[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 5 สี่ตัวอันตราย

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 5 สี่ตัวอันตราย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

      “สนุก สนุกจริงๆ วันนี้ฉันกลับตัวกลับใจวันสุดท้ายยังจะไม่ยั้งมือให้ฉันหน่อยเหรอ” กัวไฮว่พูดเสียงดัง “พี่เย่า พี่ไปจัดการเรื่องรถนั่นเถอะ ขอผมคุยกับถูป้าพี่ชายคนเก่าสักหน่อย”

      “ให้ตายสิ แกแย่งสาวคนอื่นยังจะมีอะไรให้คุยอีก” เจี่ยหยวนหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “แต่ว่าสาวคนนี้ไม่เลว ถ้าเป็นฉันฉันก็แย่ง แย่งใครมานะ ถูป้าเหรอ เจ้าสาม แกรู้จักเขารึเปล่า” เจี่ยหยวนถามขึ้นเสียงดังอย่างกลัวๆ

      “พี่สอง ผมบอกแล้วไงว่าให้ระวังท่าทีน่ะท่าที ถูป้าผมไม่รู้จักหรอก ถ้าหากเขาเป็นคนตระกูลถู เขาก็คงมีความเกี่ยวข้องกับถูเป่ยซิงล่ะมั้ง” หวังเซิงดื่มลาฟีตคำหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ

      “ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า เจ้าสี่เป็นคนสร้างเรื่องก็ปล่อยให้มันจัดการเองเถอะ” เจี่ยหยวนมองถูป้าแล้วพูดยิ้มๆ ตระกูลถูงั้นเหรอ เราค่อยๆ จัดการกันไป

      “กัวไฮว่พวกพี่ๆ เคยได้ยินชื่อนายนะ แต่ว่าวันนี้นายแย่งคนของฉันโดยไม่บอกสักนิด อธิบายมาหน่อยสิ” ถูป้าหรี่ตามองเด็กที่อ่อนกว่าตนสิบกว่าปี จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ขึ้นว่า “ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนจะมาทะเลาะกับฉัน อยากตายรึไง”

      เสียง “เพล้ง!” ดังขึ้น กัวไฮว่ทำให้เจี่ยหยวนกับหวังเซิงถึงกับอึ้ง

      “ให้ตายสิ ตกใจหมดเลย พวกแกสามคนช่วยลากเจ้าโง่นี่ออกไปหน่อย แกนี่มันโง่จริงๆ เลย” กัวไฮว่ทิ้งเศษขวดเหล้าที่อยู่ในมือทิ้งลงพื้น “เสียดายลาฟีตของฉันขวดนี้จริงๆ”

      “เจ้าสาม ตบฉันที ฉันคงไม่ได้ฝันไปหรอกมั้ง” เจี่ยหยวนเบิกตาพูด

      “พี่สอง พี่ตีผมหน่อย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝันไปรึเปล่า” หวังเซิงเบิกตาพูด

      “เพียะ! เจ้าสาม เจ็บไหม” เมื่อหวังเซิงพูดจบมือใหญ่ๆ ของเจี่ยหยวนก็ตบเข้าที่หน้าของหวังเซิง “เจ้าเจี่ยหยวนบ้า แกตบจริงๆ เหรอ” หวังเซิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังแล้วกดเจี่ยหยวนลงกับพื้น

      “ก็แกให้ฉันตบ ตอนนี้แกมาโทษฉันได้ไง” ถ้าพูดถึงเรื่องแรงต่อสู้ หวังเซิงสู้เจี่ยหยวนไม่ได้ เพราะว่ากระดูกคนละเบอร์กัน

      “พี่สอง พี่สอง หยุดก่อนพวกเราไปดูพี่เย่ากันเถอะว่าจัดการเป็นยังไงแล้วบ้าง” ประมาณห้านาทีลาฟีตที่อยู่บนโต๊ะก็หกเกลื่อน กัวไฮว่มองสองคนที่ตบตีกันอยู่บนพื้นแล้วก็พูดขำๆ

      “เจ้าสาม เมื่อกี้พี่ลงมือหนักไป รีบขึ้นมา พวกเราไปหาพี่เย่ากันเถอะ” เจี่ยหยวนดึงหวังเซิงขึ้นมา

      “พี่สอง เมื่อกี้ไม่โกรธพี่หรอก ผมปากพล่อยเอง รีบลุกขึ้นมาเถอะ” ทั้งสองคนพูดพลางพยุงกันลุกขึ้น โหยวโยวโยวเบิกตาโพล่ง สองคนนี้คือสี่ตัวอันตรายเมืองอู่เฉิงในตำนานจริงๆ เหรอเนี่ย ตลกเกินไปแล้ว

      “มองอะไรน้องสาว คืนนี้สนุกดีไหม เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าน้องสี่ของพวกเราโหดสุดๆ พวกเราทั้งสี่คนเป็นคนมีการศึกษา พวกเรามาค่อยๆ พูดเรื่องหัวใจ พูดเรื่องอนาคตกันได้นะ” หวังเซิงหรี่ตามองโหยวโยวโยวแล้วพูดขึ้น

      “อะแฮ่ม คุณพี่ทั้งสองคะ ฉันเป็นนักเรียน พี่เข้าใจผิดแล้วล่ะ” โหยวโยวโยวหน้าแดงแล้วพูดขึ้น

      “นักเรียนแล้วไง ที่นี่ทั้งพยาบาล แอร์ พนักงานออฟฟิศหรืออะไรก็ตามแต่พวกพี่เห็นมาหมดแล้ว เธอไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ เรื่องเจ้าสี่นั่นเดี๋ยวพวกเราจัดการเอง” เจี่ยหยวนพูดพลางมองโหยวโยวโยว

      “พี่สอง พี่สอง รีบออกไปเร็ว ผมรู้สึกว่าทางด้านพี่เย่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลนะ” กัวไฮว่เห็นทั้งสองคนแล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นหมาป่าสองตัวที่ไม่ได้กินเนื้อมาสองปี จู่ๆ ก็จับแกะน้อยได้อย่างไรอย่างนั้น ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความน่ากลัว น่ารำคาญ พี่ๆ ทั้งสองคนน่ารำคาญจริงๆ

      “วางใจเถอะ ถ้าพี่เย่าจัดการไม่ได้ พวกเราก็ไร้ประโยชน์” เจี่ยหยวนพูดเสียงดังโดยไม่มองหน้ากัวไฮว่เลยสักนิด

      “ให้ตายเถอะ กับผู้หญิงของน้องตัวเองยังกล้าลงมือ ถ้าเป็นกฎยุทธภพนะ พี่โดนสามดาบหกรู[1] ไปนานแล้ว แล้วถ้าเป็นกฎสมัยราชวงศ์ถังนะ พวกพี่ๆ ทำแบบนี้ต้องตายไม่รู้กี่รอบแล้ว” กัวไฮว่ทนไม่ไหว จึงตะโกนเสียงดังไป “ผมจะแนะนำให้พี่ๆ รู้จักกันอย่างจริงจังนะ เธอชื่อโหยวโยวโยว เป็นผู้หญิงของผม ผู้หญิงของน้องพวกพี่”

      “ให้ตายสิ เจ้าสี่ ตลกเกินไปหน่อยแล้ว นายออกไปแป๊ปเดียวก็พาสาวกลับมาให้พวกเราดูแล้วเหรอ” เจี่ยหยวนชะงักไปแล้วพูดเสียงดัง “ผู้หญิงของแก มันยังเป็นเด็กอยู่เลย เจ้าสี่ แกกล้าพูดว่าเป็นผู้หญิงของแก ถ้าไม่ใช่ ขอให้ไอ้นั่นของแกไม่ขึ้น”

      “เจี่ยหยวน หวังเซิง กัวไฮว่ ถ้าแกไม่ปรากฏตัวหน้าฉันภายในสิบวินาทีเราก็ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกันอีก” ในขณะที่ทุกคนถกเถียงกันอยู่นั่นเอง จู่ๆ เสียงของหลี่เย่าก็ดังมาจากนอกอาคาร

      “แม่มันเถอะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไป” เจี่ยหยวนตะคอกเสียงดัง แล้ววิ่งดิ่งออกไปนอกประตูร้านใต้หล้าอู่เฉิง คนที่อยู่ข้างทางเมื่อเห็นเจี่ยหยวนก็พลันเบิกตาโพล่ง คนที่อ้วนขนาดนี้ทำไมถึงวิ่งได้ไวนัก

      “พี่เย่า เสียเปรียบเหรอ” เจี่ยหยวน หวังเซิงและกัวไฮว่ ทั้งสามคนเห็นกลุ่มคนล้อมหลี่เย่าเอาไว้ ในใจก็ตระหนก เจี่ยหยวนจึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา

      “เสียเปรียบนิดหน่อย พวกเขาบอกว่าจะคุยกับฉันดีๆ ในเมื่อไม่ลงมือก็ปล่อยให้พวกแกจัดการดีกว่า ก็เลยเรียกพวกแกมา” หลี่เย่าพูดขึ้นพร้อมมองทั้งสามคนที่รีบวิ่งมา

      “เจ้าสาม เรื่องนี้ให้แกจัดการหรือให้ฉันจัดการ” เจี่ยหยวนหรี่ตามองหวังเซิงแล้วพูดขึ้น

      “พวกพี่เข้าไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถอะ ที่นี่เป็นถิ่นผม ผมจัดการเอง” กัวไฮว่ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดพร้อมยิ้มให้กับทั้งสามคน

      “ก็ดี พวกเราไปดื่มเหล้ากัน เรื่องนี่ก็ปล่อยให้เจ้าสี่จัดการเถอะ” หลี่เย่าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโอบเจี่ยหยวนกับหวังเซิงที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเข้าไปในร้านใต้หล้าอู่เฉิง

      “พี่ใหญ่ เจ้าสี่จะไม่เป็นไรเหรอ เจ้าอากุ่ยอะไรนั่น ผมเคยเจอมาแล้ว มันไม่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ นะ” ขณะที่ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้อง หวังเซิงก็พูดเสียงค่อย

      “พวกแกคิดไหมว่าเจ้าสี่เปลี่ยนไป หลังจากรถชนครั้งนี้ เจ้าสี่ก็เปลี่ยนไปมาก” หลี่เย่าดื่มเหล้าแล้วพูดยิ้มๆ “จากนี้ไปเมืองอู่เฉิงก็จะเป็นถิ่นของเด็กนี่แล้วล่ะ”

      “พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าคราวนั้นเจ้าสี่เคยช่วยชีวิตพี่ไว้ ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาสำมะเลเทเมา มีชีวิตอยู่ดีกับหมอนี่หรอก ถึงหลายปีมานี้เราจะสัมผัสได้ว่าเจ้าสี่โตขึ้นไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับว่าต่อไปเมืองอู่เฉิงจะกลายเป็นของเขาหรอกมั้ง” หวังเซิงชะงักไปครู่แล้วพูดเสียงด้วยค่อย

      “เจ้าสอง เจ้าสาม ถ้าพวกแกไปคุยกับพวกมัน พวกแกคิดว่าจะได้มาเท่าไหร่” หลี่เย่าพูดยิ้มๆ

      “พี่เย่า แค่รถพี่อย่างเดียวก็ราวๆ สามร้อยล้าน ถึงจะเสียหายไป แต่ในตัวเครื่องยนต์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้พวกเขาชดใช้สักสองร้อยล้านก็ได้” หวังเซิงพูดยิ้มๆ

      “สามร้อยล้าน” เจี่ยหยวนไม่ได้อธิบาย พูดขึ้นยิ้มๆ

      “รอให้เจ้าสี่กลับมาแล้วเราค่อยมาดูกันว่าเจ้าสี่คุยออกมาเป็นยังไงกันเถอะ ฮ่าๆ” หลี่เย่าพูดขึ้นหัวเราะเสียงดัง

      “กัวไฮว่ รถพี่ใหญ่แกชนรถฉันก่อน แกซ่อมรถให้ฉัน แล้วพวกเราจะซ่อมรถพี่แกให้เป็นเหมือนเดิม แกคิดว่าไง” ชายเปลือยท่อนบน สักลายกะโหลกไว้ที่หลังผู้หนึ่งพูดอย่างโอ้อวด “รถจี๊ปนี่ ฉันชดใช้ให้แกได้ไม่กี่หมื่นหยวน แต่ 911 ของฉันนี่สิ ถ้าพวกแกไม่มีห้าแสน ก็ไม่ตกลง” คนที่กำลังพูดอยู่นั้น ผู้คนในเมืองอู่เฉิงเรียกกันว่าพี่กุ่ย ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตาของที่นี่

      “พูดต่อ” กัวไฮว่หาที่สะอาดๆ แล้วนั่งลง

      “เท่านี้แหละ พวกเราไม่อยากมีเรื่องกับพวกแก แต่เรื่องนี้จะจบลงแค่นี้ไม่ได้” พี่กุ่ยพูดขึ้นเสียงดัง

      “พันล้าน ให้พวกเรามาในเวลาสามวัน เตรียมเงินพันล้านมาที่ใต้หล้าอู่เฉิง ถึงเวลาแล้วพวกเราจะมาเอาเงิน” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

      “เด็กน้อย แกเพิ่งรถชนมาไม่ใช่เหรอ โดนชนจนโง่ไปแล้วรึ” พี่กุ่ยพูดขำๆ “ให้หลี่เย่าออกมาเถอะ ถ้าไม่อยากชดใช้เงินก็มีอีกวิธี ให้หลี่เย่าไปที่สนามมวยใต้ดินแลกหมัดกันสักยก เรื่องนี้ก็ถือซะว่าเจ๊ากัน”

      “โง่จริง แกคิดว่านี่เป็นเรื่องตัวเองจริงๆ เหรอ” กัวไฮว่ค่อยๆ ลุกขึ้นมา “ซ่งอิ๋น สนามมวยมืดนั่นฉันไม่เอาด้วยหรอก แกว่าถ้าตอนนี้ฉันโทรหาโรงพักบอกนายตำรวจไต้ว่าลูกเขาอยู่ในตู้เย็น แกว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือจะให้ฉันบอกซ่งเวยว่าในคอมของแกมีวิดีโอดีๆ ของแกกับเมียเขาอยู่ แกว่าจะเป็นไง”

      “กะ…แกพูดอะไรน่ะ ฉันไม่รู้เรื่อง” พี่กุ่ยซ่งอิ๋นอึ้งหน้าถอดสีไปพักหนึ่ง เรื่องพวกนี้เขารู้ได้อย่างไร จะปล่อยเด็กนี่ไปไม่ได้

      “อย่าคิดฆ่าฉันเลย คราวก่อนฉันยังไม่ตายเลย คราวหลังจะไม่มีโอกาสแบบนี้แล้ว” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

     

     

 

[1] เป็นวิธีการลงโทษคนของสำนักฝึกยุทธสมัยก่อน

 

                                                              ————————

                                 อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^

                                                https://www.kawebook.com/story/6815

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ 5 สี่ตัวอันตราย

Now you are reading [นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ Chapter 5 สี่ตัวอันตราย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

      “สนุก สนุกจริงๆ วันนี้ฉันกลับตัวกลับใจวันสุดท้ายยังจะไม่ยั้งมือให้ฉันหน่อยเหรอ” กัวไฮว่พูดเสียงดัง “พี่เย่า พี่ไปจัดการเรื่องรถนั่นเถอะ ขอผมคุยกับถูป้าพี่ชายคนเก่าสักหน่อย”

      “ให้ตายสิ แกแย่งสาวคนอื่นยังจะมีอะไรให้คุยอีก” เจี่ยหยวนหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “แต่ว่าสาวคนนี้ไม่เลว ถ้าเป็นฉันฉันก็แย่ง แย่งใครมานะ ถูป้าเหรอ เจ้าสาม แกรู้จักเขารึเปล่า” เจี่ยหยวนถามขึ้นเสียงดังอย่างกลัวๆ

      “พี่สอง ผมบอกแล้วไงว่าให้ระวังท่าทีน่ะท่าที ถูป้าผมไม่รู้จักหรอก ถ้าหากเขาเป็นคนตระกูลถู เขาก็คงมีความเกี่ยวข้องกับถูเป่ยซิงล่ะมั้ง” หวังเซิงดื่มลาฟีตคำหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ

      “ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า เจ้าสี่เป็นคนสร้างเรื่องก็ปล่อยให้มันจัดการเองเถอะ” เจี่ยหยวนมองถูป้าแล้วพูดยิ้มๆ ตระกูลถูงั้นเหรอ เราค่อยๆ จัดการกันไป

      “กัวไฮว่พวกพี่ๆ เคยได้ยินชื่อนายนะ แต่ว่าวันนี้นายแย่งคนของฉันโดยไม่บอกสักนิด อธิบายมาหน่อยสิ” ถูป้าหรี่ตามองเด็กที่อ่อนกว่าตนสิบกว่าปี จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ขึ้นว่า “ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนจะมาทะเลาะกับฉัน อยากตายรึไง”

