ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 188-2 สังคมช่างซับซ้อน (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 188-2 สังคมช่างซับซ้อน (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 188 สังคมช่างซับซ้อน (2)

เขาจากไป เฉินอวิ๋นซีก็เอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำทันที “ฉัน…ฉันโดนหลอกใช่หรือเปล่า?”

ไป๋รั่วซีดูเรื่องสนุกมาตั้งแต่ต้น ฟังแล้วจึงเอ่ยอย่างขำๆ “ไม่หรอก”

ความจริงฟางผิงก็ไม่ได้หลอกอะไรเธอ ยาบำรุงพวกนี้ ราคาในตลาดสูงถึงสิบห้าล้าน

แม้ว่าจะมีช่องทางซื้อ แต่สิบสามล้านกว่ายังคงนับว่าคุ้มค่า

เพียงแค่…เพียงแค่เฉินอวิ๋นซียอมซื้อเพราะถูกฟางผิงพูดแดกดัน นี่จะหน้าบางเกินไปแล้ว

อีกอย่างไม่คิดจะตรวจสอบสักนิดเหรอ?

เงินทองเป็นเรื่องสำคัญ ฟางผิงคงไม่ถึงกับเอายาบำรุงปลอมมาหลอกเธอหรอก แต่ควรที่ต้องตรวจสอบดูสักหน่อยเช่นกัน

ฟางผิงบอกว่าเธอใช้ชีวิตใต้ปีกของพ่อแม่มาโดยตลอด ไม่เคยประสบความล้มเหลว นี่เป็นความจริงเช่นกัน

การค้าขายครั้งนี้ ไม่ถือว่าล้มเหลวอะไร อย่างมากก็แค่นิสัยไม่ดีของฟางผิงกำเริบเท่านั้น

แต่ไป๋รั่วซีกลับทำท่าคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ควรทำให้ลูกศิษย์คนนี้จำเป็นบทเรียนหน่อยสินะ

ครอบครัวของเฉินอวิ๋นซีส่งเธอมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ ให้เธอออกทำภารกิจกับทุกคน น่าจะเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน

ไม่งั้นเธอคงไม่มีความจำเป็นต้องทำภารกิจ ตระกูลเฉินไม่ได้ถึงกับเลี้ยงดูผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองคนหนึ่งไม่ไหวสักหน่อย

หยางเสี่ยวม่านลำบากใจเหมือนกัน “ไม่ถือว่าหลอกอะไร แต่ครั้งหน้าอย่าเชื่อคำพูดของเขา อีกอย่างอยู่ห่างเขาไว้ ไม่ใช่คนดีอะไร”

เฉินอวิ๋นซีพยักหน้า ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

ฟู่ชางติ่งเห็นแบบนั้นจึงยิ้มขึ้นมาทันที “อวิ๋นซี อันที่จริงฉันก็มียาบำรุง…”

“ไสหัวไปเลย!”

หยางเสี่ยวม่านก่นด่า นายรักษาภาพพจน์ตัวเองหน่อยได้หรือเปล่า!

ฟู่ชางติ่งใบหน้าแดงก่ำ โมโหแทบตาย!

แม่งเหอะ ถือสิทธิ์อะไรฟางผิงขายได้ แต่ฉันขายไม่ได้?

ขายได้ไม่กี่แสน ฉันจะได้เอาไปซื้อรถสักคัน

พักฟื้นในโรงแรมสองวัน แม้อาการบาดเจ็บของฟางผิงจะยังไม่หายดี แต่เหลือแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น แทบไม่มีผลกระทบกับการต่อสู้เลย

วันที่ 23 มีนาคม ฟางผิงไปเยี่ยมผู้ว่าจาง

ด้านนอกประตูจวนผู้ว่า

หวังจินหยางคลี่ยิ้มว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น…”

“ไม่ได้ตื่นเต้น” ฟางผิงปฏิเสธ

หวังจินหยางหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง พาเขาเดินเข้าไปในจวนผู้ว่า

พอเข้าไปด้านใน ก็มีชายวัยกลางคนเดินมาต้อนรับทันที

เห็นทั้งสองคน ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ประธานหวัง นักศึกษาฟางผิง มาแล้วสินะครับ นักศึกษาฟางผิง อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วสินะครับ?”

