ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 117-2 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 117-2 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 117 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2)

สองพี่น้องตระกูลถานตกตะลึงไป ก่อนถานเทาจะดึงสติกลับมาเป็นคนแรก “นอกจากสองครั้งแล้วยังมีสามครั้งอีก? ฟางผิง นายอธิบายให้พวกเราฟังได้หรือเปล่า?”

“ปราณถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคล ปกติจะสามารถหลอมกระดูกครั้งที่สองได้ ปราณสองร้อยแคล ก็จะสามารถหลอมกระดูกครั้งที่สาม ความรู้สึกของการหลอมกระดูก รอนายปราณแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล เข้าสู่การหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่ง พวกนายจะรู้เอง แน่นอนว่าสามครั้งเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่าฉันอวดตัว แต่น้อยคนที่จะทำได้ถึงจุดนี้ ถ้าพวกนายไม่ติดขัดเรื่องอะไร สามารถลองหลอมกระดูกครั้งที่สองได้ แต่อย่าได้หลอมครั้งที่สามเลย…”

ฟางผิงอธิบายคร่าวๆ ก่อนจะถามถึงสถานการณ์ของพี่น้องตระกูลถาน

ปราณของถานเฮ่าแตะถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคลแล้ว ถานเทาอยู่ที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่แคล

การพัฒนาของสองพี่น้องไม่ช้าเลย อันที่จริงถือว่าไวแล้ว ยังไงก็เพิ่งเปิดเทอมได้หนึ่งเดือนเท่านั้น

ดูจากความเร็วนี้ จบเทอมอาจมีโอกาสแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล เข้าสู่เส้นแบ่งเขตระหว่างคนธรรมดาและผู้ฝึกยุทธ์

รอถึงเทอมต่อไป ก็มีความหวังจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ในมหาวิทยาลัยทั่วไป เป็นผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่ปีหนึ่ง ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว

ถานเฮ่าถึงกระทั่งยังยิ้มออกมา “พวกเราถือว่าพัฒนาไวแล้ว เทียบกับพวกโจวปินที่ปราณสูงกว่าพวกเรา เพราะพวกเขาไม่เคยฝึกจวงกง ตอนนี้ความคืบหน้าเลยพอๆ กับพวกเรา แน่นอนว่าเทียบกับพวกนายไม่ได้หรอก ปีนี้เด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยหนานเจียงนับว่าค่อนข้างเก่งกว่าปีก่อนๆ เพิ่งเปิดเรียนมีคนปราณเกินหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไปแล้ว รุ่นก่อนของปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ยังมีคนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แค่ไม่กี่คน อย่างน้อยก็เกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังจำพวกรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งของปีก่อนได้หรือเปล่า? นอกจากรุ่นพี่หวังที่อยู่ขั้นสาม กลายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ คนอื่นๆ ตอนนี้มีคนเพิ่งทะลวงขั้นหนึ่ง ทั้งยังมีบางคนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เป็นคนธรรมดาไม่ต่างจากพวกเรา”

นี่เป็นสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ตั้งแต่ต้นรับนักเรียนด้วยความสามารถธรรมดา ปราณไม่สูง ทรัพยากรไม่ค่อยเพียงพอ แม้จะอยู่ปีสอง ยังมีนักศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์

มีแต่ต้องรอถึงปีสาม หากโชคดีอาจจะมีโอกาสทะลวงขั้นหนึ่ง

เมื่อขึ้นปีสี่ กลุ่มนักศึกษาที่หัวดีจะจบการศึกษาด้วยขั้นสอง นักศึกษาทั่วไปส่วนมากจะจบด้วยขั้นหนึ่ง มีแค่คนจำนวนน้อยที่จบด้วยขั้นสามได้

แน่นอนว่า ถ้าโชคไม่ดี เรียนจนจบแล้วไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน

ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นักศึกษาใหม่ไม่ถึงหนึ่งพันหกร้อยคน ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์เกินร้อยคนแล้ว จบเทอมนี้เกรงว่านักศึกษาเกือบครึ่งน่าจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กันแล้ว

พอขึ้นปีสองคงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เกือบหมดแล้ว

อีกสองปีจบการศึกษาด้วยขั้นสองพบเห็นได้มาก ขั้นสามก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ส่วนขั้นสี่ถึงจะถือว่าหายาก

