ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 213 เหล่าหวังผู้ ‘เลือดเย็น’ (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 213 เหล่าหวังผู้ ‘เลือดเย็น’ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 213 เหล่าหวังผู้ ‘เลือดเย็น’ (1)

ดูทหารใหม่ล้อมกำราบผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตพวกนั้นแล้ว ถังเฟิงก็ส่งทุกคนกลับไปเตรียมความพร้อมที่ค่ายก่อน

ส่วนถังเฟิงจะออกไปพร้อมกับอาจารย์คนอื่นๆ

เห็นพวกเขาอยู่ห่างออกไปแล้ว พวกทหารที่รับผิดชอบขับรถกลับเอ่ยว่า “ครั้งนี้พวกลัทธินอกรีตส่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงออกมาตั้งสามคน รวมทั้งผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางอีกกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ถูกล้อมอยู่ในเขาชางซาน พวกอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คงไปเข้าร่วมการกวาดล้างด้วยเช่นกัน”

ภารกิจของพวกฟางผิงพูดได้เพียงว่าเป็นเรื่องเล็กๆ

ปรมาจารย์ของหนานเจียงในพื้นที่มารวมตัวกัน ทั้งยังเรียกปรมาจารย์จากมณฑลรอบๆ รวมทั้งหมดเก้าคน ไม่ใช่เพราะเก็บกวาดพวกปลาซิวปลาสร้อยต่ำกว่าขั้นสามพวกนี้

“ระดับสูงสามคน?”

พวกฟางผิงตกใจไม่น้อย พวกลัทธินอกรีตมีฝีมือขนาดนี้เชียว?

นึกไม่ถึงว่าจะส่งปรมาจารย์ออกมาตั้งสามคน…

แน่นอนว่าระดับสูงของพวกนอกรีต เหมือนกับพวกถ้ำใต้ดินเช่นกัน เป็นแค่ระดับขั้นเท่านั้น ไม่ใช่ปรมาจารย์

“คงไม่เป็นอันตรายกันหรอกนะ?”

หลายคนเผยสีหน้าเป็นกังวล ทหารที่ขับรถกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงไม่มีปัญหาหรอก พวกเรามีปรมาจารย์ตั้งเก้าคน หากมีปัญหาจริงๆ พวกถังต้าซือคงเข้าไปตั้งนานแล้ว”

ทุกคนมาคิดดูแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น พวกอาจารย์ยังมีเวลามาดูผลงานของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ยังคงราบรื่น

ไม่นานรถก็มาถึงค่ายทหาร

ฟางผิงเพิ่งลงจากรถ จู่ๆ กลับมีทหารในค่ายวิ่งออกมา ตะโกนว่า “ฟางผิง มีคนโทรหา!”

ฟางผิงรีบคลำกระเป๋ากางเกง…เวลานี้ค่อยนึกขึ้นได้ โทรศัพท์นั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่ตอนปะทะกับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว

“ใครโทรมา?”

ฟางผิงแปลกใจอยู่บ้าง ตัวเองยังไม่รู้เบอร์โทรของค่ายเลย คนที่โทรเข้ามาได้ เกรงว่าจะเป็นอาจารย์จากเซี่ยงไฮ้แล้ว

เขาไม่ได้พูดอะไร ตามทหารคนนั้นเข้าไปภายในค่าย

เข้ามาข้างในแล้ว ฟางผิงก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้น “ผมเอง ฟางผิง”

“เธอฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดไปหนึ่งคน?”

ได้ยินเสียงนี้ ฟางผิงก็ยิ้มออกมาทันที “เป็นเพราะอาจารย์สอนมาดี…”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับฉัน ได้ยินว่าเธอฟันอีกฝ่ายกว่าร้อยดาบ ทุกกระบวนท่าระเบิดหนึ่งร้อยแคล?”

“คือว่า…”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยต่อทันที “เธอน้ำหนักเท่าไหร่?”

ฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย หลู่เฟิ่งโหรวยังคงเอ่ยต่อ “ปราณฟื้นฟูได้รวดเร็ว แม้ไม่ใช่ยาบำรุงก็สามารถดึงอนุภาคของพลังงานจากโลกมาฟื้นฟูปราณได้ นี่เป็นลักษณะพิเศษของปรมาจารย์!”

ฟางผิงตะลึงไปเล็กน้อย

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามจะมีลักษณะพิเศษของปรมาจารย์ยังไง? อย่างแรกไขกระดูกต้องเหมือนปรอท พูดอีกนัยหนึ่ง คนธรรมดาหลอมกระดูกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ คนที่มีพรสวรรค์หลอมไขกระดูกเกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ไขกระดูกจะเป็นเหมือนปรอท น้ำหนักตัวมากกว่าคนทั่วไป! อย่างที่สองพลังจิตใจแตกต่างจากคนทั่วไป สามารถดึงอนุภาคพลังงานมาใช้ได้! ทำสองเรื่องนี้สำเร็จก็สามารถพูดได้ว่าต่อให้อยู่ต่ำกว่าขั้นสาม ปราณก็ไม่ลดระดับลง! หากทำไม่ได้ นั่นต้องถูกเตรียมตัวสำหรับการทดลอง ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามที่ปราณไม่ลด…บางทีอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่าง! ตรึกตรองเอาเอง หลังจากเข้าถ้ำใต้ดิน ไม่อาจทำถึงสองจุดนี้ ชีวิตยังพอรักษาได้ แต่ต้องเดินเข้าห้องทดลองหลายครั้งหน่อย…”