หวังจินหยางเป็นฝ่ายแนะนำ “ตระกูลจางแห่งจวนผู้ว่า นับเป็นเสาหลักของจวนผู้ว่าเช่นกัน”

จางอวี่เฉียงหัวเราะ “ประธานหวังชมเกินไปแล้ว”

ฟางผิงรีบเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว”

“ดีแล้วๆ ล้วนเป็นอนาคตของหนานเจียง แลกเปลี่ยนความรู้นั้นทำได้ แต่ครั้งหน้าพยายามระวังหน่อยเถอะครับ ก่อนหน้านี้การประลองกับกู้สยง คุณสู้ได้ดีทีเดียว ผู้ว่าจางพอใจอย่างมาก”

จางอวี่เฉียงพูดพลางนำทั้งสองคนเดินเข้ามาด้านใน “ผู้ว่ากิจธุระค่อนข้างเยอะ ช่วงนี้ยุ่งแทบไม่ได้พักเลย ครั้งนี้เพราะอยากเจอฟางผิง ทั้งยังรู้สึกภูมิใจที่มีเด็กหนุ่มมากความสามารถจากบ้านเกิดของตัวเอง…”

ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ต้องรบกวนเวลาผู้ว่าซะแล้ว”

“…”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันเป็นมารยาท หวังจินหยางไม่คิดสอดปากเช่นกัน

จวบจนเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน จางอวี่เฉียงเดินเข้าไปเคาะประตู หวังจินหยางค่อยเอ่ยว่า “นายควรไปเป็นพวกข้าราชการพลเรือน”

“หา?”

“ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไหนพูดยืดเยื้ออย่างนั้น เกรงใจกันไปเกรงใจกันมา พูดอยู่ค่อนวันมีประโยชน์หรือไง? ฉันยังคิดว่านายปรับตัวไม่ได้ซะอีก ที่ไหนได้ นายดูคุ้นชินไม่น้อย พูดกับเขาอย่างออกรสออกชาติ”

หวังจินหยางไร้คำจะเอ่ย อันที่จริงผู้ฝึกยุทธ์ค่อนข้างตรงไปตรงมา ปกติจะเบี่ยงเข้าประเด็นเลย

คำพูดพิธีรีตองที่ไร้ความหมายเช่นนี้ เปล่าประโยชน์ อะไรที่ไม่จำเป็นต้องพูดเลือกไม่พูดเสียดีกว่า

ฟางผิงยิ่งแล้วใหญ่ พูดคุยกับจางอวี่เฉียงอย่างสบายใจเฉิบ ทำเอาจางอวี่เฉียงแทบจะลืมเขาไปเลย

หวังจินหยางไม่ได้โมโหเพราะถูกลืม เขาชอบแบบนี้เหมือนกัน

แต่เรื่องที่ฟางผิงพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ หวังจินหยางยังคงตกใจไม่น้อย

ฟางผิงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “คนเขาเกรงอกเกรงใจขนาดนี้ ผมพูดเป็นมารยาทหน่อย เป็นปัญหาหรือไง?”

“เปล่า ดีแล้ว”

หวังจินหยางไม่พูดมากเช่นกัน ส่ายหัวเบาๆ นิสัยนี้ของฟางผิง เข้าหน่วยทหารคงไม่เหมาะเท่าไหร่

แต่ฟางผิงจะคิดยังไง ตอนนี้ไม่อาจแน่ใจได้ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ

ยิ่งไปกว่านั้น ฟางผิงยังจบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ จะกลับหนานเจียงหรือเปล่ายังไม่รู้?

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน จางอวี่เฉียงก็เดินออกมาจากห้องทำงาน “เข้าไปได้เลยครับ”

ฟางผิงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไป หวังจินหยางตามเข้าไปเช่นกัน

ห้องทำงานของจางติ้งหนานกว้างไม่น้อย

ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ด้านหน้าแผนที่ของหนานเจียง รอพวกฟางผิงเข้ามา จางติ้งหนานก็ไม่วางท่าต่อ หมุนตัวกลับมาว่า “ตอนนี้มีโอกาสสูงที่ปากทางเข้าถ้ำใต้ดินจะปรากฏขึ้นที่หนานเจียง น่าจะช่วงประมาณสิบสองถึงสิบหกเดือน พวกเธอไม่ใช่ปรมาจารย์ คงช่วยอะไรไม่ได้เยอะ จุดประสงค์ของฉันก็ไม่ได้หวังให้พวกเธอถูกส่งไปออกรบตอนนี้ รวมทั้งหวังจินหยางด้วย ฉันแค่อยากเตรียมความพร้อมอัจฉริยะบางส่วนล่วงหน้า ฟางผิง จบจากเซี่ยงไฮ้แล้ว คิดจะกลับมาหนานเจียงหรือเปล่า?”

ฟางผิงยังไม่ทันอ้าปาก จางติ้งหนานที่เผยสีหน้าเคร่งขรึมกลับพูดกับตัวเองขึ้นมาก่อน “เธอเรียนจบ คงจะเข้าสู่ขั้นสี่หรือกระทั่งขั้นห้า ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มสู้รบ มีโอกาสสูงที่จะก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ บางทีอาจใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี หากเธอรับปาก หลังจากจบการศึกษากลับมาหนานเจียง ฉันจะจัดการให้เธอเข้าไปอยู่ในหน่วยทหาร รับหน้าที่ผู้บัญชาการของหน่วยทหาร!”

ผู้บัญชาการหน่วยทหาร ตำแหน่งฐานะเทียบเท่ากับผู้บัญชาการเมืองระดับจังหวัด ผู้มีอำนาจของหน่วยทหารหลายเมืองก็มีตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเช่นกัน

จางติ้งหนานเปิดฉากด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร เสนอเงื่อนไขสูงจริงๆ

ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ทุกคนจะสามารถรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารได้ทั้งหมด ถึงกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าบางส่วน ยังไม่อาจรับตำแหน่งนี้ได้

บางครั้งไม่ได้ดูแค่ลำดับขั้น ยังต้องพิจารณาจากเรื่องอื่นด้วย

“ผู้ว่า ผม…”

“กลับไปคิดดู ตอนนี้ยังเร็วไปอยู่บ้าง อีกอย่างถ้าปากทางเข้าถ้ำโผล่ขึ้นที่หนานเจียงจริงๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนหนานเจียง หวังว่าเธอจะสามารถยืมแรงจากเซี่ยงไฮ้ได้ หลู่เฟิ่งโหรวเป็นอาจารย์ของเธอ ถึงเวลานั้นหวังว่าเธอจะสามารถเกลี้ยกล่อมคนบางส่วนให้แรงสนับสนุนกับหนานเจียง”

ส่วนฟางผิงนั้น ฝีมือยังไม่อาจพึ่งพาได้ จางติ้งหนานไม่ได้คาดหวังเขา

แต่นักศึกษาอัจฉริยะอย่างฟางผิง ต้องมีอิทธิพลในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว รวมถึงมีอิทธิพลต่อพวกอาจารย์ด้วย

จางติ้งหนานสนิทกับหลู่เฟิ่งโหรวเหมือนกัน แต่ไม่ได้เจอกันหลายปี ฟางผิงอาจจะพึ่งพาได้มากกว่าเขา

“ผมจะพยายาม!” ในที่สุดฟางผิงก็มีโอกาสให้พูด

“พยายามอย่างถึงที่สุด”

