[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 64 สะดืองอกขน

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 64 สะดืองอกขน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ หนานกงเชี่ยนเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วต่อยบอดี้การ์ดของมู่หรงกูที่อยู่ตรงหน้าล้มพับไปกับพื้น

        “ลูกศิษย์เส้าหลินงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนี่” กัวไฮว่มองชายวัยกลางคนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “เสี่ยวเฟย ไปดวลกับเขาหน่อยสิ จุดอ่อนของเขาอยู่ที่หลังด้านบน”

        “พ่อหนุ่ม เขาชื่อเจ้าเจิ้นซาน ขนาดหมัดปากว้าฉันยังไม่กล้าดวลด้วยเลย ให้เสี่ยวเฟยไปฉันกลัวว่าเขาจะอันตรายเอาน่ะสิ” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ให้เขาไปเถอะ ให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายซะหน่อย คนฝึกยุทธ ได้รับบาดเจ็บถือเป็นเรื่องธรรมดา ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ มู่หรงเฟยมองอาจารย์ของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็บึ่งมายังเบื้องหน้าของเจ้าเจิ้นซาน

        “นี่หนู ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป” เจ้าเจิ้นซานเห็นว่าผู้ที่เดินมาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จึงพูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “คิดว่าบ้านตระกูลมู่หรงเป็นที่ที่แกคิดจะบุกก็บุกได้งั้นเหรอ แม่เลี้ยงสาม คุณเข้าไปได้ ส่วนคนพวกนี้ให้รออยู่ข้างนอกเถอะ” มู่หรงเฟยมองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

        “เด็กบ้า ไสหัวไป อย่าคิดว่าแกเป็นคนของตระกูลมู่หรงแล้วฉันจะไม่กล้าอัดแกนะ” มู่หรงเชี่ยนมองมู่หรงเฟยแล้วพูดขึ้น

        “ในเมื่อแม่เลี้ยงสามพูดแบบนี้ งั้นก็ให้เขาอัดผมสิ” มู่หรงเฟยพูดอย่างเอาเรื่อง “แต่จะอัดผมชนะไหมนั้นก็ไม่แน่นะ”

        “ไม่ตายก็พอแล้ว ตอนนี้ตระกูลมู่หรงเก่งนัก ขนาดเด็กๆ ยังกล้าพูดกับฉันแบบนี้” มู่หรงเชี่ยนหน้าแดงเถือก พูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “ศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนมวยแปดสุดยอดนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงได้ปากดี แกไม่ไหวหรอก ต่อให้อาจารย์แกมาเองก็ไม่น่าไหว” เจ้าเจิ้นซานพูดเสียงดัง “ฉันจะสอนแกแทนอาจารย์แกเองว่าการเป็นคนมันทำกันยังไง”

        “ไอ้สะดืองอกขน ไอ้จอมปลอม” เมื่อมู่หรงเฟยพูดจบ ก็บินตรงเข้าไปหาเจ้าเจิ้นซาน

        เสียง “ผัวะ!” ดังขึ้น มู่หรงเฟยต่อยไปหมัดหนึ่ง เจ้าเจิ้นซานยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย เมื่อหมัดกับหมัดชนกัน เจ้าเจิ้นซานก็ถึงกับเสียใจขึ้นมา เขากลัวว่ามู่หรงเฟยจะเละเลยออกแรงไปเพียงสามส่วน แต่มู่หรงเฟยมองเจ้าเจิ้นซานเป็นคู่ต่อสู้จริงๆ ออกแรงไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขายังไม่ได้ก้าวสู้เขตแดนเซียนเทียน แต่ศักยภาพกลับตรงกันข้าม เจ้าเจิ้นซานถูกมู่หรงเฟยต่อยเข้าหมัดหนึ่งแล้วพ่นเลือดออกมา

        “ดีแต่หน้า พอเอาเข้าจริงก็ไร้ประโยชน์ ยังนึกว่าเป็นยอดฝีมือ แต่กลับเป็นแบบนี้ซะงั้น” มู่หรงเฟยถอยไปสามเก้า เขารู้ว่าตนเองได้เปรียบ แต่กลับพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่ได้แยแสความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม

        “พรวด!” เจ้าเจิ้นซานพ่นเลือดออกมา ถ้าจะบอกว่าแพ้ให้เซียวอวิ๋นเทียน แพ้ก็แพ้ไปสิ แต่ตัวเองดันถูกลูกศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนต่อยล้มในหมัดเดียว ขายหน้าไปจนถึงรุ่นยาย ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ เด็กนี่ไม่รู้เลยว่าตอนแรกเขากลัวว่าจะทำร้ายเด็กนี่หนักไปเลยออมมือให้ เจ้าเจิ้นซานโมโหจนแทบจะเป็นลม

        “แม่เลี้ยงสามครับ ผมว่าคุณเข้าไปเถอะ อย่าให้คนด้านหลังคุณมาดวลกับผมอีกเลย” มู่หรงเฟยพูดพลางยิ้มกว้าง เขามั่นใจในตนเองอย่างมาก ไม่ได้แยแสเลยว่าจะดวลกับคนข้างหลังได้หรือเปล่า

        “เด็กบ้า ดูไม่ออกเหรอว่าเมื่อกี้เจิ้นซานออมมือให้น่ะ ลองกับฉันหน่อยไหม” เมื่อพูดเสร็จ ชายชราที่อยู่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนก็บินลอยมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเฟย

        “ยอดฝีมือมวยสิงอี้ เกรงว่าคราวนี้เสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ

        “มวยเสือกระเรียนหวงต้าเฉิง เขาอยู่ที่ฮ่องกงมาตลอดนี่ มาที่จีนได้ยังไงดัน” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ทั้งสามท่าน พวกเราไปดูกันเถอะ ถึงเสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบก็ช่างมัน แต่ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านตระกูลมู่หรง พวกท่านก็เป็นแขกของตระกูลมู่หรงแล้วก็เป็นคนฝึกยุทธ คงจะดูพวกเขาอาละวาดแบบนี้ไม่ได้หรอกมั้ง” คำพูดของกัวไฮว่ ทำเอาอาจารย์ยุทธทั้งสามลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน ในเมื่อบางเรื่องตัวเองไม่สะดวกจะออกมือ ก็ให้พวกเขาออกมือน่าจะเหมาะกว่า

        “อะแฮ่มๆๆ ช่วงเวลาที่ฝึกมวยมาเยอะกว่าอายุฉันอีก แต่ยังมีศักยภาพแค่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ฉันต่อยกับตาแซ่เจ้านั่นไปยกหนึ่ง ก็ยังไม่แน่หรอกนะว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ” มู่หรงเฟยต่อยตีอยู่กับหวงต้าเฉิงอยู่สามสิบกว่ารอบ แต่สุดท้ายเป็นเพราะมีประสบการณ์ไม่พอ จึงแพ้เข้า แต่แพ้ก็แพ้ไปสิ ยังต้องด่าอีกหน่อย ให้หวงต้าเฉิงไม่สบอารมณ์

        “หวงต้าเฉิง ชนะเด็กแล้วยังไง เรามาดวลกันเถอะ” เซียวอวิ๋นเทียนก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “เสี่ยวเฟย ถอยไป ดูให้ดีนะ มวยแปดสุดยอดไม่ใช่แบบที่แกต่อย” พูดจบ เซียวอวิ๋นเทียนก็ชกไปทางหวงต้าเฉิง

        “อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกเธอสองคนมาดวลกับฉันเถอะ” เซี่ยอวี่ขุยพูดขึ้นเสียงดัง ในเมื่อกัวไฮว่พามู่หรงหลงมากจากความตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการป่วยของตน ในเมื่อเขาตกลงจะช่วยตนเองแล้ว แน่นอนว่าก็เป็นลูกมือเขาเสียหน่อย จึงตรงไปยังสองคนที่อยู่ด้านหลังของหนานกงเชี่ยน

        “หยุดนะ” มู่หรงกูเดินมาจากข้างหลังโดยมีมู่หรงเวยเวยกับมู่หรงหลงเดินประกบข้างซ้ายขวา “หนานกงเชี่ยน ทำไมน่าสนใจขนาดนี้เนี่ย บังอาจมาหาฉันที่นี่ทำไมเหรอ หรือว่าอยากจะเป็นคุณนายสามตระกูลมู่หรง” มู่หรงกูมองหนานกงเชี่ยนแล้วถามขึ้นเสียงดัง

        “มู่หรงกู ปล่อยลุงฉัน แล้วฉันจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง จากนั้นก็พาสายตาไปตกอยู่บนร่างของมู่หรงหลง “ถึงว่าวันนี้สีหน้าดูแจ่มใส ที่แท้เด็กเวรนี่ของคุณหายดีแล้ว แต่คุณก็ดูแลให้ดีนะ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องนอนไปตลอดชีวิต ลุกขึ้นมาไม่ได้อีก”

        “หนานกงเชี่ยน พาคนของเธอไป วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่อยากฆ่าคน ไม่เป็นตัวแทนไม่อัดคน” มู่หรงกูพูดขึ้นเสียงดัง

        “ปล่อยคนไปซะ แล้วเดี๋ยวจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง

        “ปล่อยอะไรล่ะ เขาตายไปแล้ว คุณพ่อตาพูดอะไรกับเธอน่ะ ถ้าเขาอยากได้คนก็เอาคนไปให้เขา ศพอยู่ในสวนด้านหลังยังไม่ได้ฝังหรอกไม่ใช่เหรอ” กัวไฮว่พูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

        “เด็กนี่พูดจริงเหรอ” หนานกงเชี่ยนถลึงตาถามขึ้น

        “เด็กนั่นเด็กนี่ที่ไหนกันล่ะ ไม่รู้จักเรียกเลยนะ” กัวไฮว่มองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “ผมเป็นคนยิงหัวเขาเองแหละ ถ้ายังฟื้นมาได้อีกก็มหัศจรรย์แล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็รีบพาคนไสหัวไปได้แล้ว”

        “ดี ดี ดี” หนานกงเชี่ยนพูดว่าดีติดกันสามคำ ตัวเธอเองโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีใครกล้าพูดกับตนเองแบบนี้มาก่อน แถมยังเป็นเด็กอีก “เขาเรียกคุณว่าพ่อตา ไม่ต้องพูด เด็กเวรนั่นแหละ ดี พวกแกคอยดูเถอะ ฉันไม่กล้าเก็บคนตระกูลหนานกงหรอก แต่ฉันต้องการชีวิตเด็กนี่”

        “เพียะ!” ทุกคนยังไม่ทันมอง บนหน้าของหนานกงเชี่ยนก็พลันปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้า “นี่สำหรับที่เธอปากพล่อย ถ้าคิดจะทำอะไรนายน้อย จะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ายังจะพูดอะไรสกปรกๆ อีกล่ะก็ ครั้งหน้าไม่ใช่แค่ฝ่ามือนี้แน่”

        “คุณหนูใหญ่ คนที่ลงมือเมื่อกี้เข้าได้เข้าเขตแดนเซียนเทียนแล้ว เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” ในขณะที่หนางกงเชี่ยนคิดจะพูดอะไร ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดจามาตลอดก็ดึงหนานกงเชี่ยนเอาไว้

        “มู่หรงกู นายจะต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไปกัน” พูดจบ หนานกงเชี่ยนก็พาคนของตนหมุนตัวออกไปยังบ้านตระกูลหนานกง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 64 สะดืองอกขน

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 64 สะดืองอกขน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ หนานกงเชี่ยนเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วต่อยบอดี้การ์ดของมู่หรงกูที่อยู่ตรงหน้าล้มพับไปกับพื้น

        “ลูกศิษย์เส้าหลินงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนี่” กัวไฮว่มองชายวัยกลางคนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “เสี่ยวเฟย ไปดวลกับเขาหน่อยสิ จุดอ่อนของเขาอยู่ที่หลังด้านบน”

        “พ่อหนุ่ม เขาชื่อเจ้าเจิ้นซาน ขนาดหมัดปากว้าฉันยังไม่กล้าดวลด้วยเลย ให้เสี่ยวเฟยไปฉันกลัวว่าเขาจะอันตรายเอาน่ะสิ” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ให้เขาไปเถอะ ให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายซะหน่อย คนฝึกยุทธ ได้รับบาดเจ็บถือเป็นเรื่องธรรมดา ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ มู่หรงเฟยมองอาจารย์ของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็บึ่งมายังเบื้องหน้าของเจ้าเจิ้นซาน

        “นี่หนู ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป” เจ้าเจิ้นซานเห็นว่าผู้ที่เดินมาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จึงพูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “คิดว่าบ้านตระกูลมู่หรงเป็นที่ที่แกคิดจะบุกก็บุกได้งั้นเหรอ แม่เลี้ยงสาม คุณเข้าไปได้ ส่วนคนพวกนี้ให้รออยู่ข้างนอกเถอะ” มู่หรงเฟยมองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

        “เด็กบ้า ไสหัวไป อย่าคิดว่าแกเป็นคนของตระกูลมู่หรงแล้วฉันจะไม่กล้าอัดแกนะ” มู่หรงเชี่ยนมองมู่หรงเฟยแล้วพูดขึ้น

        “ในเมื่อแม่เลี้ยงสามพูดแบบนี้ งั้นก็ให้เขาอัดผมสิ” มู่หรงเฟยพูดอย่างเอาเรื่อง “แต่จะอัดผมชนะไหมนั้นก็ไม่แน่นะ”

        “ไม่ตายก็พอแล้ว ตอนนี้ตระกูลมู่หรงเก่งนัก ขนาดเด็กๆ ยังกล้าพูดกับฉันแบบนี้” มู่หรงเชี่ยนหน้าแดงเถือก พูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “ศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนมวยแปดสุดยอดนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงได้ปากดี แกไม่ไหวหรอก ต่อให้อาจารย์แกมาเองก็ไม่น่าไหว” เจ้าเจิ้นซานพูดเสียงดัง “ฉันจะสอนแกแทนอาจารย์แกเองว่าการเป็นคนมันทำกันยังไง”

        “ไอ้สะดืองอกขน ไอ้จอมปลอม” เมื่อมู่หรงเฟยพูดจบ ก็บินตรงเข้าไปหาเจ้าเจิ้นซาน

        เสียง “ผัวะ!” ดังขึ้น มู่หรงเฟยต่อยไปหมัดหนึ่ง เจ้าเจิ้นซานยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย เมื่อหมัดกับหมัดชนกัน เจ้าเจิ้นซานก็ถึงกับเสียใจขึ้นมา เขากลัวว่ามู่หรงเฟยจะเละเลยออกแรงไปเพียงสามส่วน แต่มู่หรงเฟยมองเจ้าเจิ้นซานเป็นคู่ต่อสู้จริงๆ ออกแรงไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขายังไม่ได้ก้าวสู้เขตแดนเซียนเทียน แต่ศักยภาพกลับตรงกันข้าม เจ้าเจิ้นซานถูกมู่หรงเฟยต่อยเข้าหมัดหนึ่งแล้วพ่นเลือดออกมา

        “ดีแต่หน้า พอเอาเข้าจริงก็ไร้ประโยชน์ ยังนึกว่าเป็นยอดฝีมือ แต่กลับเป็นแบบนี้ซะงั้น” มู่หรงเฟยถอยไปสามเก้า เขารู้ว่าตนเองได้เปรียบ แต่กลับพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่ได้แยแสความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม

        “พรวด!” เจ้าเจิ้นซานพ่นเลือดออกมา ถ้าจะบอกว่าแพ้ให้เซียวอวิ๋นเทียน แพ้ก็แพ้ไปสิ แต่ตัวเองดันถูกลูกศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนต่อยล้มในหมัดเดียว ขายหน้าไปจนถึงรุ่นยาย ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ เด็กนี่ไม่รู้เลยว่าตอนแรกเขากลัวว่าจะทำร้ายเด็กนี่หนักไปเลยออมมือให้ เจ้าเจิ้นซานโมโหจนแทบจะเป็นลม

        “แม่เลี้ยงสามครับ ผมว่าคุณเข้าไปเถอะ อย่าให้คนด้านหลังคุณมาดวลกับผมอีกเลย” มู่หรงเฟยพูดพลางยิ้มกว้าง เขามั่นใจในตนเองอย่างมาก ไม่ได้แยแสเลยว่าจะดวลกับคนข้างหลังได้หรือเปล่า

        “เด็กบ้า ดูไม่ออกเหรอว่าเมื่อกี้เจิ้นซานออมมือให้น่ะ ลองกับฉันหน่อยไหม” เมื่อพูดเสร็จ ชายชราที่อยู่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนก็บินลอยมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเฟย

        “ยอดฝีมือมวยสิงอี้ เกรงว่าคราวนี้เสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ

        “มวยเสือกระเรียนหวงต้าเฉิง เขาอยู่ที่ฮ่องกงมาตลอดนี่ มาที่จีนได้ยังไงดัน” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ทั้งสามท่าน พวกเราไปดูกันเถอะ ถึงเสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบก็ช่างมัน แต่ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านตระกูลมู่หรง พวกท่านก็เป็นแขกของตระกูลมู่หรงแล้วก็เป็นคนฝึกยุทธ คงจะดูพวกเขาอาละวาดแบบนี้ไม่ได้หรอกมั้ง” คำพูดของกัวไฮว่ ทำเอาอาจารย์ยุทธทั้งสามลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน ในเมื่อบางเรื่องตัวเองไม่สะดวกจะออกมือ ก็ให้พวกเขาออกมือน่าจะเหมาะกว่า

        “อะแฮ่มๆๆ ช่วงเวลาที่ฝึกมวยมาเยอะกว่าอายุฉันอีก แต่ยังมีศักยภาพแค่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ฉันต่อยกับตาแซ่เจ้านั่นไปยกหนึ่ง ก็ยังไม่แน่หรอกนะว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ” มู่หรงเฟยต่อยตีอยู่กับหวงต้าเฉิงอยู่สามสิบกว่ารอบ แต่สุดท้ายเป็นเพราะมีประสบการณ์ไม่พอ จึงแพ้เข้า แต่แพ้ก็แพ้ไปสิ ยังต้องด่าอีกหน่อย ให้หวงต้าเฉิงไม่สบอารมณ์

        “หวงต้าเฉิง ชนะเด็กแล้วยังไง เรามาดวลกันเถอะ” เซียวอวิ๋นเทียนก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “เสี่ยวเฟย ถอยไป ดูให้ดีนะ มวยแปดสุดยอดไม่ใช่แบบที่แกต่อย” พูดจบ เซียวอวิ๋นเทียนก็ชกไปทางหวงต้าเฉิง

        “อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกเธอสองคนมาดวลกับฉันเถอะ” เซี่ยอวี่ขุยพูดขึ้นเสียงดัง ในเมื่อกัวไฮว่พามู่หรงหลงมากจากความตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการป่วยของตน ในเมื่อเขาตกลงจะช่วยตนเองแล้ว แน่นอนว่าก็เป็นลูกมือเขาเสียหน่อย จึงตรงไปยังสองคนที่อยู่ด้านหลังของหนานกงเชี่ยน

        “หยุดนะ” มู่หรงกูเดินมาจากข้างหลังโดยมีมู่หรงเวยเวยกับมู่หรงหลงเดินประกบข้างซ้ายขวา “หนานกงเชี่ยน ทำไมน่าสนใจขนาดนี้เนี่ย บังอาจมาหาฉันที่นี่ทำไมเหรอ หรือว่าอยากจะเป็นคุณนายสามตระกูลมู่หรง” มู่หรงกูมองหนานกงเชี่ยนแล้วถามขึ้นเสียงดัง

        “มู่หรงกู ปล่อยลุงฉัน แล้วฉันจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง จากนั้นก็พาสายตาไปตกอยู่บนร่างของมู่หรงหลง “ถึงว่าวันนี้สีหน้าดูแจ่มใส ที่แท้เด็กเวรนี่ของคุณหายดีแล้ว แต่คุณก็ดูแลให้ดีนะ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องนอนไปตลอดชีวิต ลุกขึ้นมาไม่ได้อีก”

        “หนานกงเชี่ยน พาคนของเธอไป วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่อยากฆ่าคน ไม่เป็นตัวแทนไม่อัดคน” มู่หรงกูพูดขึ้นเสียงดัง

        “ปล่อยคนไปซะ แล้วเดี๋ยวจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง

        “ปล่อยอะไรล่ะ เขาตายไปแล้ว คุณพ่อตาพูดอะไรกับเธอน่ะ ถ้าเขาอยากได้คนก็เอาคนไปให้เขา ศพอยู่ในสวนด้านหลังยังไม่ได้ฝังหรอกไม่ใช่เหรอ” กัวไฮว่พูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

        “เด็กนี่พูดจริงเหรอ” หนานกงเชี่ยนถลึงตาถามขึ้น

        “เด็กนั่นเด็กนี่ที่ไหนกันล่ะ ไม่รู้จักเรียกเลยนะ” กัวไฮว่มองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “ผมเป็นคนยิงหัวเขาเองแหละ ถ้ายังฟื้นมาได้อีกก็มหัศจรรย์แล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็รีบพาคนไสหัวไปได้แล้ว”

        “ดี ดี ดี” หนานกงเชี่ยนพูดว่าดีติดกันสามคำ ตัวเธอเองโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีใครกล้าพูดกับตนเองแบบนี้มาก่อน แถมยังเป็นเด็กอีก “เขาเรียกคุณว่าพ่อตา ไม่ต้องพูด เด็กเวรนั่นแหละ ดี พวกแกคอยดูเถอะ ฉันไม่กล้าเก็บคนตระกูลหนานกงหรอก แต่ฉันต้องการชีวิตเด็กนี่”

        “เพียะ!” ทุกคนยังไม่ทันมอง บนหน้าของหนานกงเชี่ยนก็พลันปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้า “นี่สำหรับที่เธอปากพล่อย ถ้าคิดจะทำอะไรนายน้อย จะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ายังจะพูดอะไรสกปรกๆ อีกล่ะก็ ครั้งหน้าไม่ใช่แค่ฝ่ามือนี้แน่”

        “คุณหนูใหญ่ คนที่ลงมือเมื่อกี้เข้าได้เข้าเขตแดนเซียนเทียนแล้ว เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” ในขณะที่หนางกงเชี่ยนคิดจะพูดอะไร ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดจามาตลอดก็ดึงหนานกงเชี่ยนเอาไว้

        “มู่หรงกู นายจะต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไปกัน” พูดจบ หนานกงเชี่ยนก็พาคนของตนหมุนตัวออกไปยังบ้านตระกูลหนานกง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 64 สะดืองอกขน

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 64 สะดืองอกขน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ หนานกงเชี่ยนเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วต่อยบอดี้การ์ดของมู่หรงกูที่อยู่ตรงหน้าล้มพับไปกับพื้น

        “ลูกศิษย์เส้าหลินงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนี่” กัวไฮว่มองชายวัยกลางคนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “เสี่ยวเฟย ไปดวลกับเขาหน่อยสิ จุดอ่อนของเขาอยู่ที่หลังด้านบน”

        “พ่อหนุ่ม เขาชื่อเจ้าเจิ้นซาน ขนาดหมัดปากว้าฉันยังไม่กล้าดวลด้วยเลย ให้เสี่ยวเฟยไปฉันกลัวว่าเขาจะอันตรายเอาน่ะสิ” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ให้เขาไปเถอะ ให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายซะหน่อย คนฝึกยุทธ ได้รับบาดเจ็บถือเป็นเรื่องธรรมดา ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ มู่หรงเฟยมองอาจารย์ของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็บึ่งมายังเบื้องหน้าของเจ้าเจิ้นซาน

        “นี่หนู ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป” เจ้าเจิ้นซานเห็นว่าผู้ที่เดินมาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จึงพูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “คิดว่าบ้านตระกูลมู่หรงเป็นที่ที่แกคิดจะบุกก็บุกได้งั้นเหรอ แม่เลี้ยงสาม คุณเข้าไปได้ ส่วนคนพวกนี้ให้รออยู่ข้างนอกเถอะ” มู่หรงเฟยมองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

        “เด็กบ้า ไสหัวไป อย่าคิดว่าแกเป็นคนของตระกูลมู่หรงแล้วฉันจะไม่กล้าอัดแกนะ” มู่หรงเชี่ยนมองมู่หรงเฟยแล้วพูดขึ้น

        “ในเมื่อแม่เลี้ยงสามพูดแบบนี้ งั้นก็ให้เขาอัดผมสิ” มู่หรงเฟยพูดอย่างเอาเรื่อง “แต่จะอัดผมชนะไหมนั้นก็ไม่แน่นะ”

        “ไม่ตายก็พอแล้ว ตอนนี้ตระกูลมู่หรงเก่งนัก ขนาดเด็กๆ ยังกล้าพูดกับฉันแบบนี้” มู่หรงเชี่ยนหน้าแดงเถือก พูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “ศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนมวยแปดสุดยอดนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงได้ปากดี แกไม่ไหวหรอก ต่อให้อาจารย์แกมาเองก็ไม่น่าไหว” เจ้าเจิ้นซานพูดเสียงดัง “ฉันจะสอนแกแทนอาจารย์แกเองว่าการเป็นคนมันทำกันยังไง”

        “ไอ้สะดืองอกขน ไอ้จอมปลอม” เมื่อมู่หรงเฟยพูดจบ ก็บินตรงเข้าไปหาเจ้าเจิ้นซาน

        เสียง “ผัวะ!” ดังขึ้น มู่หรงเฟยต่อยไปหมัดหนึ่ง เจ้าเจิ้นซานยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย เมื่อหมัดกับหมัดชนกัน เจ้าเจิ้นซานก็ถึงกับเสียใจขึ้นมา เขากลัวว่ามู่หรงเฟยจะเละเลยออกแรงไปเพียงสามส่วน แต่มู่หรงเฟยมองเจ้าเจิ้นซานเป็นคู่ต่อสู้จริงๆ ออกแรงไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขายังไม่ได้ก้าวสู้เขตแดนเซียนเทียน แต่ศักยภาพกลับตรงกันข้าม เจ้าเจิ้นซานถูกมู่หรงเฟยต่อยเข้าหมัดหนึ่งแล้วพ่นเลือดออกมา

        “ดีแต่หน้า พอเอาเข้าจริงก็ไร้ประโยชน์ ยังนึกว่าเป็นยอดฝีมือ แต่กลับเป็นแบบนี้ซะงั้น” มู่หรงเฟยถอยไปสามเก้า เขารู้ว่าตนเองได้เปรียบ แต่กลับพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่ได้แยแสความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม

        “พรวด!” เจ้าเจิ้นซานพ่นเลือดออกมา ถ้าจะบอกว่าแพ้ให้เซียวอวิ๋นเทียน แพ้ก็แพ้ไปสิ แต่ตัวเองดันถูกลูกศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนต่อยล้มในหมัดเดียว ขายหน้าไปจนถึงรุ่นยาย ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ เด็กนี่ไม่รู้เลยว่าตอนแรกเขากลัวว่าจะทำร้ายเด็กนี่หนักไปเลยออมมือให้ เจ้าเจิ้นซานโมโหจนแทบจะเป็นลม

        “แม่เลี้ยงสามครับ ผมว่าคุณเข้าไปเถอะ อย่าให้คนด้านหลังคุณมาดวลกับผมอีกเลย” มู่หรงเฟยพูดพลางยิ้มกว้าง เขามั่นใจในตนเองอย่างมาก ไม่ได้แยแสเลยว่าจะดวลกับคนข้างหลังได้หรือเปล่า

        “เด็กบ้า ดูไม่ออกเหรอว่าเมื่อกี้เจิ้นซานออมมือให้น่ะ ลองกับฉันหน่อยไหม” เมื่อพูดเสร็จ ชายชราที่อยู่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนก็บินลอยมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเฟย

        “ยอดฝีมือมวยสิงอี้ เกรงว่าคราวนี้เสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ

        “มวยเสือกระเรียนหวงต้าเฉิง เขาอยู่ที่ฮ่องกงมาตลอดนี่ มาที่จีนได้ยังไงดัน” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ทั้งสามท่าน พวกเราไปดูกันเถอะ ถึงเสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบก็ช่างมัน แต่ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านตระกูลมู่หรง พวกท่านก็เป็นแขกของตระกูลมู่หรงแล้วก็เป็นคนฝึกยุทธ คงจะดูพวกเขาอาละวาดแบบนี้ไม่ได้หรอกมั้ง” คำพูดของกัวไฮว่ ทำเอาอาจารย์ยุทธทั้งสามลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน ในเมื่อบางเรื่องตัวเองไม่สะดวกจะออกมือ ก็ให้พวกเขาออกมือน่าจะเหมาะกว่า

        “อะแฮ่มๆๆ ช่วงเวลาที่ฝึกมวยมาเยอะกว่าอายุฉันอีก แต่ยังมีศักยภาพแค่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ฉันต่อยกับตาแซ่เจ้านั่นไปยกหนึ่ง ก็ยังไม่แน่หรอกนะว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ” มู่หรงเฟยต่อยตีอยู่กับหวงต้าเฉิงอยู่สามสิบกว่ารอบ แต่สุดท้ายเป็นเพราะมีประสบการณ์ไม่พอ จึงแพ้เข้า แต่แพ้ก็แพ้ไปสิ ยังต้องด่าอีกหน่อย ให้หวงต้าเฉิงไม่สบอารมณ์

        “หวงต้าเฉิง ชนะเด็กแล้วยังไง เรามาดวลกันเถอะ” เซียวอวิ๋นเทียนก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “เสี่ยวเฟย ถอยไป ดูให้ดีนะ มวยแปดสุดยอดไม่ใช่แบบที่แกต่อย” พูดจบ เซียวอวิ๋นเทียนก็ชกไปทางหวงต้าเฉิง

        “อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกเธอสองคนมาดวลกับฉันเถอะ” เซี่ยอวี่ขุยพูดขึ้นเสียงดัง ในเมื่อกัวไฮว่พามู่หรงหลงมากจากความตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการป่วยของตน ในเมื่อเขาตกลงจะช่วยตนเองแล้ว แน่นอนว่าก็เป็นลูกมือเขาเสียหน่อย จึงตรงไปยังสองคนที่อยู่ด้านหลังของหนานกงเชี่ยน

        “หยุดนะ” มู่หรงกูเดินมาจากข้างหลังโดยมีมู่หรงเวยเวยกับมู่หรงหลงเดินประกบข้างซ้ายขวา “หนานกงเชี่ยน ทำไมน่าสนใจขนาดนี้เนี่ย บังอาจมาหาฉันที่นี่ทำไมเหรอ หรือว่าอยากจะเป็นคุณนายสามตระกูลมู่หรง” มู่หรงกูมองหนานกงเชี่ยนแล้วถามขึ้นเสียงดัง

        “มู่หรงกู ปล่อยลุงฉัน แล้วฉันจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง จากนั้นก็พาสายตาไปตกอยู่บนร่างของมู่หรงหลง “ถึงว่าวันนี้สีหน้าดูแจ่มใส ที่แท้เด็กเวรนี่ของคุณหายดีแล้ว แต่คุณก็ดูแลให้ดีนะ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องนอนไปตลอดชีวิต ลุกขึ้นมาไม่ได้อีก”

        “หนานกงเชี่ยน พาคนของเธอไป วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่อยากฆ่าคน ไม่เป็นตัวแทนไม่อัดคน” มู่หรงกูพูดขึ้นเสียงดัง

        “ปล่อยคนไปซะ แล้วเดี๋ยวจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง

        “ปล่อยอะไรล่ะ เขาตายไปแล้ว คุณพ่อตาพูดอะไรกับเธอน่ะ ถ้าเขาอยากได้คนก็เอาคนไปให้เขา ศพอยู่ในสวนด้านหลังยังไม่ได้ฝังหรอกไม่ใช่เหรอ” กัวไฮว่พูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

        “เด็กนี่พูดจริงเหรอ” หนานกงเชี่ยนถลึงตาถามขึ้น

        “เด็กนั่นเด็กนี่ที่ไหนกันล่ะ ไม่รู้จักเรียกเลยนะ” กัวไฮว่มองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “ผมเป็นคนยิงหัวเขาเองแหละ ถ้ายังฟื้นมาได้อีกก็มหัศจรรย์แล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็รีบพาคนไสหัวไปได้แล้ว”

        “ดี ดี ดี” หนานกงเชี่ยนพูดว่าดีติดกันสามคำ ตัวเธอเองโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีใครกล้าพูดกับตนเองแบบนี้มาก่อน แถมยังเป็นเด็กอีก “เขาเรียกคุณว่าพ่อตา ไม่ต้องพูด เด็กเวรนั่นแหละ ดี พวกแกคอยดูเถอะ ฉันไม่กล้าเก็บคนตระกูลหนานกงหรอก แต่ฉันต้องการชีวิตเด็กนี่”

        “เพียะ!” ทุกคนยังไม่ทันมอง บนหน้าของหนานกงเชี่ยนก็พลันปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้า “นี่สำหรับที่เธอปากพล่อย ถ้าคิดจะทำอะไรนายน้อย จะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ายังจะพูดอะไรสกปรกๆ อีกล่ะก็ ครั้งหน้าไม่ใช่แค่ฝ่ามือนี้แน่”

        “คุณหนูใหญ่ คนที่ลงมือเมื่อกี้เข้าได้เข้าเขตแดนเซียนเทียนแล้ว เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” ในขณะที่หนางกงเชี่ยนคิดจะพูดอะไร ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดจามาตลอดก็ดึงหนานกงเชี่ยนเอาไว้

        “มู่หรงกู นายจะต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไปกัน” พูดจบ หนานกงเชี่ยนก็พาคนของตนหมุนตัวออกไปยังบ้านตระกูลหนานกง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 64 สะดืองอกขน

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 64 สะดืองอกขน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ หนานกงเชี่ยนเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วต่อยบอดี้การ์ดของมู่หรงกูที่อยู่ตรงหน้าล้มพับไปกับพื้น

        “ลูกศิษย์เส้าหลินงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนี่” กัวไฮว่มองชายวัยกลางคนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “เสี่ยวเฟย ไปดวลกับเขาหน่อยสิ จุดอ่อนของเขาอยู่ที่หลังด้านบน”

        “พ่อหนุ่ม เขาชื่อเจ้าเจิ้นซาน ขนาดหมัดปากว้าฉันยังไม่กล้าดวลด้วยเลย ให้เสี่ยวเฟยไปฉันกลัวว่าเขาจะอันตรายเอาน่ะสิ” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ให้เขาไปเถอะ ให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายซะหน่อย คนฝึกยุทธ ได้รับบาดเจ็บถือเป็นเรื่องธรรมดา ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ มู่หรงเฟยมองอาจารย์ของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็บึ่งมายังเบื้องหน้าของเจ้าเจิ้นซาน

        “นี่หนู ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป” เจ้าเจิ้นซานเห็นว่าผู้ที่เดินมาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จึงพูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “คิดว่าบ้านตระกูลมู่หรงเป็นที่ที่แกคิดจะบุกก็บุกได้งั้นเหรอ แม่เลี้ยงสาม คุณเข้าไปได้ ส่วนคนพวกนี้ให้รออยู่ข้างนอกเถอะ” มู่หรงเฟยมองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

        “เด็กบ้า ไสหัวไป อย่าคิดว่าแกเป็นคนของตระกูลมู่หรงแล้วฉันจะไม่กล้าอัดแกนะ” มู่หรงเชี่ยนมองมู่หรงเฟยแล้วพูดขึ้น

        “ในเมื่อแม่เลี้ยงสามพูดแบบนี้ งั้นก็ให้เขาอัดผมสิ” มู่หรงเฟยพูดอย่างเอาเรื่อง “แต่จะอัดผมชนะไหมนั้นก็ไม่แน่นะ”

        “ไม่ตายก็พอแล้ว ตอนนี้ตระกูลมู่หรงเก่งนัก ขนาดเด็กๆ ยังกล้าพูดกับฉันแบบนี้” มู่หรงเชี่ยนหน้าแดงเถือก พูดขึ้นด้วยเสียงดัง

        “ศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนมวยแปดสุดยอดนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงได้ปากดี แกไม่ไหวหรอก ต่อให้อาจารย์แกมาเองก็ไม่น่าไหว” เจ้าเจิ้นซานพูดเสียงดัง “ฉันจะสอนแกแทนอาจารย์แกเองว่าการเป็นคนมันทำกันยังไง”

        “ไอ้สะดืองอกขน ไอ้จอมปลอม” เมื่อมู่หรงเฟยพูดจบ ก็บินตรงเข้าไปหาเจ้าเจิ้นซาน

        เสียง “ผัวะ!” ดังขึ้น มู่หรงเฟยต่อยไปหมัดหนึ่ง เจ้าเจิ้นซานยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย เมื่อหมัดกับหมัดชนกัน เจ้าเจิ้นซานก็ถึงกับเสียใจขึ้นมา เขากลัวว่ามู่หรงเฟยจะเละเลยออกแรงไปเพียงสามส่วน แต่มู่หรงเฟยมองเจ้าเจิ้นซานเป็นคู่ต่อสู้จริงๆ ออกแรงไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขายังไม่ได้ก้าวสู้เขตแดนเซียนเทียน แต่ศักยภาพกลับตรงกันข้าม เจ้าเจิ้นซานถูกมู่หรงเฟยต่อยเข้าหมัดหนึ่งแล้วพ่นเลือดออกมา

        “ดีแต่หน้า พอเอาเข้าจริงก็ไร้ประโยชน์ ยังนึกว่าเป็นยอดฝีมือ แต่กลับเป็นแบบนี้ซะงั้น” มู่หรงเฟยถอยไปสามเก้า เขารู้ว่าตนเองได้เปรียบ แต่กลับพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่ได้แยแสความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม

        “พรวด!” เจ้าเจิ้นซานพ่นเลือดออกมา ถ้าจะบอกว่าแพ้ให้เซียวอวิ๋นเทียน แพ้ก็แพ้ไปสิ แต่ตัวเองดันถูกลูกศิษย์ของเซียวอวิ๋นเทียนต่อยล้มในหมัดเดียว ขายหน้าไปจนถึงรุ่นยาย ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ เด็กนี่ไม่รู้เลยว่าตอนแรกเขากลัวว่าจะทำร้ายเด็กนี่หนักไปเลยออมมือให้ เจ้าเจิ้นซานโมโหจนแทบจะเป็นลม

        “แม่เลี้ยงสามครับ ผมว่าคุณเข้าไปเถอะ อย่าให้คนด้านหลังคุณมาดวลกับผมอีกเลย” มู่หรงเฟยพูดพลางยิ้มกว้าง เขามั่นใจในตนเองอย่างมาก ไม่ได้แยแสเลยว่าจะดวลกับคนข้างหลังได้หรือเปล่า

        “เด็กบ้า ดูไม่ออกเหรอว่าเมื่อกี้เจิ้นซานออมมือให้น่ะ ลองกับฉันหน่อยไหม” เมื่อพูดเสร็จ ชายชราที่อยู่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนก็บินลอยมายืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเฟย

        “ยอดฝีมือมวยสิงอี้ เกรงว่าคราวนี้เสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ

        “มวยเสือกระเรียนหวงต้าเฉิง เขาอยู่ที่ฮ่องกงมาตลอดนี่ มาที่จีนได้ยังไงดัน” เซียวอวิ๋นเทียนพูดเบาๆ

        “ทั้งสามท่าน พวกเราไปดูกันเถอะ ถึงเสี่ยวเฟยจะเสียเปรียบก็ช่างมัน แต่ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านตระกูลมู่หรง พวกท่านก็เป็นแขกของตระกูลมู่หรงแล้วก็เป็นคนฝึกยุทธ คงจะดูพวกเขาอาละวาดแบบนี้ไม่ได้หรอกมั้ง” คำพูดของกัวไฮว่ ทำเอาอาจารย์ยุทธทั้งสามลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน ในเมื่อบางเรื่องตัวเองไม่สะดวกจะออกมือ ก็ให้พวกเขาออกมือน่าจะเหมาะกว่า

        “อะแฮ่มๆๆ ช่วงเวลาที่ฝึกมวยมาเยอะกว่าอายุฉันอีก แต่ยังมีศักยภาพแค่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ฉันต่อยกับตาแซ่เจ้านั่นไปยกหนึ่ง ก็ยังไม่แน่หรอกนะว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ” มู่หรงเฟยต่อยตีอยู่กับหวงต้าเฉิงอยู่สามสิบกว่ารอบ แต่สุดท้ายเป็นเพราะมีประสบการณ์ไม่พอ จึงแพ้เข้า แต่แพ้ก็แพ้ไปสิ ยังต้องด่าอีกหน่อย ให้หวงต้าเฉิงไม่สบอารมณ์

        “หวงต้าเฉิง ชนะเด็กแล้วยังไง เรามาดวลกันเถอะ” เซียวอวิ๋นเทียนก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “เสี่ยวเฟย ถอยไป ดูให้ดีนะ มวยแปดสุดยอดไม่ใช่แบบที่แกต่อย” พูดจบ เซียวอวิ๋นเทียนก็ชกไปทางหวงต้าเฉิง

        “อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกเธอสองคนมาดวลกับฉันเถอะ” เซี่ยอวี่ขุยพูดขึ้นเสียงดัง ในเมื่อกัวไฮว่พามู่หรงหลงมากจากความตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการป่วยของตน ในเมื่อเขาตกลงจะช่วยตนเองแล้ว แน่นอนว่าก็เป็นลูกมือเขาเสียหน่อย จึงตรงไปยังสองคนที่อยู่ด้านหลังของหนานกงเชี่ยน

        “หยุดนะ” มู่หรงกูเดินมาจากข้างหลังโดยมีมู่หรงเวยเวยกับมู่หรงหลงเดินประกบข้างซ้ายขวา “หนานกงเชี่ยน ทำไมน่าสนใจขนาดนี้เนี่ย บังอาจมาหาฉันที่นี่ทำไมเหรอ หรือว่าอยากจะเป็นคุณนายสามตระกูลมู่หรง” มู่หรงกูมองหนานกงเชี่ยนแล้วถามขึ้นเสียงดัง

        “มู่หรงกู ปล่อยลุงฉัน แล้วฉันจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง จากนั้นก็พาสายตาไปตกอยู่บนร่างของมู่หรงหลง “ถึงว่าวันนี้สีหน้าดูแจ่มใส ที่แท้เด็กเวรนี่ของคุณหายดีแล้ว แต่คุณก็ดูแลให้ดีนะ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องนอนไปตลอดชีวิต ลุกขึ้นมาไม่ได้อีก”

        “หนานกงเชี่ยน พาคนของเธอไป วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่อยากฆ่าคน ไม่เป็นตัวแทนไม่อัดคน” มู่หรงกูพูดขึ้นเสียงดัง

        “ปล่อยคนไปซะ แล้วเดี๋ยวจะไป” หนานกงเชี่ยนพูดเสียงดัง

        “ปล่อยอะไรล่ะ เขาตายไปแล้ว คุณพ่อตาพูดอะไรกับเธอน่ะ ถ้าเขาอยากได้คนก็เอาคนไปให้เขา ศพอยู่ในสวนด้านหลังยังไม่ได้ฝังหรอกไม่ใช่เหรอ” กัวไฮว่พูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

        “เด็กนี่พูดจริงเหรอ” หนานกงเชี่ยนถลึงตาถามขึ้น

        “เด็กนั่นเด็กนี่ที่ไหนกันล่ะ ไม่รู้จักเรียกเลยนะ” กัวไฮว่มองหนานกงเชี่ยนแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “ผมเป็นคนยิงหัวเขาเองแหละ ถ้ายังฟื้นมาได้อีกก็มหัศจรรย์แล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็รีบพาคนไสหัวไปได้แล้ว”

        “ดี ดี ดี” หนานกงเชี่ยนพูดว่าดีติดกันสามคำ ตัวเธอเองโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีใครกล้าพูดกับตนเองแบบนี้มาก่อน แถมยังเป็นเด็กอีก “เขาเรียกคุณว่าพ่อตา ไม่ต้องพูด เด็กเวรนั่นแหละ ดี พวกแกคอยดูเถอะ ฉันไม่กล้าเก็บคนตระกูลหนานกงหรอก แต่ฉันต้องการชีวิตเด็กนี่”

        “เพียะ!” ทุกคนยังไม่ทันมอง บนหน้าของหนานกงเชี่ยนก็พลันปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้า “นี่สำหรับที่เธอปากพล่อย ถ้าคิดจะทำอะไรนายน้อย จะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ายังจะพูดอะไรสกปรกๆ อีกล่ะก็ ครั้งหน้าไม่ใช่แค่ฝ่ามือนี้แน่”

        “คุณหนูใหญ่ คนที่ลงมือเมื่อกี้เข้าได้เข้าเขตแดนเซียนเทียนแล้ว เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” ในขณะที่หนางกงเชี่ยนคิดจะพูดอะไร ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดจามาตลอดก็ดึงหนานกงเชี่ยนเอาไว้

        “มู่หรงกู นายจะต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไปกัน” พูดจบ หนานกงเชี่ยนก็พาคนของตนหมุนตัวออกไปยังบ้านตระกูลหนานกง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+