[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 146 เปิดคลินิกไม่ (11)

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 146 เปิดคลินิกไม่ (11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        คนทั้งสองโต๊ะรับประทานอาหารกันถึงประมาณบ่ายสามโมง อาหารสามอย่างบนโต๊ะของกัวไฮว่เหลืออยู่นิดหน่อย ทว่าจานใหญ่ทางฝั่งของคุณปู่กลับถูกกินกันจนเกลี้ยง และด้วยหลักการที่ว่าห้ามสิ้นเปลือง  หูฉลามที่เสิร์ฟท้ายสุดก็ถูกคุณปู่ตระกูลหวังเลียจานจนเกลี้ยง คุณปู่คนอื่น ๆ ไม่มีใครหัวเราะเขา เพราะที่คุณปู่หวังได้เลียจาน ก็ชนะมาจากการที่พวกเขาเล่นนับนิ้วกัน

        “หอมจริง ๆ เลย แกว่าวันนี้ที่คลินิกไม่กินอะไรกันเหรอ ทำไมรู้สึกว่าดีกว่าที่พวกเรากินที่เทียนหยางกั๋วจี้ซะอีก” ฉินหลงพูดเบา ๆ

        “เดี๋ยวไปถามพวกที่ไม่ได้มาดีกว่า” หลินฉางเทียนพูดเบา ๆ “บอกว่าจะเริ่มตอนบ่ายสองครึ่ง นี่ก็จะบ่ายสามแล้ว ข้างในเพิ่งจะได้กินข้าวเอง น่าจะเก็บกันเสร็จตอนบ่ายสามกว่า”

        “เหล่าหวัง ทางนี้” เมื่อเห็นเพื่อน ๆ มาจากคลินิกปู้ไป๋ หลินฉางเทียนก็ตะโกนเรียกหวังหย่งจิ้นเอาไว้

        “เหล่าหลิน นี่มันอะไรเนี่ย ยังไม่รีบไปคลินิกไม่อีก บ่ายวันนี้ยังต้องรักษาอีกห้าคนนะ ฉันให้เมียฉัน พี่สะใภ้แกมาแล้ว ช่วงนี้ขาเธอไม่กระฉับกระเฉง ให้พ่อเด็กกัวไฮว่มันดูให้หน่อย” หวังหย่งจิ้นพูดยิ้มๆ พร้อมกับหรี่ดวงตา เหมือนกับว่ายังคงหวนรำลึกถึงรสอร่อยของอาหารเที่ยงมื้อนี้

        “ตอนแรกตอนเที่ยงจะให้พวกแกมาดื่มกันสักหน่อย แต่เห็นว่าพวกแกไม่มากัน พวกพี่กินข้าวที่คลินิกไม่เป็นยังไงบ้าง อาหารที่เทียนหยางกั๋วจี้วันนี้ไม่แย่เลย” หลินฉางเทียนพูดยิ้ม ๆ

        “อาหารที่เทียนหยางกั๋วจี้ไม่แย่งั้นเหรอ ของที่นั่นฉันเคยกินแล้วล่ะ เทียบกับข้าวที่กินวันนี้แล้วเนี่ย เหมือนกับที่เจ้าบ้าโจวเทียนหยางนั่นพูดเอาไว้ไม่มีผิดว่านั่นเป็นที่ที่ขอทานกินข้าว” หวังหย่งจิ้นพูดเบา ๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากทีหนึ่ง

        “ที่ขอทานกินข้าว? เทียนหยางกั๋วจี้นี่เป็นที่ที่อร่อยที่สุดในละแวกนี้แล้วนะ เหล่าหวังแกดื่มไปเยอะแล้วหรือเปล่าเนี่ย” หลินฉางเทียนเบิกตาพูด

        “ฉันก็อยากจะดื่มเยอะ ๆ นะ แต่เด็กเวรกัวไฮว่นั่นขี้เหนียวมากเลย เอาเหล้ามาไม่พอ เงินหนึ่งล้าน ได้กินอิ่มแค่ครึ่งนึง แต่ก็พอใจแล้วล่ะ ไม่พูดมากแล้ว เข้าไปกันเถอะ เสี่ยวเซิงน่าจะพาเมียฉันมาแล้วนะ” หวังหย่งจิ้นพูดพลางเดินเข้าไปโดยไม่สนท่าทางตื่นอกตกใจของหลินฉางเทียน

        “แม่มันเถอะ พวกเราคิดว่าที่กินนี่อร่อยแล้ว พวกเราพลาดอาหารมื้อใหญ่ไปเหรอเนี่ย ไม่ได้การ คืนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องมาขอกินข้าวที่คลินิกไม่ให้ได้” หลินฉางเทียนพูดเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไป

        ในตอนบ่าย มีคนยืนอยู่ในคลินิกไม่จนทั่ว ตอนเช้ามีคนมาประมาณสี่ร้อยคน ตอนบ่ายนี้มีคนมาเกือบพันคน คนที่ไม่ได้ให้อั่งเปาในตอนเช้าก็ทยอยกันให้อั่งเป่าที่เจี่ยหยวน ทำเอาเจี่ยหยวนผู้เป็นเศรษฐีเมืองอู่เฉิงรู้สึกอิจฉาตาร้อน เจ้าสี่ได้เงินเร็วไปหน่อยหรือเปล่า หากไม่นับที่ขายของไป แค่อั่งเป่าวันนี้ก็รับไปเกือบจะสองร้อยล้านแล้ว

        “เสี่ยวไฮว่ ฉันไม่สนหรอกนะว่าบ่ายนี้เธอจะรักษากี่คน เมื่อกี้ฉันต่อแถวล่วงหน้าอยู่ข้างนอกแล้ว ช่วยดูขาให้เมียฉันก่อนเถอะ” หวังหย่งจิ้นพูดขึ้นอย่างกึ่งเมากึ่งมีสติ นายหญิงตระกูลหวังหยิกเข้าที่เนื้อนุ่มนิ่มบริเวณเอวของหวังหย่งจิ้น ทำให้หวังหย่งจิ้นที่มีท่าทางกึ่งเมากึ่งมีสติคืนได้สติคืนกลับมา ทำเอาคนทั้งโถงประชุมต่างก็หัวเราะลั่นขึ้นมา กัวไฮว่ทอดถอนในใจ ที่แท้หยิกเอวก็เป็นทักษะที่ผู้หญิงทำได้กันทั้งนั้น

        กัวไฮว่พยุงนายหญิงตระกูลหวังเขามาตรงกลาง หวังเซิงรีบเอาม้านั่งมา ตอนอยู่ในบ้านตระกูลหวังบางครั้งก็ไม่ต้องดูแลนายท่านได้ ทว่าหากเป็นนายหญิงก็ต้องดูแลอย่างดีสองร้อยเปอร์เซ็นต์

        “พี่สาม ยืนอยู่นี่ทำไม ลงไปสิ บังแสงหมดเลย” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ ขับไล่หวังเซิงลงไป

        “เจ้าสี่ ระวังหน่อยนะ ปัญหาเจ็บขาของย่าฉันแกรักษาให้ดีล่ะ” หวังเซิงพูดขึ้นด้วยความตระหนก ไม่ว่าวันนี้หรือว่าช่วงนี้กัวไฮว่จะเก่งสักเพียงไหน ทว่าเมื่อนึกถึงประวัติเสีย ๆ เมื่อก่อนแล้ว หวังเซิงก็อดไม่ได้ที่จะไม่อยากให้ย่าของตนรักษาที่คลินิกไม่

        “พี่สาม พี่หมายความว่าไง อยากให้รักษาขาย่าให้หายดีหรือเปล่าเนี่ย กลัวว่าผมรักษาขาย่าพี่จนหายดี ต่อไปพี่จะหนีไปเที่ยวไม่สะดวกแล้ว ก็เลยให้สัญญาณว่าไม่ให้ผมรักษาจนสุดกำลังล่ะสิ” กัวไฮว่พูดขึ้นด้วยความยิ้มแย้ม

        “เจ้าสี่ แกพูดบ้าอะไรน่ะ รักษาให้เต็มที่สิ ต้องทำให้ขาย่าฉันหายดีให้ได้” พูดเสร็จหวังเซิงก็เห็นว่านายท่านกำลังจ้องมาที่ตนเอง เขานั่งนิ่งอยู่บนม้านั่ง ไม่พูดไม่จาอะไร

        “คุณย่า ไม่เข้าร่วมมาราธอนเมืองอู่เฉิงปีนี้เหรอครับ” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ ช่วงนี้สถานีโทรทัศน์อู่เฉิงฉายเกี่ยวกับมาราธอนเมืองอู่เฉิงมาตลอด อีกสามวันก็จะเริ่มแล้ว ทำให้บรรยากาศการแข่งขันเมืองอู่เฉิงคึกคักเป็นพิเศษ

        “เด็กบ้า หวังเซิงบอกว่าแกเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันว่าแกไม่เห็นจะเปลี่ยนไปสักนิด ยังจะมาแซวย่าเล่นอีก เหอะ ๆ” นายหญิงตระกูลหวังพูดด้วยความยิ้มแย้ม “วันนี้ตาแก่โทรมาบอกว่าได้เจอกับหมอเทพ ฉันยังนึกอยู่เลยว่าเป็นใคร ที่แท้ที่พวกเขาพูดก็คือแกเองเหรอเนี่ย ถ้ารู้ว่าเป็นแกย่าไม่มาหรอก”

        “อะแฮ่ม ๆ ดูย่าพูดเข้า มาราธอนรอบนี้ย่าเข้าร่วมไม่ไหวหรอก แต่รอบหน้าย่าเตรียมเข้าร่วมได้เลย ไว้ตอนนั้นผมจะพาย่าผมไปด้วย จะดูซิว่าย่าสองคนใครจะได้รางวัลชนะเลิศกลุ่มผู้สูงอายุ เหอะ ๆ” ตอนที่พูดอยู่นั้น บนขาของนายหญิงก็ถูกเข็มสามสิบหกเล่มฝังลงไป ทว่านายหญิงกลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลยสักนิด

        “พูดถึงย่าแก ขอย่าถามอะไรแกหน่อยสิ ช่วงนี้น้องเขาสีหน้าดูไม่เลวเลยนะ ครั้งก่อนที่เจอเขาดูเหมือนจะเด็กลงหลายสิบปีเลย เขาบอกว่าแกให้เขากินยาอะไรสักอย่าง ยังมีอีกหรือเปล่า ให้ย่าหน่อยได้ไหม” นายหญิงตระกูลหวังพูดอย่างยิ้มแย้ม

        “คุณย่า ย่ากลับไปนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะคุยกับย่าอีกที ยังมีอีกสี่คน รอให้รักษาผู้ป่วยสีคนเสร็จก่อนแล้วคืนนี้ย่าค่อยตามผมไปที่บ้าน แล้วผมรับประกันเลยว่าจะทำให้ย่าเด็กลงหลายสิบปีเหมือนกับย่าผม” กัวไฮว่รู้สึกไม่เลวกับต่อนายหญิงตระกูลหวัง เพราะว่าในความทรงจำของกัวไฮว่คนก่อน นายหญิงช่วยเขาเช็ดก้นไว้ไม่น้อย ในเมื่อเป็นวาสนาที่ดี ก็ควรจะได้สิ่งดีๆ ตอบแทน

        “ฮึ แกเองก็หลอกฉัน ยังจะมาบอกว่าจะรักษาขาให้ฉันอีก ไม่พูดด้วยแล้ว ฉันไปคุยกับน้องกัวดีกว่า” พูดเสร็จนายหญิงตระกูลหวังก็เดินไปหานายหญิงตระกูลกัวด้วยความรวดเร็ว

        “ขะ…ขาฉันไม่เจ็บแล้ว” นายหญิงตระกูลหวังเดินไปสองก้าวจึงจะพบว่าสองขาของตนไม่เจ็บแล้ว เธอมองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้นอย่างยากจะเชื่อ

        “คุณย่า ไปหาที่นั่งก่อนเถอะ เสี่ยวโม่ ผ่านสิบนาทีแล้วช่วยคุณย่าถอนเข็มหน่อยนะ แล้วก็ช่วยแปะแผ่นยาให้ย่าตามตำรับยาชีหยางเถี่ยด้วยล่ะ ประมาณเจ็ดวันขาของย่าก็จะหายดีแล้วล่ะครับ” กัวไฮว่พูดด้วยความยิ้มแย้ม “ยังเหลืออีกสี่ท่านครับ”

        “น้องกัวไฮว่ ฉะ…ฉันมีเรื่องจะให้น้องช่วยหน่อย” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูของกัวไฮว่ คนผู้นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา กัวไฮว่ขุดความทรงจำเมื่อก่อนเพื่อหาข้อมูลของคนคนนี้ หานอี้สุ่ย เป็นคนที่เมื่อก่อนเจอกันบ่อย ๆ ที่ใต้หล้าอู่เฉิง เขาเป็นรองเจ้าของร้านใต้หล้าอู่เฉิง เมื่อมองเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขาอีกครั้ง ก็พบว่ามีลมหายใจรวยริน กัวไฮว่จึงใช้วิชาอ่านจิตกับหานอี้สุ่ย จากนั้นจึงพลันหรี่ตาขึ้นมา

        “พี่หลงจะเอาฉันให้ตายเลยหรือไง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้ส่งผู้หญิงถูกพิษใกล้ตายมาให้รักษา วันนี้คนเขาเปิดกิจการ เวรกรรมฉันแท้ ๆ” หานอี้สุ่ยลอบคิดขึ้นในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 146 เปิดคลินิกไม่ (11)

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 146 เปิดคลินิกไม่ (11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        คนทั้งสองโต๊ะรับประทานอาหารกันถึงประมาณบ่ายสามโมง อาหารสามอย่างบนโต๊ะของกัวไฮว่เหลืออยู่นิดหน่อย ทว่าจานใหญ่ทางฝั่งของคุณปู่กลับถูกกินกันจนเกลี้ยง และด้วยหลักการที่ว่าห้ามสิ้นเปลือง  หูฉลามที่เสิร์ฟท้ายสุดก็ถูกคุณปู่ตระกูลหวังเลียจานจนเกลี้ยง คุณปู่คนอื่น ๆ ไม่มีใครหัวเราะเขา เพราะที่คุณปู่หวังได้เลียจาน ก็ชนะมาจากการที่พวกเขาเล่นนับนิ้วกัน

        “หอมจริง ๆ เลย แกว่าวันนี้ที่คลินิกไม่กินอะไรกันเหรอ ทำไมรู้สึกว่าดีกว่าที่พวกเรากินที่เทียนหยางกั๋วจี้ซะอีก” ฉินหลงพูดเบา ๆ

        “เดี๋ยวไปถามพวกที่ไม่ได้มาดีกว่า” หลินฉางเทียนพูดเบา ๆ “บอกว่าจะเริ่มตอนบ่ายสองครึ่ง นี่ก็จะบ่ายสามแล้ว ข้างในเพิ่งจะได้กินข้าวเอง น่าจะเก็บกันเสร็จตอนบ่ายสามกว่า”

        “เหล่าหวัง ทางนี้” เมื่อเห็นเพื่อน ๆ มาจากคลินิกปู้ไป๋ หลินฉางเทียนก็ตะโกนเรียกหวังหย่งจิ้นเอาไว้

        “เหล่าหลิน นี่มันอะไรเนี่ย ยังไม่รีบไปคลินิกไม่อีก บ่ายวันนี้ยังต้องรักษาอีกห้าคนนะ ฉันให้เมียฉัน พี่สะใภ้แกมาแล้ว ช่วงนี้ขาเธอไม่กระฉับกระเฉง ให้พ่อเด็กกัวไฮว่มันดูให้หน่อย” หวังหย่งจิ้นพูดยิ้มๆ พร้อมกับหรี่ดวงตา เหมือนกับว่ายังคงหวนรำลึกถึงรสอร่อยของอาหารเที่ยงมื้อนี้

        “ตอนแรกตอนเที่ยงจะให้พวกแกมาดื่มกันสักหน่อย แต่เห็นว่าพวกแกไม่มากัน พวกพี่กินข้าวที่คลินิกไม่เป็นยังไงบ้าง อาหารที่เทียนหยางกั๋วจี้วันนี้ไม่แย่เลย” หลินฉางเทียนพูดยิ้ม ๆ

        “อาหารที่เทียนหยางกั๋วจี้ไม่แย่งั้นเหรอ ของที่นั่นฉันเคยกินแล้วล่ะ เทียบกับข้าวที่กินวันนี้แล้วเนี่ย เหมือนกับที่เจ้าบ้าโจวเทียนหยางนั่นพูดเอาไว้ไม่มีผิดว่านั่นเป็นที่ที่ขอทานกินข้าว” หวังหย่งจิ้นพูดเบา ๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากทีหนึ่ง

        “ที่ขอทานกินข้าว? เทียนหยางกั๋วจี้นี่เป็นที่ที่อร่อยที่สุดในละแวกนี้แล้วนะ เหล่าหวังแกดื่มไปเยอะแล้วหรือเปล่าเนี่ย” หลินฉางเทียนเบิกตาพูด

        “ฉันก็อยากจะดื่มเยอะ ๆ นะ แต่เด็กเวรกัวไฮว่นั่นขี้เหนียวมากเลย เอาเหล้ามาไม่พอ เงินหนึ่งล้าน ได้กินอิ่มแค่ครึ่งนึง แต่ก็พอใจแล้วล่ะ ไม่พูดมากแล้ว เข้าไปกันเถอะ เสี่ยวเซิงน่าจะพาเมียฉันมาแล้วนะ” หวังหย่งจิ้นพูดพลางเดินเข้าไปโดยไม่สนท่าทางตื่นอกตกใจของหลินฉางเทียน

        “แม่มันเถอะ พวกเราคิดว่าที่กินนี่อร่อยแล้ว พวกเราพลาดอาหารมื้อใหญ่ไปเหรอเนี่ย ไม่ได้การ คืนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องมาขอกินข้าวที่คลินิกไม่ให้ได้” หลินฉางเทียนพูดเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไป

        ในตอนบ่าย มีคนยืนอยู่ในคลินิกไม่จนทั่ว ตอนเช้ามีคนมาประมาณสี่ร้อยคน ตอนบ่ายนี้มีคนมาเกือบพันคน คนที่ไม่ได้ให้อั่งเปาในตอนเช้าก็ทยอยกันให้อั่งเป่าที่เจี่ยหยวน ทำเอาเจี่ยหยวนผู้เป็นเศรษฐีเมืองอู่เฉิงรู้สึกอิจฉาตาร้อน เจ้าสี่ได้เงินเร็วไปหน่อยหรือเปล่า หากไม่นับที่ขายของไป แค่อั่งเป่าวันนี้ก็รับไปเกือบจะสองร้อยล้านแล้ว

        “เสี่ยวไฮว่ ฉันไม่สนหรอกนะว่าบ่ายนี้เธอจะรักษากี่คน เมื่อกี้ฉันต่อแถวล่วงหน้าอยู่ข้างนอกแล้ว ช่วยดูขาให้เมียฉันก่อนเถอะ” หวังหย่งจิ้นพูดขึ้นอย่างกึ่งเมากึ่งมีสติ นายหญิงตระกูลหวังหยิกเข้าที่เนื้อนุ่มนิ่มบริเวณเอวของหวังหย่งจิ้น ทำให้หวังหย่งจิ้นที่มีท่าทางกึ่งเมากึ่งมีสติคืนได้สติคืนกลับมา ทำเอาคนทั้งโถงประชุมต่างก็หัวเราะลั่นขึ้นมา กัวไฮว่ทอดถอนในใจ ที่แท้หยิกเอวก็เป็นทักษะที่ผู้หญิงทำได้กันทั้งนั้น

        กัวไฮว่พยุงนายหญิงตระกูลหวังเขามาตรงกลาง หวังเซิงรีบเอาม้านั่งมา ตอนอยู่ในบ้านตระกูลหวังบางครั้งก็ไม่ต้องดูแลนายท่านได้ ทว่าหากเป็นนายหญิงก็ต้องดูแลอย่างดีสองร้อยเปอร์เซ็นต์

        “พี่สาม ยืนอยู่นี่ทำไม ลงไปสิ บังแสงหมดเลย” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ ขับไล่หวังเซิงลงไป

        “เจ้าสี่ ระวังหน่อยนะ ปัญหาเจ็บขาของย่าฉันแกรักษาให้ดีล่ะ” หวังเซิงพูดขึ้นด้วยความตระหนก ไม่ว่าวันนี้หรือว่าช่วงนี้กัวไฮว่จะเก่งสักเพียงไหน ทว่าเมื่อนึกถึงประวัติเสีย ๆ เมื่อก่อนแล้ว หวังเซิงก็อดไม่ได้ที่จะไม่อยากให้ย่าของตนรักษาที่คลินิกไม่

        “พี่สาม พี่หมายความว่าไง อยากให้รักษาขาย่าให้หายดีหรือเปล่าเนี่ย กลัวว่าผมรักษาขาย่าพี่จนหายดี ต่อไปพี่จะหนีไปเที่ยวไม่สะดวกแล้ว ก็เลยให้สัญญาณว่าไม่ให้ผมรักษาจนสุดกำลังล่ะสิ” กัวไฮว่พูดขึ้นด้วยความยิ้มแย้ม

        “เจ้าสี่ แกพูดบ้าอะไรน่ะ รักษาให้เต็มที่สิ ต้องทำให้ขาย่าฉันหายดีให้ได้” พูดเสร็จหวังเซิงก็เห็นว่านายท่านกำลังจ้องมาที่ตนเอง เขานั่งนิ่งอยู่บนม้านั่ง ไม่พูดไม่จาอะไร

        “คุณย่า ไม่เข้าร่วมมาราธอนเมืองอู่เฉิงปีนี้เหรอครับ” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ ช่วงนี้สถานีโทรทัศน์อู่เฉิงฉายเกี่ยวกับมาราธอนเมืองอู่เฉิงมาตลอด อีกสามวันก็จะเริ่มแล้ว ทำให้บรรยากาศการแข่งขันเมืองอู่เฉิงคึกคักเป็นพิเศษ

        “เด็กบ้า หวังเซิงบอกว่าแกเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันว่าแกไม่เห็นจะเปลี่ยนไปสักนิด ยังจะมาแซวย่าเล่นอีก เหอะ ๆ” นายหญิงตระกูลหวังพูดด้วยความยิ้มแย้ม “วันนี้ตาแก่โทรมาบอกว่าได้เจอกับหมอเทพ ฉันยังนึกอยู่เลยว่าเป็นใคร ที่แท้ที่พวกเขาพูดก็คือแกเองเหรอเนี่ย ถ้ารู้ว่าเป็นแกย่าไม่มาหรอก”

        “อะแฮ่ม ๆ ดูย่าพูดเข้า มาราธอนรอบนี้ย่าเข้าร่วมไม่ไหวหรอก แต่รอบหน้าย่าเตรียมเข้าร่วมได้เลย ไว้ตอนนั้นผมจะพาย่าผมไปด้วย จะดูซิว่าย่าสองคนใครจะได้รางวัลชนะเลิศกลุ่มผู้สูงอายุ เหอะ ๆ” ตอนที่พูดอยู่นั้น บนขาของนายหญิงก็ถูกเข็มสามสิบหกเล่มฝังลงไป ทว่านายหญิงกลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลยสักนิด

        “พูดถึงย่าแก ขอย่าถามอะไรแกหน่อยสิ ช่วงนี้น้องเขาสีหน้าดูไม่เลวเลยนะ ครั้งก่อนที่เจอเขาดูเหมือนจะเด็กลงหลายสิบปีเลย เขาบอกว่าแกให้เขากินยาอะไรสักอย่าง ยังมีอีกหรือเปล่า ให้ย่าหน่อยได้ไหม” นายหญิงตระกูลหวังพูดอย่างยิ้มแย้ม

        “คุณย่า ย่ากลับไปนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะคุยกับย่าอีกที ยังมีอีกสี่คน รอให้รักษาผู้ป่วยสีคนเสร็จก่อนแล้วคืนนี้ย่าค่อยตามผมไปที่บ้าน แล้วผมรับประกันเลยว่าจะทำให้ย่าเด็กลงหลายสิบปีเหมือนกับย่าผม” กัวไฮว่รู้สึกไม่เลวกับต่อนายหญิงตระกูลหวัง เพราะว่าในความทรงจำของกัวไฮว่คนก่อน นายหญิงช่วยเขาเช็ดก้นไว้ไม่น้อย ในเมื่อเป็นวาสนาที่ดี ก็ควรจะได้สิ่งดีๆ ตอบแทน

        “ฮึ แกเองก็หลอกฉัน ยังจะมาบอกว่าจะรักษาขาให้ฉันอีก ไม่พูดด้วยแล้ว ฉันไปคุยกับน้องกัวดีกว่า” พูดเสร็จนายหญิงตระกูลหวังก็เดินไปหานายหญิงตระกูลกัวด้วยความรวดเร็ว

        “ขะ…ขาฉันไม่เจ็บแล้ว” นายหญิงตระกูลหวังเดินไปสองก้าวจึงจะพบว่าสองขาของตนไม่เจ็บแล้ว เธอมองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้นอย่างยากจะเชื่อ

        “คุณย่า ไปหาที่นั่งก่อนเถอะ เสี่ยวโม่ ผ่านสิบนาทีแล้วช่วยคุณย่าถอนเข็มหน่อยนะ แล้วก็ช่วยแปะแผ่นยาให้ย่าตามตำรับยาชีหยางเถี่ยด้วยล่ะ ประมาณเจ็ดวันขาของย่าก็จะหายดีแล้วล่ะครับ” กัวไฮว่พูดด้วยความยิ้มแย้ม “ยังเหลืออีกสี่ท่านครับ”

        “น้องกัวไฮว่ ฉะ…ฉันมีเรื่องจะให้น้องช่วยหน่อย” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูของกัวไฮว่ คนผู้นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา กัวไฮว่ขุดความทรงจำเมื่อก่อนเพื่อหาข้อมูลของคนคนนี้ หานอี้สุ่ย เป็นคนที่เมื่อก่อนเจอกันบ่อย ๆ ที่ใต้หล้าอู่เฉิง เขาเป็นรองเจ้าของร้านใต้หล้าอู่เฉิง เมื่อมองเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขาอีกครั้ง ก็พบว่ามีลมหายใจรวยริน กัวไฮว่จึงใช้วิชาอ่านจิตกับหานอี้สุ่ย จากนั้นจึงพลันหรี่ตาขึ้นมา

        “พี่หลงจะเอาฉันให้ตายเลยหรือไง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้ส่งผู้หญิงถูกพิษใกล้ตายมาให้รักษา วันนี้คนเขาเปิดกิจการ เวรกรรมฉันแท้ ๆ” หานอี้สุ่ยลอบคิดขึ้นในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+