พูดเรื่องนี้แล้ว จางติ้งหนานก็สะบัดมือเอาคัมภีร์ปึกหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะไม่ไกลมาอยู่ในมือตัวเอง ก่อนจะเอาให้ฟางผิง

“ดาบคลั่งโลหิตเป็นสิ่งที่ฉันคิดค้นขึ้นมาตอนอยู่ขั้นสี่ ไม่ได้ถือว่าพิเศษอะไร นี่เป็นฉบับปรับปรุงหลังจากที่ฉันก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว เธอเอากลับไปดู อีกอย่างฉันจะแขวนตำแหน่งรองผู้บัญชาการหยางเฉิงให้เธอ มีอะไรจะคัดค้านหรือเปล่า?”

ฟางผิงทำหน้ามึนงง แบบนี้ก็ได้เหรอ?

หวังจินหยางที่อยู่ด้านข้างพูดแซะว่า “ฉันเป็นผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ของหยางเฉิง!”

ใช่แล้ว เขาเป็นผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์หยางเฉิง เพิ่งจะได้ตำแหน่งไม่นานมานี้

ให้ประโยชน์โดยที่ตัวเองไม่ได้เสียหายอะไร ยังไงช่วงนี้จางติ้งหนานก็ยัดตำแหน่งอย่างผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ ผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์อะไรพวกนี้ออกไปหลายสิบตำแหน่งแล้ว

ประโยชน์นั้นแทบไม่มี ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือเป็นฐานะที่ถูกทางการยอมรับเท่านั้น

อีกอย่างขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจของหยางเฉิง ช่วงเวลาที่หนานเจียงประสบความยากลำบากจะไม่โผล่หัวออกมาได้เหรอ?

ส่วนจะรับหรือไม่รับ จางติ้งหนานไม่สนใจ แค่แขวนตำแหน่งให้นายเท่านั้น นายจะไม่โผล่หน้ามาก็ได้ ไม่บังคับ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนายจะทำงานเอง!

ฟางผิงไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง ฉันปฏิเสธได้หรือไง?

เขาไม่ปริปากพูดอะไร ถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย

จางติ้งหนานนั้นยุ่งจริงๆ เห็นแบบนี้จึงเอ่ยว่า “งั้นเอาตามนี้แล้วกัน ตั้งใจเรียน พยายามเข้าสู่ระดับกลางล่ะ”

นี่นับเป็นคำพูดที่ใช้ในการส่งแขกครั้งนี้ ฟางผิงอ่อนแอเกินไป

ขั้นสองสูงสุดถือว่าไม่เลว แต่จางติ้งหนานไม่มีเวลาว่างมาคุยเรื่องไร้สาระพวกนั้นกับเขาจริงๆ

รอเขาเข้าสู่ระดับกลางแล้ว นั่นยังพอมีเรื่องให้พูดคุยกันได้

ฟางผิงยิ้มเจื่อนๆ ให้ผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นี้เองเหรอ เป็นผู้ว่าที่ขี้เหนียวจัง ไม่อายบ้างหรือไง?

ให้คัมภีร์ดาบคลั่งโลหิตฉบับปรับปรุงมา อันที่จริงเคล็ดวิชาประเภทนี้แทบไม่มีมูลค่า

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มีมากมาย คุณมีคุณสมบัติพอให้ฝึกวิชาก็พอแล้ว แน่นอนว่าเคล็ดวิชาของระดับปรมาจารย์ ยังต้องได้รับความยินยอมของปรมาจารย์เอง

อีกอย่างตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ทั้งยังเป็นเมืองระดับอำเภอแทบไม่มีประโยชน์อะไร

ฟางผิงนั้นจนใจ แต่ก็ทำได้แค่ออกมาเท่านั้น

หวังจินหยางไม่ได้ออกมาด้วย เขายังต้องพูดคุยเรื่องหนานเจียงกับจางติ้งหนาน ฟางผิงไม่สนใจเหมือนกันว่าพวกเขาจะปรึกษาอะไรกัน ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว

——————

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *