องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!บทที่ 117 เฮ่ยเหลียนเวยเวยจะต้องพ่ายแพ้

Now you are reading องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! Chapter บทที่ 117 เฮ่ยเหลียนเวยเวยจะต้องพ่ายแพ้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตึง!

เสียงกลองดังขึ้น

ผู้เข้าแข่งขันต่างก็กลับไปที่ตำแหน่งของตัวเอง

และในขณะที่พวกนางเดินสวนกันนั้น…

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ลดเสียงของตนเองลง แล้วพูดข้างหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย “หากเจ้าไม่อยากพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพช ข้าแนะนำให้เจ้ารีบถอนตัวไปจากที่นี่ แล้วก็ไปซ่อนตัวอยู่บนภูเขาร้างอย่างโดดเดี่ยวซะ อยู่อย่างเจียมตัวและใช้ชีวิตใหม่อย่างสงบเสงี่ยม มิเช่นนั้น หึ อย่าคิดว่าเจ้าจะโชคดีเหมือนกับที่ผ่านมา”

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยพบกับการยั่วยุเช่นนี้ นางก็ทำเพียงแค่เลิกคิ้วและยิ้มด้วยท่าทีที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ไม่ว่าอย่างไร เวลาที่คนเราถูกสุนัขกัด ก็ไม่อาจกัดมันตอบได้ จริงไหมเล่า

“แม่นาง เจ้าโดนดูถูกอีกแล้ว” หยวนหมิงพูดด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาจากความว่างเปล่า

เฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย และมองไปทางบ่อนพนันอีกครั้ง “ข้าต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้แหละ”

“ทำไมล่ะ ในที่สุดเจ้าก็จะแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองออกมาแล้วเช่นนั้นหรือ” หยวนหมิงตื่นเต้น

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเหล่าคู่ต่อสู้ในการประลองเจ้ายุทธ์ที่ทยอยขึ้นมาบนเวทีไม่ไกลออกไป และไม่ได้พูดอะไร นางเพียงแค่ยิ้ม แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางนั้นทำให้เลือดในกายของหยวนหมิงเดือดในทันที

“คุณชายขอรับ” ลุงเหลียงที่ยืนอยู่ด้านหลังจิ่งอู๋ซวงเพื่อคอยรับใช้ก็เห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏตัวบนเวที แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจอย่างมาก “ใบหน้าของนางนั้น…”

จิ่งอู๋ซวงส่งเสียง ‘อืม’ อย่างแผ่วเบา ใบหน้าหล่อเหลาดั่งหยกงามยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาเพียงแค่จิบชา และดวงตาคู่นั้นก็กวาดมองไปทางหญิงสาวที่ยืนอย่างมั่นคงราวกับต้นสนที่อยู่กลางลานประลอง และขนตาของนางก็ลดระดับลงเล็กน้อย

ลุงเหลียงมองคุณชายของตนเองที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว และคิดในใจว่าคุณชายคนนี้เหมือนกับกำลังรักษาท่าทีของตนเองอยู่

เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยในตอนนี้ เขาก็สงสัยเล็กน้อยว่าหญิงสาวที่ราวกับเป็นเทพธิดาที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ คือคนจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพมายา

นั่น… ผิวนั่นมันไม่ดำคล้ำไปหน่อยหรือ

อาจเป็นเพราะสีผิวเช่นนี้ ที่ทำให้จุดเด่นอื่นๆ บนร่างกายของนางนั้นถูกบดบังไปจนหมด ราวกับถูกฝุ่นจับ จนทำให้นางดูไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย

“แก๊ง!”

ทันใดนั้น เสียงจากไม้ที่เคาะระฆังก็ดังขึ้นทำให้ลุงเหลียงกลับมาได้สติอีกครั้ง

และการประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

อาวุธจำนวนสิบแปดชิ้นวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะไม้ ทั้งรูปร่าง รวมถึงเนื้อสัมผัสและคุณภาพของวัสดุนั้นก็แตกต่างกันออกไป

อาวุธแต่ละชิ้นมีจุดประสงค์การใช้งานในแบบของตัวเอง และทุกชิ้นก็ล้วนเป็นฝีมือของเหล่าเจ้ายุทธ์ทั้งสิ้น

การเลือกหาอาวุธที่สร้างโดยคุณชายอู๋ซวงจากอาวุธจำนวนมากเหล่านั้น ถือเป็นเรื่องยากยิ่งนัก

ผู้คนที่คุ้นเคยกับคุณชายอู๋ซวงอาจจะยังพอสามารถเทียบเคียงได้ โดยอ้างอิงจากนิสัยและพฤติกรรมของเขา ก่อนจะเลือกอาวุธจากในกองเหล่านี้

แต่คนที่ไม่ได้สนิทสนมกับคุณชายอู๋ซวงนั้นจะทำเช่นไรเล่า

มันไม่มีแนวทางอะไรชี้นำเลยแม้แต่น้อย ช่างไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร

เหล่าเจ้ายุทธ์หน้าใหม่ต่างมองหน้ากัน และพวกเขาก็เห็นเพียงความทุกข์ใจฉายในแววตาของแต่ละคน

แม้แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยังลังเลที่จะตัดสินใจ

อันที่จริง เวลาที่เจ้ายุทธ์จะเลือกอาวุธสักหนึ่งชิ้น พวกเขาก็จะพิจารณาและตัดสินใจจากการที่อาวุธชิ้นนั้นสามารถปล่อยพลังปราณออกมาได้มากน้อยเพียงใด

ยิ่งมันปลดปล่อยพลังปราณได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นอาวุธที่ดีมากขึ้นเท่านั้น

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นเจ้ายุทธ์ระดับเก้า และประสาทสัมผัสของนางที่มีต่ออาวุธต่างๆ นั้น ก็จัดว่าดีที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้เลยทีเดียว

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ นางกำลังลังเลระหว่างกระบี่หยกสองคมกับคันธนูเต่าทมิฬพร้อมลูกธนู

นอกจากการพิจารณาเลือกอาวุธจะสำคัญที่สุดแล้ว ความรวดเร็วก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน

หากผู้ใดพบอาวุธที่ถูกใจแล้ว และมีคู่แข่งที่ชอบอาวุธชิ้นเดียวกันด้วย ใครก็ตามที่คว้ามันมันมาถือไว้ได้ก่อน ก็นับว่าเป็นผู้ที่ได้ของชิ้นนั้นไปครอง

ดังนั้น เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนก็รีบวิ่งไปที่ด้านหน้าของอาวุธสิบแปดชิ้นนี้ และตะเกียกตะกายที่จะเข้าไปสัมผัสและลูบไล้อาวุธเหล่านี้ราวกับคนเสียสติ

มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้นที่ไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที หนำซ้ำ นางยังมองดูพื้นผิวของอาวุธเหล่านั้นทุกตารางชุ่น [1] ประกายแสงในดวงตาของนางนั้นลึกซึ้ง จนผู้คนไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

มีบางคนถึงกับหัวเราะลั่นจากด้านล่างเวที “ดูนางสิ นางไม่ดูโง่ไปหน่อยหรือ”

“ข้าเดาว่านางคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มเลือกอาวุธชิ้นใด นางไม่มีพลังปราณ จึงไม่สามารถรับรู้พลังอะไรได้เลย”

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะชนะการเดิมพันครั้งนี้แน่นอนแล้ว!”

“ยังจำเป็นต้องพูดอยู่อีกหรือ ฮ่าๆๆ…”

เสียงเยาะเย้ยถากถางดังขึ้นเรื่อยๆ เหล่าคุณชายสูงศักดิ์ต่างก็มองดูและหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ฟังดูน่าสนใจทีเดียว นี่ ข้าว่าพวกเราควรวางเดิมพันด้วยดีไหมเล่า ดูซิว่าใครจะชนะหรือแพ้ หืม”

“ย่อมได้” มีคนเห็นด้วยทันที

“ซื่อจื่อ ท่านจะลงเดิมพันให้ใครขอรับ”

“ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ต้องชนะอยู่แล้ว” มู่หรงฉางเฟิงไม่ได้ยินคำพูดถากถางรอบข้าง เขาส่งเสียง ‘อืม’ ออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นก็วางเงินจำนวนหนึ่งไว้บนกองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์

เดิมที เหล่าคุณชายทุกคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวต่างก็วางเดิมพันไว้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องพ่ายแพ้… และพวกเขาก็ลงพนันแบบหมดหน้าตัก

เอ่อ… นั่นก็ไม่ถูกต้องนัก

ไม่ใช่ทุกคน

มีสองคนที่วางเดิมพันว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะชนะ

คนหนึ่งคือตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอง

และอีกคนนั้น…

ผู้คนแทบไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นรายชื่อนั้น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

ทำไมคนๆ นั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องใดๆ เลย ยังไม่ต้องพูดถึงการพนันเลยด้วยซ้ำ

แต่… ครั้งนี้

เขากลับทุ่มเงินจำนวนมาก เพื่อวางเดิมพันข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย!

ในขณะที่เหล่าคุณชายเหล่านี้กำลังตกตะลึงกันอย่างอธิบายไม่ถูก

เสียงที่ทุ้มต่ำก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันฟังดูสุขุม และไม่ได้ดูเดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย “ลงเงินเดิมพันเพิ่ม”

เสียงนี้นี่มัน…

มีคนหันไปทางห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านข้าง

หลังจากมู่หรงฉางเฟิงได้ยินคำพูดนั้น มือที่ถือถ้วยชาอยู่ก็จับแน่นขึ้นอีกระดับ…

“นั่นคือองค์ชายสามหรือ” ใครบางคนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

พวกเขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้นอีกครั้ง “เพิ่มเงินอีกหนึ่งร้อยตำลึงให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าพนันว่านางจะต้อง…ชนะ”

อะไรนะ!

ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคนั้น

คนไร้ค่าคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไร แล้วนางจะชนะได้อย่างไรกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ นางก็กำลังตื่นตระหนกอยู่ไม่ใช่หรือ

นางไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงพลังปราณขั้นพื้นฐานได้ด้วยซ้ำ และเอาแต่ยืนอย่างโง่เขลาอยู่เช่นนั้น หากนางยังคงไม่เคลื่อนไหวอะไรอยู่เช่นนี้ คนอื่นๆ ก็คงจะตัดสินใจเลือกอาวุธที่พวกเขาต้องการได้หมดทุกคนแล้ว

“แม่นาง เป็นอย่างไรเล่า ครั้งนี้มันยากเกินไปเช่นนั้นหรือ” หยวนหมิงยกริมฝีปากขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง เมื่อเขาเห็นว่านางยังไม่ลงมือจัดการมันอย่างรวดเร็วเหมือนที่เคยทำมา เขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

เฮ่อเหลียนเวยเวยเอามือเท้าคางแล้วเคาะเบาๆ หลังจากนั้นนางก็หลับตาลงช้าๆ

“นางกำลังทำอะไรอยู่! ตอนนี้ นางไม่แม้แต่จะมองดูพวกมันด้วยซ้ำ!”

เมื่อได้ยินเสียงดังจากรอบข้าง หยวนหมิงก็ขมวดคิ้ว “แม่นาง หากมันยากเกินไป ข้าสามารถ…”

“หยวนเสี่ยวหมิง อย่าใช้มารยาปีศาจมาหลอกล่อข้าเลย”

เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำสดใสของนางมองตรงไปข้างหน้า จากนั้น นางก็เดินไปที่โต๊ะไม้

ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็หัวเราะอย่างเหยียดหยาม

แม้แต่คณะกรรมการที่นั่งอยู่บนเวทีก็ยังส่ายศีรษะ “ข้าเกรงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้จะสิ้นหวังแล้ว ตอนนี้ นางเพิ่งจะเริ่มเข้าไปเลือกอาวุธ นางช้ากว่าคนอื่นๆ ไปครึ่งชั่วยามพอดี”

ใบหน้าด้านข้างของจิ่งอู๋ซวงยังคงดูสูงส่งและอ่อนโยนเหมือนตอนที่เขาเพิ่งมาถึง เพียงแต่ตอนนี้ เขากำลังอ้าปากของตนเองอย่างไม่คาดคิด พร้อมกับกระแอมไอเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงใสราวกับน้ำ “ไม่แน่เสมอไปหรอก…”

……………………………………………………….

[1] ตารางนิ้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *