พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 206 เชือดกวาง

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 206 เชือดกวาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206 เชือดกวาง

เมื่อเห็นหลูซ่างเก๋อปรากฎตัว หลิงตู้ฉิงก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาจับมือของเหลียงเฟ่ยเอ๋อและพานางไปยังประตูรถม้า

เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดอย่างประหม่า “สามี…”

หลิงตู้ฉิงผลักตัวเหลียงเฟ่ยเอ๋อเข้าไปในรถม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ ซึ่งเหลียงเฟ่ยเอ๋อก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรและเดินเข้าไปในรถม้าแต่โดยดี

“ฝ่าบาท ข้าคือหลูซ่างเก๋อ จากสันเขาหมื่นอสูร ข้ารู้ว่าฝ่าบาทเป็นผู้ที่มาจากยอดเขาหยกจักรพรรดิ แต่เรื่องที่ข้ามานั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสถานที่ที่ฝ่าบาทจากมา จุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะนายน้อยของข้าได้สั่งให้ข้ามาหาท่านเพื่อเจรจาสู่ขอองค์หญิงของอาณาจักรของฝ่าบาท ข้าสงสัยว่าฝ่าบาทมีความเห็นว่าอย่างไร? หากฝ่าบาทเห็นด้วย พวกเราสันเขาหมื่นอสูรจะเป็นพันธมิตรกับท่านและจะให้การสนับสนุนอาณาจักรของฝ่าบาทในทุก ๆ ด้าน” หลูซ่างเก๋อยิ้มให้เหลียงซาน

เหลียงซานกะพริบตาก่อนที่เขาจะพูดว่า “นายน้อยของท่าน?”

หลูซ่างเก๋อหัวเราะ “นายน้อยของข้าคือโอรสสวรรค์แห่งสันเขาหมื่นอสูร เขาคือบุตรชายขององค์เหนือหัวคุนเป๋ง ผู้ปกครองสันเขาหมื่นอสูร”

“อ่า ที่แท้ก็บุตรชายของท่านคุนเป๋งนั่นเอง ข้าได้ยินชื่อเขามานานแล้ว!” เหลียงซานพูดด้วยรอยยิ้ม

หลูซ่างเก๋อหัวเราะ “นายน้อยของข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสันเขาหมื่นอสูรของเรา หากท่านได้รับความช่วยเหลือจากนายน้อย ท่านก็มั่นใจได้เลยว่าเป้าหมายต่าง ๆ ที่ท่านปราถนาอยู่ในตอนนี้มันจะต้องเป็นจริงได้อย่างแน่นอน”

เหลียงซานพยักหน้าอย่างครุ่นคิดและถามว่า “ข้าสงสัยว่าองค์หญิงองค์ใดที่นายน้อยของท่านต้องการแต่งงานด้วย?”

อันที่จริงแล้วก่อนที่จะถามคำถามนี้ เหลียงซานเองก็พอที่จะเดาออกได้เช่นกันว่าตัวตนอย่างโอรสสวรรค์แห่งสันเขาหมื่นอสูร มีหรือที่จะสนใจองค์หญิงธรรมดา ๆ ท้ายที่สุดก็คงมีเพียงแต่เหลียงเฟ่ยเอ๋อเท่านั้นที่เขาหมายปอง เนื่องจากที่นางเป็นผู้มีกายาแก่นแท้ปฐพี

แต่ที่เขาถามคำถามนี้ขึ้นมานั่นก็เพราะว่าเขาต้องการให้หลูซ่างเก๋อพูดเสนอออกมาก่อนเพื่อที่เขาจะได้ต่อรองหาผลประโยชน์ได้มากขึ้น

หลูซ่างเก๋อยิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่าเราสามารถนั่งคุยกันเรื่องข้อเสนอในการแต่งงานกับองค์หญิงได้ในภายหลัง เนื่องจากก่อนหน้านี้ข้าสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังดูหมิ่นพระองค์อยู่ ในฐานะที่ฝ่าบาทและนายน้อยของข้าเองก็อาจจะได้เป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันในอนาคต ฉะนั้นข้าเองในฐานะข้ารับใช้ก็มีหน้าที่ช่วยปกป้องพระเกียรติของฝ่าบาทเช่นกัน”

“โอ้!” เหลียงซานไม่ได้แสดงความคิดเห็น

เหลียงซานเองในตอนนี้ยังไม่สามารถสลัดความสงสัยของเขาที่มีต่อหลิงตู้ฉิงได้ เขาจึงยังไม่อยากจะทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยตนเอง

เขายังคงข้องใจว่าทำไมคนจากสำนักเก้าเทพอสูรและสำนักเต๋าสวรรค์จึงติดตามรับใช้หลิงตู้ฉิง?