พวกเขาคุยกันพักใหญ่ ก่อนถานเทาจะปรึกษาว่า “ควรนัดพวกอู๋จื้อหาวออกมากินข้าวด้วยกันสักหน่อยหรือเปล่า? ครั้งนี้ทุกคนต่างกลับบ้าน ยากที่จะได้หยุดแบบนี้ นายก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ถือว่าเลี้ยงต้อนรับนายไปด้วย”

“อย่าพูดแบบนี้สิ จะนัดรวมก็นัด อย่ามาพูดเรื่องเลี้ยงต้อนรับ”

ฟางผิงเผยยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาโทรหาพวกอู๋จื้อหาวทันที นัดออกไปเจอกันตอนบ่าย

คุยกับพี่น้องตระกูลถานอีกพักหนึ่ง ก่อนฟางผิงจะลงไปข้างล่าง

ฟางหมิงหรงเป็นคนธรรมดา ก่อนหน้านี้ก็อยู่ชั้นล่างคุยกับถานเจิ้นผิงอยู่ตลอด จึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

เห็นลูกชายลงมา ฟางหมิงหรงรีบเอ่ยว่า “รองผู้อำนวยการ ผมอยากสูบบุหรี่จะแย่ ขอออกไปสูบสักมวนเถอะ ให้ผิงผิงคุยเป็นเพื่อนคุณก่อนแล้วกัน ผิงผิง ลูกเข้ามาคุยเป็นเพื่อนรองผู้อำนวยการถานหน่อย…”

ฟางผิงขานรับ ถานเจิ้นผิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

รอฟางหมิงหรงไปแล้ว ฟางผิงค่อยนั่งลงตรงข้ามถานเจิ้นผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงถาน ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่ให้ความดูแลจริงๆ”

“ไม่หรอก”

“อยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงราบรื่นดีสินะ?”

“ครับ อาจารย์ของผมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย มีศิษย์ไม่เยอะ เอาใจใส่ผม…”

“ขั้นหกตอนปลาย!”

ถานเจิ้นผิงตกตะลึง ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยเจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกมาก่อนด้วยซ้ำ!

ผู้ว่าจางของหนานเจียงอยู่ขั้นหกตอนปลายเหมือนกัน แต่บุคคลสำคัญเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถเจอได้

ตอนนี้รู้ว่าอาจารย์ของฟางผิงอยู่ขั้นหกตอนปลาย จึงอดตกใจไม่ได้

นี่คือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สินะ?

ความจริงหลายปีมานี้ในหยางเฉิงเคยมีคนสอบเข้าสองมหาวิทยาลัยดังได้เช่นกัน แต่ก็เป็นพวกปลายแถว

ตอนแบ่งอาจารย์คนพวกนี้แทบจะได้อาจารย์ขั้นสี่กันหมด

เรียนจบแล้ว เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองค่อนข้างเยอะ ถึงกระทั่งมีขั้นหนึ่งเช่นกัน พวกเขาแทบจะรั้งตัวอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหมด

ตอนนี้ฟางผิงมีอาจารย์อยู่ขั้นหก นั่นหมายความว่าแม้จะอยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เขาก็ถูกจัดในกลุ่มนักศึกษาหัวกะทิ

ตอนแรกเป็นหวังจินหยาง ต่อมามีฟางผิง สองปีนี้หยางเฉิงมีนักเรียนโดดเด่นจนน่าตกใจ

คุยกันสักพักก่อนถานเจิ้นผิงจะเอ่ยว่า “ฟางผิง คืออย่างนี้ ปีนี้ในเมืองมีแผนจะปฏิรูปการศึกษา เรื่องก่อนหน้านี้นายก็รู้แล้ว ทางรุ่ยหยางถูกตำหนิ ปีนี้มณฑลจึงตั้งเงื่อนไขกับแต่ละเมืองสูงขึ้นมาไม่น้อย ช่วงนี้กองศึกษาออกแผนปฏิรูปใหม่ ส่วนนายเป็นนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่น ดังนั้นเมืองจึงอยากใช้นายเป็นสื่อโฆษณา เพื่อให้ผู้คนออกมาสมัครเรียนศิลปะการต่อสู้มากขึ้น นายน่าจะรู้ว่า บางครอบครัวใช่ว่าจะควักเงินหนึ่งหมื่นหยวนออกมาไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกไม่คุ้มค่าเท่านั้น ดังนั้นทุกปีจึงมีนักเรียนสมัครสายศิลปะการต่อสู้น้อย นายมาจากครอบครัวธรรมดาเหมือนกัน พวกเราอยากใช้ตัวอย่างของนาย…”

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าฟางผิงกลับโบกมือ “ลุงถาน อย่าใช้เรื่องของผมโฆษณาออกไปเลยครับ ไม่ดีหรอก ผมไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่ผมมีโอกาสประจวบเหมาะ ฝืนเพิ่มความหวังให้พวกเขา สุดท้ายถ้าความหวังดับสูญ กลับจะเป็นการโจมตีพวกเขายิ่งกว่า ทั้งเรื่องของผม อย่าอวดอะไรจะดีที่สุด รวมถึงเรื่องของรุ่นพี่หวังด้วย”

ถานเจิ้นผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟางผิงครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “รุ่นพี่หวังท้าทายศัตรูไว้ข้างนอกค่อนข้างเยอะ บางคนใช่ว่าจะทำตามกฎเกณฑ์เสมอไป อย่าทำเรื่องโดดเด่นไปจะดีที่สุด ผมก็เหมือนกัน เมื่อวานเพิ่งฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคน อย่าเอาไปอวดให้เตะตาคนจะดีกว่า…”

“แค่กๆๆ”

ถานเจิ้นผิงสำลักไอขึ้นมา ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า?

ฟางผิงไม่พูดมากอีก ฉันไม่ได้พูดไปเรื่อย แต่ตั้งใจเตือนจริงๆ

แม้ข่าวของนักศึกษาอย่างพวกเขาจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่แทนที่จะให้เรื่องเพิ่มมากขึ้นไม่สู้ให้เรื่องลดน้อยลงหน่อย เผยแพร่ออกไปไม่ได้จะเป็นผลดีเสมอไป

เหล่าหวังมีชื่อเสียงข้างนอกขนาดนั้น แต่ในสายตาคนส่วนมาก กลับไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก

เว้นเสียแต่คุณจะอยู่ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว คนอื่นถึงกระทั่งไม่กล้าคิดล้างแค้นด้วยซ้ำ เวลานี้อยู่อย่างถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า

ถานเจิ้นผิงมองฟางผิงพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

เขาไม่ได้สงสัยว่าฟางผิงพูดโกหก แต่ยากที่จะรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตายไปแล้วสองคน?

เขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายเหมือนกัน ตอนนี้ถ้าเขาเผชิญหน้ากับฟางผิงจะเป็นคนที่ถูกฆ่าตายเหมือนกันน่ะสิ?

ความจริงถานเจิ้นผิงประเมินตัวเองสูงไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณอย่างเขา ฟางผิงคนเดียวสู้ได้เป็นสิบ แน่นอนว่าฟางผิงคงไม่พูดออกมา ทำลายจิตใจคนเกินไป

———————–

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 117.2 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 117.2 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 117 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2)

สองพี่น้องตระกูลถานตกตะลึงไป ก่อนถานเทาจะดึงสติกลับมาเป็นคนแรก “นอกจากสองครั้งแล้วยังมีสามครั้งอีก? ฟางผิง นายอธิบายให้พวกเราฟังได้หรือเปล่า?”

“ปราณถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคล ปกติจะสามารถหลอมกระดูกครั้งที่สองได้ ปราณสองร้อยแคล ก็จะสามารถหลอมกระดูกครั้งที่สาม ความรู้สึกของการหลอมกระดูก รอนายปราณแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล เข้าสู่การหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่ง พวกนายจะรู้เอง แน่นอนว่าสามครั้งเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่าฉันอวดตัว แต่น้อยคนที่จะทำได้ถึงจุดนี้ ถ้าพวกนายไม่ติดขัดเรื่องอะไร สามารถลองหลอมกระดูกครั้งที่สองได้ แต่อย่าได้หลอมครั้งที่สามเลย…”

ฟางผิงอธิบายคร่าวๆ ก่อนจะถามถึงสถานการณ์ของพี่น้องตระกูลถาน

ปราณของถานเฮ่าแตะถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคลแล้ว ถานเทาอยู่ที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่แคล

การพัฒนาของสองพี่น้องไม่ช้าเลย อันที่จริงถือว่าไวแล้ว ยังไงก็เพิ่งเปิดเทอมได้หนึ่งเดือนเท่านั้น

ดูจากความเร็วนี้ จบเทอมอาจมีโอกาสแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล เข้าสู่เส้นแบ่งเขตระหว่างคนธรรมดาและผู้ฝึกยุทธ์

รอถึงเทอมต่อไป ก็มีความหวังจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ในมหาวิทยาลัยทั่วไป เป็นผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่ปีหนึ่ง ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว

ถานเฮ่าถึงกระทั่งยังยิ้มออกมา “พวกเราถือว่าพัฒนาไวแล้ว เทียบกับพวกโจวปินที่ปราณสูงกว่าพวกเรา เพราะพวกเขาไม่เคยฝึกจวงกง ตอนนี้ความคืบหน้าเลยพอๆ กับพวกเรา แน่นอนว่าเทียบกับพวกนายไม่ได้หรอก ปีนี้เด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยหนานเจียงนับว่าค่อนข้างเก่งกว่าปีก่อนๆ เพิ่งเปิดเรียนมีคนปราณเกินหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไปแล้ว รุ่นก่อนของปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ยังมีคนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แค่ไม่กี่คน อย่างน้อยก็เกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังจำพวกรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งของปีก่อนได้หรือเปล่า? นอกจากรุ่นพี่หวังที่อยู่ขั้นสาม กลายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ คนอื่นๆ ตอนนี้มีคนเพิ่งทะลวงขั้นหนึ่ง ทั้งยังมีบางคนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เป็นคนธรรมดาไม่ต่างจากพวกเรา”

นี่เป็นสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ตั้งแต่ต้นรับนักเรียนด้วยความสามารถธรรมดา ปราณไม่สูง ทรัพยากรไม่ค่อยเพียงพอ แม้จะอยู่ปีสอง ยังมีนักศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์

มีแต่ต้องรอถึงปีสาม หากโชคดีอาจจะมีโอกาสทะลวงขั้นหนึ่ง

เมื่อขึ้นปีสี่ กลุ่มนักศึกษาที่หัวดีจะจบการศึกษาด้วยขั้นสอง นักศึกษาทั่วไปส่วนมากจะจบด้วยขั้นหนึ่ง มีแค่คนจำนวนน้อยที่จบด้วยขั้นสามได้

แน่นอนว่า ถ้าโชคไม่ดี เรียนจนจบแล้วไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน

ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นักศึกษาใหม่ไม่ถึงหนึ่งพันหกร้อยคน ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์เกินร้อยคนแล้ว จบเทอมนี้เกรงว่านักศึกษาเกือบครึ่งน่าจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กันแล้ว

พอขึ้นปีสองคงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เกือบหมดแล้ว

อีกสองปีจบการศึกษาด้วยขั้นสองพบเห็นได้มาก ขั้นสามก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ส่วนขั้นสี่ถึงจะถือว่าหายาก

พวกเขาคุยกันพักใหญ่ ก่อนถานเทาจะปรึกษาว่า “ควรนัดพวกอู๋จื้อหาวออกมากินข้าวด้วยกันสักหน่อยหรือเปล่า? ครั้งนี้ทุกคนต่างกลับบ้าน ยากที่จะได้หยุดแบบนี้ นายก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ถือว่าเลี้ยงต้อนรับนายไปด้วย”

“อย่าพูดแบบนี้สิ จะนัดรวมก็นัด อย่ามาพูดเรื่องเลี้ยงต้อนรับ”

ฟางผิงเผยยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาโทรหาพวกอู๋จื้อหาวทันที นัดออกไปเจอกันตอนบ่าย

คุยกับพี่น้องตระกูลถานอีกพักหนึ่ง ก่อนฟางผิงจะลงไปข้างล่าง

ฟางหมิงหรงเป็นคนธรรมดา ก่อนหน้านี้ก็อยู่ชั้นล่างคุยกับถานเจิ้นผิงอยู่ตลอด จึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

เห็นลูกชายลงมา ฟางหมิงหรงรีบเอ่ยว่า “รองผู้อำนวยการ ผมอยากสูบบุหรี่จะแย่ ขอออกไปสูบสักมวนเถอะ ให้ผิงผิงคุยเป็นเพื่อนคุณก่อนแล้วกัน ผิงผิง ลูกเข้ามาคุยเป็นเพื่อนรองผู้อำนวยการถานหน่อย…”

ฟางผิงขานรับ ถานเจิ้นผิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

รอฟางหมิงหรงไปแล้ว ฟางผิงค่อยนั่งลงตรงข้ามถานเจิ้นผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงถาน ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่ให้ความดูแลจริงๆ”

“ไม่หรอก”

“อยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงราบรื่นดีสินะ?”

“ครับ อาจารย์ของผมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย มีศิษย์ไม่เยอะ เอาใจใส่ผม…”

“ขั้นหกตอนปลาย!”

ถานเจิ้นผิงตกตะลึง ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยเจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกมาก่อนด้วยซ้ำ!

ผู้ว่าจางของหนานเจียงอยู่ขั้นหกตอนปลายเหมือนกัน แต่บุคคลสำคัญเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถเจอได้

ตอนนี้รู้ว่าอาจารย์ของฟางผิงอยู่ขั้นหกตอนปลาย จึงอดตกใจไม่ได้

นี่คือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สินะ?

ความจริงหลายปีมานี้ในหยางเฉิงเคยมีคนสอบเข้าสองมหาวิทยาลัยดังได้เช่นกัน แต่ก็เป็นพวกปลายแถว

ตอนแบ่งอาจารย์คนพวกนี้แทบจะได้อาจารย์ขั้นสี่กันหมด

เรียนจบแล้ว เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองค่อนข้างเยอะ ถึงกระทั่งมีขั้นหนึ่งเช่นกัน พวกเขาแทบจะรั้งตัวอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหมด

ตอนนี้ฟางผิงมีอาจารย์อยู่ขั้นหก นั่นหมายความว่าแม้จะอยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เขาก็ถูกจัดในกลุ่มนักศึกษาหัวกะทิ

ตอนแรกเป็นหวังจินหยาง ต่อมามีฟางผิง สองปีนี้หยางเฉิงมีนักเรียนโดดเด่นจนน่าตกใจ

คุยกันสักพักก่อนถานเจิ้นผิงจะเอ่ยว่า “ฟางผิง คืออย่างนี้ ปีนี้ในเมืองมีแผนจะปฏิรูปการศึกษา เรื่องก่อนหน้านี้นายก็รู้แล้ว ทางรุ่ยหยางถูกตำหนิ ปีนี้มณฑลจึงตั้งเงื่อนไขกับแต่ละเมืองสูงขึ้นมาไม่น้อย ช่วงนี้กองศึกษาออกแผนปฏิรูปใหม่ ส่วนนายเป็นนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่น ดังนั้นเมืองจึงอยากใช้นายเป็นสื่อโฆษณา เพื่อให้ผู้คนออกมาสมัครเรียนศิลปะการต่อสู้มากขึ้น นายน่าจะรู้ว่า บางครอบครัวใช่ว่าจะควักเงินหนึ่งหมื่นหยวนออกมาไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกไม่คุ้มค่าเท่านั้น ดังนั้นทุกปีจึงมีนักเรียนสมัครสายศิลปะการต่อสู้น้อย นายมาจากครอบครัวธรรมดาเหมือนกัน พวกเราอยากใช้ตัวอย่างของนาย…”

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าฟางผิงกลับโบกมือ “ลุงถาน อย่าใช้เรื่องของผมโฆษณาออกไปเลยครับ ไม่ดีหรอก ผมไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่ผมมีโอกาสประจวบเหมาะ ฝืนเพิ่มความหวังให้พวกเขา สุดท้ายถ้าความหวังดับสูญ กลับจะเป็นการโจมตีพวกเขายิ่งกว่า ทั้งเรื่องของผม อย่าอวดอะไรจะดีที่สุด รวมถึงเรื่องของรุ่นพี่หวังด้วย”

ถานเจิ้นผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟางผิงครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “รุ่นพี่หวังท้าทายศัตรูไว้ข้างนอกค่อนข้างเยอะ บางคนใช่ว่าจะทำตามกฎเกณฑ์เสมอไป อย่าทำเรื่องโดดเด่นไปจะดีที่สุด ผมก็เหมือนกัน เมื่อวานเพิ่งฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคน อย่าเอาไปอวดให้เตะตาคนจะดีกว่า…”

“แค่กๆๆ”

ถานเจิ้นผิงสำลักไอขึ้นมา ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า?

ฟางผิงไม่พูดมากอีก ฉันไม่ได้พูดไปเรื่อย แต่ตั้งใจเตือนจริงๆ

แม้ข่าวของนักศึกษาอย่างพวกเขาจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่แทนที่จะให้เรื่องเพิ่มมากขึ้นไม่สู้ให้เรื่องลดน้อยลงหน่อย เผยแพร่ออกไปไม่ได้จะเป็นผลดีเสมอไป

เหล่าหวังมีชื่อเสียงข้างนอกขนาดนั้น แต่ในสายตาคนส่วนมาก กลับไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก

เว้นเสียแต่คุณจะอยู่ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว คนอื่นถึงกระทั่งไม่กล้าคิดล้างแค้นด้วยซ้ำ เวลานี้อยู่อย่างถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า

ถานเจิ้นผิงมองฟางผิงพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

เขาไม่ได้สงสัยว่าฟางผิงพูดโกหก แต่ยากที่จะรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตายไปแล้วสองคน?

เขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายเหมือนกัน ตอนนี้ถ้าเขาเผชิญหน้ากับฟางผิงจะเป็นคนที่ถูกฆ่าตายเหมือนกันน่ะสิ?

ความจริงถานเจิ้นผิงประเมินตัวเองสูงไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณอย่างเขา ฟางผิงคนเดียวสู้ได้เป็นสิบ แน่นอนว่าฟางผิงคงไม่พูดออกมา ทำลายจิตใจคนเกินไป

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 117.2 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 117.2 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 117 เป็นคนต้องถ่อมตัว (2)

สองพี่น้องตระกูลถานตกตะลึงไป ก่อนถานเทาจะดึงสติกลับมาเป็นคนแรก “นอกจากสองครั้งแล้วยังมีสามครั้งอีก? ฟางผิง นายอธิบายให้พวกเราฟังได้หรือเปล่า?”

“ปราณถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคล ปกติจะสามารถหลอมกระดูกครั้งที่สองได้ ปราณสองร้อยแคล ก็จะสามารถหลอมกระดูกครั้งที่สาม ความรู้สึกของการหลอมกระดูก รอนายปราณแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล เข้าสู่การหลอมกระดูกครั้งที่หนึ่ง พวกนายจะรู้เอง แน่นอนว่าสามครั้งเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่าฉันอวดตัว แต่น้อยคนที่จะทำได้ถึงจุดนี้ ถ้าพวกนายไม่ติดขัดเรื่องอะไร สามารถลองหลอมกระดูกครั้งที่สองได้ แต่อย่าได้หลอมครั้งที่สามเลย…”

ฟางผิงอธิบายคร่าวๆ ก่อนจะถามถึงสถานการณ์ของพี่น้องตระกูลถาน

ปราณของถานเฮ่าแตะถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคลแล้ว ถานเทาอยู่ที่หนึ่งร้อยสามสิบสี่แคล

การพัฒนาของสองพี่น้องไม่ช้าเลย อันที่จริงถือว่าไวแล้ว ยังไงก็เพิ่งเปิดเทอมได้หนึ่งเดือนเท่านั้น

ดูจากความเร็วนี้ จบเทอมอาจมีโอกาสแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล เข้าสู่เส้นแบ่งเขตระหว่างคนธรรมดาและผู้ฝึกยุทธ์

รอถึงเทอมต่อไป ก็มีความหวังจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ในมหาวิทยาลัยทั่วไป เป็นผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่ปีหนึ่ง ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว

ถานเฮ่าถึงกระทั่งยังยิ้มออกมา “พวกเราถือว่าพัฒนาไวแล้ว เทียบกับพวกโจวปินที่ปราณสูงกว่าพวกเรา เพราะพวกเขาไม่เคยฝึกจวงกง ตอนนี้ความคืบหน้าเลยพอๆ กับพวกเรา แน่นอนว่าเทียบกับพวกนายไม่ได้หรอก ปีนี้เด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยหนานเจียงนับว่าค่อนข้างเก่งกว่าปีก่อนๆ เพิ่งเปิดเรียนมีคนปราณเกินหนึ่งร้อยห้าสิบแคลไปแล้ว รุ่นก่อนของปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ยังมีคนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แค่ไม่กี่คน อย่างน้อยก็เกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังจำพวกรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งของปีก่อนได้หรือเปล่า? นอกจากรุ่นพี่หวังที่อยู่ขั้นสาม กลายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ คนอื่นๆ ตอนนี้มีคนเพิ่งทะลวงขั้นหนึ่ง ทั้งยังมีบางคนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เป็นคนธรรมดาไม่ต่างจากพวกเรา”

นี่เป็นสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ตั้งแต่ต้นรับนักเรียนด้วยความสามารถธรรมดา ปราณไม่สูง ทรัพยากรไม่ค่อยเพียงพอ แม้จะอยู่ปีสอง ยังมีนักศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์

มีแต่ต้องรอถึงปีสาม หากโชคดีอาจจะมีโอกาสทะลวงขั้นหนึ่ง

เมื่อขึ้นปีสี่ กลุ่มนักศึกษาที่หัวดีจะจบการศึกษาด้วยขั้นสอง นักศึกษาทั่วไปส่วนมากจะจบด้วยขั้นหนึ่ง มีแค่คนจำนวนน้อยที่จบด้วยขั้นสามได้

แน่นอนว่า ถ้าโชคไม่ดี เรียนจนจบแล้วไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน

ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นักศึกษาใหม่ไม่ถึงหนึ่งพันหกร้อยคน ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์เกินร้อยคนแล้ว จบเทอมนี้เกรงว่านักศึกษาเกือบครึ่งน่าจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กันแล้ว

พอขึ้นปีสองคงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เกือบหมดแล้ว

อีกสองปีจบการศึกษาด้วยขั้นสองพบเห็นได้มาก ขั้นสามก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ส่วนขั้นสี่ถึงจะถือว่าหายาก

พวกเขาคุยกันพักใหญ่ ก่อนถานเทาจะปรึกษาว่า “ควรนัดพวกอู๋จื้อหาวออกมากินข้าวด้วยกันสักหน่อยหรือเปล่า? ครั้งนี้ทุกคนต่างกลับบ้าน ยากที่จะได้หยุดแบบนี้ นายก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ถือว่าเลี้ยงต้อนรับนายไปด้วย”

“อย่าพูดแบบนี้สิ จะนัดรวมก็นัด อย่ามาพูดเรื่องเลี้ยงต้อนรับ”

ฟางผิงเผยยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาโทรหาพวกอู๋จื้อหาวทันที นัดออกไปเจอกันตอนบ่าย

คุยกับพี่น้องตระกูลถานอีกพักหนึ่ง ก่อนฟางผิงจะลงไปข้างล่าง

ฟางหมิงหรงเป็นคนธรรมดา ก่อนหน้านี้ก็อยู่ชั้นล่างคุยกับถานเจิ้นผิงอยู่ตลอด จึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

เห็นลูกชายลงมา ฟางหมิงหรงรีบเอ่ยว่า “รองผู้อำนวยการ ผมอยากสูบบุหรี่จะแย่ ขอออกไปสูบสักมวนเถอะ ให้ผิงผิงคุยเป็นเพื่อนคุณก่อนแล้วกัน ผิงผิง ลูกเข้ามาคุยเป็นเพื่อนรองผู้อำนวยการถานหน่อย…”

ฟางผิงขานรับ ถานเจิ้นผิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

รอฟางหมิงหรงไปแล้ว ฟางผิงค่อยนั่งลงตรงข้ามถานเจิ้นผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงถาน ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่ให้ความดูแลจริงๆ”

“ไม่หรอก”

“อยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงราบรื่นดีสินะ?”

“ครับ อาจารย์ของผมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย มีศิษย์ไม่เยอะ เอาใจใส่ผม…”

“ขั้นหกตอนปลาย!”

ถานเจิ้นผิงตกตะลึง ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยเจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกมาก่อนด้วยซ้ำ!

ผู้ว่าจางของหนานเจียงอยู่ขั้นหกตอนปลายเหมือนกัน แต่บุคคลสำคัญเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถเจอได้

ตอนนี้รู้ว่าอาจารย์ของฟางผิงอยู่ขั้นหกตอนปลาย จึงอดตกใจไม่ได้

นี่คือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สินะ?

ความจริงหลายปีมานี้ในหยางเฉิงเคยมีคนสอบเข้าสองมหาวิทยาลัยดังได้เช่นกัน แต่ก็เป็นพวกปลายแถว

ตอนแบ่งอาจารย์คนพวกนี้แทบจะได้อาจารย์ขั้นสี่กันหมด

เรียนจบแล้ว เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองค่อนข้างเยอะ ถึงกระทั่งมีขั้นหนึ่งเช่นกัน พวกเขาแทบจะรั้งตัวอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหมด

ตอนนี้ฟางผิงมีอาจารย์อยู่ขั้นหก นั่นหมายความว่าแม้จะอยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เขาก็ถูกจัดในกลุ่มนักศึกษาหัวกะทิ

ตอนแรกเป็นหวังจินหยาง ต่อมามีฟางผิง สองปีนี้หยางเฉิงมีนักเรียนโดดเด่นจนน่าตกใจ

คุยกันสักพักก่อนถานเจิ้นผิงจะเอ่ยว่า “ฟางผิง คืออย่างนี้ ปีนี้ในเมืองมีแผนจะปฏิรูปการศึกษา เรื่องก่อนหน้านี้นายก็รู้แล้ว ทางรุ่ยหยางถูกตำหนิ ปีนี้มณฑลจึงตั้งเงื่อนไขกับแต่ละเมืองสูงขึ้นมาไม่น้อย ช่วงนี้กองศึกษาออกแผนปฏิรูปใหม่ ส่วนนายเป็นนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่น ดังนั้นเมืองจึงอยากใช้นายเป็นสื่อโฆษณา เพื่อให้ผู้คนออกมาสมัครเรียนศิลปะการต่อสู้มากขึ้น นายน่าจะรู้ว่า บางครอบครัวใช่ว่าจะควักเงินหนึ่งหมื่นหยวนออกมาไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกไม่คุ้มค่าเท่านั้น ดังนั้นทุกปีจึงมีนักเรียนสมัครสายศิลปะการต่อสู้น้อย นายมาจากครอบครัวธรรมดาเหมือนกัน พวกเราอยากใช้ตัวอย่างของนาย…”

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าฟางผิงกลับโบกมือ “ลุงถาน อย่าใช้เรื่องของผมโฆษณาออกไปเลยครับ ไม่ดีหรอก ผมไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่ผมมีโอกาสประจวบเหมาะ ฝืนเพิ่มความหวังให้พวกเขา สุดท้ายถ้าความหวังดับสูญ กลับจะเป็นการโจมตีพวกเขายิ่งกว่า ทั้งเรื่องของผม อย่าอวดอะไรจะดีที่สุด รวมถึงเรื่องของรุ่นพี่หวังด้วย”

ถานเจิ้นผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟางผิงครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “รุ่นพี่หวังท้าทายศัตรูไว้ข้างนอกค่อนข้างเยอะ บางคนใช่ว่าจะทำตามกฎเกณฑ์เสมอไป อย่าทำเรื่องโดดเด่นไปจะดีที่สุด ผมก็เหมือนกัน เมื่อวานเพิ่งฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคน อย่าเอาไปอวดให้เตะตาคนจะดีกว่า…”

“แค่กๆๆ”

ถานเจิ้นผิงสำลักไอขึ้นมา ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า?

ฟางผิงไม่พูดมากอีก ฉันไม่ได้พูดไปเรื่อย แต่ตั้งใจเตือนจริงๆ

แม้ข่าวของนักศึกษาอย่างพวกเขาจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่แทนที่จะให้เรื่องเพิ่มมากขึ้นไม่สู้ให้เรื่องลดน้อยลงหน่อย เผยแพร่ออกไปไม่ได้จะเป็นผลดีเสมอไป

เหล่าหวังมีชื่อเสียงข้างนอกขนาดนั้น แต่ในสายตาคนส่วนมาก กลับไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก

เว้นเสียแต่คุณจะอยู่ขั้นปรมาจารย์ ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว คนอื่นถึงกระทั่งไม่กล้าคิดล้างแค้นด้วยซ้ำ เวลานี้อยู่อย่างถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า

ถานเจิ้นผิงมองฟางผิงพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

เขาไม่ได้สงสัยว่าฟางผิงพูดโกหก แต่ยากที่จะรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตายไปแล้วสองคน?

เขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายเหมือนกัน ตอนนี้ถ้าเขาเผชิญหน้ากับฟางผิงจะเป็นคนที่ถูกฆ่าตายเหมือนกันน่ะสิ?

ความจริงถานเจิ้นผิงประเมินตัวเองสูงไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณอย่างเขา ฟางผิงคนเดียวสู้ได้เป็นสิบ แน่นอนว่าฟางผิงคงไม่พูดออกมา ทำลายจิตใจคนเกินไป

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+