผิงขาดแคลนไม่ใช่ทรัพยากร แต่เป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ต่างหาก

ฟางผิงกลับมาโรงแรม พบว่าพวกอู๋จื้อหาวกลับมาก่อนแล้ว

พวกเขาไม่รู้ว่าฟางผิงถูกโจมตี ทุกคนยังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่รุ่ยหยางประกาศออกมาแล้วว่าจะจัดการเรื่องให้เรียบร้อย รวมทั้งไม่มีผู้เสียชีวิต ทุกคนจึงถกประเด็นอย่างสนุกปาก

รอจนรู้ว่าพวกนอกรีตถูกจับ ส่วนหนึ่งยังถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุ พวกเขาค่อยหมดความสนใจไป

กินอาหารกลางวันที่โรงแรมแล้ว ช่วงบ่ายขบวนรถของหยางเฉิง ก็เริ่มมุ่งกลับถิ่นเดิม

หากพักโรงแรมต่ออีกวัน ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีกไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นรุ่ยหยางเพิ่งเกิดเรื่อง ทุกคนไม่อยากรั้งตัวอยู่นาน กลับหยางเฉิงจะปลอดภัยกว่า

คล้อยหลังรถบัสที่ทยอยออกจากรุ่ยหยาง ฟางผิงที่อยู่บนรถเผยแววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง

ตอนแรกเขามารุ่ยหยางเพื่อสอบเท่านั้น

แต่ไม่นานกลับมีเรื่องทยอยเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะวันที่ถูกโจมตี ทำให้ฟางผิงได้เข้าใจผู้ฝึกยุทธ์ลึกซึ้งมากขึ้น

ฟางผิงโยนคำพูดที่ถานเจิ้นผิงเคยพูดกับเขาทิ้งไปจนหมดสิ้น

หยางเฉิงเล็กเกินไป เล็กจนถานเจิ้นผิงที่พวกเขามองว่าเป็นบุคคลสำคัญ กลับไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่

ผู้ว่าจางไปทำภารกิจต่างถิ่น พวกนอกรีตถือโอกาสโจมตี นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ร่วมมือกับทางการทำคดี…

เรื่องพวกนี้ค่อยๆ ประติดประต่อกันในหัวของฟางผิง เขามักรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้

“ใกล้แล้ว…”

ฟางผิงพึมพำ รอสอบวิชาวัฒนธรรมเสร็จ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คงอยู่ไม่ห่างจากเขาแล้ว

คาดว่าพอถึงตอนนั้น เขาคงจะรู้เรื่องที่เขาควรรู้แล้ว

——————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+