ฟางผิงอึ้งไป ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยด้วยเหงื่อชุ่มหน้าผาก “อาจารย์หมายความว่า…”

“โอ้อวด แสดงฝีมือเกินไป นี่คือเธอหาเรื่องเอง ต่อหน้าคนมากมายกลับออกกระบวนท่าไร้ขีดจำกัด ปราณไม่ลดหลั่น เธอคิดว่ายังไงล่ะ? หากทำสองอย่างนี้สำเร็จ เรื่องจะสงบลง พลังจิตใจ…น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก ประเด็นอยู่ที่ไขกระดูกเท่าเทียมกับปรอท…แม้จะเป็นฉัน ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ คิดวิธีเอาเองเถอะ!”

“อาจารย์…”

ฟางผิงกลืนน้ำลาย เอ่ยด้วยคอแห้งผากว่า “ผม…”

“หลอมไขกระดูกไม่ได้มีวิธีพิเศษ คนรุ่นก่อนหลอมไขกระดูก นั่นขึ้นอยู่กับการหลอมกระดูกทั่วร่างให้แตะถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ รวมถึงกะโหลกด้วย ตอนนี้ปราณจะไหลอย่างธรรมชาติเข้าสู่ไขกระดูก เริ่มทำการหลอมรวม นี่คือการเปลี่ยนกระดูกครั้งแรก ไขกระดูกจะหลอมเสร็จในหนึ่งวัน แปรสภาพเหมือนปรอท ปราณจะไหลราวกับสายน้ำ กล้ามเนื้อเป็นทองกระดูกเป็นหยก เรียกได้ว่าเป็นเซียนในร่างมนุษย์! เวลานั้นร่างกายจะไร้ข้อบกพร่อง จากข้างในและข้างนอก อยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป ดังนั้น…คนประเภทนี้ ฟื้นฟูปราณไม่ใช่เรื่องยาก กระดูกและกล้ามเนื้อต่างดูดซับพลังงาน รักษาปราณให้ถึงจุดสูงสุดได้ตลอดเวลา”

ฟางผิงเผยสีหน้าขื่นขม พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์!

ประเด็นอยู่ที่ว่าฉันจะทำถึงจุดนี้ได้ยังไง?

จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็เอ่ยว่า “นายรู้ไหมว่าหวังจินหยางจากหนานเจียง ถูกเรียกว่าปรมาจารย์รุ่นต่อไป?”

“หา?”

“หรือจะพูดว่าปรมาจารย์ฝึกหัด!”

“เอ่อ…”

“บางทีหยางเฉิงอาจจะเป็นเมืองที่มีความลับจริงๆ ลองไปถามเขา ดูว่าเขาจะบอกเธอได้หรือเปล่า เพราะไขกระดูกของเขาเป็นหยกแล้ว!”

ฟางผิงสั่นสะท้านในใจ “อาจารย์ คุณหมายความว่า…”

“อย่าถามฉัน ฉันไม่รู้ บางทีเธออาจจะเหมือนกัน?”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ตอนนี้นายก็มีพรสวรรค์ของไขกระดูกหยก ฟางผิง การตรวจสอบนี้แค่ง่ายๆ หยกหนักกว่าไขกระดูกทั่วไปอยู่มาก พูดว่าหนัก นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ไม่อาจมีคนมาทำลายกะโหลกเธอได้ คว้านไขกระดูกเธอออกมาพิสูจน์ หลอมกระดูกสำเร็จ น้ำหนักจะมากกว่าคนทั่วไป ถ้าตอนนี้เธอหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัม งั้นถ้าเป็นผู้ที่ไขกระดูกเหมือนปรอท บางทีอาจจะหนักหนึ่งร้อยยี่สิบห้ากิโลหรือมากกว่านั้น เอาล่ะ ฉันต้องวางแล้ว อย่าคิดว่าโลกแห่งนี้มีแต่คนปัญญาอ่อน!”

ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก่อนหลู่เฟิ่งโหรวจะตัดสายไป

ฟางผิงนั้นเหงื่อชุ่มหน้าผากตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ถังเฟิงเอ่ยปาก เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน

เป็นเหมือนที่คาด ครั้งนี้แสดงออกมากไป รวมทั้งไม่ได้อัดยาบำรุง จึงดึงดูดความสนใจขึ้นมาชั่วพริบตา

หลู่เฟิ่งโหรวรู้เรื่องนี้ แปดถึงเก้าส่วนต้องเป็นถังเฟิงบอกเธอ

และหลู่เฟิ่งโหรวก็ไม่ได้มีความหมายจะไซ้ซักไล่เลียง แค่จะบอกฟางผิงว่า วิธีแก้ไขมีเพียงต้องทำอย่างนี้

ฟางผิงเป็นผู้ที่หลอมไขกระดูกสำเร็จ!