ถ้าหลิงตู้ฉิงเป็นคนจากสำนักเก้าเทพอสูร แล้วหลิงตู้ฉิงไปมีความเกี่ยวข้องกับสำนักเต๋าสวรรค์ได้อย่างไร?

นอกจากนี้จากหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น บ่งบอกได้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่ใช่คนที่โง่เง่า

เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากกดดันเขา ซึ่งทำให้หลิงตู้ฉิงต้องเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในคฤหาสน์เป็นเวลากว่า 2 เดือน

แต่ตอนนี้หลิงตู้ฉิงได้ออกมาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นไปไม่ได้ที่หลิงตู้ฉิงจะไม่รู้ว่ายังมีศัตรูที่แข็งแกร่งอีกมากมายที่รอโอกาสชิงตัวผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์

และที่สำคัญมันก็มีตั้งหลายหนแล้วที่มีผู้บุกเข้าไปประจันหน้าเขาถึงในคฤหาสน์เลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นถ้าหลิงตู้ฉิงกล้าที่จะจากคฤหาสน์แบบนี้ นั่นก็แสดงว่าเขาจะต้องมีความมั่นใจว่าเขาจะต้องไม่มีอันตรายอะไรแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ แม้ว่าเหลียงซานต้องการที่จะฆ่าหลิงตู้ฉิง แต่เขาก็ยังคงอดกลั้นไว้

ในฐานะจักรพรรดิ ถ้าเขาไม่มีความสามารถที่จะอดทน เขาก็คงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอยู่ถึงวันนี้

เขาจึงตั้งใจว่าจะเฝ้าดูจนกระทั่งหลิงตู้ฉิงไม่สามารถต่อสู้กลับได้อีกต่อไปแล้วเขาถึงจะช่วยลงมือ

หลูซ่างเก๋อเองตอนนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้สึกงุนงงว่าทำไมการแสดงออกของเหลียงซานถึงดูไม่ค่อยจะกระตือรือร้นอะไรสักเท่าไหร่?

นี่มันไม่ชัดเจนอยู่หรอกเหรอว่าพวกเขากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ?

แม้ว่าทางฝั่งหลิงตู้ฉิงจะมีผู้เชี่ยวชาญจากสำนักเต๋าสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้วยังไงล่ะ? ยังไงถ้านับเรื่องระดับการบ่มเพาะพวกเขาก็ได้เปรียบกว่าอยู่ดี

หลูซ่างเก๋อ ตอนนี้จึงเริ่มวางแผนในใจ เขาจินตนาการไว้ว่าหากเขาสามารถจัดการกับซือโถวเหวินหยวนได้ ด้วยตัวตนของเหลียงซานเขาจะต้องมีไม้เด็ดอะไรบางอย่างอยู่แล้ว ฉะนั้นสำหรับโม่หยูถังทางเหลียงซานคงน่าจะรับมือได้ไม่มีปัญหา และถ้าหากสองคนนี้ถูกกำจัดออกไป สำหรับคนอื่น ๆ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล

และเมื่อจบเรื่องนี้หากเขาสามารถพาเหลียงเฟ่ยเอ๋อกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรได้ ความผิดของเขาที่เคยก่อมาในอดีตก็จะหมดไปและเขายังสามารถได้รับความโปรดปรานจากบุตรชายขององค์เหนือหัวคุนเป๋งอีกด้วย

“ฝ่าบาท ข้าเคยเจอกับซือโถวมาแล้ว 2-3 ครั้ง ทำไมไม่ปล่อยเขาให้ข้าเป็นผู้จัดการล่ะ” หลูซ่างเก๋อพยายามที่จะโยนหินถามทาง

เหลียงซานยังคงพูดอย่างไม่คิดว่า “เอาแบบนั้นมันจะดีเหรอ?”

จางหมิงมองไปที่เหลียงซานโดยไม่รู้ว่าเหลียงซานหมายถึงอะไร ในความคิดของเขานี่มันคือโอกาสอันดีแล้วที่พวกเขาจะลงมือ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเช่นนั้นแต่ด้วยสถานะที่เขาอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนเหลียงซาน ดังนั้นเขาจึงต้องฟังคำสั่งของเหลียงซานต่อไป

ในอีกด้านหนึ่งหลิงตู้ฉิงและโม่หยูถังไม่ได้ขัดจังหวะพวกเขาเลย หลิงตู้ฉิงปล่อยให้ หลูซ่างเก๋อและเหลียงซานพูดคุยแลกเปลี่ยนแผนกันได้อย่างเต็มที่

แต่เมื่อเห็นว่าหลูซ่างเก๋อไม่ได้รับการสนับสนุน หลิงตู้ฉิงจึงพูดว่า “ถึงเวลาที่เขาต้องตายแล้ว เอาล่ะพวกเจ้าทั้งคู่เข้าไปโจมตีเขาพร้อม ๆ กันไปเลย เรื่องนี้มันจะได้จบไว ๆ ข้าจะได้กลับคฤหาสน์ของข้าได้สักที! เฟิงถอยมาข้าง ๆ ข้า”

เสียวเยว่เฟิงรีบย้ายไปที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิงเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น

เมื่อโม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนได้รับคำสั่ง พวกเขาต่างพยักหน้ารับทราบและพุ่งเข้าโจมตีหลูซ่างเก๋อพร้อมกันทันที

หลิงตู้ฉิงในตอนนี้ที่กำลังดูการรุมสกรัมหลูซ่างเก๋อ เขาหันหลังให้เหลียงซานและจางหมิงราวกับว่าเขาไม่แยแสใด ๆ เลยว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งสวรรค์อยู่ข้างหลัง

จางหมิงมองไปที่เหลียงซานและถามเขาผ่านทางโทรจิต “ฝ่าบาท ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะลงมือ ตอนนี้ที่ข้างกายของหลิงตู้ฉิงมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 6 คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ข้าง ๆ”

เหลียงซานส่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว “อย่าเพิ่งโจมตีเด็ดขาด! เจ้าคิดว่าคนอย่างเขามันดูเหมือนคนรนหาที่ตายมากนักรึไง ตอนนี้เราต้องคอยจับตาดูสถานการณ์เฉย ๆ ไว้ก่อน!”

ในเวลานี้โม่หยูถังได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาอย่างสมบูรณ์ จนระดับพลังของเขาตอนนี้อยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตนภาระดับ 13 ส่วนทางด้านซือโถวเหวินหยวนเองก็ได้นำสมบัติวิเศษระดับราชวงศ์ของเขาออกมาเช่นกัน ซึ่งมันคือจี้หยกหรูอวี้

เมื่อเผชิญกับการโจมตีของสองตัวตนที่มีพลังเทียบเคียงกับเขาได้ หลูซ่างเก๋อกลัวจนหน้าซีดเผือด เขาหันกลับและเตรียมจะบินหนีทันที

“บ้าเอ๊ย ทำไมพวกเจ้าถึงไม่โจมตี? พวกเจ้ากำลังรออะไรกันอยู่?” หลูซ่างเก๋อตะโกน

น่าเสียดายที่จางหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง อย่างไรก็ตามมีเงาที่พุ่งเข้าหารถม้าของหลิงตู้ฉิง เงานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 9 อย่างไรก็ตามเมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 9 พุ่งเข้าหาหลิงตู้ฉิง ประตูรถม้าก็เปิดออกและผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นก็หายวับเข้าไปในรถม้าและหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเห็นสถานการณ์แปลก ๆ เช่นนี้เหลียงซานและจางหมิงก็เหล่ตาและมองหน้ากัน

พวกเขาที่ไม่กล้าที่จะลงมือก่อนหน้านี้และเมื่อพวกเขายิ่งเห็นภาพเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าที่จะทำอะไรอีกต่อไป

และภาพนี้ก็ถูกเห็นโดยสายตาของผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่ซุ่มดูรอจังหวะอยู่เช่นกัน ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นแบบนี้ พวกเขาก็ต่างพากันเลิกความคิดที่จะเคลื่อนไหว

ในขณะนี้บนท้องฟ้า โม่หยูถังรู้ว่าเขามีเวลาเพียงลมหายใจเดียวในการใช้พลัง ดังนั้นในช่วงเวลาที่เขาโจมตี เขาจึงเร่งโคจรพลังวิญญาณที่มีทั้งหมดใส่ไว้ในหอกทะลวงเมฆา และโจมตีออกไปกลายเป็นภาพเงาหอกปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ซึ่งยากที่คนธรรมดาจะแยกแยะได้ว่าเงาไหนของจริงหรือเงาไหนของปลอม

ส่วนทางด้านของซือโถวเหวินหยวน ที่ในตอนนี้เขาเร่งโคจรพลังวิญญาณใส่เข้าไปในจี้หยกหรูอี้ และใช้มันวาดอักขระมนตรา ‘กักขัง’ ขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาส่งอักขระที่วาดขึ้นพุ่งไปล้อมรอบยังร่างของหลูซ่างเก๋อ

ทั้งโม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ถือว่าเป็นยอดหัวกะทิอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าควรจะร่วมมือกันอย่างไรถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ภายใต้การล้อมรอบของอักขระกักขังของซือโถวเหวินหยวน หลูซ่างเก๋อจึงไม่สามารถหลบหนีได้ เขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ในขณะที่กำลังถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานจู่ ๆ ก็ได้มีเสียงเข้ามาในหูของเขา “อย่าพึ่งตื่นตระหนก เส้นลมปราณของโม่หยูถังและจุดตันเถียนของเขาได้พิการไปแล้ว เขาไม่สามารถต่อสู้ได้นานสักเท่าไหร่หรอก”

พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้นาน?

หลูซ่างเก๋อเมื่อได้รู้เช่นนั้น เขาจึงรีบโคจรพลังวิญญาณให้ถึงขีดสุดทันทีพร้อมกับเผยร่างอันแท้จริง

เมื่อร่างกายอันแท้จริงของหลูซ่างเก๋อปรากฎขึ้น ภาพที่ปรากฎคือร่างของเขากลายเป็นกวางสีเทาตัวขนาดมหึมามีร่างสูงถึง 6 เมตร ทั้งร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณแห่งพงไพร

พร้อมกันนั้น หลูซ่างเก๋อที่กลายร่างเสร็จเรียบร้อยในชั่วพริบตาเขาปล่อยพลังวิญญาณของตนเข้าปะทะกับบรรดาเงาหอกที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเป็นห่าฝน เขารู้ดีว่าหากเขารอดจากการโจมตีนี้ของโม่หยูถังเมื่อไหร่ เขาจะกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้งแน่นอน เนื่องจากโม่หยูถังจะหมดพลัง และจะไม่เป็นภัยคุกคามของเขาอีก ซึ่งจะเหลือแค่เพียงซือโถวเหวินหยวนคนเดียวที่เหลืออยู่

แต่แล้วในขณะที่เขากำลังฝันหวาน เสียงของโม่หยูถังได้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาลอยเข้าหูของเขา “ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยร่างที่แท้จริงของตัวเอง ข้าคงจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อยที่จะฆ่าเจ้า แต่ตอนนี้…”

โม่หยูถังที่ไม่กล่าวจนจบประโยค เขาจับหอกทะลวงเมฆาแน่นพร้อมกับใช้พลังอสูรที่อยู่ในหอกเคลื่อนที่ภายในพริบตา หายเข้าไปอยู่ใต้ท้องของหลูซ่างเก๋อ และแทงเข้าใส่ทันที

หลูซ่างเก๋อที่เผชิญกับการโจมตีที่จวนตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถหลบได้ หอกทะลวงเมฆาที่แทงเข้ามาทะลุเข้าไปในช่องท้องเขาอย่างจัง แต่โชคดีที่ร่างกายของเขามีขนาดมโหฬาร ดังนั้นแม้ว่าหอกทะลวงเมฆาจะแทงเข้ามา แต่ถ้าเทียบรอยแทงของหอกกับร่างกายของเขาแล้วมันก็เป็นเพียงแค่แผลเล็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว หลูซ่างเก๋อก็เข้าใจได้ทันทีว่าความน่ากลัวของการโจมตีโม่หยูถังเมื่อสักครู่นั้นอันที่จริงแล้วมันคือพลังวิญญาณอสูรของโม่หยูถังต่างหากที่ถูกส่งเข้ามาในร่างกายของเขาผ่านหอกที่แทงเข้ามาเมื่อสักครู่

“เอาล่ะตาเจ้ารับช่วงต่อแล้ว!” พูดจบโม่หยูถังเก็บหอกทะลวงเมฆาของตนเองกลับเข้าร่าง จากนั้นเขาจึงถอยกลับไปยืนที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง

จางหมิงมองไปที่เหลียงซาน ซึ่งกำลังยืนส่ายหัว

ในทางกลับกัน โม่หยูถังตอนนี้ได้กลายเป็นชายชราธรรมดาอีกครั้ง และเฝ้าดูการต่อสู้บนฟ้าของซือโถวเหวินหยวนกับหลิงตู้ฉิงด้วยท่าทีสงบ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 206 เชือดกวาง

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 206 เชือดกวาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206 เชือดกวาง

เมื่อเห็นหลูซ่างเก๋อปรากฎตัว หลิงตู้ฉิงก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาจับมือของเหลียงเฟ่ยเอ๋อและพานางไปยังประตูรถม้า

เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดอย่างประหม่า “สามี…”

หลิงตู้ฉิงผลักตัวเหลียงเฟ่ยเอ๋อเข้าไปในรถม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ ซึ่งเหลียงเฟ่ยเอ๋อก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรและเดินเข้าไปในรถม้าแต่โดยดี

“ฝ่าบาท ข้าคือหลูซ่างเก๋อ จากสันเขาหมื่นอสูร ข้ารู้ว่าฝ่าบาทเป็นผู้ที่มาจากยอดเขาหยกจักรพรรดิ แต่เรื่องที่ข้ามานั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสถานที่ที่ฝ่าบาทจากมา จุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะนายน้อยของข้าได้สั่งให้ข้ามาหาท่านเพื่อเจรจาสู่ขอองค์หญิงของอาณาจักรของฝ่าบาท ข้าสงสัยว่าฝ่าบาทมีความเห็นว่าอย่างไร? หากฝ่าบาทเห็นด้วย พวกเราสันเขาหมื่นอสูรจะเป็นพันธมิตรกับท่านและจะให้การสนับสนุนอาณาจักรของฝ่าบาทในทุก ๆ ด้าน” หลูซ่างเก๋อยิ้มให้เหลียงซาน

เหลียงซานกะพริบตาก่อนที่เขาจะพูดว่า “นายน้อยของท่าน?”

หลูซ่างเก๋อหัวเราะ “นายน้อยของข้าคือโอรสสวรรค์แห่งสันเขาหมื่นอสูร เขาคือบุตรชายขององค์เหนือหัวคุนเป๋ง ผู้ปกครองสันเขาหมื่นอสูร”

“อ่า ที่แท้ก็บุตรชายของท่านคุนเป๋งนั่นเอง ข้าได้ยินชื่อเขามานานแล้ว!” เหลียงซานพูดด้วยรอยยิ้ม

หลูซ่างเก๋อหัวเราะ “นายน้อยของข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสันเขาหมื่นอสูรของเรา หากท่านได้รับความช่วยเหลือจากนายน้อย ท่านก็มั่นใจได้เลยว่าเป้าหมายต่าง ๆ ที่ท่านปราถนาอยู่ในตอนนี้มันจะต้องเป็นจริงได้อย่างแน่นอน”

เหลียงซานพยักหน้าอย่างครุ่นคิดและถามว่า “ข้าสงสัยว่าองค์หญิงองค์ใดที่นายน้อยของท่านต้องการแต่งงานด้วย?”

อันที่จริงแล้วก่อนที่จะถามคำถามนี้ เหลียงซานเองก็พอที่จะเดาออกได้เช่นกันว่าตัวตนอย่างโอรสสวรรค์แห่งสันเขาหมื่นอสูร มีหรือที่จะสนใจองค์หญิงธรรมดา ๆ ท้ายที่สุดก็คงมีเพียงแต่เหลียงเฟ่ยเอ๋อเท่านั้นที่เขาหมายปอง เนื่องจากที่นางเป็นผู้มีกายาแก่นแท้ปฐพี

แต่ที่เขาถามคำถามนี้ขึ้นมานั่นก็เพราะว่าเขาต้องการให้หลูซ่างเก๋อพูดเสนอออกมาก่อนเพื่อที่เขาจะได้ต่อรองหาผลประโยชน์ได้มากขึ้น

หลูซ่างเก๋อยิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่าเราสามารถนั่งคุยกันเรื่องข้อเสนอในการแต่งงานกับองค์หญิงได้ในภายหลัง เนื่องจากก่อนหน้านี้ข้าสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังดูหมิ่นพระองค์อยู่ ในฐานะที่ฝ่าบาทและนายน้อยของข้าเองก็อาจจะได้เป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันในอนาคต ฉะนั้นข้าเองในฐานะข้ารับใช้ก็มีหน้าที่ช่วยปกป้องพระเกียรติของฝ่าบาทเช่นกัน”

“โอ้!” เหลียงซานไม่ได้แสดงความคิดเห็น

เหลียงซานเองในตอนนี้ยังไม่สามารถสลัดความสงสัยของเขาที่มีต่อหลิงตู้ฉิงได้ เขาจึงยังไม่อยากจะทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยตนเอง

เขายังคงข้องใจว่าทำไมคนจากสำนักเก้าเทพอสูรและสำนักเต๋าสวรรค์จึงติดตามรับใช้หลิงตู้ฉิง?

ถ้าหลิงตู้ฉิงเป็นคนจากสำนักเก้าเทพอสูร แล้วหลิงตู้ฉิงไปมีความเกี่ยวข้องกับสำนักเต๋าสวรรค์ได้อย่างไร?

นอกจากนี้จากหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น บ่งบอกได้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่ใช่คนที่โง่เง่า

เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากกดดันเขา ซึ่งทำให้หลิงตู้ฉิงต้องเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในคฤหาสน์เป็นเวลากว่า 2 เดือน

แต่ตอนนี้หลิงตู้ฉิงได้ออกมาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นไปไม่ได้ที่หลิงตู้ฉิงจะไม่รู้ว่ายังมีศัตรูที่แข็งแกร่งอีกมากมายที่รอโอกาสชิงตัวผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์

และที่สำคัญมันก็มีตั้งหลายหนแล้วที่มีผู้บุกเข้าไปประจันหน้าเขาถึงในคฤหาสน์เลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นถ้าหลิงตู้ฉิงกล้าที่จะจากคฤหาสน์แบบนี้ นั่นก็แสดงว่าเขาจะต้องมีความมั่นใจว่าเขาจะต้องไม่มีอันตรายอะไรแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ แม้ว่าเหลียงซานต้องการที่จะฆ่าหลิงตู้ฉิง แต่เขาก็ยังคงอดกลั้นไว้

ในฐานะจักรพรรดิ ถ้าเขาไม่มีความสามารถที่จะอดทน เขาก็คงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอยู่ถึงวันนี้

เขาจึงตั้งใจว่าจะเฝ้าดูจนกระทั่งหลิงตู้ฉิงไม่สามารถต่อสู้กลับได้อีกต่อไปแล้วเขาถึงจะช่วยลงมือ

หลูซ่างเก๋อเองตอนนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้สึกงุนงงว่าทำไมการแสดงออกของเหลียงซานถึงดูไม่ค่อยจะกระตือรือร้นอะไรสักเท่าไหร่?

นี่มันไม่ชัดเจนอยู่หรอกเหรอว่าพวกเขากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ?

แม้ว่าทางฝั่งหลิงตู้ฉิงจะมีผู้เชี่ยวชาญจากสำนักเต๋าสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้วยังไงล่ะ? ยังไงถ้านับเรื่องระดับการบ่มเพาะพวกเขาก็ได้เปรียบกว่าอยู่ดี

หลูซ่างเก๋อ ตอนนี้จึงเริ่มวางแผนในใจ เขาจินตนาการไว้ว่าหากเขาสามารถจัดการกับซือโถวเหวินหยวนได้ ด้วยตัวตนของเหลียงซานเขาจะต้องมีไม้เด็ดอะไรบางอย่างอยู่แล้ว ฉะนั้นสำหรับโม่หยูถังทางเหลียงซานคงน่าจะรับมือได้ไม่มีปัญหา และถ้าหากสองคนนี้ถูกกำจัดออกไป สำหรับคนอื่น ๆ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล

และเมื่อจบเรื่องนี้หากเขาสามารถพาเหลียงเฟ่ยเอ๋อกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรได้ ความผิดของเขาที่เคยก่อมาในอดีตก็จะหมดไปและเขายังสามารถได้รับความโปรดปรานจากบุตรชายขององค์เหนือหัวคุนเป๋งอีกด้วย

“ฝ่าบาท ข้าเคยเจอกับซือโถวมาแล้ว 2-3 ครั้ง ทำไมไม่ปล่อยเขาให้ข้าเป็นผู้จัดการล่ะ” หลูซ่างเก๋อพยายามที่จะโยนหินถามทาง

เหลียงซานยังคงพูดอย่างไม่คิดว่า “เอาแบบนั้นมันจะดีเหรอ?”

จางหมิงมองไปที่เหลียงซานโดยไม่รู้ว่าเหลียงซานหมายถึงอะไร ในความคิดของเขานี่มันคือโอกาสอันดีแล้วที่พวกเขาจะลงมือ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเช่นนั้นแต่ด้วยสถานะที่เขาอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนเหลียงซาน ดังนั้นเขาจึงต้องฟังคำสั่งของเหลียงซานต่อไป

ในอีกด้านหนึ่งหลิงตู้ฉิงและโม่หยูถังไม่ได้ขัดจังหวะพวกเขาเลย หลิงตู้ฉิงปล่อยให้ หลูซ่างเก๋อและเหลียงซานพูดคุยแลกเปลี่ยนแผนกันได้อย่างเต็มที่

แต่เมื่อเห็นว่าหลูซ่างเก๋อไม่ได้รับการสนับสนุน หลิงตู้ฉิงจึงพูดว่า “ถึงเวลาที่เขาต้องตายแล้ว เอาล่ะพวกเจ้าทั้งคู่เข้าไปโจมตีเขาพร้อม ๆ กันไปเลย เรื่องนี้มันจะได้จบไว ๆ ข้าจะได้กลับคฤหาสน์ของข้าได้สักที! เฟิงถอยมาข้าง ๆ ข้า”

เสียวเยว่เฟิงรีบย้ายไปที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิงเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น

เมื่อโม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนได้รับคำสั่ง พวกเขาต่างพยักหน้ารับทราบและพุ่งเข้าโจมตีหลูซ่างเก๋อพร้อมกันทันที

หลิงตู้ฉิงในตอนนี้ที่กำลังดูการรุมสกรัมหลูซ่างเก๋อ เขาหันหลังให้เหลียงซานและจางหมิงราวกับว่าเขาไม่แยแสใด ๆ เลยว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งสวรรค์อยู่ข้างหลัง

จางหมิงมองไปที่เหลียงซานและถามเขาผ่านทางโทรจิต “ฝ่าบาท ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะลงมือ ตอนนี้ที่ข้างกายของหลิงตู้ฉิงมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 6 คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ข้าง ๆ”

เหลียงซานส่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว “อย่าเพิ่งโจมตีเด็ดขาด! เจ้าคิดว่าคนอย่างเขามันดูเหมือนคนรนหาที่ตายมากนักรึไง ตอนนี้เราต้องคอยจับตาดูสถานการณ์เฉย ๆ ไว้ก่อน!”

ในเวลานี้โม่หยูถังได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาอย่างสมบูรณ์ จนระดับพลังของเขาตอนนี้อยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตนภาระดับ 13 ส่วนทางด้านซือโถวเหวินหยวนเองก็ได้นำสมบัติวิเศษระดับราชวงศ์ของเขาออกมาเช่นกัน ซึ่งมันคือจี้หยกหรูอวี้

เมื่อเผชิญกับการโจมตีของสองตัวตนที่มีพลังเทียบเคียงกับเขาได้ หลูซ่างเก๋อกลัวจนหน้าซีดเผือด เขาหันกลับและเตรียมจะบินหนีทันที

“บ้าเอ๊ย ทำไมพวกเจ้าถึงไม่โจมตี? พวกเจ้ากำลังรออะไรกันอยู่?” หลูซ่างเก๋อตะโกน

น่าเสียดายที่จางหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง อย่างไรก็ตามมีเงาที่พุ่งเข้าหารถม้าของหลิงตู้ฉิง เงานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 9 อย่างไรก็ตามเมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับ 9 พุ่งเข้าหาหลิงตู้ฉิง ประตูรถม้าก็เปิดออกและผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นก็หายวับเข้าไปในรถม้าและหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเห็นสถานการณ์แปลก ๆ เช่นนี้เหลียงซานและจางหมิงก็เหล่ตาและมองหน้ากัน

พวกเขาที่ไม่กล้าที่จะลงมือก่อนหน้านี้และเมื่อพวกเขายิ่งเห็นภาพเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าที่จะทำอะไรอีกต่อไป

และภาพนี้ก็ถูกเห็นโดยสายตาของผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่ซุ่มดูรอจังหวะอยู่เช่นกัน ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นแบบนี้ พวกเขาก็ต่างพากันเลิกความคิดที่จะเคลื่อนไหว

ในขณะนี้บนท้องฟ้า โม่หยูถังรู้ว่าเขามีเวลาเพียงลมหายใจเดียวในการใช้พลัง ดังนั้นในช่วงเวลาที่เขาโจมตี เขาจึงเร่งโคจรพลังวิญญาณที่มีทั้งหมดใส่ไว้ในหอกทะลวงเมฆา และโจมตีออกไปกลายเป็นภาพเงาหอกปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ซึ่งยากที่คนธรรมดาจะแยกแยะได้ว่าเงาไหนของจริงหรือเงาไหนของปลอม

ส่วนทางด้านของซือโถวเหวินหยวน ที่ในตอนนี้เขาเร่งโคจรพลังวิญญาณใส่เข้าไปในจี้หยกหรูอี้ และใช้มันวาดอักขระมนตรา ‘กักขัง’ ขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาส่งอักขระที่วาดขึ้นพุ่งไปล้อมรอบยังร่างของหลูซ่างเก๋อ

ทั้งโม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ถือว่าเป็นยอดหัวกะทิอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าควรจะร่วมมือกันอย่างไรถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ภายใต้การล้อมรอบของอักขระกักขังของซือโถวเหวินหยวน หลูซ่างเก๋อจึงไม่สามารถหลบหนีได้ เขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ในขณะที่กำลังถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานจู่ ๆ ก็ได้มีเสียงเข้ามาในหูของเขา “อย่าพึ่งตื่นตระหนก เส้นลมปราณของโม่หยูถังและจุดตันเถียนของเขาได้พิการไปแล้ว เขาไม่สามารถต่อสู้ได้นานสักเท่าไหร่หรอก”

พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้นาน?

หลูซ่างเก๋อเมื่อได้รู้เช่นนั้น เขาจึงรีบโคจรพลังวิญญาณให้ถึงขีดสุดทันทีพร้อมกับเผยร่างอันแท้จริง

เมื่อร่างกายอันแท้จริงของหลูซ่างเก๋อปรากฎขึ้น ภาพที่ปรากฎคือร่างของเขากลายเป็นกวางสีเทาตัวขนาดมหึมามีร่างสูงถึง 6 เมตร ทั้งร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณแห่งพงไพร

พร้อมกันนั้น หลูซ่างเก๋อที่กลายร่างเสร็จเรียบร้อยในชั่วพริบตาเขาปล่อยพลังวิญญาณของตนเข้าปะทะกับบรรดาเงาหอกที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเป็นห่าฝน เขารู้ดีว่าหากเขารอดจากการโจมตีนี้ของโม่หยูถังเมื่อไหร่ เขาจะกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้งแน่นอน เนื่องจากโม่หยูถังจะหมดพลัง และจะไม่เป็นภัยคุกคามของเขาอีก ซึ่งจะเหลือแค่เพียงซือโถวเหวินหยวนคนเดียวที่เหลืออยู่

แต่แล้วในขณะที่เขากำลังฝันหวาน เสียงของโม่หยูถังได้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาลอยเข้าหูของเขา “ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยร่างที่แท้จริงของตัวเอง ข้าคงจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อยที่จะฆ่าเจ้า แต่ตอนนี้…”

โม่หยูถังที่ไม่กล่าวจนจบประโยค เขาจับหอกทะลวงเมฆาแน่นพร้อมกับใช้พลังอสูรที่อยู่ในหอกเคลื่อนที่ภายในพริบตา หายเข้าไปอยู่ใต้ท้องของหลูซ่างเก๋อ และแทงเข้าใส่ทันที

หลูซ่างเก๋อที่เผชิญกับการโจมตีที่จวนตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถหลบได้ หอกทะลวงเมฆาที่แทงเข้ามาทะลุเข้าไปในช่องท้องเขาอย่างจัง แต่โชคดีที่ร่างกายของเขามีขนาดมโหฬาร ดังนั้นแม้ว่าหอกทะลวงเมฆาจะแทงเข้ามา แต่ถ้าเทียบรอยแทงของหอกกับร่างกายของเขาแล้วมันก็เป็นเพียงแค่แผลเล็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว หลูซ่างเก๋อก็เข้าใจได้ทันทีว่าความน่ากลัวของการโจมตีโม่หยูถังเมื่อสักครู่นั้นอันที่จริงแล้วมันคือพลังวิญญาณอสูรของโม่หยูถังต่างหากที่ถูกส่งเข้ามาในร่างกายของเขาผ่านหอกที่แทงเข้ามาเมื่อสักครู่

“เอาล่ะตาเจ้ารับช่วงต่อแล้ว!” พูดจบโม่หยูถังเก็บหอกทะลวงเมฆาของตนเองกลับเข้าร่าง จากนั้นเขาจึงถอยกลับไปยืนที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง

จางหมิงมองไปที่เหลียงซาน ซึ่งกำลังยืนส่ายหัว

ในทางกลับกัน โม่หยูถังตอนนี้ได้กลายเป็นชายชราธรรมดาอีกครั้ง และเฝ้าดูการต่อสู้บนฟ้าของซือโถวเหวินหยวนกับหลิงตู้ฉิงด้วยท่าทีสงบ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+