ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 259 เป้าหมายเดียวกัน ทางเดินแตกต่าง (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 259 เป้าหมายเดียวกัน ทางเดินแตกต่าง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 259 เป้าหมายเดียวกัน ทางเดินแตกต่าง (1)

หมัดจินกังเป็นเคล็ดวิชาระดับกลาง ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่คิดค้นโดยผู้ฝึกยุทธ์สมัยปัจจุบัน

นี่เป็นวิชาหมัดที่เก่าแก่วิชาหนึ่ง เล่ากันว่าสืบทอดมาจากนิกายพุทธเมื่อพันปีก่อนซึ่งศาสดาคนหนึ่งในเวลานั้นเป็นผู้คิดค้น

แน่นอนว่าเป็นแค่ตำนาน บอกว่าเป็นศาสดา เพราะในสายตาของคนปัจจุบันมองว่าผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือก็คือคนที่เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์

หมัดจินกังจำเป็นต้องหลอมรวมร่างกาย คำพูดและความคิดเข้าด้วยกัน หากเปลี่ยนเป็นคำสอนของลัทธิเต๋า สามารถเข้าใจได้ว่าการรวมกันของร่างกาย ลมปราณและจิตวิญญาณ

นี่เป็นเคล็ดวิชาระดับกลางที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายหลายคนเลือกเรียน มีส่วนช่วยในการทะลวงขั้นสามสูงสุดอย่างมาก

“พระโพธิสัตว์จินกังหน้าตาถมึงทึง พระโพธิสัตว์โกรธเป็นด้วย…”

ฟางผิงอ่านข้อมูล วิชาหมัดจินกังคือความดุดัน แข็งแกร่งและดุดัน วิชาหมัดทั้งหมดอธิบายถึงความเด็ดขาดโหดเหี้ยม หมัดเร็วเหมือนพระโพธิสัตว์จินกัง บุกทะลวงเหมือนผ่าไม้ไผ่

ฟางผิงอ่านอยู่สักพัก ก่อนจะเปรียบเทียบหมัดจินกังกับดาบคลั่งโลหิต

อานุภาพจะรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับฝีมือแต่ละคน ดาบคลั่งโลหิตอันที่จริงไม่นับว่าไปทางดุดันเพียงอย่างเดียว ในนั้นยังมีกลเม็ดค่อนข้างเยอะ ฟันติดต่อกันทบแรงระเบิดถือว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ค่อนข้างยากเช่นกัน

แต่หมัดจินกังไม่จำเป็นต้องมีความรู้เคล็ดวิชามากมาย สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือพลัง

“ไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน ต่อให้นายแข็งแกร่งแค่ไหน ฉันก็ทะลวงได้ในหนึ่งหมัด!”

ฟางผิงพึมพำ จู่ๆ ก็หยัดกายขึ้นเข้าสู่สภาวะจวงกง ใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะคำรามอย่างโมโห ชกหมัดออกมา!

‘ปัง!’

เสียงระเบิดแหวกอากาศดังขั้น ในห้องเหมือนกับสั่นสะเทือนขึ้นมา

ฟางผิงส่ายหัวเบาๆ “ยังไม่ถึงขั้นพลังหมัดรวมเป็นหนึ่งเดียว หากถึงขั้นนั้น อานุภาพคงไม่น้อยแบบนี้”

แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจเคล็ดวิชาต่อสู้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน

ฝึกวิชาครั้งแรกต้องบกพร่องไปบ้างอยู่แล้ว

“อาจารย์ไม่อยู่ วันหลังต้องไปถามตาเฒ่าหลี่สักหน่อย”

เวลาชั่วพริบตาเดียวท้องฟ้าก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

เข้าสู่เดือนกรกฏาคมอย่างเป็นทางการ

นักศึกษาบางคนยังคงเข้าเรียนตามปกติ บางคนก็หยุดพัก ถึงเดือนกรกฏาคมแล้วหลายคนเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับบ้าน

ชีวิตปีหนึ่งของฟางผิงก็สิ้นสุดไปเช่นนี้

ตอนเช้าฟางผิงเปิดมือถือที่ชาร์จแบตเต็มแล้วขึ้นมา ข้อความดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

มาจากหลายๆ คน ในนั้นมีฟางหยวนน้องสาวของเขาที่ส่งมาเยอะที่สุด

ฟางผิงอ่านข้อความของฟางหยวนก่อน ไล่อ่านลงมาก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้

“ฟางผิง เห็นแล้วตอบกลับด้วย!”