ผู้ฝึกยุทธ์เช่นนี้ มีส่วนที่พิเศษอยู่บ้าง สามารถเข้าใจได้

สามารถหลอมไขกระดูกในระดับต่ำกว่าขั้นสาม ปราณฟื้นฟูเร็วเล็กน้อย มีอะไรน่ากังขากัน?

แต่ฟางผิงกลับร้องไม่ออก ระบบเล่นฉันแล้ว ไม่มีโหมดหลอมกระดูกให้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์!

ตอนนี้ให้ไขกระดูกเขาเหมือนปรอท เขาจะทำได้ยังไงกัน

อีกประโยคของหลู่เฟิ่งโหรวยังคงพูดอย่างกระจ่างชัด รักษาชีวิตไว้ได้อยู่แล้ว เขาเป็นนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ ทั้งยังเป็นอัจฉริยะ

หากบอกว่าไม่ถึงตาย งั้นภายหลังอาจจะต้องถูกกรีดเลือด เจาะไขกระดูก บางครั้งต้องเข้าไปเป็นหนูทดลองในห้องวิจัยอย่างแน่นอน

หากวันไหนไม่อาจศึกษาเงื่อนงำภายในออกมาได้ วันนั้นฟางผิงก็อย่าได้คิดจะเป็นอิสระเลย

นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงจึงตระหนักถึงคำพูดของหลู่เฟิ่งโหรวได้!

“ปรมาจารย์ฝึกหัด!”

นึกไม่ถึงว่าหวังจินหยางจะยังมีฉายาแบบนี้ ฟางผิงเหนือความคาดหมายจริงๆ

ทั้งจากคำพูดของหลู่เฟิ่งโหรว หวังจินหยางหลอมไขกระดูกแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่ฟางผิงนึกไม่ถึงเช่นกัน

ตระหนักถึงจุดนี้ ฟางผิงนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่หนานเจียง จึงรีบต่อสายหาเหล่าหวังทันที

“พี่หวัง…”

“นายอยู่ค่าย?”

“ใช่ เพิ่งทำภารกิจเสร็จ พี่หวัง ผมอยากให้ช่วยชี้แนะสักหน่อย คือว่า…”

“ว่ามา!”

“ผม…คือว่าผมเหมือนจะหลอมกระดูกจนถึงไขกระดูกได้แล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร ได้ยินอาจารย์บอกว่าพี่…”

“นายหลอมถึงไขกระดูกแล้ว?”

หวังจินหยางตกใจอย่างมาก ผ่านไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “หาเวลามามหาลัยหนานเจียงสักหน่อย ช่วงนี้ฉันอยู่ที่นี่”

“ได้ ผมจะรีบเข้าไป!”

ฟางผิงจะพูดมากได้อีกยังไง ไม่รีบแก้ไขปัญหานี้ เขาต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่

หากคลี่คลายปัญหานี้ได้ เขาก็มีวิธีอธิบายเรื่องขาดแคลนทรัพยากรก่อนหน้านี้ได้เช่นกัน

อันที่จริงปัญหานี้ มีลางสังหรณ์มาตั้งนานแล้ว

แต่ก่อนหน้านี้ฟางผิงขาดแคลนทรัพยากรมากเกินไป เขาไม่อาจเก็บยาบำรุงมากมายขนาดนั้นไว้โดยไม่ใช้หรือขายออกไป

ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้เขาคงไม่มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้

พึ่งยาบำรุงพวกนี้ในการฝึกวิชา ฟางผิงเข้าสู่ขั้นสองได้ก็ไม่เลวแล้ว จะให้อาศัยยาเข้าสู่ขั้นสามตอนกลางได้ยังไงอีก

ก่อนหน้านี้เคยหลอกพวกฟู่ชางติ่งครั้งหนึ่ง บอกว่าตัวเองมีปรมาจารย์หนุนหลัง

ฟู่ชางติ่งเหมือนจะเชื่ออยู่บ้าง แต่มีปรมาจารย์สนับสนุนตัวเองหรือไม่ ฟู่ชางติ่งไม่รู้ แต่พวกปรมาจารย์จะไม่รู้ได้เหรอ?

ปรมาจารย์ไม่อาจโผล่ออกมาอย่างไร้สาเหตุ

ตอนนี้ไม่ใช่ยุคโบราณที่ข่าวสารส่งไม่ถึงกัน การกำเนิดปรมาจารย์คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ปิดได้อยู่แล้ว

แม้จะเป็นปรมาจารย์ในหน่วยทหาร ก็ไม่อาจไร้ชื่อเสียงเรียงนามในแวดวงได้ เพียงแค่โลกภายนอกไม่ค่อยได้ยินชื่อเท่านั้น

หากพวกปรมาจารย์คิดหาความจริงขึ้นมา ไม่นานก็คงเปิดเผยได้ทั้งหมด

ดังนั้นเอาเรื่องเก่ามาพูด คงหลอกแค่คนกลุ่มหนึ่งได้เท่านั้น คนในวงการต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว

———————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด