[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 115 เยือกเย็นราวเกล็ดหิมะ

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 115 เยือกเย็นราวเกล็ดหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ยายหนูซือซือ มองออกแล้วหรือยัง” หลิวเฉินกังถามเบาๆ “คนเป็นหมอต้องรอบคอบ จะผิดพลาดไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดเรื่องได้”

        “เข้าใจแล้วค่ะ หนูแพ้รอบแรก” หลิวเย่าซือลุกขึ้นมามองทุกคนจากนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ

        “รุ่นพี่แพ้แล้วล่ะ” เฉาเฉียนคุนพูดยิ้มๆ จากนั้นก็กลับไปยังฝั่งคณะแพทย์แผนปัจจุบัน

        “ดีนี่ไอ้หนู ไม่เลว ลูกของเฉาเซิ่งอวิ๋นไม่ได้ทำให้เขาขายหน้า ฮ่าๆ” หวงฮั่นหลินพูดยิ้มๆ

        หลิวเย่าซือแพ้ไป ทำเอาทั้งคณะแพทย์แผนโบราณนิ่งเงียบ หลิวเย่าซือ ความภาคภูมิใจของคณะแพทย์แผนโบราณแพ้ให้กับนักเรียนใหม่คณะแพทย์แผนปัจจุบัน นี่ก็หมายความว่าคณะแพทย์แผนโบราณได้มอบสิทธิ์ในการครอบครองอาคารหมอเทพไว้ในกำมือของคณะแพทย์แผนปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว

        ทว่าสายตาของกัวไฮว่กลับตกไปอยู่ที่ร่างของเด็กสาวผู้หนึ่ง เหลิ่งซวง

        เด็กสาวผู้นี้หน้าตาธรรมดา ธรรมดาจนคนทั่วไปก็มองจุดเด่นอะไรไม่ออก ทว่าก็ยากจะหาจุดด้อยบนตัวของเธอเจอ ในตอนที่หลิวเย่าซือบอกว่าตนเองแพ้นั่นเอง นอกจากกัวไฮว่คนอื่นก็ไม่อาจสัมผัสได้ว่าช่วงขณะนั้น ในใจเด็กสาวที่ดูราวกับน้ำแข็งผู้นี้พลันปรากฏจิตใจอันฮึกเหิมขึ้นมา

        “พวกเราอดทนมาตั้งแต่ปีหนึ่ง พวกเราเชื่อในอารยธรรมห้าพันปีของหัวซย่า พวกเราเชื่อในการแพทย์โบราณ ทำไมพวกเราต้องแพ้ด้วย” นักศึกษาชายปีสามผู้หนึ่งส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา “หรือว่าที่ไม่เชื่อฟังที่พ่อให้ไปเรียนแพทย์แผนปัจจุบันจะเป็นการคิดผิดเหรอ”

        “รุ่นพี่ซือซือแพ้แล้วล่ะ คณะแพทย์แผนโบราณของเราจะแพ้แล้ว” นักศึกษาปีสองอีกรายที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ที่อาคารหมอเทพยังมีของของฉันอยู่ ฉันไปเก็บของดีกว่า”

        “นี่เธอ ในเมื่อเลือกแพทย์แผนโบราณ แล้วก็ยืนหยัดมาตั้งนานขนาดนั้น ทำไมไม่รออีกหน่อยล่ะ บางทีเหลิ่งซวงอาจจะพลิกเกมได้ก็ได้” กัวไฮว่ยื่นมือไปขวางนักศึกษาคนนั้นเอาไว้พร้อมกับพูดยิ้มๆ

        “นี่นาย นายเพิ่งมาใหม่ นายอาจจะไม่รู้ว่ารุ่นพี่ซือซือเป็นที่หนึ่งของคณะแพทย์แผนโบราณ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ดี ถึงแม้พี่เหลิ่งซวงจะมีความรู้เรื่องยาจีนเยอะมาก แต่คู่แข่งของเธอคือหมอเทพน้อยเฉินเจี่ยตี้จากคณะแพทย์แผนปัจจุบันเลยนะ ขนาดพี่ซือซือประลองกับเขาอย่างมากก็เสมอกัน รุ่นพี่เหลิ่งไม่ใช่คู่แข่งเขาหรอก” นักเรียนคนนั้นพูดเบาๆ

        “ใช่ อีกอย่างถึงจะชนะรอบสอง แข่งรอบสามนายชนะไหวเหรอ คณะแพทย์แผนปัจจุบันมีคนเก่งเยอะนะ คราวนี้ได้แพ้จริงนะ” นักศึกษาปีสามคนนั้นมองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้น

        “เหลิ่งซวงต้องชนะ ฉันเองก็จะชนะ ถ้าพวกเธอชอบการแพทย์แผนโบราณ เชื่อมันในอารยธรรมห้าพันปีของหัวซย่า งั้นพวกเธอก็อย่าเพิ่งไป ให้โอกาสการแพทย์จีนสักครั้ง ให้โอกาสพวกเราสักครั้ง แล้วก็ให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

        นักเรียนทั้งสองคนมองหน้ากัน รุ่นน้องเด็กกว่าคนไม่กี่ปีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดันพูดแบบนี้ออกมาได้ แล้วก็ที่พวกเขาเลือกคณะแพทย์แผนโบราณก็ไม่ใช่ความปรารถนาของพวกเขาในตอนแรกหรอกเหรอ อยู่ต่อ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเราจะต้องอยู่ดูการประลองให้จบ แล้วนักเรียนทั้งสองก็พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มชักชวนนักเรียนคนอื่น

        “ขอบใจนะ ฉันจะทำจนถึงที่สุด” ตอนที่เหลิ่งซวงเดินผ่านกัวไฮว่ไป เธอก็พูดเบาๆ กับกัวไฮว่ แล้วเผยรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก ทำเอานักศึกษาทั้งคณะแพทย์แผนโบราณนิ่งอึ้งไป รุ่นพี่เหลิ่งซวงยิ้มแล้วสวยขนาดนี้นี่เอง

        “รุ่นพี่เหลิ่งซวง สู้ๆ นะ เฉินเจี่ยตี้เป็นแค่เสือกระดาษ[1]” นักศึกษาปีหนึ่งจากคณะแพทย์แผนจีนรายหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น จากนั้นทางฝั่งคณะแพทย์แผนจีนก็มีเสียงหัวเราะเป็นระลอก ทำให้บรรยากาศกดดันเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลงภายในพริบตา

        “ตลกสิ้นดี เดี๋ยวดูฉันเอาชนะรุ่นพี่เหลิ่งซวงของพวกแกได้เลย จะคอยดูว่าพวกแกจะหัวเราะออกหรือเปล่า” เฉินเจี่ยตี้หรี่ตาพูด

        “การประลองรอบสองเป็นการใช้ยา เดี๋ยวจะยังมีผู้ป่วยสี่ราย พวกเธอไปดูอาการพวกเขาแล้วก็สั่งยา สุดท้ายก็บอกตัวยาพื้นฐานกับทุกคนไป แล้วก็จะตัดสินแพ้ชนะจากความเหมาะสมในการใช้ยา” หลิวเย่าซือยืนระหว่างทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น

        ผู้ป่วยทั้งสี่เดินมาตรงหน้าเหลิ่งซวงกับเฉินเจี่ยตี้ จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มวินิจฉัยโรค

        ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่คณะแพทย์แผนจีนจะหัวเราะเฮฮากัน ทว่าเมื่อเริ่มการประลอง คนทางฝั่งคณะแพทย์แผนจีนก็ตึงเครียด พวกเขารู้ดีว่าถ้าเหลิ่งซวงแพ้ จากนี้ไปอาคารหมอเทพจะไม่ใช่ทรัพยากรร่วมของพวกเขากับคณะแพทย์แผนปัจจุบันอีก และอาคารหมอเทพก็จะกลายเป็นของคณะแพทย์แผนปัจจุบัน

        “ไปติดต่ออาจารย์ทุกคลาสเลยนะว่าให้เตรียมส่งคนมาเก็บของที่อาคารหมอเทพ ต่อไปห้องเรียนของพวกเราก็ไม่แน่นแล้วล่ะ” หวงฮั่นหลินพูดยิ้มๆ กับลูกศิษย์ของตน เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

        “หัวหน้าหลิว ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” ประมาณหนึ่งชั่วโมง เฉินเจี่ยตี้ก็เขียนแผนรักษาเสร็จจากนั้นก็ส่งต่อให้หลิวชิงเจิง

        “ทำไมรุ่นพี่เหลิ่งยังทำไม่เสร็จอีกนะ” ผ่านไปประมาณอีกครึ่งชั่วโมง เหลิ่งซวงยังคงวินิจฉัยผู้ป่วยรายสุดท้ายอยู่ และยังไม่เขียนวิธีการใช้ยา

        หลิวเฉินกังเดินไปยังเบื้องหน้าของผู้ป่วย ประมาณหนึ่งนาที เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นกลับไปยังที่เดิม

        “หัวหน้าหลิวคะ ฉันเขียนไปสามอัน ส่วนผู้ป่วยรายที่สี่เดี๋ยวฉันจะบอกคุณเองค่ะ” เหลิ่งซวงส่งแผนรักษาในมือที่ตนเองเขียนให้กับหลิวชิงเจิง

        “คณบดีทั้งสองท่านครับ เรามาดูแผนรักษาที่นักศึกษาทั้งสองคนเขียนด้วยกันดีไหมครับ จากนั้นก็ให้พวกเขาอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยตัวเองว่าทำไมต้องรักษาแบบนี้” หลิวชิงเจิงพูดยิ้มๆ

        “ผู้ป่วยรายแรกของผมมีอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง การที่ไม่นอนเป็นเวลาทำให้เขามีอาการอื่นๆ ตามมา ผมเลยรักษาตามอาการโดยระยะแรกให้เขาทานยาที่ช่วยในเรื่องการนอนหลับเพื่อรักษา ระยะหลังจะให้ใช้คู่กับเครื่องมือทางการแพทย์ที่คณะแพทย์แผนปัจจุบันของเราได้วิจัยและพัฒนาขึ้นมา ประมาณหนึ่งนาทีก็จะกลับมาแข็งแรงได้ครับ” เฉินเจี่ยตี้พูดไปพร้อมกันกับบอกยาที่จำเป็น เวลาและปริมาณที่ต้องทาน ส่วนหลิวชิงเจิงก็เอาแต่ผงกศีรษะอยู่ตลอด ในการรักษาอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรงแบบนี้ก็ต้องใช้วิธีการรักษาประมาณนี้นั่นแหละ

        “ผู้ป่วยนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ฉันสั่งยาให้เขามาจำนวนนึงควบคู่กับการรมยา ตอนกลางคืนให้ดื่มนมอุ่นๆ แก้วนึง ประมาณเดือนนึงก็จะอาการดีขึ้น ประมาณสามเดือนก็จะหายดี” เหลิ่งซวงพูดเบาๆ

        “สามเดือน ของพวกเราแค่เดือนเดียวก็หายแล้ว” นักศึกษาปีสี่คณะแพทย์แผนปัจจุบันรายหนึ่งพูดเสียงดัง “ยอมแพ้เถอะ”

        “การแพทย์แผนปัจจุบันที่พวกเธอพูดกันน่ะฉันรู้หมดแหละ แต่ว่ากินหนึ่งอาทิตย์ กินสามวันเลย ยาแผนปัจจุบันส่งผลต่ออวัยวะภายในของผู้ป่วยในระดับที่ไม่เหมือนกัน เบาหน่อยก็ส่งผลต่อการรับประทาน หนักหน่อยก็นำมาสู่อาการข้างเคียงอื่นๆ เรื่องนี้พวกเธอต้องยอมรับนะ” เหลิ่งซวงพูดเบาๆ

        นักศึกษาคณะแพทย์แผนปัจจุบันถึงกับพูดไม่ออกสักคำเดียว เพราะว่าที่เหลิ่งซวงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

        “ยาจีนที่ฉันสั่งให้อิงตามร่างกายของเขา สามเดือนให้หลัง อาการนอนไม่หลับของเขาก็จะหายดี ในขณะเดียวกันอาการไมเกรนของเขาก็จะดีขึ้นด้วย ในตำรับยาฉันได้เพิ่ม…” เหลิ่งซวงอธิบายตำรับยาของตนเองอีกครั้ง คราวนี้หลิวเฉินกังยิ้มออก เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ทำเขาประหลาดใจไม่น้อย

        “ผู้ป่วยรายที่สอง ผมได้วินิจฉัยผ่านการทดสอบเคมีออกมาแล้วว่าเป็นหวัดจากไวรัส กินยารักษาอย่างเดียวรักษาไม่หาย ต้องรักษาโดยการให้สารละลายทางหลอดเลือดดํา” เมื่อเฉินเจี่ยตี้แพ้ในรอบเล็กรอบแรก ในใจเขาอลหม่าน แต่ว่าจะตอบโต้ไม่ได้ จึงเริ่มอธิบายวิธีการรักษาผู้ป่วยรายที่สอง

        “ไข้หวัดที่วินิจฉัยออกมาไม่ได้แบบนั้น แล้วถ้าเจอความร้อนเข้าไปก็จะต้องสั่งยาล็อตแรก ไม่ได้เพื่อให้ดีขึ้นภายในสามวันแต่เพื่อไวรัส ถ้าเพื่อไวรัส อดทนสักสองสามวันก็จะดีขึ้น ผมจะสั่งยาล็อตที่สองให้เขา เพื่อเป็นการฟื้นฟู”

         

[1] คนที่ดูเหมือนน่ากลัวแต่อันที่จริงไม่น่ากลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 115 เยือกเย็นราวเกล็ดหิมะ

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 115 เยือกเย็นราวเกล็ดหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ยายหนูซือซือ มองออกแล้วหรือยัง” หลิวเฉินกังถามเบาๆ “คนเป็นหมอต้องรอบคอบ จะผิดพลาดไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดเรื่องได้”

        “เข้าใจแล้วค่ะ หนูแพ้รอบแรก” หลิวเย่าซือลุกขึ้นมามองทุกคนจากนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ

        “รุ่นพี่แพ้แล้วล่ะ” เฉาเฉียนคุนพูดยิ้มๆ จากนั้นก็กลับไปยังฝั่งคณะแพทย์แผนปัจจุบัน

        “ดีนี่ไอ้หนู ไม่เลว ลูกของเฉาเซิ่งอวิ๋นไม่ได้ทำให้เขาขายหน้า ฮ่าๆ” หวงฮั่นหลินพูดยิ้มๆ

        หลิวเย่าซือแพ้ไป ทำเอาทั้งคณะแพทย์แผนโบราณนิ่งเงียบ หลิวเย่าซือ ความภาคภูมิใจของคณะแพทย์แผนโบราณแพ้ให้กับนักเรียนใหม่คณะแพทย์แผนปัจจุบัน นี่ก็หมายความว่าคณะแพทย์แผนโบราณได้มอบสิทธิ์ในการครอบครองอาคารหมอเทพไว้ในกำมือของคณะแพทย์แผนปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว

        ทว่าสายตาของกัวไฮว่กลับตกไปอยู่ที่ร่างของเด็กสาวผู้หนึ่ง เหลิ่งซวง

        เด็กสาวผู้นี้หน้าตาธรรมดา ธรรมดาจนคนทั่วไปก็มองจุดเด่นอะไรไม่ออก ทว่าก็ยากจะหาจุดด้อยบนตัวของเธอเจอ ในตอนที่หลิวเย่าซือบอกว่าตนเองแพ้นั่นเอง นอกจากกัวไฮว่คนอื่นก็ไม่อาจสัมผัสได้ว่าช่วงขณะนั้น ในใจเด็กสาวที่ดูราวกับน้ำแข็งผู้นี้พลันปรากฏจิตใจอันฮึกเหิมขึ้นมา

        “พวกเราอดทนมาตั้งแต่ปีหนึ่ง พวกเราเชื่อในอารยธรรมห้าพันปีของหัวซย่า พวกเราเชื่อในการแพทย์โบราณ ทำไมพวกเราต้องแพ้ด้วย” นักศึกษาชายปีสามผู้หนึ่งส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา “หรือว่าที่ไม่เชื่อฟังที่พ่อให้ไปเรียนแพทย์แผนปัจจุบันจะเป็นการคิดผิดเหรอ”

        “รุ่นพี่ซือซือแพ้แล้วล่ะ คณะแพทย์แผนโบราณของเราจะแพ้แล้ว” นักศึกษาปีสองอีกรายที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ที่อาคารหมอเทพยังมีของของฉันอยู่ ฉันไปเก็บของดีกว่า”

        “นี่เธอ ในเมื่อเลือกแพทย์แผนโบราณ แล้วก็ยืนหยัดมาตั้งนานขนาดนั้น ทำไมไม่รออีกหน่อยล่ะ บางทีเหลิ่งซวงอาจจะพลิกเกมได้ก็ได้” กัวไฮว่ยื่นมือไปขวางนักศึกษาคนนั้นเอาไว้พร้อมกับพูดยิ้มๆ

        “นี่นาย นายเพิ่งมาใหม่ นายอาจจะไม่รู้ว่ารุ่นพี่ซือซือเป็นที่หนึ่งของคณะแพทย์แผนโบราณ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ดี ถึงแม้พี่เหลิ่งซวงจะมีความรู้เรื่องยาจีนเยอะมาก แต่คู่แข่งของเธอคือหมอเทพน้อยเฉินเจี่ยตี้จากคณะแพทย์แผนปัจจุบันเลยนะ ขนาดพี่ซือซือประลองกับเขาอย่างมากก็เสมอกัน รุ่นพี่เหลิ่งไม่ใช่คู่แข่งเขาหรอก” นักเรียนคนนั้นพูดเบาๆ

        “ใช่ อีกอย่างถึงจะชนะรอบสอง แข่งรอบสามนายชนะไหวเหรอ คณะแพทย์แผนปัจจุบันมีคนเก่งเยอะนะ คราวนี้ได้แพ้จริงนะ” นักศึกษาปีสามคนนั้นมองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้น

        “เหลิ่งซวงต้องชนะ ฉันเองก็จะชนะ ถ้าพวกเธอชอบการแพทย์แผนโบราณ เชื่อมันในอารยธรรมห้าพันปีของหัวซย่า งั้นพวกเธอก็อย่าเพิ่งไป ให้โอกาสการแพทย์จีนสักครั้ง ให้โอกาสพวกเราสักครั้ง แล้วก็ให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

        นักเรียนทั้งสองคนมองหน้ากัน รุ่นน้องเด็กกว่าคนไม่กี่ปีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดันพูดแบบนี้ออกมาได้ แล้วก็ที่พวกเขาเลือกคณะแพทย์แผนโบราณก็ไม่ใช่ความปรารถนาของพวกเขาในตอนแรกหรอกเหรอ อยู่ต่อ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเราจะต้องอยู่ดูการประลองให้จบ แล้วนักเรียนทั้งสองก็พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มชักชวนนักเรียนคนอื่น

        “ขอบใจนะ ฉันจะทำจนถึงที่สุด” ตอนที่เหลิ่งซวงเดินผ่านกัวไฮว่ไป เธอก็พูดเบาๆ กับกัวไฮว่ แล้วเผยรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก ทำเอานักศึกษาทั้งคณะแพทย์แผนโบราณนิ่งอึ้งไป รุ่นพี่เหลิ่งซวงยิ้มแล้วสวยขนาดนี้นี่เอง

        “รุ่นพี่เหลิ่งซวง สู้ๆ นะ เฉินเจี่ยตี้เป็นแค่เสือกระดาษ[1]” นักศึกษาปีหนึ่งจากคณะแพทย์แผนจีนรายหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น จากนั้นทางฝั่งคณะแพทย์แผนจีนก็มีเสียงหัวเราะเป็นระลอก ทำให้บรรยากาศกดดันเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลงภายในพริบตา

        “ตลกสิ้นดี เดี๋ยวดูฉันเอาชนะรุ่นพี่เหลิ่งซวงของพวกแกได้เลย จะคอยดูว่าพวกแกจะหัวเราะออกหรือเปล่า” เฉินเจี่ยตี้หรี่ตาพูด

        “การประลองรอบสองเป็นการใช้ยา เดี๋ยวจะยังมีผู้ป่วยสี่ราย พวกเธอไปดูอาการพวกเขาแล้วก็สั่งยา สุดท้ายก็บอกตัวยาพื้นฐานกับทุกคนไป แล้วก็จะตัดสินแพ้ชนะจากความเหมาะสมในการใช้ยา” หลิวเย่าซือยืนระหว่างทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น

        ผู้ป่วยทั้งสี่เดินมาตรงหน้าเหลิ่งซวงกับเฉินเจี่ยตี้ จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มวินิจฉัยโรค

        ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่คณะแพทย์แผนจีนจะหัวเราะเฮฮากัน ทว่าเมื่อเริ่มการประลอง คนทางฝั่งคณะแพทย์แผนจีนก็ตึงเครียด พวกเขารู้ดีว่าถ้าเหลิ่งซวงแพ้ จากนี้ไปอาคารหมอเทพจะไม่ใช่ทรัพยากรร่วมของพวกเขากับคณะแพทย์แผนปัจจุบันอีก และอาคารหมอเทพก็จะกลายเป็นของคณะแพทย์แผนปัจจุบัน

        “ไปติดต่ออาจารย์ทุกคลาสเลยนะว่าให้เตรียมส่งคนมาเก็บของที่อาคารหมอเทพ ต่อไปห้องเรียนของพวกเราก็ไม่แน่นแล้วล่ะ” หวงฮั่นหลินพูดยิ้มๆ กับลูกศิษย์ของตน เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

        “หัวหน้าหลิว ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” ประมาณหนึ่งชั่วโมง เฉินเจี่ยตี้ก็เขียนแผนรักษาเสร็จจากนั้นก็ส่งต่อให้หลิวชิงเจิง

        “ทำไมรุ่นพี่เหลิ่งยังทำไม่เสร็จอีกนะ” ผ่านไปประมาณอีกครึ่งชั่วโมง เหลิ่งซวงยังคงวินิจฉัยผู้ป่วยรายสุดท้ายอยู่ และยังไม่เขียนวิธีการใช้ยา

        หลิวเฉินกังเดินไปยังเบื้องหน้าของผู้ป่วย ประมาณหนึ่งนาที เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นกลับไปยังที่เดิม

        “หัวหน้าหลิวคะ ฉันเขียนไปสามอัน ส่วนผู้ป่วยรายที่สี่เดี๋ยวฉันจะบอกคุณเองค่ะ” เหลิ่งซวงส่งแผนรักษาในมือที่ตนเองเขียนให้กับหลิวชิงเจิง

        “คณบดีทั้งสองท่านครับ เรามาดูแผนรักษาที่นักศึกษาทั้งสองคนเขียนด้วยกันดีไหมครับ จากนั้นก็ให้พวกเขาอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยตัวเองว่าทำไมต้องรักษาแบบนี้” หลิวชิงเจิงพูดยิ้มๆ

        “ผู้ป่วยรายแรกของผมมีอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง การที่ไม่นอนเป็นเวลาทำให้เขามีอาการอื่นๆ ตามมา ผมเลยรักษาตามอาการโดยระยะแรกให้เขาทานยาที่ช่วยในเรื่องการนอนหลับเพื่อรักษา ระยะหลังจะให้ใช้คู่กับเครื่องมือทางการแพทย์ที่คณะแพทย์แผนปัจจุบันของเราได้วิจัยและพัฒนาขึ้นมา ประมาณหนึ่งนาทีก็จะกลับมาแข็งแรงได้ครับ” เฉินเจี่ยตี้พูดไปพร้อมกันกับบอกยาที่จำเป็น เวลาและปริมาณที่ต้องทาน ส่วนหลิวชิงเจิงก็เอาแต่ผงกศีรษะอยู่ตลอด ในการรักษาอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรงแบบนี้ก็ต้องใช้วิธีการรักษาประมาณนี้นั่นแหละ

        “ผู้ป่วยนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ฉันสั่งยาให้เขามาจำนวนนึงควบคู่กับการรมยา ตอนกลางคืนให้ดื่มนมอุ่นๆ แก้วนึง ประมาณเดือนนึงก็จะอาการดีขึ้น ประมาณสามเดือนก็จะหายดี” เหลิ่งซวงพูดเบาๆ

        “สามเดือน ของพวกเราแค่เดือนเดียวก็หายแล้ว” นักศึกษาปีสี่คณะแพทย์แผนปัจจุบันรายหนึ่งพูดเสียงดัง “ยอมแพ้เถอะ”

        “การแพทย์แผนปัจจุบันที่พวกเธอพูดกันน่ะฉันรู้หมดแหละ แต่ว่ากินหนึ่งอาทิตย์ กินสามวันเลย ยาแผนปัจจุบันส่งผลต่ออวัยวะภายในของผู้ป่วยในระดับที่ไม่เหมือนกัน เบาหน่อยก็ส่งผลต่อการรับประทาน หนักหน่อยก็นำมาสู่อาการข้างเคียงอื่นๆ เรื่องนี้พวกเธอต้องยอมรับนะ” เหลิ่งซวงพูดเบาๆ

        นักศึกษาคณะแพทย์แผนปัจจุบันถึงกับพูดไม่ออกสักคำเดียว เพราะว่าที่เหลิ่งซวงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

        “ยาจีนที่ฉันสั่งให้อิงตามร่างกายของเขา สามเดือนให้หลัง อาการนอนไม่หลับของเขาก็จะหายดี ในขณะเดียวกันอาการไมเกรนของเขาก็จะดีขึ้นด้วย ในตำรับยาฉันได้เพิ่ม…” เหลิ่งซวงอธิบายตำรับยาของตนเองอีกครั้ง คราวนี้หลิวเฉินกังยิ้มออก เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ทำเขาประหลาดใจไม่น้อย

        “ผู้ป่วยรายที่สอง ผมได้วินิจฉัยผ่านการทดสอบเคมีออกมาแล้วว่าเป็นหวัดจากไวรัส กินยารักษาอย่างเดียวรักษาไม่หาย ต้องรักษาโดยการให้สารละลายทางหลอดเลือดดํา” เมื่อเฉินเจี่ยตี้แพ้ในรอบเล็กรอบแรก ในใจเขาอลหม่าน แต่ว่าจะตอบโต้ไม่ได้ จึงเริ่มอธิบายวิธีการรักษาผู้ป่วยรายที่สอง

        “ไข้หวัดที่วินิจฉัยออกมาไม่ได้แบบนั้น แล้วถ้าเจอความร้อนเข้าไปก็จะต้องสั่งยาล็อตแรก ไม่ได้เพื่อให้ดีขึ้นภายในสามวันแต่เพื่อไวรัส ถ้าเพื่อไวรัส อดทนสักสองสามวันก็จะดีขึ้น ผมจะสั่งยาล็อตที่สองให้เขา เพื่อเป็นการฟื้นฟู”

         

[1] คนที่ดูเหมือนน่ากลัวแต่อันที่จริงไม่น่ากลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 115 เยือกเย็นราวเกล็ดหิมะ

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 115 เยือกเย็นราวเกล็ดหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ยายหนูซือซือ มองออกแล้วหรือยัง” หลิวเฉินกังถามเบาๆ “คนเป็นหมอต้องรอบคอบ จะผิดพลาดไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดเรื่องได้”

        “เข้าใจแล้วค่ะ หนูแพ้รอบแรก” หลิวเย่าซือลุกขึ้นมามองทุกคนจากนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ

        “รุ่นพี่แพ้แล้วล่ะ” เฉาเฉียนคุนพูดยิ้มๆ จากนั้นก็กลับไปยังฝั่งคณะแพทย์แผนปัจจุบัน

        “ดีนี่ไอ้หนู ไม่เลว ลูกของเฉาเซิ่งอวิ๋นไม่ได้ทำให้เขาขายหน้า ฮ่าๆ” หวงฮั่นหลินพูดยิ้มๆ

        หลิวเย่าซือแพ้ไป ทำเอาทั้งคณะแพทย์แผนโบราณนิ่งเงียบ หลิวเย่าซือ ความภาคภูมิใจของคณะแพทย์แผนโบราณแพ้ให้กับนักเรียนใหม่คณะแพทย์แผนปัจจุบัน นี่ก็หมายความว่าคณะแพทย์แผนโบราณได้มอบสิทธิ์ในการครอบครองอาคารหมอเทพไว้ในกำมือของคณะแพทย์แผนปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว

        ทว่าสายตาของกัวไฮว่กลับตกไปอยู่ที่ร่างของเด็กสาวผู้หนึ่ง เหลิ่งซวง

        เด็กสาวผู้นี้หน้าตาธรรมดา ธรรมดาจนคนทั่วไปก็มองจุดเด่นอะไรไม่ออก ทว่าก็ยากจะหาจุดด้อยบนตัวของเธอเจอ ในตอนที่หลิวเย่าซือบอกว่าตนเองแพ้นั่นเอง นอกจากกัวไฮว่คนอื่นก็ไม่อาจสัมผัสได้ว่าช่วงขณะนั้น ในใจเด็กสาวที่ดูราวกับน้ำแข็งผู้นี้พลันปรากฏจิตใจอันฮึกเหิมขึ้นมา

        “พวกเราอดทนมาตั้งแต่ปีหนึ่ง พวกเราเชื่อในอารยธรรมห้าพันปีของหัวซย่า พวกเราเชื่อในการแพทย์โบราณ ทำไมพวกเราต้องแพ้ด้วย” นักศึกษาชายปีสามผู้หนึ่งส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา “หรือว่าที่ไม่เชื่อฟังที่พ่อให้ไปเรียนแพทย์แผนปัจจุบันจะเป็นการคิดผิดเหรอ”

        “รุ่นพี่ซือซือแพ้แล้วล่ะ คณะแพทย์แผนโบราณของเราจะแพ้แล้ว” นักศึกษาปีสองอีกรายที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ที่อาคารหมอเทพยังมีของของฉันอยู่ ฉันไปเก็บของดีกว่า”

        “นี่เธอ ในเมื่อเลือกแพทย์แผนโบราณ แล้วก็ยืนหยัดมาตั้งนานขนาดนั้น ทำไมไม่รออีกหน่อยล่ะ บางทีเหลิ่งซวงอาจจะพลิกเกมได้ก็ได้” กัวไฮว่ยื่นมือไปขวางนักศึกษาคนนั้นเอาไว้พร้อมกับพูดยิ้มๆ

        “นี่นาย นายเพิ่งมาใหม่ นายอาจจะไม่รู้ว่ารุ่นพี่ซือซือเป็นที่หนึ่งของคณะแพทย์แผนโบราณ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ดี ถึงแม้พี่เหลิ่งซวงจะมีความรู้เรื่องยาจีนเยอะมาก แต่คู่แข่งของเธอคือหมอเทพน้อยเฉินเจี่ยตี้จากคณะแพทย์แผนปัจจุบันเลยนะ ขนาดพี่ซือซือประลองกับเขาอย่างมากก็เสมอกัน รุ่นพี่เหลิ่งไม่ใช่คู่แข่งเขาหรอก” นักเรียนคนนั้นพูดเบาๆ

        “ใช่ อีกอย่างถึงจะชนะรอบสอง แข่งรอบสามนายชนะไหวเหรอ คณะแพทย์แผนปัจจุบันมีคนเก่งเยอะนะ คราวนี้ได้แพ้จริงนะ” นักศึกษาปีสามคนนั้นมองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้น

        “เหลิ่งซวงต้องชนะ ฉันเองก็จะชนะ ถ้าพวกเธอชอบการแพทย์แผนโบราณ เชื่อมันในอารยธรรมห้าพันปีของหัวซย่า งั้นพวกเธอก็อย่าเพิ่งไป ให้โอกาสการแพทย์จีนสักครั้ง ให้โอกาสพวกเราสักครั้ง แล้วก็ให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

        นักเรียนทั้งสองคนมองหน้ากัน รุ่นน้องเด็กกว่าคนไม่กี่ปีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดันพูดแบบนี้ออกมาได้ แล้วก็ที่พวกเขาเลือกคณะแพทย์แผนโบราณก็ไม่ใช่ความปรารถนาของพวกเขาในตอนแรกหรอกเหรอ อยู่ต่อ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเราจะต้องอยู่ดูการประลองให้จบ แล้วนักเรียนทั้งสองก็พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มชักชวนนักเรียนคนอื่น

        “ขอบใจนะ ฉันจะทำจนถึงที่สุด” ตอนที่เหลิ่งซวงเดินผ่านกัวไฮว่ไป เธอก็พูดเบาๆ กับกัวไฮว่ แล้วเผยรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก ทำเอานักศึกษาทั้งคณะแพทย์แผนโบราณนิ่งอึ้งไป รุ่นพี่เหลิ่งซวงยิ้มแล้วสวยขนาดนี้นี่เอง

        “รุ่นพี่เหลิ่งซวง สู้ๆ นะ เฉินเจี่ยตี้เป็นแค่เสือกระดาษ[1]” นักศึกษาปีหนึ่งจากคณะแพทย์แผนจีนรายหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น จากนั้นทางฝั่งคณะแพทย์แผนจีนก็มีเสียงหัวเราะเป็นระลอก ทำให้บรรยากาศกดดันเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลงภายในพริบตา

        “ตลกสิ้นดี เดี๋ยวดูฉันเอาชนะรุ่นพี่เหลิ่งซวงของพวกแกได้เลย จะคอยดูว่าพวกแกจะหัวเราะออกหรือเปล่า” เฉินเจี่ยตี้หรี่ตาพูด

        “การประลองรอบสองเป็นการใช้ยา เดี๋ยวจะยังมีผู้ป่วยสี่ราย พวกเธอไปดูอาการพวกเขาแล้วก็สั่งยา สุดท้ายก็บอกตัวยาพื้นฐานกับทุกคนไป แล้วก็จะตัดสินแพ้ชนะจากความเหมาะสมในการใช้ยา” หลิวเย่าซือยืนระหว่างทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น

        ผู้ป่วยทั้งสี่เดินมาตรงหน้าเหลิ่งซวงกับเฉินเจี่ยตี้ จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มวินิจฉัยโรค

        ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่คณะแพทย์แผนจีนจะหัวเราะเฮฮากัน ทว่าเมื่อเริ่มการประลอง คนทางฝั่งคณะแพทย์แผนจีนก็ตึงเครียด พวกเขารู้ดีว่าถ้าเหลิ่งซวงแพ้ จากนี้ไปอาคารหมอเทพจะไม่ใช่ทรัพยากรร่วมของพวกเขากับคณะแพทย์แผนปัจจุบันอีก และอาคารหมอเทพก็จะกลายเป็นของคณะแพทย์แผนปัจจุบัน

        “ไปติดต่ออาจารย์ทุกคลาสเลยนะว่าให้เตรียมส่งคนมาเก็บของที่อาคารหมอเทพ ต่อไปห้องเรียนของพวกเราก็ไม่แน่นแล้วล่ะ” หวงฮั่นหลินพูดยิ้มๆ กับลูกศิษย์ของตน เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

        “หัวหน้าหลิว ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” ประมาณหนึ่งชั่วโมง เฉินเจี่ยตี้ก็เขียนแผนรักษาเสร็จจากนั้นก็ส่งต่อให้หลิวชิงเจิง

        “ทำไมรุ่นพี่เหลิ่งยังทำไม่เสร็จอีกนะ” ผ่านไปประมาณอีกครึ่งชั่วโมง เหลิ่งซวงยังคงวินิจฉัยผู้ป่วยรายสุดท้ายอยู่ และยังไม่เขียนวิธีการใช้ยา

        หลิวเฉินกังเดินไปยังเบื้องหน้าของผู้ป่วย ประมาณหนึ่งนาที เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นกลับไปยังที่เดิม

        “หัวหน้าหลิวคะ ฉันเขียนไปสามอัน ส่วนผู้ป่วยรายที่สี่เดี๋ยวฉันจะบอกคุณเองค่ะ” เหลิ่งซวงส่งแผนรักษาในมือที่ตนเองเขียนให้กับหลิวชิงเจิง

        “คณบดีทั้งสองท่านครับ เรามาดูแผนรักษาที่นักศึกษาทั้งสองคนเขียนด้วยกันดีไหมครับ จากนั้นก็ให้พวกเขาอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยตัวเองว่าทำไมต้องรักษาแบบนี้” หลิวชิงเจิงพูดยิ้มๆ

        “ผู้ป่วยรายแรกของผมมีอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง การที่ไม่นอนเป็นเวลาทำให้เขามีอาการอื่นๆ ตามมา ผมเลยรักษาตามอาการโดยระยะแรกให้เขาทานยาที่ช่วยในเรื่องการนอนหลับเพื่อรักษา ระยะหลังจะให้ใช้คู่กับเครื่องมือทางการแพทย์ที่คณะแพทย์แผนปัจจุบันของเราได้วิจัยและพัฒนาขึ้นมา ประมาณหนึ่งนาทีก็จะกลับมาแข็งแรงได้ครับ” เฉินเจี่ยตี้พูดไปพร้อมกันกับบอกยาที่จำเป็น เวลาและปริมาณที่ต้องทาน ส่วนหลิวชิงเจิงก็เอาแต่ผงกศีรษะอยู่ตลอด ในการรักษาอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรงแบบนี้ก็ต้องใช้วิธีการรักษาประมาณนี้นั่นแหละ

        “ผู้ป่วยนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ฉันสั่งยาให้เขามาจำนวนนึงควบคู่กับการรมยา ตอนกลางคืนให้ดื่มนมอุ่นๆ แก้วนึง ประมาณเดือนนึงก็จะอาการดีขึ้น ประมาณสามเดือนก็จะหายดี” เหลิ่งซวงพูดเบาๆ

        “สามเดือน ของพวกเราแค่เดือนเดียวก็หายแล้ว” นักศึกษาปีสี่คณะแพทย์แผนปัจจุบันรายหนึ่งพูดเสียงดัง “ยอมแพ้เถอะ”

        “การแพทย์แผนปัจจุบันที่พวกเธอพูดกันน่ะฉันรู้หมดแหละ แต่ว่ากินหนึ่งอาทิตย์ กินสามวันเลย ยาแผนปัจจุบันส่งผลต่ออวัยวะภายในของผู้ป่วยในระดับที่ไม่เหมือนกัน เบาหน่อยก็ส่งผลต่อการรับประทาน หนักหน่อยก็นำมาสู่อาการข้างเคียงอื่นๆ เรื่องนี้พวกเธอต้องยอมรับนะ” เหลิ่งซวงพูดเบาๆ

        นักศึกษาคณะแพทย์แผนปัจจุบันถึงกับพูดไม่ออกสักคำเดียว เพราะว่าที่เหลิ่งซวงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

        “ยาจีนที่ฉันสั่งให้อิงตามร่างกายของเขา สามเดือนให้หลัง อาการนอนไม่หลับของเขาก็จะหายดี ในขณะเดียวกันอาการไมเกรนของเขาก็จะดีขึ้นด้วย ในตำรับยาฉันได้เพิ่ม…” เหลิ่งซวงอธิบายตำรับยาของตนเองอีกครั้ง คราวนี้หลิวเฉินกังยิ้มออก เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ทำเขาประหลาดใจไม่น้อย

        “ผู้ป่วยรายที่สอง ผมได้วินิจฉัยผ่านการทดสอบเคมีออกมาแล้วว่าเป็นหวัดจากไวรัส กินยารักษาอย่างเดียวรักษาไม่หาย ต้องรักษาโดยการให้สารละลายทางหลอดเลือดดํา” เมื่อเฉินเจี่ยตี้แพ้ในรอบเล็กรอบแรก ในใจเขาอลหม่าน แต่ว่าจะตอบโต้ไม่ได้ จึงเริ่มอธิบายวิธีการรักษาผู้ป่วยรายที่สอง

        “ไข้หวัดที่วินิจฉัยออกมาไม่ได้แบบนั้น แล้วถ้าเจอความร้อนเข้าไปก็จะต้องสั่งยาล็อตแรก ไม่ได้เพื่อให้ดีขึ้นภายในสามวันแต่เพื่อไวรัส ถ้าเพื่อไวรัส อดทนสักสองสามวันก็จะดีขึ้น ผมจะสั่งยาล็อตที่สองให้เขา เพื่อเป็นการฟื้นฟู”

         

[1] คนที่ดูเหมือนน่ากลัวแต่อันที่จริงไม่น่ากลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+