ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

หวงปินอยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด กลับไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองมีของดีกว่านี้อยู่กับตัวจริงๆ

คำถามของฟางผิง เขาย่อมปฏิเสธ

ฟางผิงก็ไม่ใส่ใจ นำมีดออกมาเคาะเบาๆ บนพื้น ครุ่นคิดเล็กน้อยเอ่ยว่า “ดูท่าแล้วแกคงก่อคดีมาไม่น้อย ฆ่าคนไปเยอะแล้วล่ะสิ?”

หวงปินไม่ตอบ

เรื่องแบบนี้ หากตอบได้ไม่ดี อาจจะพลิกสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้น

เห็นเขาไม่ตอบเรื่องนี้ ฟางผิงก็ไม่คิดซักไซ้ต่อ ในใจมีแผนอยู่แล้ว

ยามนี้ ฟางผิงไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้ขนาดนั้น

ฟางผิงเงียบไปพักใหญ่ ท้ายที่สุดก็ถามเรื่องที่ตัวเองสนใจมากที่สุด

“ฉันอยากถามแกอีกสักคำถาม หากคำตอบของแกทำให้ฉันพอใจ ฉันอาจพิจารณาเรื่องที่แกพูดมาก่อนหน้านี้ก็ได้”

หวงปินเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ถามมาเลย!”

“แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์?”

คำถามนี้ถามได้ขบขันยิ่ง คนส่วนมากหากได้ยินคงจะขำกันแล้ว

คนที่ไม่รู้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์คืออะไร ยังจะไล่ตามเส้นทางนี้อีก น่าขันสิ้นดี!

ทว่าหวงปินกลับไม่คิดจะขำแม้แต่น้อย

นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง หรือเรียนรู้สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ จะมีคนธรรมดาสักกี่คนกันที่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงคืออะไร!

ที่จริงสิ่งที่ฟางผิงจะถามไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่เป็นจะทำอย่างไรถึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ มาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์ คำนิยามของผู้ฝึกยุทธ์…เรื่องพวกนี้ก็นับเป็นความลับเช่นกัน

ทางการไม่ได้เผยแพร่ข่าวสารให้คนทั่วไปรับรู้ เหตุผลนั้นมีมากมาย ในสถานการณ์ทั่วไป มีเพียงต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้วถึงจะรับทราบเท่านั้น

หากเป็นหวังจินหยาง ยามนี้ก็คงจะพูดว่า “รอนายเข้าไปในมหาวิทยาลัยก่อนก็จะเข้าใจเอง”

แต่หวงปินไม่ใช่หวังจินหยาง ยามนี้กระทั่งตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความลับที่แทบไม่เป็นความลับพวกนี้

หวงปินคิดจะหลอกฟางผิงสักครั้ง แต่นึกถึงฟางผิงยังห่างไกลจากผู้ฝึกยุทธ์อยู่บ้าง รอเขาทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ชาติ

ยามนี้โกหกไปก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี

นึกถึงเรื่องพวกนี้ หวงปินจึงตอบแต่โดยดี “ผู้ฝึกยุทธ์ ที่จริงก็เป็นคนทั่วไปที่ทะลวงขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง อยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ต้องฝ่าขีดจำกัด ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงคงยังไม่ต้องพูดถึง ไกลตัวจากนายมาก พูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างก่อนเถอะ”

“ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกนายว่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างต้องให้ความสำคัญกับกระดูก ส่วนเรื่องฝึกฝนภายนอกเป็นเรื่องรอง แต่พลังปราณ กลับเป็นพื้นฐานในการฝึกฝนร่างกายภายนอก สรุปแล้วยังต้องยึดปราณเป็นหลัก ทั้งทำให้กระดูกแข็งแรง นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์…”

จากที่หวงปินพูด ฟางผิงก็ค่อยๆ เข้าใจเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว

ขณะเดียวกัน ฟางผิงก็อดนึกถึงคำพูดที่หวังจินหยางเอ่ยก่อนหน้านี้ไม่ได้

ยามที่ไปรับหวังจินหยาง พวกหยางเจี้ยนคุยกันเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นนักเรียนเกาเข่า

เวลานั้นหวังจินหยางก็พูดว่า ไม่เพียงคนพวกนี้ต้องมีพรสวรรค์ แต่ต้องมีชาติตระกูลดี มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยหนุนหลังอยู่ทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจความหมาย ยามนี้ฟางผิงกลับกระจ่างแจ้งแล้ว

จากที่หวงปินเอ่ย คิดจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดต้องมีเงื่อนไขสามข้อ

หนึ่งคือพลังปราณ

เกณฑ์การรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ ปกติน้อยที่สุดค่าปราณต้องหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นมาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์

อยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยต้องมีปราณถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล

แน่นอนว่าสูงหน่อยก็ยิ่งดี แต่ไม่อาจให้เกินสองร้อยแคล ไม่อย่างนั้น หากค่าปราณพลุกพล่าน เกินขีดจำกัดของร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว

สองคือความแข็งแรงของกระดูก

คนทั่วไปอยากจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ กระดูกต้องมีความแข็งแรง อย่างน้อยก็ต้องรองรับปราณที่พลุกพล่านหลังจากทะลวงด่านได้ และการเสริมสร้างกระดูก ใช่ว่าจะอาศัยการกินยาบำรุงอย่างเดียว แต่ยังต้องเรียนรู้ฝึกวิชาด้วยตัวเอง

และเงื่อนไขข้อที่สามก็คือ…เคล็ดวิชา!

เคล็ดวิชาพื้นฐานส่วนใหญ่ ปกติมักจะส่งผลให้การฝึกฝนปราณและกระดูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงยาบำรุง ค่าปราณของคนทั่วไปจะพุ่งถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลนับเป็นเรื่องยาก ไหนเลยจะมีโอกาสที่ปราณขึ้นสูงเพียงนั้น

แน่นอนว่าหากฝึกฝนวิชา ก็ต้องมีพื้นฐาน ปกติน้อยที่สุดก็ต้องมีปราณหนึ่งร้อยสิบแคลถึงจะฝึกวิชาได้

ไม่อย่างนั้น พลังปราณไม่พอ หลังจากฝึกฝน อาจจะกลายเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะ หรือทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่การรับนักเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกปีมีการกำหนดเกณฑ์ปราณขั้นต่ำ

แต่เคล็ดวิชาไม่ได้ถ่ายทอดกันง่ายๆ!

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสี่ ไม่อาจถ่ายทอดวิชาให้คนอื่นได้

หากเผยแพร่วิชา ย่อมมีความผิด

ยามที่หวงปินพูดเรื่องนี้ กลับไม่มีท่าทีขุ่นเคืองอะไร แต่เผยสีหน้าเข้าใจ

ทำไมจึงห้ามคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ในการถ่ายทอดวิชา?

ไม่ใช่ว่าต้องการจำกัดผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างและคนทั่วไป แต่เพื่อปกป้องต่างหาก

ยามที่คนธรรมดาทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ปราณจะพลุกพล่านอย่างยิ่ง

หากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางคอยดูแลชี้แนะ อาจจะเส้นเลือดฉีกขาด ปราณทะลวงอวัยวะภายในได้

หากโชคดีก็เจ็บหนัก โชคร้ายคงต้องทิ้งชีวิต

ในสังคมมีหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เงื่อนไขคือต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปถึงจะเปิดหลักสูตรได้ ทั้งเพื่อไม่ให้วิชาถูกถ่ายทอดไปแบบผิดๆ เช่นกัน

ไม่มีคนชี้แนะ ไม่มีคนปกป้อง ย่อมมีความอันตรายอย่างยิ่ง

หลายปีก่อน ยังไม่มีข้อจำกัดการถ่ายทอดวิชา

แต่คนทั่วไป ส่วนใหญ่เมื่อได้รับเคล็ดวิชา เพื่อจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงยอมเสี่ยงโดยไม่สนใจอะไร ทุกปีจึงมีคนเสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเลย

คนที่ประสบผลสำเร็จย่อมมีเช่นกัน แต่เป็นส่วนน้อย

ในกลุ่มหนึ่งร้อยคนที่ฝึกวิชา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนคอยชี้แนะ ผู้ที่ทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ มีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

คนอื่นๆ บ้างก็ไม่กล้าฝึกฝนต่อไป บ้างก็เกิดเส้นเลือดฉีดขาดในระหว่างทะลวงขั้น

ทั้งคนทั่วไป ส่วนมากจะมีค่าปราณไม่ถึงมาตรฐาน เมื่อฝึกวิชาล่วงหน้า ท้ายที่สุดก็จะทำลายแก่นของร่างกาย หาทางซ่อมแซมอย่างไรก็นำกลับมาไม่ได้

ปัจจุบันไม่เหมือนสมัยโบราณ ชีวิตคนยังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จึงมีการจำกัดการถ่ายทอดวิชา

มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปที่สามารถควบคุมดูแลคนทั่วไปที่กำลังจะทะลวงขั้นได้

ดังนั้นท้ายที่สุดทางการจึงมีความเคลื่อนไหวออกมา รวมทั้งจำกัดตัวแทนที่เปิดหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ว่า อย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขั้นไป

คนธรรมดาทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากไม่อาจใช้เงื่อนไขก่อนหน้านี้ หรือรอไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่

ค่าเรียนหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้นแพงอย่างยิ่ง ที่จริงเคล็ดวิชาไม่ใช่เรื่องหลัก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่รับประกันความปลอดภัย

คนที่สมัครเรียนหลักสูตร ยามที่ทะลวงขั้น ย่อมมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยช่วยเหลือดูแล

หากการทะลวงขั้นไม่ราบรื่น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก็สามารถช่วยควบคุมการพลุกพล่านของปราณได้

ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ สถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากเช่นกัน

ยามที่นักศึกษาทะลวงขั้น สามารถเชิญตัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาควบคุมดูแลได้

พลังปราณ ความแข็งแรงของกระดูก เคล็ดวิชา สามอย่างนี้เป็นเงื่อนไขเบื้องต้น

นอกจากนี้ยังมีทรัพยากร รวมถึงยาบำรุงปราณ ยาเสริมสร้างกระดูก ยาป้องกันอวัยวะภายในพวกนี้

ฐานะทางบ้านดีก็เตรียมไว้มากหน่อย หากไม่พร้อมก็เตรียมเท่าที่ไหว

ดังนั้นหากในบ้านไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่าได้ ไม่อย่างนั้นย่อมมีความเสี่ยงมาก

แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ก็ไม่อาจควบคุมปราณ หรือป้องกันไม่ให้หลอดเลือดอีกฝ่ายบาดเจ็บระหว่างทะลวงขั้นได้

ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ฟางผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าหากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่อยู่ด้วย คนทั่วไปก็ไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้?”

หวงปินรู้ดีว่าฟางผิงคิดอะไร

นี่ไม่ใช่ความคิดของฟางผิงคนเดียว คนทั่วไปใครก็อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการประกาศข้อห้ามเรื่องถ่ายทอดวิชาออกมาหรอก

เป็นเพราะคนแบบนี้มีจำนวนมาก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ไม่ใช่หาเจอได้ทั่วไป คนจำนวนมากจึงต้องเดิมพันด้วยชีวิต ภายหลังก็เกิดข้อห้ามขึ้นมา

หากเป็นลูกของหวงปินเอง เขาย่อมอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน

แม้ว่าเขาใกล้จะทะลวงขั้นสาม ลูกของเขาต้องการทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาก็จะยอมเสียเงินหาตัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาคอยดูแลเช่นกัน

แต่ฟางผิงเป็นใคร?

ศัตรูที่วางแผนทำร้ายตัวเอง!

ดังนั้นเมื่อฟางผิงถามขึ้นมา หวงปินจึงละล่ำละลักตอบ “ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เท่านั้น ขอเพียงมีพื้นฐานมากพอ ความเสี่ยงย่อมมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยดูแลเช่นกัน ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์รุ่นก่อนล้วนพึ่งตัวเองทั้งนั้น หากสามารถทะลวงด่านสำเร็จในครั้งแรก นั่นก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว คนที่มีพรสวรรค์ เดิมทีย่อมไม่จำเป็นต้องมีคนมาควบคุม เพราะคนพวกนี้สามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว…”

พูดจบ หวงปินก็เหลือบมองฟางผิง

สื่อให้เห็นเป็นนัยว่า คนที่มีพรสวรรค์ก็คือนาย ไม่ต้องกลัว ทะลวงด่านไปเลย ไม่ตายหรอก!

เด็กวัยรุ่นไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเป็นอย่างไร มักคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น

พูดคุยกับเด็กวัยหนุ่มสาว ต้องเยินยอเข้าไว้

คุณยกยอเขา เขาย่อมดีใจ หากคุณดูแคลนเขา เขาคงไม่รู้สึกดี จะคิดว่าคุณประเมินเขาต่ำไป

หวงปินเข้าใจความคิดของวัยรุ่นพวกนี้ดี ยังไงเขาก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน

นึกถึงเวลานั้น หวงปินไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีคนควบคุมก็สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างราบรื่นได้

ก็ไม่คิดบ้างว่า กระทั่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้พวกนั้น ล้วนมีนักศึกษาใหม่ที่ทะลวงขั้นไม่สำเร็จกว่าครึ่งหนึ่ง

ยามนั้นหวงปินเข้าเรียนหลักสูตรเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เพราะการทะลวงขั้นก็แทบจะเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งแล้ว ย้อนคิดแล้วก็ยังหวาดผวาจนถึงทุกวันนี้

หากฟางผิงอยากลองดู หวงปินย่อมยินดีอย่างยิ่ง

แต่อันดับแรก เด็กนี้ต้องมีชีวิตรอดจนถึงเวลานั้นก่อน

เห็นเขาสงสัยเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ หวงปินก็อยากจะให้เจ้าเด็กคนนี้รีบทะลวงด่านอย่างยิ่ง ตายไวๆ ย่อมดีที่สุด

น่าเสียดายที่ยามนี้เจ้าเด็กนี้ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ คิดจะทะลวงด่านย่อมไม่มีโอกาสนั้น

ฟางผิงไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีจริงเสียหน่อย ไหนเลยจะไม่เข้าใจความคิดของชายผู้นี้ เขาแค่นหัวเราะกับตัวเองในใจ

แต่ว่าไม่ได้เชียว ที่จริงฟางผิงก็มีความคิดนี้อยู่ในหัวบ้างจริงๆ

เขาไม่รู้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือไม่ แต่เขามีสูตรโกงอยู่

แบบนี้ก็พอเรียกว่าพรสวรรค์ได้อยู่ละมั้ง?

แต่ยามนี้เขายังห่างไกลจากการทะลวงด่านอยู่มากนัก จึงไม่อยากคิดอะไรเยอะ

หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ มีอาจารย์คอยชี้แนะดูแล ฟางผิงก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงแล้ว

เมื่อคิดเรื่องพวกนี้ในใจแล้ว เขาก็ถามออกไปอีกครั้ง “แกมีเคล็ดวิชาหรือเปล่า?”

“มี!”

หวงปินตอบทันที “ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง ล้วนจะฝึกเคล็ดวิชาพื้นฐาน วิชาพื้นฐานของหลักสูตรอบรมผู้ฝึกยุทธ์และมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ต่างกันมาก แม้ว่าจะมีข้อแตกต่าง ปกติก็เป็นเรื่องของลำดับขั้นตอนการฝึกเท่านั้น มนุษย์มีกระดูกในร่างกายมากมาย บางเคล็ดวิชาจะเน้นไปที่เท้า บ้างก็จะเน้นไปที่มือหรือแขน…”

“เรื่องพวกนี้ที่จริงก็ไม่มีความแตกต่างมากมาย เป็นเพียงเรื่องของลำดับเท่านั้น การพัฒนากระดูกไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในวันสองวัน คนที่เตรียมจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ทำได้เพียงทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง แม้ว่าจะอยู่ขั้นสามแล้ว ก็ยังต้องพัฒนากระดูกอยู่ตลอด…”

“งั้นเคล็ดวิชาของแกล่ะ?”

แววตาของหวงปินเผยรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยต่อ “เคล็ดวิชาพื้นฐานฉันอ่านมายี่สิบปีแล้ว จำได้ขึ้นใจ ย่อมไม่จำเป็นต้องพกคัมภีร์อะไรไว้กับตัว! เคล็ดวิชานั้นอยู่ในสมองฉัน ขอเพียงนายปล่อยฉัน ฉันก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชา…”

เขาพูดว่าไม่ได้พกคัมภีร์เคล็ดวิชาติดตัว ฟางผิงกลับเชื่อ

หากพกติดตัวจริงๆ ฟางผิงคงเจอนานแล้ว

แต่ของเช่นนี้ ให้เขาอ่านแล้วเขียนบันทึก แม้ว่าหวงปินจะเป็นคนถ่ายทอด ฟางผิงก็ไม่อาจเชื่อเขาอยู่ดี

ฟางผิงไม่ซักไซ้เรื่องเคล็ดวิชาอีก ยามนี้ คิดเพียงว่าจะจัดการยังไงกับหมอนี่ดี

ฆ่าเขา?

ย่อมเป็นดังที่หวงปินพูด ไม่ช้าก็เร็วคนของทางการคงจะค้นพบ หมอนี่ทำตัวมีลับลมคมในอยู่แล้ว คาดว่าคงจะหลบหนีการจับกุมจริงๆ

อีกอย่าง แม้ว่าอายุจิตใจของฟางผิงจะเยอะกว่าในร่างปัจจุบัน แต่เขาก็ไม่เคยทำชั่วมาก่อน ฆ่าคนนับว่าไม่เคยจริงๆ

หวงปินยอมให้เขาฆ่า เกรงว่ายามนี้ฟางผิงก็ไม่กล้าอยู่ดี

แต่ชายผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ไม่ฆ่าเขาก็อันตรายเกินไป

เช่นนั้นทำได้เพียงส่งให้ตำรวจแล้ว

ประเด็นสำคัญอยู่ที่…

ฟางผิงมองกระเป๋าสัมภาระที่อยู่เบื้องหน้า หากส่งตัวคนไป ของพวกนี้ตำรวจจะทิ้งไว้ให้เขาหรือเปล่า?

อย่าเล่นมุกหน่อยเลย!

ทรัพย์สินมูลค่าหลายล้าน ทั้งของบางอย่างมีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้

อย่างเช่นยาเสริมสร้างกระดูก ยาป้องกันอวัยวะภายใน ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ฟางผิงไม่อาจซื้อได้ในยามนี้

ถ้าอย่างนั้นควรจัดการกับหวงปินยังไงดี

ฟางผิงปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง หมอนี่คือเผือกร้อนในมือชัดๆ

แน่นอนว่าต้องส่งให้ตำรวจ ประเด็นอยู่ที่ว่าจะส่งยังไง ไม่อาจจะส่งไปตรงๆ ได้ ถึงเวลานั้นกลัวว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่น้อย

เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไหนเลยจะหาโอกาสมาต่อรองกับคนของทางการได้

ฟางผิงเงียบไปชั่วครู่ พอจะตันสินใจได้คร่าวๆ แล้ว

ไม่สนใจใบหน้าคาดหวังของหวงปิน ฟางผิงค้นหาของสักพัก ก่อนจะเจอกระบองหักครึ่งที่ทิ้งไว้ก่อนหน้านี้

หวงปินที่เห็นฟางผิงหยิบไม้กระบองขึ้น เดินมาหาตัวเอง ใบหน้าก็ดำคล้ำขึ้นมาชั่วพริบตา เอ่ยอย่างตึงเครียดอยู่บ้าง “นาย…นายจะทำอะไร?”

“แกอันตรายเกินไป สลบน่าจะดีกว่าฟื้น”

“อย่า…อย่าเข้ามา!”

“อย่าร้อง เดี๋ยวคนได้ยิน แกจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้!”

หวงปินอยากร้องเสียงดัง ทั้งอยากร้องโหยหวน แต่นึกได้ว่าอาจจะดึงความสนใจจากผู้คน ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

เขาไม่กล้าร้อง ฟางผิงก็ใช่ว่าจะสงสารเขา

“ตุ้บ!”

ไม้กระบองกระทบศีรษะเขาอีกหลายครั้ง ช่วงเวลานั้นหวงปินถึงขั้นคิดอยากตาย อยากให้ตัวเองสลบไปไวๆ ด้วยซ้ำ

แต่แม้เขาจะแกล้งสลบ ฟางผิงก็ไม่ใจอ่อน ‘ตุบๆๆ’ ทุบติดกันอยู่ห้าหกครั้ง

จวบจนหวงปินครางอย่างไร้เรี่ยวแรง จึงค่อยหยุดมือ พึมพำว่า “หัวแข็งจริงๆ”

————————

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

หวงปินอยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด กลับไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองมีของดีกว่านี้อยู่กับตัวจริงๆ

คำถามของฟางผิง เขาย่อมปฏิเสธ

ฟางผิงก็ไม่ใส่ใจ นำมีดออกมาเคาะเบาๆ บนพื้น ครุ่นคิดเล็กน้อยเอ่ยว่า “ดูท่าแล้วแกคงก่อคดีมาไม่น้อย ฆ่าคนไปเยอะแล้วล่ะสิ?”

หวงปินไม่ตอบ

เรื่องแบบนี้ หากตอบได้ไม่ดี อาจจะพลิกสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้น

เห็นเขาไม่ตอบเรื่องนี้ ฟางผิงก็ไม่คิดซักไซ้ต่อ ในใจมีแผนอยู่แล้ว

ยามนี้ ฟางผิงไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้ขนาดนั้น

ฟางผิงเงียบไปพักใหญ่ ท้ายที่สุดก็ถามเรื่องที่ตัวเองสนใจมากที่สุด

“ฉันอยากถามแกอีกสักคำถาม หากคำตอบของแกทำให้ฉันพอใจ ฉันอาจพิจารณาเรื่องที่แกพูดมาก่อนหน้านี้ก็ได้”

หวงปินเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ถามมาเลย!”

“แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์?”

คำถามนี้ถามได้ขบขันยิ่ง คนส่วนมากหากได้ยินคงจะขำกันแล้ว

คนที่ไม่รู้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์คืออะไร ยังจะไล่ตามเส้นทางนี้อีก น่าขันสิ้นดี!

ทว่าหวงปินกลับไม่คิดจะขำแม้แต่น้อย

นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง หรือเรียนรู้สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ จะมีคนธรรมดาสักกี่คนกันที่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงคืออะไร!

ที่จริงสิ่งที่ฟางผิงจะถามไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่เป็นจะทำอย่างไรถึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ มาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์ คำนิยามของผู้ฝึกยุทธ์…เรื่องพวกนี้ก็นับเป็นความลับเช่นกัน

ทางการไม่ได้เผยแพร่ข่าวสารให้คนทั่วไปรับรู้ เหตุผลนั้นมีมากมาย ในสถานการณ์ทั่วไป มีเพียงต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้วถึงจะรับทราบเท่านั้น

หากเป็นหวังจินหยาง ยามนี้ก็คงจะพูดว่า “รอนายเข้าไปในมหาวิทยาลัยก่อนก็จะเข้าใจเอง”

แต่หวงปินไม่ใช่หวังจินหยาง ยามนี้กระทั่งตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความลับที่แทบไม่เป็นความลับพวกนี้

หวงปินคิดจะหลอกฟางผิงสักครั้ง แต่นึกถึงฟางผิงยังห่างไกลจากผู้ฝึกยุทธ์อยู่บ้าง รอเขาทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ชาติ

ยามนี้โกหกไปก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี

นึกถึงเรื่องพวกนี้ หวงปินจึงตอบแต่โดยดี “ผู้ฝึกยุทธ์ ที่จริงก็เป็นคนทั่วไปที่ทะลวงขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง อยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ต้องฝ่าขีดจำกัด ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงคงยังไม่ต้องพูดถึง ไกลตัวจากนายมาก พูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างก่อนเถอะ”

“ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกนายว่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างต้องให้ความสำคัญกับกระดูก ส่วนเรื่องฝึกฝนภายนอกเป็นเรื่องรอง แต่พลังปราณ กลับเป็นพื้นฐานในการฝึกฝนร่างกายภายนอก สรุปแล้วยังต้องยึดปราณเป็นหลัก ทั้งทำให้กระดูกแข็งแรง นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์…”

จากที่หวงปินพูด ฟางผิงก็ค่อยๆ เข้าใจเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว

ขณะเดียวกัน ฟางผิงก็อดนึกถึงคำพูดที่หวังจินหยางเอ่ยก่อนหน้านี้ไม่ได้

ยามที่ไปรับหวังจินหยาง พวกหยางเจี้ยนคุยกันเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นนักเรียนเกาเข่า

เวลานั้นหวังจินหยางก็พูดว่า ไม่เพียงคนพวกนี้ต้องมีพรสวรรค์ แต่ต้องมีชาติตระกูลดี มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยหนุนหลังอยู่ทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจความหมาย ยามนี้ฟางผิงกลับกระจ่างแจ้งแล้ว

จากที่หวงปินเอ่ย คิดจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดต้องมีเงื่อนไขสามข้อ

หนึ่งคือพลังปราณ

เกณฑ์การรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ ปกติน้อยที่สุดค่าปราณต้องหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นมาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์

อยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยต้องมีปราณถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล

แน่นอนว่าสูงหน่อยก็ยิ่งดี แต่ไม่อาจให้เกินสองร้อยแคล ไม่อย่างนั้น หากค่าปราณพลุกพล่าน เกินขีดจำกัดของร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว

สองคือความแข็งแรงของกระดูก

คนทั่วไปอยากจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ กระดูกต้องมีความแข็งแรง อย่างน้อยก็ต้องรองรับปราณที่พลุกพล่านหลังจากทะลวงด่านได้ และการเสริมสร้างกระดูก ใช่ว่าจะอาศัยการกินยาบำรุงอย่างเดียว แต่ยังต้องเรียนรู้ฝึกวิชาด้วยตัวเอง

และเงื่อนไขข้อที่สามก็คือ…เคล็ดวิชา!

เคล็ดวิชาพื้นฐานส่วนใหญ่ ปกติมักจะส่งผลให้การฝึกฝนปราณและกระดูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงยาบำรุง ค่าปราณของคนทั่วไปจะพุ่งถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลนับเป็นเรื่องยาก ไหนเลยจะมีโอกาสที่ปราณขึ้นสูงเพียงนั้น

แน่นอนว่าหากฝึกฝนวิชา ก็ต้องมีพื้นฐาน ปกติน้อยที่สุดก็ต้องมีปราณหนึ่งร้อยสิบแคลถึงจะฝึกวิชาได้

ไม่อย่างนั้น พลังปราณไม่พอ หลังจากฝึกฝน อาจจะกลายเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะ หรือทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่การรับนักเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกปีมีการกำหนดเกณฑ์ปราณขั้นต่ำ

แต่เคล็ดวิชาไม่ได้ถ่ายทอดกันง่ายๆ!

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสี่ ไม่อาจถ่ายทอดวิชาให้คนอื่นได้

หากเผยแพร่วิชา ย่อมมีความผิด

ยามที่หวงปินพูดเรื่องนี้ กลับไม่มีท่าทีขุ่นเคืองอะไร แต่เผยสีหน้าเข้าใจ

ทำไมจึงห้ามคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ในการถ่ายทอดวิชา?

ไม่ใช่ว่าต้องการจำกัดผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างและคนทั่วไป แต่เพื่อปกป้องต่างหาก

ยามที่คนธรรมดาทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ปราณจะพลุกพล่านอย่างยิ่ง

หากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางคอยดูแลชี้แนะ อาจจะเส้นเลือดฉีกขาด ปราณทะลวงอวัยวะภายในได้

หากโชคดีก็เจ็บหนัก โชคร้ายคงต้องทิ้งชีวิต

ในสังคมมีหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เงื่อนไขคือต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปถึงจะเปิดหลักสูตรได้ ทั้งเพื่อไม่ให้วิชาถูกถ่ายทอดไปแบบผิดๆ เช่นกัน

ไม่มีคนชี้แนะ ไม่มีคนปกป้อง ย่อมมีความอันตรายอย่างยิ่ง

หลายปีก่อน ยังไม่มีข้อจำกัดการถ่ายทอดวิชา

แต่คนทั่วไป ส่วนใหญ่เมื่อได้รับเคล็ดวิชา เพื่อจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงยอมเสี่ยงโดยไม่สนใจอะไร ทุกปีจึงมีคนเสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเลย

คนที่ประสบผลสำเร็จย่อมมีเช่นกัน แต่เป็นส่วนน้อย

ในกลุ่มหนึ่งร้อยคนที่ฝึกวิชา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนคอยชี้แนะ ผู้ที่ทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ มีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

คนอื่นๆ บ้างก็ไม่กล้าฝึกฝนต่อไป บ้างก็เกิดเส้นเลือดฉีดขาดในระหว่างทะลวงขั้น

ทั้งคนทั่วไป ส่วนมากจะมีค่าปราณไม่ถึงมาตรฐาน เมื่อฝึกวิชาล่วงหน้า ท้ายที่สุดก็จะทำลายแก่นของร่างกาย หาทางซ่อมแซมอย่างไรก็นำกลับมาไม่ได้

ปัจจุบันไม่เหมือนสมัยโบราณ ชีวิตคนยังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จึงมีการจำกัดการถ่ายทอดวิชา

มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปที่สามารถควบคุมดูแลคนทั่วไปที่กำลังจะทะลวงขั้นได้

ดังนั้นท้ายที่สุดทางการจึงมีความเคลื่อนไหวออกมา รวมทั้งจำกัดตัวแทนที่เปิดหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ว่า อย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขั้นไป

คนธรรมดาทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากไม่อาจใช้เงื่อนไขก่อนหน้านี้ หรือรอไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่

ค่าเรียนหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้นแพงอย่างยิ่ง ที่จริงเคล็ดวิชาไม่ใช่เรื่องหลัก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่รับประกันความปลอดภัย

คนที่สมัครเรียนหลักสูตร ยามที่ทะลวงขั้น ย่อมมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยช่วยเหลือดูแล

หากการทะลวงขั้นไม่ราบรื่น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก็สามารถช่วยควบคุมการพลุกพล่านของปราณได้

ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ สถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากเช่นกัน

ยามที่นักศึกษาทะลวงขั้น สามารถเชิญตัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาควบคุมดูแลได้

พลังปราณ ความแข็งแรงของกระดูก เคล็ดวิชา สามอย่างนี้เป็นเงื่อนไขเบื้องต้น

นอกจากนี้ยังมีทรัพยากร รวมถึงยาบำรุงปราณ ยาเสริมสร้างกระดูก ยาป้องกันอวัยวะภายในพวกนี้

ฐานะทางบ้านดีก็เตรียมไว้มากหน่อย หากไม่พร้อมก็เตรียมเท่าที่ไหว

ดังนั้นหากในบ้านไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่าได้ ไม่อย่างนั้นย่อมมีความเสี่ยงมาก

แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ก็ไม่อาจควบคุมปราณ หรือป้องกันไม่ให้หลอดเลือดอีกฝ่ายบาดเจ็บระหว่างทะลวงขั้นได้

ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ฟางผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าหากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่อยู่ด้วย คนทั่วไปก็ไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้?”

หวงปินรู้ดีว่าฟางผิงคิดอะไร

นี่ไม่ใช่ความคิดของฟางผิงคนเดียว คนทั่วไปใครก็อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการประกาศข้อห้ามเรื่องถ่ายทอดวิชาออกมาหรอก

เป็นเพราะคนแบบนี้มีจำนวนมาก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ไม่ใช่หาเจอได้ทั่วไป คนจำนวนมากจึงต้องเดิมพันด้วยชีวิต ภายหลังก็เกิดข้อห้ามขึ้นมา

หากเป็นลูกของหวงปินเอง เขาย่อมอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน

แม้ว่าเขาใกล้จะทะลวงขั้นสาม ลูกของเขาต้องการทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาก็จะยอมเสียเงินหาตัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาคอยดูแลเช่นกัน

แต่ฟางผิงเป็นใคร?

ศัตรูที่วางแผนทำร้ายตัวเอง!

ดังนั้นเมื่อฟางผิงถามขึ้นมา หวงปินจึงละล่ำละลักตอบ “ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เท่านั้น ขอเพียงมีพื้นฐานมากพอ ความเสี่ยงย่อมมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยดูแลเช่นกัน ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์รุ่นก่อนล้วนพึ่งตัวเองทั้งนั้น หากสามารถทะลวงด่านสำเร็จในครั้งแรก นั่นก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว คนที่มีพรสวรรค์ เดิมทีย่อมไม่จำเป็นต้องมีคนมาควบคุม เพราะคนพวกนี้สามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว…”

พูดจบ หวงปินก็เหลือบมองฟางผิง

สื่อให้เห็นเป็นนัยว่า คนที่มีพรสวรรค์ก็คือนาย ไม่ต้องกลัว ทะลวงด่านไปเลย ไม่ตายหรอก!

เด็กวัยรุ่นไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเป็นอย่างไร มักคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น

พูดคุยกับเด็กวัยหนุ่มสาว ต้องเยินยอเข้าไว้

คุณยกยอเขา เขาย่อมดีใจ หากคุณดูแคลนเขา เขาคงไม่รู้สึกดี จะคิดว่าคุณประเมินเขาต่ำไป

หวงปินเข้าใจความคิดของวัยรุ่นพวกนี้ดี ยังไงเขาก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน

นึกถึงเวลานั้น หวงปินไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีคนควบคุมก็สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างราบรื่นได้

ก็ไม่คิดบ้างว่า กระทั่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้พวกนั้น ล้วนมีนักศึกษาใหม่ที่ทะลวงขั้นไม่สำเร็จกว่าครึ่งหนึ่ง

ยามนั้นหวงปินเข้าเรียนหลักสูตรเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เพราะการทะลวงขั้นก็แทบจะเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งแล้ว ย้อนคิดแล้วก็ยังหวาดผวาจนถึงทุกวันนี้

หากฟางผิงอยากลองดู หวงปินย่อมยินดีอย่างยิ่ง

แต่อันดับแรก เด็กนี้ต้องมีชีวิตรอดจนถึงเวลานั้นก่อน

เห็นเขาสงสัยเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ หวงปินก็อยากจะให้เจ้าเด็กคนนี้รีบทะลวงด่านอย่างยิ่ง ตายไวๆ ย่อมดีที่สุด

น่าเสียดายที่ยามนี้เจ้าเด็กนี้ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ คิดจะทะลวงด่านย่อมไม่มีโอกาสนั้น

ฟางผิงไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีจริงเสียหน่อย ไหนเลยจะไม่เข้าใจความคิดของชายผู้นี้ เขาแค่นหัวเราะกับตัวเองในใจ

แต่ว่าไม่ได้เชียว ที่จริงฟางผิงก็มีความคิดนี้อยู่ในหัวบ้างจริงๆ

เขาไม่รู้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือไม่ แต่เขามีสูตรโกงอยู่

แบบนี้ก็พอเรียกว่าพรสวรรค์ได้อยู่ละมั้ง?

แต่ยามนี้เขายังห่างไกลจากการทะลวงด่านอยู่มากนัก จึงไม่อยากคิดอะไรเยอะ

หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ มีอาจารย์คอยชี้แนะดูแล ฟางผิงก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงแล้ว

เมื่อคิดเรื่องพวกนี้ในใจแล้ว เขาก็ถามออกไปอีกครั้ง “แกมีเคล็ดวิชาหรือเปล่า?”

“มี!”

หวงปินตอบทันที “ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง ล้วนจะฝึกเคล็ดวิชาพื้นฐาน วิชาพื้นฐานของหลักสูตรอบรมผู้ฝึกยุทธ์และมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ต่างกันมาก แม้ว่าจะมีข้อแตกต่าง ปกติก็เป็นเรื่องของลำดับขั้นตอนการฝึกเท่านั้น มนุษย์มีกระดูกในร่างกายมากมาย บางเคล็ดวิชาจะเน้นไปที่เท้า บ้างก็จะเน้นไปที่มือหรือแขน…”

“เรื่องพวกนี้ที่จริงก็ไม่มีความแตกต่างมากมาย เป็นเพียงเรื่องของลำดับเท่านั้น การพัฒนากระดูกไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในวันสองวัน คนที่เตรียมจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ทำได้เพียงทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง แม้ว่าจะอยู่ขั้นสามแล้ว ก็ยังต้องพัฒนากระดูกอยู่ตลอด…”

“งั้นเคล็ดวิชาของแกล่ะ?”

แววตาของหวงปินเผยรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยต่อ “เคล็ดวิชาพื้นฐานฉันอ่านมายี่สิบปีแล้ว จำได้ขึ้นใจ ย่อมไม่จำเป็นต้องพกคัมภีร์อะไรไว้กับตัว! เคล็ดวิชานั้นอยู่ในสมองฉัน ขอเพียงนายปล่อยฉัน ฉันก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชา…”

เขาพูดว่าไม่ได้พกคัมภีร์เคล็ดวิชาติดตัว ฟางผิงกลับเชื่อ

หากพกติดตัวจริงๆ ฟางผิงคงเจอนานแล้ว

แต่ของเช่นนี้ ให้เขาอ่านแล้วเขียนบันทึก แม้ว่าหวงปินจะเป็นคนถ่ายทอด ฟางผิงก็ไม่อาจเชื่อเขาอยู่ดี

ฟางผิงไม่ซักไซ้เรื่องเคล็ดวิชาอีก ยามนี้ คิดเพียงว่าจะจัดการยังไงกับหมอนี่ดี

ฆ่าเขา?

ย่อมเป็นดังที่หวงปินพูด ไม่ช้าก็เร็วคนของทางการคงจะค้นพบ หมอนี่ทำตัวมีลับลมคมในอยู่แล้ว คาดว่าคงจะหลบหนีการจับกุมจริงๆ

อีกอย่าง แม้ว่าอายุจิตใจของฟางผิงจะเยอะกว่าในร่างปัจจุบัน แต่เขาก็ไม่เคยทำชั่วมาก่อน ฆ่าคนนับว่าไม่เคยจริงๆ

หวงปินยอมให้เขาฆ่า เกรงว่ายามนี้ฟางผิงก็ไม่กล้าอยู่ดี

แต่ชายผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ไม่ฆ่าเขาก็อันตรายเกินไป

เช่นนั้นทำได้เพียงส่งให้ตำรวจแล้ว

ประเด็นสำคัญอยู่ที่…

ฟางผิงมองกระเป๋าสัมภาระที่อยู่เบื้องหน้า หากส่งตัวคนไป ของพวกนี้ตำรวจจะทิ้งไว้ให้เขาหรือเปล่า?

อย่าเล่นมุกหน่อยเลย!

ทรัพย์สินมูลค่าหลายล้าน ทั้งของบางอย่างมีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้

อย่างเช่นยาเสริมสร้างกระดูก ยาป้องกันอวัยวะภายใน ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ฟางผิงไม่อาจซื้อได้ในยามนี้

ถ้าอย่างนั้นควรจัดการกับหวงปินยังไงดี

ฟางผิงปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง หมอนี่คือเผือกร้อนในมือชัดๆ

แน่นอนว่าต้องส่งให้ตำรวจ ประเด็นอยู่ที่ว่าจะส่งยังไง ไม่อาจจะส่งไปตรงๆ ได้ ถึงเวลานั้นกลัวว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่น้อย

เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไหนเลยจะหาโอกาสมาต่อรองกับคนของทางการได้

ฟางผิงเงียบไปชั่วครู่ พอจะตันสินใจได้คร่าวๆ แล้ว

ไม่สนใจใบหน้าคาดหวังของหวงปิน ฟางผิงค้นหาของสักพัก ก่อนจะเจอกระบองหักครึ่งที่ทิ้งไว้ก่อนหน้านี้

หวงปินที่เห็นฟางผิงหยิบไม้กระบองขึ้น เดินมาหาตัวเอง ใบหน้าก็ดำคล้ำขึ้นมาชั่วพริบตา เอ่ยอย่างตึงเครียดอยู่บ้าง “นาย…นายจะทำอะไร?”

“แกอันตรายเกินไป สลบน่าจะดีกว่าฟื้น”

“อย่า…อย่าเข้ามา!”

“อย่าร้อง เดี๋ยวคนได้ยิน แกจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้!”

หวงปินอยากร้องเสียงดัง ทั้งอยากร้องโหยหวน แต่นึกได้ว่าอาจจะดึงความสนใจจากผู้คน ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

เขาไม่กล้าร้อง ฟางผิงก็ใช่ว่าจะสงสารเขา

“ตุ้บ!”

ไม้กระบองกระทบศีรษะเขาอีกหลายครั้ง ช่วงเวลานั้นหวงปินถึงขั้นคิดอยากตาย อยากให้ตัวเองสลบไปไวๆ ด้วยซ้ำ

แต่แม้เขาจะแกล้งสลบ ฟางผิงก็ไม่ใจอ่อน ‘ตุบๆๆ’ ทุบติดกันอยู่ห้าหกครั้ง

จวบจนหวงปินครางอย่างไร้เรี่ยวแรง จึงค่อยหยุดมือ พึมพำว่า “หัวแข็งจริงๆ”

————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 30 เงื่อนไขการทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์

หวงปินอยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด กลับไม่อาจยอมรับได้ว่าตัวเองมีของดีกว่านี้อยู่กับตัวจริงๆ

คำถามของฟางผิง เขาย่อมปฏิเสธ

ฟางผิงก็ไม่ใส่ใจ นำมีดออกมาเคาะเบาๆ บนพื้น ครุ่นคิดเล็กน้อยเอ่ยว่า “ดูท่าแล้วแกคงก่อคดีมาไม่น้อย ฆ่าคนไปเยอะแล้วล่ะสิ?”

หวงปินไม่ตอบ

เรื่องแบบนี้ หากตอบได้ไม่ดี อาจจะพลิกสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้น

เห็นเขาไม่ตอบเรื่องนี้ ฟางผิงก็ไม่คิดซักไซ้ต่อ ในใจมีแผนอยู่แล้ว

ยามนี้ ฟางผิงไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้ขนาดนั้น

ฟางผิงเงียบไปพักใหญ่ ท้ายที่สุดก็ถามเรื่องที่ตัวเองสนใจมากที่สุด

“ฉันอยากถามแกอีกสักคำถาม หากคำตอบของแกทำให้ฉันพอใจ ฉันอาจพิจารณาเรื่องที่แกพูดมาก่อนหน้านี้ก็ได้”

หวงปินเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ถามมาเลย!”

“แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์?”

คำถามนี้ถามได้ขบขันยิ่ง คนส่วนมากหากได้ยินคงจะขำกันแล้ว

คนที่ไม่รู้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์คืออะไร ยังจะไล่ตามเส้นทางนี้อีก น่าขันสิ้นดี!

ทว่าหวงปินกลับไม่คิดจะขำแม้แต่น้อย

นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง หรือเรียนรู้สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ จะมีคนธรรมดาสักกี่คนกันที่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงคืออะไร!

ที่จริงสิ่งที่ฟางผิงจะถามไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่เป็นจะทำอย่างไรถึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ มาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์ คำนิยามของผู้ฝึกยุทธ์…เรื่องพวกนี้ก็นับเป็นความลับเช่นกัน

ทางการไม่ได้เผยแพร่ข่าวสารให้คนทั่วไปรับรู้ เหตุผลนั้นมีมากมาย ในสถานการณ์ทั่วไป มีเพียงต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้วถึงจะรับทราบเท่านั้น

หากเป็นหวังจินหยาง ยามนี้ก็คงจะพูดว่า “รอนายเข้าไปในมหาวิทยาลัยก่อนก็จะเข้าใจเอง”

แต่หวงปินไม่ใช่หวังจินหยาง ยามนี้กระทั่งตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความลับที่แทบไม่เป็นความลับพวกนี้

หวงปินคิดจะหลอกฟางผิงสักครั้ง แต่นึกถึงฟางผิงยังห่างไกลจากผู้ฝึกยุทธ์อยู่บ้าง รอเขาทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ชาติ

ยามนี้โกหกไปก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี

นึกถึงเรื่องพวกนี้ หวงปินจึงตอบแต่โดยดี “ผู้ฝึกยุทธ์ ที่จริงก็เป็นคนทั่วไปที่ทะลวงขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง อยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ต้องฝ่าขีดจำกัด ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงคงยังไม่ต้องพูดถึง ไกลตัวจากนายมาก พูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างก่อนเถอะ”

“ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกนายว่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างต้องให้ความสำคัญกับกระดูก ส่วนเรื่องฝึกฝนภายนอกเป็นเรื่องรอง แต่พลังปราณ กลับเป็นพื้นฐานในการฝึกฝนร่างกายภายนอก สรุปแล้วยังต้องยึดปราณเป็นหลัก ทั้งทำให้กระดูกแข็งแรง นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์…”

จากที่หวงปินพูด ฟางผิงก็ค่อยๆ เข้าใจเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว

ขณะเดียวกัน ฟางผิงก็อดนึกถึงคำพูดที่หวังจินหยางเอ่ยก่อนหน้านี้ไม่ได้

ยามที่ไปรับหวังจินหยาง พวกหยางเจี้ยนคุยกันเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นนักเรียนเกาเข่า

เวลานั้นหวังจินหยางก็พูดว่า ไม่เพียงคนพวกนี้ต้องมีพรสวรรค์ แต่ต้องมีชาติตระกูลดี มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยหนุนหลังอยู่ทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจความหมาย ยามนี้ฟางผิงกลับกระจ่างแจ้งแล้ว

จากที่หวงปินเอ่ย คิดจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดต้องมีเงื่อนไขสามข้อ

หนึ่งคือพลังปราณ

เกณฑ์การรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ ปกติน้อยที่สุดค่าปราณต้องหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นมาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์

อยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยต้องมีปราณถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล

แน่นอนว่าสูงหน่อยก็ยิ่งดี แต่ไม่อาจให้เกินสองร้อยแคล ไม่อย่างนั้น หากค่าปราณพลุกพล่าน เกินขีดจำกัดของร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว

สองคือความแข็งแรงของกระดูก

คนทั่วไปอยากจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ กระดูกต้องมีความแข็งแรง อย่างน้อยก็ต้องรองรับปราณที่พลุกพล่านหลังจากทะลวงด่านได้ และการเสริมสร้างกระดูก ใช่ว่าจะอาศัยการกินยาบำรุงอย่างเดียว แต่ยังต้องเรียนรู้ฝึกวิชาด้วยตัวเอง

และเงื่อนไขข้อที่สามก็คือ…เคล็ดวิชา!

เคล็ดวิชาพื้นฐานส่วนใหญ่ ปกติมักจะส่งผลให้การฝึกฝนปราณและกระดูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงยาบำรุง ค่าปราณของคนทั่วไปจะพุ่งถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลนับเป็นเรื่องยาก ไหนเลยจะมีโอกาสที่ปราณขึ้นสูงเพียงนั้น

แน่นอนว่าหากฝึกฝนวิชา ก็ต้องมีพื้นฐาน ปกติน้อยที่สุดก็ต้องมีปราณหนึ่งร้อยสิบแคลถึงจะฝึกวิชาได้

ไม่อย่างนั้น พลังปราณไม่พอ หลังจากฝึกฝน อาจจะกลายเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะ หรือทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่การรับนักเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกปีมีการกำหนดเกณฑ์ปราณขั้นต่ำ

แต่เคล็ดวิชาไม่ได้ถ่ายทอดกันง่ายๆ!

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสี่ ไม่อาจถ่ายทอดวิชาให้คนอื่นได้

หากเผยแพร่วิชา ย่อมมีความผิด

ยามที่หวงปินพูดเรื่องนี้ กลับไม่มีท่าทีขุ่นเคืองอะไร แต่เผยสีหน้าเข้าใจ

ทำไมจึงห้ามคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ในการถ่ายทอดวิชา?

ไม่ใช่ว่าต้องการจำกัดผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างและคนทั่วไป แต่เพื่อปกป้องต่างหาก

ยามที่คนธรรมดาทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ปราณจะพลุกพล่านอย่างยิ่ง

หากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางคอยดูแลชี้แนะ อาจจะเส้นเลือดฉีกขาด ปราณทะลวงอวัยวะภายในได้

หากโชคดีก็เจ็บหนัก โชคร้ายคงต้องทิ้งชีวิต

ในสังคมมีหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เงื่อนไขคือต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปถึงจะเปิดหลักสูตรได้ ทั้งเพื่อไม่ให้วิชาถูกถ่ายทอดไปแบบผิดๆ เช่นกัน

ไม่มีคนชี้แนะ ไม่มีคนปกป้อง ย่อมมีความอันตรายอย่างยิ่ง

หลายปีก่อน ยังไม่มีข้อจำกัดการถ่ายทอดวิชา

แต่คนทั่วไป ส่วนใหญ่เมื่อได้รับเคล็ดวิชา เพื่อจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงยอมเสี่ยงโดยไม่สนใจอะไร ทุกปีจึงมีคนเสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเลย

คนที่ประสบผลสำเร็จย่อมมีเช่นกัน แต่เป็นส่วนน้อย

ในกลุ่มหนึ่งร้อยคนที่ฝึกวิชา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนคอยชี้แนะ ผู้ที่ทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ มีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

คนอื่นๆ บ้างก็ไม่กล้าฝึกฝนต่อไป บ้างก็เกิดเส้นเลือดฉีดขาดในระหว่างทะลวงขั้น

ทั้งคนทั่วไป ส่วนมากจะมีค่าปราณไม่ถึงมาตรฐาน เมื่อฝึกวิชาล่วงหน้า ท้ายที่สุดก็จะทำลายแก่นของร่างกาย หาทางซ่อมแซมอย่างไรก็นำกลับมาไม่ได้

ปัจจุบันไม่เหมือนสมัยโบราณ ชีวิตคนยังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จึงมีการจำกัดการถ่ายทอดวิชา

มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปที่สามารถควบคุมดูแลคนทั่วไปที่กำลังจะทะลวงขั้นได้

ดังนั้นท้ายที่สุดทางการจึงมีความเคลื่อนไหวออกมา รวมทั้งจำกัดตัวแทนที่เปิดหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ว่า อย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขั้นไป

คนธรรมดาทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากไม่อาจใช้เงื่อนไขก่อนหน้านี้ หรือรอไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่

ค่าเรียนหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้นแพงอย่างยิ่ง ที่จริงเคล็ดวิชาไม่ใช่เรื่องหลัก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่รับประกันความปลอดภัย

คนที่สมัครเรียนหลักสูตร ยามที่ทะลวงขั้น ย่อมมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยช่วยเหลือดูแล

หากการทะลวงขั้นไม่ราบรื่น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก็สามารถช่วยควบคุมการพลุกพล่านของปราณได้

ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ สถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากเช่นกัน

ยามที่นักศึกษาทะลวงขั้น สามารถเชิญตัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาควบคุมดูแลได้

พลังปราณ ความแข็งแรงของกระดูก เคล็ดวิชา สามอย่างนี้เป็นเงื่อนไขเบื้องต้น

นอกจากนี้ยังมีทรัพยากร รวมถึงยาบำรุงปราณ ยาเสริมสร้างกระดูก ยาป้องกันอวัยวะภายในพวกนี้

ฐานะทางบ้านดีก็เตรียมไว้มากหน่อย หากไม่พร้อมก็เตรียมเท่าที่ไหว

ดังนั้นหากในบ้านไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่าได้ ไม่อย่างนั้นย่อมมีความเสี่ยงมาก

แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ก็ไม่อาจควบคุมปราณ หรือป้องกันไม่ให้หลอดเลือดอีกฝ่ายบาดเจ็บระหว่างทะลวงขั้นได้

ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ฟางผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าหากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่อยู่ด้วย คนทั่วไปก็ไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้?”

หวงปินรู้ดีว่าฟางผิงคิดอะไร

นี่ไม่ใช่ความคิดของฟางผิงคนเดียว คนทั่วไปใครก็อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการประกาศข้อห้ามเรื่องถ่ายทอดวิชาออกมาหรอก

เป็นเพราะคนแบบนี้มีจำนวนมาก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ไม่ใช่หาเจอได้ทั่วไป คนจำนวนมากจึงต้องเดิมพันด้วยชีวิต ภายหลังก็เกิดข้อห้ามขึ้นมา

หากเป็นลูกของหวงปินเอง เขาย่อมอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน

แม้ว่าเขาใกล้จะทะลวงขั้นสาม ลูกของเขาต้องการทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาก็จะยอมเสียเงินหาตัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาคอยดูแลเช่นกัน

แต่ฟางผิงเป็นใคร?

ศัตรูที่วางแผนทำร้ายตัวเอง!

ดังนั้นเมื่อฟางผิงถามขึ้นมา หวงปินจึงละล่ำละลักตอบ “ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เท่านั้น ขอเพียงมีพื้นฐานมากพอ ความเสี่ยงย่อมมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมาย เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยดูแลเช่นกัน ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์รุ่นก่อนล้วนพึ่งตัวเองทั้งนั้น หากสามารถทะลวงด่านสำเร็จในครั้งแรก นั่นก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว คนที่มีพรสวรรค์ เดิมทีย่อมไม่จำเป็นต้องมีคนมาควบคุม เพราะคนพวกนี้สามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว…”

พูดจบ หวงปินก็เหลือบมองฟางผิง

สื่อให้เห็นเป็นนัยว่า คนที่มีพรสวรรค์ก็คือนาย ไม่ต้องกลัว ทะลวงด่านไปเลย ไม่ตายหรอก!

เด็กวัยรุ่นไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเป็นอย่างไร มักคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น

พูดคุยกับเด็กวัยหนุ่มสาว ต้องเยินยอเข้าไว้

คุณยกยอเขา เขาย่อมดีใจ หากคุณดูแคลนเขา เขาคงไม่รู้สึกดี จะคิดว่าคุณประเมินเขาต่ำไป

หวงปินเข้าใจความคิดของวัยรุ่นพวกนี้ดี ยังไงเขาก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน

นึกถึงเวลานั้น หวงปินไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีคนควบคุมก็สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างราบรื่นได้

ก็ไม่คิดบ้างว่า กระทั่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้พวกนั้น ล้วนมีนักศึกษาใหม่ที่ทะลวงขั้นไม่สำเร็จกว่าครึ่งหนึ่ง

ยามนั้นหวงปินเข้าเรียนหลักสูตรเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เพราะการทะลวงขั้นก็แทบจะเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งแล้ว ย้อนคิดแล้วก็ยังหวาดผวาจนถึงทุกวันนี้

หากฟางผิงอยากลองดู หวงปินย่อมยินดีอย่างยิ่ง

แต่อันดับแรก เด็กนี้ต้องมีชีวิตรอดจนถึงเวลานั้นก่อน

เห็นเขาสงสัยเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ หวงปินก็อยากจะให้เจ้าเด็กคนนี้รีบทะลวงด่านอย่างยิ่ง ตายไวๆ ย่อมดีที่สุด

น่าเสียดายที่ยามนี้เจ้าเด็กนี้ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ คิดจะทะลวงด่านย่อมไม่มีโอกาสนั้น

ฟางผิงไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีจริงเสียหน่อย ไหนเลยจะไม่เข้าใจความคิดของชายผู้นี้ เขาแค่นหัวเราะกับตัวเองในใจ

แต่ว่าไม่ได้เชียว ที่จริงฟางผิงก็มีความคิดนี้อยู่ในหัวบ้างจริงๆ

เขาไม่รู้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือไม่ แต่เขามีสูตรโกงอยู่

แบบนี้ก็พอเรียกว่าพรสวรรค์ได้อยู่ละมั้ง?

แต่ยามนี้เขายังห่างไกลจากการทะลวงด่านอยู่มากนัก จึงไม่อยากคิดอะไรเยอะ

หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ มีอาจารย์คอยชี้แนะดูแล ฟางผิงก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงแล้ว

เมื่อคิดเรื่องพวกนี้ในใจแล้ว เขาก็ถามออกไปอีกครั้ง “แกมีเคล็ดวิชาหรือเปล่า?”

“มี!”

หวงปินตอบทันที “ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง ล้วนจะฝึกเคล็ดวิชาพื้นฐาน วิชาพื้นฐานของหลักสูตรอบรมผู้ฝึกยุทธ์และมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ต่างกันมาก แม้ว่าจะมีข้อแตกต่าง ปกติก็เป็นเรื่องของลำดับขั้นตอนการฝึกเท่านั้น มนุษย์มีกระดูกในร่างกายมากมาย บางเคล็ดวิชาจะเน้นไปที่เท้า บ้างก็จะเน้นไปที่มือหรือแขน…”

“เรื่องพวกนี้ที่จริงก็ไม่มีความแตกต่างมากมาย เป็นเพียงเรื่องของลำดับเท่านั้น การพัฒนากระดูกไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในวันสองวัน คนที่เตรียมจะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ทำได้เพียงทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง แม้ว่าจะอยู่ขั้นสามแล้ว ก็ยังต้องพัฒนากระดูกอยู่ตลอด…”

“งั้นเคล็ดวิชาของแกล่ะ?”

แววตาของหวงปินเผยรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยต่อ “เคล็ดวิชาพื้นฐานฉันอ่านมายี่สิบปีแล้ว จำได้ขึ้นใจ ย่อมไม่จำเป็นต้องพกคัมภีร์อะไรไว้กับตัว! เคล็ดวิชานั้นอยู่ในสมองฉัน ขอเพียงนายปล่อยฉัน ฉันก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชา…”

เขาพูดว่าไม่ได้พกคัมภีร์เคล็ดวิชาติดตัว ฟางผิงกลับเชื่อ

หากพกติดตัวจริงๆ ฟางผิงคงเจอนานแล้ว

แต่ของเช่นนี้ ให้เขาอ่านแล้วเขียนบันทึก แม้ว่าหวงปินจะเป็นคนถ่ายทอด ฟางผิงก็ไม่อาจเชื่อเขาอยู่ดี

ฟางผิงไม่ซักไซ้เรื่องเคล็ดวิชาอีก ยามนี้ คิดเพียงว่าจะจัดการยังไงกับหมอนี่ดี

ฆ่าเขา?

ย่อมเป็นดังที่หวงปินพูด ไม่ช้าก็เร็วคนของทางการคงจะค้นพบ หมอนี่ทำตัวมีลับลมคมในอยู่แล้ว คาดว่าคงจะหลบหนีการจับกุมจริงๆ

อีกอย่าง แม้ว่าอายุจิตใจของฟางผิงจะเยอะกว่าในร่างปัจจุบัน แต่เขาก็ไม่เคยทำชั่วมาก่อน ฆ่าคนนับว่าไม่เคยจริงๆ

หวงปินยอมให้เขาฆ่า เกรงว่ายามนี้ฟางผิงก็ไม่กล้าอยู่ดี

แต่ชายผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ไม่ฆ่าเขาก็อันตรายเกินไป

เช่นนั้นทำได้เพียงส่งให้ตำรวจแล้ว

ประเด็นสำคัญอยู่ที่…

ฟางผิงมองกระเป๋าสัมภาระที่อยู่เบื้องหน้า หากส่งตัวคนไป ของพวกนี้ตำรวจจะทิ้งไว้ให้เขาหรือเปล่า?

อย่าเล่นมุกหน่อยเลย!

ทรัพย์สินมูลค่าหลายล้าน ทั้งของบางอย่างมีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้

อย่างเช่นยาเสริมสร้างกระดูก ยาป้องกันอวัยวะภายใน ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ฟางผิงไม่อาจซื้อได้ในยามนี้

ถ้าอย่างนั้นควรจัดการกับหวงปินยังไงดี

ฟางผิงปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง หมอนี่คือเผือกร้อนในมือชัดๆ

แน่นอนว่าต้องส่งให้ตำรวจ ประเด็นอยู่ที่ว่าจะส่งยังไง ไม่อาจจะส่งไปตรงๆ ได้ ถึงเวลานั้นกลัวว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาแม้แต่น้อย

เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไหนเลยจะหาโอกาสมาต่อรองกับคนของทางการได้

ฟางผิงเงียบไปชั่วครู่ พอจะตันสินใจได้คร่าวๆ แล้ว

ไม่สนใจใบหน้าคาดหวังของหวงปิน ฟางผิงค้นหาของสักพัก ก่อนจะเจอกระบองหักครึ่งที่ทิ้งไว้ก่อนหน้านี้

หวงปินที่เห็นฟางผิงหยิบไม้กระบองขึ้น เดินมาหาตัวเอง ใบหน้าก็ดำคล้ำขึ้นมาชั่วพริบตา เอ่ยอย่างตึงเครียดอยู่บ้าง “นาย…นายจะทำอะไร?”

“แกอันตรายเกินไป สลบน่าจะดีกว่าฟื้น”

“อย่า…อย่าเข้ามา!”

“อย่าร้อง เดี๋ยวคนได้ยิน แกจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้!”

หวงปินอยากร้องเสียงดัง ทั้งอยากร้องโหยหวน แต่นึกได้ว่าอาจจะดึงความสนใจจากผู้คน ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

เขาไม่กล้าร้อง ฟางผิงก็ใช่ว่าจะสงสารเขา

“ตุ้บ!”

ไม้กระบองกระทบศีรษะเขาอีกหลายครั้ง ช่วงเวลานั้นหวงปินถึงขั้นคิดอยากตาย อยากให้ตัวเองสลบไปไวๆ ด้วยซ้ำ

แต่แม้เขาจะแกล้งสลบ ฟางผิงก็ไม่ใจอ่อน ‘ตุบๆๆ’ ทุบติดกันอยู่ห้าหกครั้ง

จวบจนหวงปินครางอย่างไร้เรี่ยวแรง จึงค่อยหยุดมือ พึมพำว่า “หัวแข็งจริงๆ”

————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+