      เสียง “เพล้ง!” ดังขึ้น กัวไฮว่ทำให้เจี่ยหยวนกับหวังเซิงถึงกับอึ้ง

      “ให้ตายสิ ตกใจหมดเลย พวกแกสามคนช่วยลากเจ้าโง่นี่ออกไปหน่อย แกนี่มันโง่จริงๆ เลย” กัวไฮว่ทิ้งเศษขวดเหล้าที่อยู่ในมือทิ้งลงพื้น “เสียดายลาฟีตของฉันขวดนี้จริงๆ”

      “เจ้าสาม ตบฉันที ฉันคงไม่ได้ฝันไปหรอกมั้ง” เจี่ยหยวนเบิกตาพูด

      “พี่สอง พี่ตีผมหน่อย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝันไปรึเปล่า” หวังเซิงเบิกตาพูด

      “เพียะ! เจ้าสาม เจ็บไหม” เมื่อหวังเซิงพูดจบมือใหญ่ๆ ของเจี่ยหยวนก็ตบเข้าที่หน้าของหวังเซิง “เจ้าเจี่ยหยวนบ้า แกตบจริงๆ เหรอ” หวังเซิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังแล้วกดเจี่ยหยวนลงกับพื้น

      “ก็แกให้ฉันตบ ตอนนี้แกมาโทษฉันได้ไง” ถ้าพูดถึงเรื่องแรงต่อสู้ หวังเซิงสู้เจี่ยหยวนไม่ได้ เพราะว่ากระดูกคนละเบอร์กัน

      “พี่สอง พี่สอง หยุดก่อนพวกเราไปดูพี่เย่ากันเถอะว่าจัดการเป็นยังไงแล้วบ้าง” ประมาณห้านาทีลาฟีตที่อยู่บนโต๊ะก็หกเกลื่อน กัวไฮว่มองสองคนที่ตบตีกันอยู่บนพื้นแล้วก็พูดขำๆ

      “เจ้าสาม เมื่อกี้พี่ลงมือหนักไป รีบขึ้นมา พวกเราไปหาพี่เย่ากันเถอะ” เจี่ยหยวนดึงหวังเซิงขึ้นมา

      “พี่สอง เมื่อกี้ไม่โกรธพี่หรอก ผมปากพล่อยเอง รีบลุกขึ้นมาเถอะ” ทั้งสองคนพูดพลางพยุงกันลุกขึ้น โหยวโยวโยวเบิกตาโพล่ง สองคนนี้คือสี่ตัวอันตรายเมืองอู่เฉิงในตำนานจริงๆ เหรอเนี่ย ตลกเกินไปแล้ว

      “มองอะไรน้องสาว คืนนี้สนุกดีไหม เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าน้องสี่ของพวกเราโหดสุดๆ พวกเราทั้งสี่คนเป็นคนมีการศึกษา พวกเรามาค่อยๆ พูดเรื่องหัวใจ พูดเรื่องอนาคตกันได้นะ” หวังเซิงหรี่ตามองโหยวโยวโยวแล้วพูดขึ้น

      “อะแฮ่ม คุณพี่ทั้งสองคะ ฉันเป็นนักเรียน พี่เข้าใจผิดแล้วล่ะ” โหยวโยวโยวหน้าแดงแล้วพูดขึ้น

      “นักเรียนแล้วไง ที่นี่ทั้งพยาบาล แอร์ พนักงานออฟฟิศหรืออะไรก็ตามแต่พวกพี่เห็นมาหมดแล้ว เธอไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ เรื่องเจ้าสี่นั่นเดี๋ยวพวกเราจัดการเอง” เจี่ยหยวนพูดพลางมองโหยวโยวโยว

      “พี่สอง พี่สอง รีบออกไปเร็ว ผมรู้สึกว่าทางด้านพี่เย่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลนะ” กัวไฮว่เห็นทั้งสองคนแล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นหมาป่าสองตัวที่ไม่ได้กินเนื้อมาสองปี จู่ๆ ก็จับแกะน้อยได้อย่างไรอย่างนั้น ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความน่ากลัว น่ารำคาญ พี่ๆ ทั้งสองคนน่ารำคาญจริงๆ

      “วางใจเถอะ ถ้าพี่เย่าจัดการไม่ได้ พวกเราก็ไร้ประโยชน์” เจี่ยหยวนพูดเสียงดังโดยไม่มองหน้ากัวไฮว่เลยสักนิด

      “ให้ตายเถอะ กับผู้หญิงของน้องตัวเองยังกล้าลงมือ ถ้าเป็นกฎยุทธภพนะ พี่โดนสามดาบหกรู[1] ไปนานแล้ว แล้วถ้าเป็นกฎสมัยราชวงศ์ถังนะ พวกพี่ๆ ทำแบบนี้ต้องตายไม่รู้กี่รอบแล้ว” กัวไฮว่ทนไม่ไหว จึงตะโกนเสียงดังไป “ผมจะแนะนำให้พี่ๆ รู้จักกันอย่างจริงจังนะ เธอชื่อโหยวโยวโยว เป็นผู้หญิงของผม ผู้หญิงของน้องพวกพี่”

      “ให้ตายสิ เจ้าสี่ ตลกเกินไปหน่อยแล้ว นายออกไปแป๊ปเดียวก็พาสาวกลับมาให้พวกเราดูแล้วเหรอ” เจี่ยหยวนชะงักไปแล้วพูดเสียงดัง “ผู้หญิงของแก มันยังเป็นเด็กอยู่เลย เจ้าสี่ แกกล้าพูดว่าเป็นผู้หญิงของแก ถ้าไม่ใช่ ขอให้ไอ้นั่นของแกไม่ขึ้น”

      “เจี่ยหยวน หวังเซิง กัวไฮว่ ถ้าแกไม่ปรากฏตัวหน้าฉันภายในสิบวินาทีเราก็ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกันอีก” ในขณะที่ทุกคนถกเถียงกันอยู่นั่นเอง จู่ๆ เสียงของหลี่เย่าก็ดังมาจากนอกอาคาร

      “แม่มันเถอะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไป” เจี่ยหยวนตะคอกเสียงดัง แล้ววิ่งดิ่งออกไปนอกประตูร้านใต้หล้าอู่เฉิง คนที่อยู่ข้างทางเมื่อเห็นเจี่ยหยวนก็พลันเบิกตาโพล่ง คนที่อ้วนขนาดนี้ทำไมถึงวิ่งได้ไวนัก

      “พี่เย่า เสียเปรียบเหรอ” เจี่ยหยวน หวังเซิงและกัวไฮว่ ทั้งสามคนเห็นกลุ่มคนล้อมหลี่เย่าเอาไว้ ในใจก็ตระหนก เจี่ยหยวนจึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา

      “เสียเปรียบนิดหน่อย พวกเขาบอกว่าจะคุยกับฉันดีๆ ในเมื่อไม่ลงมือก็ปล่อยให้พวกแกจัดการดีกว่า ก็เลยเรียกพวกแกมา” หลี่เย่าพูดขึ้นพร้อมมองทั้งสามคนที่รีบวิ่งมา

      “เจ้าสาม เรื่องนี้ให้แกจัดการหรือให้ฉันจัดการ” เจี่ยหยวนหรี่ตามองหวังเซิงแล้วพูดขึ้น

      “พวกพี่เข้าไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถอะ ที่นี่เป็นถิ่นผม ผมจัดการเอง” กัวไฮว่ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดพร้อมยิ้มให้กับทั้งสามคน

      “ก็ดี พวกเราไปดื่มเหล้ากัน เรื่องนี่ก็ปล่อยให้เจ้าสี่จัดการเถอะ” หลี่เย่าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโอบเจี่ยหยวนกับหวังเซิงที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเข้าไปในร้านใต้หล้าอู่เฉิง

      “พี่ใหญ่ เจ้าสี่จะไม่เป็นไรเหรอ เจ้าอากุ่ยอะไรนั่น ผมเคยเจอมาแล้ว มันไม่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ นะ” ขณะที่ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้อง หวังเซิงก็พูดเสียงค่อย

      “พวกแกคิดไหมว่าเจ้าสี่เปลี่ยนไป หลังจากรถชนครั้งนี้ เจ้าสี่ก็เปลี่ยนไปมาก” หลี่เย่าดื่มเหล้าแล้วพูดยิ้มๆ “จากนี้ไปเมืองอู่เฉิงก็จะเป็นถิ่นของเด็กนี่แล้วล่ะ”

      “พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าคราวนั้นเจ้าสี่เคยช่วยชีวิตพี่ไว้ ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาสำมะเลเทเมา มีชีวิตอยู่ดีกับหมอนี่หรอก ถึงหลายปีมานี้เราจะสัมผัสได้ว่าเจ้าสี่โตขึ้นไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับว่าต่อไปเมืองอู่เฉิงจะกลายเป็นของเขาหรอกมั้ง” หวังเซิงชะงักไปครู่แล้วพูดเสียงด้วยค่อย

      “เจ้าสอง เจ้าสาม ถ้าพวกแกไปคุยกับพวกมัน พวกแกคิดว่าจะได้มาเท่าไหร่” หลี่เย่าพูดยิ้มๆ

      “พี่เย่า แค่รถพี่อย่างเดียวก็ราวๆ สามร้อยล้าน ถึงจะเสียหายไป แต่ในตัวเครื่องยนต์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้พวกเขาชดใช้สักสองร้อยล้านก็ได้” หวังเซิงพูดยิ้มๆ

      “สามร้อยล้าน” เจี่ยหยวนไม่ได้อธิบาย พูดขึ้นยิ้มๆ

      “รอให้เจ้าสี่กลับมาแล้วเราค่อยมาดูกันว่าเจ้าสี่คุยออกมาเป็นยังไงกันเถอะ ฮ่าๆ” หลี่เย่าพูดขึ้นหัวเราะเสียงดัง

      “กัวไฮว่ รถพี่ใหญ่แกชนรถฉันก่อน แกซ่อมรถให้ฉัน แล้วพวกเราจะซ่อมรถพี่แกให้เป็นเหมือนเดิม แกคิดว่าไง” ชายเปลือยท่อนบน สักลายกะโหลกไว้ที่หลังผู้หนึ่งพูดอย่างโอ้อวด “รถจี๊ปนี่ ฉันชดใช้ให้แกได้ไม่กี่หมื่นหยวน แต่ 911 ของฉันนี่สิ ถ้าพวกแกไม่มีห้าแสน ก็ไม่ตกลง” คนที่กำลังพูดอยู่นั้น ผู้คนในเมืองอู่เฉิงเรียกกันว่าพี่กุ่ย ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตาของที่นี่

      “พูดต่อ” กัวไฮว่หาที่สะอาดๆ แล้วนั่งลง

      “เท่านี้แหละ พวกเราไม่อยากมีเรื่องกับพวกแก แต่เรื่องนี้จะจบลงแค่นี้ไม่ได้” พี่กุ่ยพูดขึ้นเสียงดัง

      “พันล้าน ให้พวกเรามาในเวลาสามวัน เตรียมเงินพันล้านมาที่ใต้หล้าอู่เฉิง ถึงเวลาแล้วพวกเราจะมาเอาเงิน” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

      “เด็กน้อย แกเพิ่งรถชนมาไม่ใช่เหรอ โดนชนจนโง่ไปแล้วรึ” พี่กุ่ยพูดขำๆ “ให้หลี่เย่าออกมาเถอะ ถ้าไม่อยากชดใช้เงินก็มีอีกวิธี ให้หลี่เย่าไปที่สนามมวยใต้ดินแลกหมัดกันสักยก เรื่องนี้ก็ถือซะว่าเจ๊ากัน”

      “โง่จริง แกคิดว่านี่เป็นเรื่องตัวเองจริงๆ เหรอ” กัวไฮว่ค่อยๆ ลุกขึ้นมา “ซ่งอิ๋น สนามมวยมืดนั่นฉันไม่เอาด้วยหรอก แกว่าถ้าตอนนี้ฉันโทรหาโรงพักบอกนายตำรวจไต้ว่าลูกเขาอยู่ในตู้เย็น แกว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือจะให้ฉันบอกซ่งเวยว่าในคอมของแกมีวิดีโอดีๆ ของแกกับเมียเขาอยู่ แกว่าจะเป็นไง”

      “กะ…แกพูดอะไรน่ะ ฉันไม่รู้เรื่อง” พี่กุ่ยซ่งอิ๋นอึ้งหน้าถอดสีไปพักหนึ่ง เรื่องพวกนี้เขารู้ได้อย่างไร จะปล่อยเด็กนี่ไปไม่ได้

      “อย่าคิดฆ่าฉันเลย คราวก่อนฉันยังไม่ตายเลย คราวหลังจะไม่มีโอกาสแบบนี้แล้ว” กัวไฮว่หรี่ตาพูด

     

     

 

[1] เป็นวิธีการลงโทษคนของสำนักฝึกยุทธสมัยก่อน

 

                                                              ————————

                                 อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^

                                                https://www.kawebook.com/story/6815

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+