“ฟางผิง นายไปไหนกัน?”

“ถ้ายังไม่โทรกลับอีก ฉันจะไปหานายที่เซี่ยงไฮ้!”

“ฟางผิง นายไปไหน? พ่อแม่ร้อนใจกันใหญ่ ฉันก็เป็นห่วงนาย…”

“…”

“พี่ ถ้ายังไม่โทรกลับอีก ฉันจะไปเซี่ยงไฮ้จริงๆ แล้วนะ ฉันอดอาหารจนผอมแล้ว จะไม่ให้นายบีบแก้มอีก!”

“…”

“ฉันสอบเสร็จแล้วจะไปเซี่ยงไฮ้ พ่อบอกว่านายคงจะงานยุ่ง แต่นายไม่มีข่าวคราวมาสิบวันแล้ว…”

“พี่ ฉันจองตั๋วรถแล้วนะ…”

รอจนเห็นข้อความสุดท้ายเพิ่งถูกส่งมาเมื่อวาน ฟางผิงก็รีบต่อสายหาฟางหยวนทันที เด็กแสบนั่นมาเซี่ยงไฮ้จริงๆ แล้ว

“พี่?”

เสียงฟางหยวนที่ดังออกมาจากปลายสายถามด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่

ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ฉันเอง เธอ…”

“บ้าที่สุด โง่เง่า ต่ำทราม ฟางผิง นายไปตายที่ไหนมา!” เสียงสะอึกสะอื้นของฟางหยวนเต็มไปด้วยความโมโห เอ่ยอย่างมีโทสะ “ทำไมนายไม่รับโทรศัพท์ ไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการอีก น่าโมโหชะมัด!”

ฟางผิงเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง มีเรื่องต้องไปทำนิดหน่อย? นี่เพิ่งจะกี่วันเอง เธอร้อนใจอะไร…”

“ใครร้อนใจ!” ฟางหยวนสูดน้ำมูก แค่นเสียงว่า “พ่อแม่ต่างหากที่ร้อนใจ ไม่งั้นฉันคงไม่สนใจนายหรอก!”

“พ่อแม่อยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่อยู่ ฉันออกมาข้างนอก”

“ข้างนอก? เธอขึ้นรถมาแล้ว?”

“ขึ้นรถอะไรกัน? คนโง่น่ะสิที่ขึ้นรถ นายคิดว่าฉันจะไปหานายจริงๆ หรือไง ฝันไปเถอะ ฉันออกมาเที่ยวที่บ้านเพื่อน”

เด็กแสบปากแข็งไม่น้อย ฟางผิงได้ยินเสียงดังโหวกเหวกและเสียงประกาศภายในสถานีรถไฟ

ไม่คิดจะเปิดโปง ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็เที่ยวให้สนุก ฉันยังต้องอยู่เซี่ยงไฮ้อีกหลายวัน เดี๋ยวจะกลับไปหา อีกอย่างห้ามผอมเด็ดขาด ถ้าจงใจทำให้ตัวเองผอม ต้องโดน…”

“จะผอม!”

“ผอมฉันจะต่อยเธอ!”

“นายกล้า!”

“…”

สองพี่น้องคุยเล่นกันยกใหญ่ ฟางผิงไม่ได้อธิบายอะไร วางสายแล้วก็โทรศัพท์หาพ่อ

ฟางหมิงหรงใจเย็นกว่ามาก ถามไถ่เรื่องสุขภาพร่างกายแล้วก็ไม่ถามมากมายกว่านั้น

หลายวันก่อนที่ติดต่อฟางผิงไม่ได้ ฟางหยวนเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างยิ่ง ฟางหมิงหรงเป็นห่วงเช่นกัน ภายหลังไป๋จิ่นซานยังเข้ามา บอกว่าฟางผิงกำลังทำภารกิจอยู่ ติดต่อไม่ได้เป็นเรื่องปกติ ฟางหมิงหรงจึงค่อยสบายใจขึ้นมา

ในเมืองหยางเฉิง คำพูดของไป๋จิ่นซานมีใครไม่เชื่อบ้าง

ติดต่อคนที่บ้านแล้ว ฟางผิงอ่านข้อความต่อ มีของอู๋จื้อหาว พวกหยางเจี้ยน ทั้งมีของหลี่เฉิงเจ๋อด้วยเช่นกัน

แค่คำถามสั้นๆ เท่านั้น ไม่เห็นหน้าค่าตาสิบวัน สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ไม่ถือว่านานอะไร

แต่ฟางผิงยังเห็นอีกข้อความหนึ่ง มาจากหวังจินหยาง

“กลับหนานเจียงแล้วโทรหาฉันด้วย”

เรื่องที่ฟางผิงลงถ้ำใต้ดิน หวังจินหยางรู้เช่นกัน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ลงถ้ำใต้ดินไปจำนวนมาก พวกเบื้องบนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ต่างรู้ทั่วกัน

ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฟางผิงไม่คิดจะโทรกลับไป รอเขากลับหนานเจียงก่อนค่อยว่ากัน

กำลังอ่านข้อความต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ฟางผิงเดินไปเปิดประตู เห็นแค่พวกฟู่ชางติ่งอยู่ข้างนอก

“ฟางผิง อาการบาดเจ็บนายดีขึ้นหรือยัง?”

ฟางผิงกลับมาวันที่ยี่สิบเก้า แต่กลับมาก็หลับยาวจนถึงวันที่สามสิบ ทุกคนล้วนไม่ได้มารบกวนเขา จนถึงตอนนี้เพิ่งจะเข้ามา

“ไม่เป็นไร บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกนายไม่กลับบ้าน?”

ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างกังวล “พวกอาจารย์ยังไม่กลับมาเลย ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้กลับไปก็นั่งไม่ติดที่อยู่ดี ฟางผิง นายกลับมาคนสุดท้าย อธิการ…”

ฟางผิงเผยสีหน้าเรียบนิ่ง พยักหน้าเบาๆ “วันนั้นปรมาจารย์นับสิบคนต่อสู้กับพวกระดับสูงของถ้ำใต้ดิน ทั้งสองเมืองล้อมโจมตีเมืองความหวัง พวกอธิการล่อระดับสูงอีกฝ่ายออกไป สุดท้ายก็ไม่กลับมาอีกเลย”

“เฮ้อ!”

ทุกคนต่างถอนหายใจ พวกเขาอ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนไม่สามารถเข้าร่วมแนวป้องกันในสงครามได้ จำเป็นต้องล่วงหน้าออกจากถ้ำมาก่อน

ครั้งนี้คนจากคลาสฝึกพิเศษ มีแค่ส่วนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครตายสักคน

กลับเป็นพวกปรมาจารย์และผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายและสูงสุดที่ตายกันไปไม่น้อย กระทั่งอธิการที่มีร่างทองยังดับสลาย

“งั้นพวกคณบดี…”

ฟางผิงส่ายหัว “ไม่รู้ ฉันเป็นแค่ขั้นสาม ความเคลื่อนไหวของพวกปรมาจารย์ พวกเราก็ไม่แน่ชัดเหมือนกัน แต่น่าจะไม่เป็นไร ไม่งั้น…”

ไม่งั้นคงจะรู้ข่าวแล้ว เซี่ยงไฮ้มีปรมาจารย์แค่นี้ ครั้งเดียวสูญเสียถึงสองคน สถานการณ์นั้นร้ายแรงยิ่งกว่าตอนนี้ซะอีก

“หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย” ฟู่ชางติ่งภาวนา

ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรรับประกันได้

เชิญทุกคนเข้ามานั่งในห้องแล้ว เฉินอวิ๋นซีนั่งลงก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ฉัน…ฉันทำความสะอาดห้องให้นายได้หรือเปล่า?”

ฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง “เธอเป็นโรคเกลียดความสกปรก?”

ในห้องนั้นสกปรกจริงๆ ไม่ได้กลับมาสิบวัน รวมทั้งก่อนหน้านี้ยังนอนไปด้วยกลิ่นเหงื่อเหม็นเปรี้ยวและกลิ่นคาวเลือด ตอนนี้ในห้องจึงมีกลิ่นแปลกๆ อบอวลอยู่

ฟางผิงค่อนข้างเหนื่อย จึงไม่มีใจทำความสะอาด ปล่อยทิ้งไว้มาตลอด

เขาคุ้นชิน แต่ทุกคนเข้าห้องมาก็ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวทันที

“ไม่ใช่ๆ…แค่…แค่…”

เฉินอวิ๋นซีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ฟางผิงหัวเราะว่า “เธอทำความสะอาดเป็นหรือไง? ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจะทำเอง”

ระหว่างที่พูดก็เบี่ยงไปอีกประเด็น “พวกนายมาหาฉันมีธุระ?”

———————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด