พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร ภายในรถม้า สีเป่ยเซียะมองคู่พ่อลูกด้วยความประหลาดใจ นางอดไม่ได้ที่จะเตือนหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เจ้ารู้ตัวอยู่ใช่ไหม ว่าลูกของเจ้ากำลังจะออกไปเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ แถมยังไม่รวมกับกองทัพที่เขาพามาอีกนับหมื่น?” *ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ คือ ระดับ3ของขอบเขตสวรรค์ ตามรายงานข่าวของอาณาจักรอี้จิ๋นที่นางเคยอ่านผ่าน ๆ สีเป่ยเซียะจึงเดาได้ว่ากองทัพของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นกองทัพเต่าดำของอาณาจักรมังกรทะยาน กองทัพเต่าดำ คือหนึ่งในกองทัพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในอาณาจักรมังกรทะยาน และด้วยกำลังรบขนาดนี้ที่ฝั่งตรงข้ามขนมา มันจะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่กองทัพของลูกชายหลิงตู้ฉิงจะรับมือไหว หลิงตู้ฉิงโต้กลับ “เจ้ารู้จักค่ายกลรบขนาดไหน?” “คิดจะลองภูมิข้างั้นเหรอ?” สีเป่ยเซียะหน้ามุ่ย “มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นวิธีการประสานพลังกันของผู้คนจำนวนมากให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสำแดงอำนาจที่เหนือกว่าตัวพวกเขาเองไม่ใช่รึไง?” หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ผลของค่ายกลรบก็คือการให้โอกาสผู้ที่อ่อนแอจำนวนมากสามารถสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ และความแข็งแกร่งของค่ายกลรบนั้นผลของมันไม่ใช่แค่เอาความแข็งแกร่งของผู้คนในค่ายกลมาทำการ1+1ให้กลายเป็น 2 แต่ ค่ายกลรบที่ทรงพลังสามารถทำให้ 1+1 กลายเป็นมากกว่า 3 หรือมากกว่า 4 ได้ ซึ่งค่ายกลรบที่ลูกชายของข้าใช้นั้นไม่ใช่แค่ค่ายกลรบธรรมดา ๆ!” ค่ายกลรบของหลิงว่านจุนนั้นพัฒนามาจากวิชามังกรศักดิ์สิทธิ์จำแลงกายของเขา ซึ่งเมื่อนำมันมารวมกัน มันจึงกลายเป็นค่ายกลรบที่สมบูรณ์แบบ! สีเป่ยเซียะส่ายหัวและพูดว่า “ยังไงก็ไร้ประโยชน์! แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันและใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ร้อยเท่า แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถทะลุผ่านอาณาเขตสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำเป็นผู้สร้างได้อยู่ดี นอกจากนี้จากการคาดการณ์ของข้า กองทัพเต่าดำเองก็คงสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำได้เช่นกัน” “ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นไงข้าถึงให้อีกกองทัพหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังจู่โจมของพวกเขา!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม การสนทนาระหว่างทั้งสองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสนใจของคนอื่น ๆ เนื่องจากตอนนี้ทุกคนต่างก็จดจ่อกับผลการรบกองทัพของพวกเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ากองทัพของฝั่งตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลิงยี่เทียนพูดกับลั่วหยุน “ผู้อาวุโสลั่ว โปรดคอยระวังให้พี่สี่ของข้าด้วย หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้าขอให้ผู้อาวุโสโปรดเข้าไปช่วยพวกเขาทีและสังหารฝั่งตรงข้ามให้หมด” ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อย ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังคุยกับสีเป่ยเซียะหันกลับมา และพูดกับหลิงยี่เทียนหลังจากได้ยินคำพูดของเขา “พลังของเจตจำนงแห่งการสังหารในสนามรบนั้นจะต้องเกิดมาจากการรบที่อาจหาญ หากเจ้าสั่งให้ลั่วหยุนลงมือเช่นนี้ เจ้าจะทำลายสมดุลของสนามรบไปทั้งหมด ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถควบแน่นพลังที่ลั่วหยุนจะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้” หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าในอนาคตข้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะรวบรวมพลังเหล่านั้นในสนามรบ ฉะนั้นสำหรับในตอนนี้ข้าเห็นว่าความปลอดภัยของพี่สี่นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องขึ้นมา เราจะต้องตัดปัญหาทุกอย่างโดยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!” เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของลูกชายตนเองเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก ในเวลานี้ หลิงว่านจุนและกองทัพมังกรกว่าห้าหมื่น ซึ่งอยู่ข้างนอกได้ประสานค่ายกลกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ที่มีความยาวกว่า 300 เมตรเรียบร้อยแล้ว จากนั้นด้วยความไม่ประมาท หลิงว่านจุนจึงโคจรพลังของค่ายกลจนถึงจุดสูงสุด ซึ่งพวกเขาก็ได้ประจักษ์ว่าอันที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นคือระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุด ยังไงซะนี่เป็นเพียงพลังของกองทัพมังกรเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับความแข็งแกร่งของกองทัพของหลิงฉุยฟง ที่ในขณะนี้ได้หายตัวเข้าไปอยู่ในร่างของมังกรยักษ์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นร่างของหลิงว่านจุนก็ปรากฏขึ้นบนหัวของมังกรยักษ์ และเขาพูดกับปู้ไป่เต๋า “ข้าคือจอมทัพหลิงว่านจุน ผู้นำกองทัพมังกรจากอาณาจักรจันทรา!” ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงว่านจุนและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “น่าสนใจดีจริง ๆ! ถ้าพวกเจ้าต้องการเล่นงั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้า!” ตามคำสั่งของเขา กองทัพเต่าดำ 30,000 คนก็รวมตัวกันกลายเป็นเต่าสีดำขนาดมหึมา และเช่นเดียวกับที่สีเป่ยเซียะได้พูดไว้ ความแข็งแกร่งของกองทัพเต่าดำนั้นเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแล้วระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พุ่งไปถึงระดับระดับเหนือล้ำขั้นต้นเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของบรรดาทหารในกองทัพเต่าดำแต่ละคนล้วนแต่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราขึ้นไปทั้งสิ้น และเมื่อเทียบกับทหารภายในกองทัพมังกรที่บางคนยังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย ดังนั้นต่อให้แม้ว่ากองทัพมังกรจะมีคนมากกว่าแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี เมื่อกองทัพเต่าดำแห่งอาณาจักรมังกรทะยานแปรค่ายกลรบของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับกองทัพมังกรของหลิงว่านจุนทันที สำหรับปู้ไป่เต๋า เขายังไม่ได้เข้าร่วมการปะทะของกองทัพทั้งสอง เนื่องจากกองทัพของศัตรูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งแค่เพียงระดับหลุดพ้นสามัญ ซึ่งถ้าเทียบกับกองทัพเต่าดำของเขาที่อยู่ในระดับเหนือล้ำแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรกับกองทัพมังกรแน่นอน และด้วยอารมณ์ที่เขาขี้เกียจรอให้การต่อสู้ของทั้งสองกองทัพจบลง ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหารถม้าและตะโกนขึ้น “พวกเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน จงโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” เขาสัมผัสได้ว่า ‘รถม้า’ คันนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมากและเดาว่ามันน่าจะยังมีคนอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังวิญญาณของเขาและตั้งใจว่าจะยิงลำแสงดัชนีเข้าใส่รถม้าเพื่อทำลายมันและเปิดเผยคนที่อยู่ด้านใน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยลำแสง โม่เอ๋อก็ออกมาจากรถม้าและยกมือขึ้นเพื่อหยุดปู้ไป่เต๋า “ถ้าเจ้าอยากจะสู้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้า!” โม่เอ๋อยิ้ม “แต่ถ้าเจ้ายังไม่ต้องการที่จะสู้ในตอนนี้ เจ้าก็จงยืนดูทุกอย่างอยู่เฉย ๆ ไปซะ!” เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของนางตอนนี้คือระดับเหนือล้ำ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปู้ไป่เต๋า ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้นางออกมาปรามปู้ไป่เต๋าเอาไว้ก่อน เมื่อปู้ไป่เต๋าเห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับเหลือล้ำโผล่ออกมาจากในรถม้า คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน ดูจากสถานการณ์แล้ว กลุ่มคนที่มาเยือนนั้นไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขากลับมีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังติดตามมาด้วย “พวกเจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?” ปู้ไป่เต๋าถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โม่เอ๋อเหลือบมองไปที่ปู้ไป่เต๋า แล้วพูดว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าพวกข้าต้องการทำอะไร แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนดูเฉย ๆ ก็พอถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวและพูดตอบโต้อะไรต่อ เนื่องจากในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเริ่มจะแปลกมากเกินไปแล้ว แต่ถึงเขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้องมากยังไง เขาก็อยู่ในสภาวะพร้อมทุกเมื่อหากโม่เอ๋อยื่นมือเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของกองทัพทั้งสอง นี่เป็นเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพเต่าดำก็ควรจะเป็นฝ่ายชนะการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพด้านล่าง ยังไงซะ ในขณะที่กองทัพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน แสงสีแดงเลือดก็สว่างวาบไปทั่วร่างของมังกรยาว 300 เมตร ซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมังกรที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุดได้ทะลวงผ่านไปยังระดับเหนือล้ำทันที แต่ปรากฏการณ์ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ยังคงไม่หมด เนื่องจากในพริบตาถัดมาแสงสีน้ำตาลอีกดวงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นบนร่างของมังกร ซึ่งทำให้พลังป้องกันของมันเพิ่มขึ้นทันที 7-8 เท่า และจากนั้นแสงสีเขียวก็สว่างขึ้นอีกครั้งและตามมาติด ๆ ด้วยแสงสีเหลือง ซึ่งทั้งสองสีนี้เป็นตัวแทนพลังแห่งพิษและพลังชีวิตเข้าไปหลอมรวมกับร่างของมังกรยักษ์ ต่อจากนั้นแสงแห่งกฎโลหะ แสงแห่งกฎแห่งโลก… จนท้ายที่สุดแล้วกฎที่แตกต่างกันทั้งหมดถึง 17 ชนิดต่างหลอมรวมเข้าไปในร่างของมังกรขนาดมหึมา จากนั้นเมื่อหลอมรวมพลังอำนาจแห่งกฎทุกอย่างเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว มังกรยักษ์ ก็พุ่งเข้าหากองทัพเต่าดำ และใช้เล็บสีแดงอมดำของมันที่อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งเพลิงและกฎแห่งพิษ เข้าฉีกกระชากเต่าดำยักษ์ที่เกิดขึ้นจากค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำ จนค่ายกลรบของพวกเขาแตกกระจุย บรรดาทหารต่างกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าสังเวช เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการตกตะลึง แต่หลิงตู้ฉิงที่เห็นภาพเช่นนี้กลับทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “น่าเบื่อจริง ๆ! ข้าก็นึกว่าไอ้ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้นั้นมันจะเป็นผู้นำการรบด้วยตัวเอง แต่นี่มันกลับยืนเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้จุนเอ๋อจะไปมีโอกาสได้แสดงอำนาจที่แท้จริงของค่ายกลรบได้ยังไง? เฮ้อช่างเถอะ รีบจับไอ้คนพวกนี้เอาไว้แล้วรีบไปต่อกันจะดีกว่า!”

บทที่ 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร

ภายในรถม้า สีเป่ยเซียะมองคู่พ่อลูกด้วยความประหลาดใจ นางอดไม่ได้ที่จะเตือนหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เจ้ารู้ตัวอยู่ใช่ไหม ว่าลูกของเจ้ากำลังจะออกไปเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ แถมยังไม่รวมกับกองทัพที่เขาพามาอีกนับหมื่น?”

*ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ คือ ระดับ3ของขอบเขตสวรรค์

ตามรายงานข่าวของอาณาจักรอี้จิ๋นที่นางเคยอ่านผ่าน ๆ สีเป่ยเซียะจึงเดาได้ว่ากองทัพของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นกองทัพเต่าดำของอาณาจักรมังกรทะยาน กองทัพเต่าดำ คือหนึ่งในกองทัพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในอาณาจักรมังกรทะยาน และด้วยกำลังรบขนาดนี้ที่ฝั่งตรงข้ามขนมา มันจะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่กองทัพของลูกชายหลิงตู้ฉิงจะรับมือไหว

หลิงตู้ฉิงโต้กลับ “เจ้ารู้จักค่ายกลรบขนาดไหน?”

“คิดจะลองภูมิข้างั้นเหรอ?” สีเป่ยเซียะหน้ามุ่ย “มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นวิธีการประสานพลังกันของผู้คนจำนวนมากให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสำแดงอำนาจที่เหนือกว่าตัวพวกเขาเองไม่ใช่รึไง?”

หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ผลของค่ายกลรบก็คือการให้โอกาสผู้ที่อ่อนแอจำนวนมากสามารถสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ และความแข็งแกร่งของค่ายกลรบนั้นผลของมันไม่ใช่แค่เอาความแข็งแกร่งของผู้คนในค่ายกลมาทำการ1+1ให้กลายเป็น 2 แต่ ค่ายกลรบที่ทรงพลังสามารถทำให้ 1+1 กลายเป็นมากกว่า 3 หรือมากกว่า 4 ได้ ซึ่งค่ายกลรบที่ลูกชายของข้าใช้นั้นไม่ใช่แค่ค่ายกลรบธรรมดา ๆ!”

ค่ายกลรบของหลิงว่านจุนนั้นพัฒนามาจากวิชามังกรศักดิ์สิทธิ์จำแลงกายของเขา

ซึ่งเมื่อนำมันมารวมกัน มันจึงกลายเป็นค่ายกลรบที่สมบูรณ์แบบ!

สีเป่ยเซียะส่ายหัวและพูดว่า “ยังไงก็ไร้ประโยชน์! แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันและใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ร้อยเท่า แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถทะลุผ่านอาณาเขตสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำเป็นผู้สร้างได้อยู่ดี นอกจากนี้จากการคาดการณ์ของข้า กองทัพเต่าดำเองก็คงสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำได้เช่นกัน”

“ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นไงข้าถึงให้อีกกองทัพหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังจู่โจมของพวกเขา!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม

การสนทนาระหว่างทั้งสองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสนใจของคนอื่น ๆ เนื่องจากตอนนี้ทุกคนต่างก็จดจ่อกับผลการรบกองทัพของพวกเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ากองทัพของฝั่งตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

หลิงยี่เทียนพูดกับลั่วหยุน “ผู้อาวุโสลั่ว โปรดคอยระวังให้พี่สี่ของข้าด้วย หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้าขอให้ผู้อาวุโสโปรดเข้าไปช่วยพวกเขาทีและสังหารฝั่งตรงข้ามให้หมด”

ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อย

ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังคุยกับสีเป่ยเซียะหันกลับมา และพูดกับหลิงยี่เทียนหลังจากได้ยินคำพูดของเขา “พลังของเจตจำนงแห่งการสังหารในสนามรบนั้นจะต้องเกิดมาจากการรบที่อาจหาญ หากเจ้าสั่งให้ลั่วหยุนลงมือเช่นนี้ เจ้าจะทำลายสมดุลของสนามรบไปทั้งหมด ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถควบแน่นพลังที่ลั่วหยุนจะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้”

หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าในอนาคตข้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะรวบรวมพลังเหล่านั้นในสนามรบ ฉะนั้นสำหรับในตอนนี้ข้าเห็นว่าความปลอดภัยของพี่สี่นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องขึ้นมา เราจะต้องตัดปัญหาทุกอย่างโดยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของลูกชายตนเองเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก

ในเวลานี้ หลิงว่านจุนและกองทัพมังกรกว่าห้าหมื่น ซึ่งอยู่ข้างนอกได้ประสานค่ายกลกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ที่มีความยาวกว่า 300 เมตรเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นด้วยความไม่ประมาท หลิงว่านจุนจึงโคจรพลังของค่ายกลจนถึงจุดสูงสุด ซึ่งพวกเขาก็ได้ประจักษ์ว่าอันที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นคือระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุด

ยังไงซะนี่เป็นเพียงพลังของกองทัพมังกรเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับความแข็งแกร่งของกองทัพของหลิงฉุยฟง ที่ในขณะนี้ได้หายตัวเข้าไปอยู่ในร่างของมังกรยักษ์เรียบร้อยแล้ว

จากนั้นร่างของหลิงว่านจุนก็ปรากฏขึ้นบนหัวของมังกรยักษ์ และเขาพูดกับปู้ไป่เต๋า “ข้าคือจอมทัพหลิงว่านจุน ผู้นำกองทัพมังกรจากอาณาจักรจันทรา!”

ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงว่านจุนและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “น่าสนใจดีจริง ๆ! ถ้าพวกเจ้าต้องการเล่นงั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้า!”

ตามคำสั่งของเขา กองทัพเต่าดำ 30,000 คนก็รวมตัวกันกลายเป็นเต่าสีดำขนาดมหึมา

และเช่นเดียวกับที่สีเป่ยเซียะได้พูดไว้ ความแข็งแกร่งของกองทัพเต่าดำนั้นเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแล้วระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พุ่งไปถึงระดับระดับเหนือล้ำขั้นต้นเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของบรรดาทหารในกองทัพเต่าดำแต่ละคนล้วนแต่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราขึ้นไปทั้งสิ้น และเมื่อเทียบกับทหารภายในกองทัพมังกรที่บางคนยังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย ดังนั้นต่อให้แม้ว่ากองทัพมังกรจะมีคนมากกว่าแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี

เมื่อกองทัพเต่าดำแห่งอาณาจักรมังกรทะยานแปรค่ายกลรบของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับกองทัพมังกรของหลิงว่านจุนทันที

สำหรับปู้ไป่เต๋า เขายังไม่ได้เข้าร่วมการปะทะของกองทัพทั้งสอง เนื่องจากกองทัพของศัตรูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งแค่เพียงระดับหลุดพ้นสามัญ ซึ่งถ้าเทียบกับกองทัพเต่าดำของเขาที่อยู่ในระดับเหนือล้ำแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรกับกองทัพมังกรแน่นอน

และด้วยอารมณ์ที่เขาขี้เกียจรอให้การต่อสู้ของทั้งสองกองทัพจบลง ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหารถม้าและตะโกนขึ้น “พวกเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน จงโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

เขาสัมผัสได้ว่า ‘รถม้า’ คันนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมากและเดาว่ามันน่าจะยังมีคนอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังวิญญาณของเขาและตั้งใจว่าจะยิงลำแสงดัชนีเข้าใส่รถม้าเพื่อทำลายมันและเปิดเผยคนที่อยู่ด้านใน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยลำแสง โม่เอ๋อก็ออกมาจากรถม้าและยกมือขึ้นเพื่อหยุดปู้ไป่เต๋า

“ถ้าเจ้าอยากจะสู้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้า!” โม่เอ๋อยิ้ม “แต่ถ้าเจ้ายังไม่ต้องการที่จะสู้ในตอนนี้ เจ้าก็จงยืนดูทุกอย่างอยู่เฉย ๆ ไปซะ!”

เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของนางตอนนี้คือระดับเหนือล้ำ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปู้ไป่เต๋า ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้นางออกมาปรามปู้ไป่เต๋าเอาไว้ก่อน

เมื่อปู้ไป่เต๋าเห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับเหลือล้ำโผล่ออกมาจากในรถม้า คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน

ดูจากสถานการณ์แล้ว กลุ่มคนที่มาเยือนนั้นไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขากลับมีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังติดตามมาด้วย

“พวกเจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?” ปู้ไป่เต๋าถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

โม่เอ๋อเหลือบมองไปที่ปู้ไป่เต๋า แล้วพูดว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าพวกข้าต้องการทำอะไร แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนดูเฉย ๆ ก็พอถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวและพูดตอบโต้อะไรต่อ เนื่องจากในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเริ่มจะแปลกมากเกินไปแล้ว

แต่ถึงเขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้องมากยังไง เขาก็อยู่ในสภาวะพร้อมทุกเมื่อหากโม่เอ๋อยื่นมือเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของกองทัพทั้งสอง

นี่เป็นเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพเต่าดำก็ควรจะเป็นฝ่ายชนะการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพด้านล่าง

ยังไงซะ ในขณะที่กองทัพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน แสงสีแดงเลือดก็สว่างวาบไปทั่วร่างของมังกรยาว 300 เมตร ซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมังกรที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุดได้ทะลวงผ่านไปยังระดับเหนือล้ำทันที

แต่ปรากฏการณ์ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ยังคงไม่หมด เนื่องจากในพริบตาถัดมาแสงสีน้ำตาลอีกดวงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นบนร่างของมังกร ซึ่งทำให้พลังป้องกันของมันเพิ่มขึ้นทันที 7-8 เท่า และจากนั้นแสงสีเขียวก็สว่างขึ้นอีกครั้งและตามมาติด ๆ ด้วยแสงสีเหลือง ซึ่งทั้งสองสีนี้เป็นตัวแทนพลังแห่งพิษและพลังชีวิตเข้าไปหลอมรวมกับร่างของมังกรยักษ์ ต่อจากนั้นแสงแห่งกฎโลหะ แสงแห่งกฎแห่งโลก… จนท้ายที่สุดแล้วกฎที่แตกต่างกันทั้งหมดถึง 17 ชนิดต่างหลอมรวมเข้าไปในร่างของมังกรขนาดมหึมา

จากนั้นเมื่อหลอมรวมพลังอำนาจแห่งกฎทุกอย่างเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว มังกรยักษ์ ก็พุ่งเข้าหากองทัพเต่าดำ และใช้เล็บสีแดงอมดำของมันที่อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งเพลิงและกฎแห่งพิษ เข้าฉีกกระชากเต่าดำยักษ์ที่เกิดขึ้นจากค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำ จนค่ายกลรบของพวกเขาแตกกระจุย บรรดาทหารต่างกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าสังเวช

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการตกตะลึง

แต่หลิงตู้ฉิงที่เห็นภาพเช่นนี้กลับทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “น่าเบื่อจริง ๆ! ข้าก็นึกว่าไอ้ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้นั้นมันจะเป็นผู้นำการรบด้วยตัวเอง แต่นี่มันกลับยืนเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้จุนเอ๋อจะไปมีโอกาสได้แสดงอำนาจที่แท้จริงของค่ายกลรบได้ยังไง? เฮ้อช่างเถอะ รีบจับไอ้คนพวกนี้เอาไว้แล้วรีบไปต่อกันจะดีกว่า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร ภายในรถม้า สีเป่ยเซียะมองคู่พ่อลูกด้วยความประหลาดใจ นางอดไม่ได้ที่จะเตือนหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เจ้ารู้ตัวอยู่ใช่ไหม ว่าลูกของเจ้ากำลังจะออกไปเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ แถมยังไม่รวมกับกองทัพที่เขาพามาอีกนับหมื่น?” *ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ คือ ระดับ3ของขอบเขตสวรรค์ ตามรายงานข่าวของอาณาจักรอี้จิ๋นที่นางเคยอ่านผ่าน ๆ สีเป่ยเซียะจึงเดาได้ว่ากองทัพของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นกองทัพเต่าดำของอาณาจักรมังกรทะยาน กองทัพเต่าดำ คือหนึ่งในกองทัพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในอาณาจักรมังกรทะยาน และด้วยกำลังรบขนาดนี้ที่ฝั่งตรงข้ามขนมา มันจะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่กองทัพของลูกชายหลิงตู้ฉิงจะรับมือไหว หลิงตู้ฉิงโต้กลับ “เจ้ารู้จักค่ายกลรบขนาดไหน?” “คิดจะลองภูมิข้างั้นเหรอ?” สีเป่ยเซียะหน้ามุ่ย “มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นวิธีการประสานพลังกันของผู้คนจำนวนมากให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสำแดงอำนาจที่เหนือกว่าตัวพวกเขาเองไม่ใช่รึไง?” หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ผลของค่ายกลรบก็คือการให้โอกาสผู้ที่อ่อนแอจำนวนมากสามารถสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ และความแข็งแกร่งของค่ายกลรบนั้นผลของมันไม่ใช่แค่เอาความแข็งแกร่งของผู้คนในค่ายกลมาทำการ1+1ให้กลายเป็น 2 แต่ ค่ายกลรบที่ทรงพลังสามารถทำให้ 1+1 กลายเป็นมากกว่า 3 หรือมากกว่า 4 ได้ ซึ่งค่ายกลรบที่ลูกชายของข้าใช้นั้นไม่ใช่แค่ค่ายกลรบธรรมดา ๆ!” ค่ายกลรบของหลิงว่านจุนนั้นพัฒนามาจากวิชามังกรศักดิ์สิทธิ์จำแลงกายของเขา ซึ่งเมื่อนำมันมารวมกัน มันจึงกลายเป็นค่ายกลรบที่สมบูรณ์แบบ! สีเป่ยเซียะส่ายหัวและพูดว่า “ยังไงก็ไร้ประโยชน์! แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันและใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ร้อยเท่า แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถทะลุผ่านอาณาเขตสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำเป็นผู้สร้างได้อยู่ดี นอกจากนี้จากการคาดการณ์ของข้า กองทัพเต่าดำเองก็คงสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำได้เช่นกัน” “ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นไงข้าถึงให้อีกกองทัพหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังจู่โจมของพวกเขา!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม การสนทนาระหว่างทั้งสองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสนใจของคนอื่น ๆ เนื่องจากตอนนี้ทุกคนต่างก็จดจ่อกับผลการรบกองทัพของพวกเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ากองทัพของฝั่งตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลิงยี่เทียนพูดกับลั่วหยุน “ผู้อาวุโสลั่ว โปรดคอยระวังให้พี่สี่ของข้าด้วย หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้าขอให้ผู้อาวุโสโปรดเข้าไปช่วยพวกเขาทีและสังหารฝั่งตรงข้ามให้หมด” ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อย ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังคุยกับสีเป่ยเซียะหันกลับมา และพูดกับหลิงยี่เทียนหลังจากได้ยินคำพูดของเขา “พลังของเจตจำนงแห่งการสังหารในสนามรบนั้นจะต้องเกิดมาจากการรบที่อาจหาญ หากเจ้าสั่งให้ลั่วหยุนลงมือเช่นนี้ เจ้าจะทำลายสมดุลของสนามรบไปทั้งหมด ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถควบแน่นพลังที่ลั่วหยุนจะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้” หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าในอนาคตข้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะรวบรวมพลังเหล่านั้นในสนามรบ ฉะนั้นสำหรับในตอนนี้ข้าเห็นว่าความปลอดภัยของพี่สี่นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องขึ้นมา เราจะต้องตัดปัญหาทุกอย่างโดยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!” เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของลูกชายตนเองเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก ในเวลานี้ หลิงว่านจุนและกองทัพมังกรกว่าห้าหมื่น ซึ่งอยู่ข้างนอกได้ประสานค่ายกลกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ที่มีความยาวกว่า 300 เมตรเรียบร้อยแล้ว จากนั้นด้วยความไม่ประมาท หลิงว่านจุนจึงโคจรพลังของค่ายกลจนถึงจุดสูงสุด ซึ่งพวกเขาก็ได้ประจักษ์ว่าอันที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นคือระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุด ยังไงซะนี่เป็นเพียงพลังของกองทัพมังกรเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับความแข็งแกร่งของกองทัพของหลิงฉุยฟง ที่ในขณะนี้ได้หายตัวเข้าไปอยู่ในร่างของมังกรยักษ์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นร่างของหลิงว่านจุนก็ปรากฏขึ้นบนหัวของมังกรยักษ์ และเขาพูดกับปู้ไป่เต๋า “ข้าคือจอมทัพหลิงว่านจุน ผู้นำกองทัพมังกรจากอาณาจักรจันทรา!” ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงว่านจุนและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “น่าสนใจดีจริง ๆ! ถ้าพวกเจ้าต้องการเล่นงั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้า!” ตามคำสั่งของเขา กองทัพเต่าดำ 30,000 คนก็รวมตัวกันกลายเป็นเต่าสีดำขนาดมหึมา และเช่นเดียวกับที่สีเป่ยเซียะได้พูดไว้ ความแข็งแกร่งของกองทัพเต่าดำนั้นเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแล้วระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พุ่งไปถึงระดับระดับเหนือล้ำขั้นต้นเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของบรรดาทหารในกองทัพเต่าดำแต่ละคนล้วนแต่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราขึ้นไปทั้งสิ้น และเมื่อเทียบกับทหารภายในกองทัพมังกรที่บางคนยังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย ดังนั้นต่อให้แม้ว่ากองทัพมังกรจะมีคนมากกว่าแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี เมื่อกองทัพเต่าดำแห่งอาณาจักรมังกรทะยานแปรค่ายกลรบของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับกองทัพมังกรของหลิงว่านจุนทันที สำหรับปู้ไป่เต๋า เขายังไม่ได้เข้าร่วมการปะทะของกองทัพทั้งสอง เนื่องจากกองทัพของศัตรูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งแค่เพียงระดับหลุดพ้นสามัญ ซึ่งถ้าเทียบกับกองทัพเต่าดำของเขาที่อยู่ในระดับเหนือล้ำแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรกับกองทัพมังกรแน่นอน และด้วยอารมณ์ที่เขาขี้เกียจรอให้การต่อสู้ของทั้งสองกองทัพจบลง ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหารถม้าและตะโกนขึ้น “พวกเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน จงโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” เขาสัมผัสได้ว่า ‘รถม้า’ คันนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมากและเดาว่ามันน่าจะยังมีคนอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังวิญญาณของเขาและตั้งใจว่าจะยิงลำแสงดัชนีเข้าใส่รถม้าเพื่อทำลายมันและเปิดเผยคนที่อยู่ด้านใน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยลำแสง โม่เอ๋อก็ออกมาจากรถม้าและยกมือขึ้นเพื่อหยุดปู้ไป่เต๋า “ถ้าเจ้าอยากจะสู้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้า!” โม่เอ๋อยิ้ม “แต่ถ้าเจ้ายังไม่ต้องการที่จะสู้ในตอนนี้ เจ้าก็จงยืนดูทุกอย่างอยู่เฉย ๆ ไปซะ!” เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของนางตอนนี้คือระดับเหนือล้ำ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปู้ไป่เต๋า ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้นางออกมาปรามปู้ไป่เต๋าเอาไว้ก่อน เมื่อปู้ไป่เต๋าเห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับเหลือล้ำโผล่ออกมาจากในรถม้า คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน ดูจากสถานการณ์แล้ว กลุ่มคนที่มาเยือนนั้นไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขากลับมีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังติดตามมาด้วย “พวกเจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?” ปู้ไป่เต๋าถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โม่เอ๋อเหลือบมองไปที่ปู้ไป่เต๋า แล้วพูดว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าพวกข้าต้องการทำอะไร แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนดูเฉย ๆ ก็พอถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวและพูดตอบโต้อะไรต่อ เนื่องจากในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเริ่มจะแปลกมากเกินไปแล้ว แต่ถึงเขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้องมากยังไง เขาก็อยู่ในสภาวะพร้อมทุกเมื่อหากโม่เอ๋อยื่นมือเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของกองทัพทั้งสอง นี่เป็นเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพเต่าดำก็ควรจะเป็นฝ่ายชนะการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพด้านล่าง ยังไงซะ ในขณะที่กองทัพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน แสงสีแดงเลือดก็สว่างวาบไปทั่วร่างของมังกรยาว 300 เมตร ซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมังกรที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุดได้ทะลวงผ่านไปยังระดับเหนือล้ำทันที แต่ปรากฏการณ์ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ยังคงไม่หมด เนื่องจากในพริบตาถัดมาแสงสีน้ำตาลอีกดวงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นบนร่างของมังกร ซึ่งทำให้พลังป้องกันของมันเพิ่มขึ้นทันที 7-8 เท่า และจากนั้นแสงสีเขียวก็สว่างขึ้นอีกครั้งและตามมาติด ๆ ด้วยแสงสีเหลือง ซึ่งทั้งสองสีนี้เป็นตัวแทนพลังแห่งพิษและพลังชีวิตเข้าไปหลอมรวมกับร่างของมังกรยักษ์ ต่อจากนั้นแสงแห่งกฎโลหะ แสงแห่งกฎแห่งโลก… จนท้ายที่สุดแล้วกฎที่แตกต่างกันทั้งหมดถึง 17 ชนิดต่างหลอมรวมเข้าไปในร่างของมังกรขนาดมหึมา จากนั้นเมื่อหลอมรวมพลังอำนาจแห่งกฎทุกอย่างเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว มังกรยักษ์ ก็พุ่งเข้าหากองทัพเต่าดำ และใช้เล็บสีแดงอมดำของมันที่อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งเพลิงและกฎแห่งพิษ เข้าฉีกกระชากเต่าดำยักษ์ที่เกิดขึ้นจากค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำ จนค่ายกลรบของพวกเขาแตกกระจุย บรรดาทหารต่างกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าสังเวช เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการตกตะลึง แต่หลิงตู้ฉิงที่เห็นภาพเช่นนี้กลับทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “น่าเบื่อจริง ๆ! ข้าก็นึกว่าไอ้ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้นั้นมันจะเป็นผู้นำการรบด้วยตัวเอง แต่นี่มันกลับยืนเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้จุนเอ๋อจะไปมีโอกาสได้แสดงอำนาจที่แท้จริงของค่ายกลรบได้ยังไง? เฮ้อช่างเถอะ รีบจับไอ้คนพวกนี้เอาไว้แล้วรีบไปต่อกันจะดีกว่า!”

บทที่ 457 ความน่ากลัวของกองทัพมังกร

ภายในรถม้า สีเป่ยเซียะมองคู่พ่อลูกด้วยความประหลาดใจ นางอดไม่ได้ที่จะเตือนหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เจ้ารู้ตัวอยู่ใช่ไหม ว่าลูกของเจ้ากำลังจะออกไปเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ แถมยังไม่รวมกับกองทัพที่เขาพามาอีกนับหมื่น?”

*ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ คือ ระดับ3ของขอบเขตสวรรค์

ตามรายงานข่าวของอาณาจักรอี้จิ๋นที่นางเคยอ่านผ่าน ๆ สีเป่ยเซียะจึงเดาได้ว่ากองทัพของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นกองทัพเต่าดำของอาณาจักรมังกรทะยาน กองทัพเต่าดำ คือหนึ่งในกองทัพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในอาณาจักรมังกรทะยาน และด้วยกำลังรบขนาดนี้ที่ฝั่งตรงข้ามขนมา มันจะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่กองทัพของลูกชายหลิงตู้ฉิงจะรับมือไหว

หลิงตู้ฉิงโต้กลับ “เจ้ารู้จักค่ายกลรบขนาดไหน?”

“คิดจะลองภูมิข้างั้นเหรอ?” สีเป่ยเซียะหน้ามุ่ย “มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นวิธีการประสานพลังกันของผู้คนจำนวนมากให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสำแดงอำนาจที่เหนือกว่าตัวพวกเขาเองไม่ใช่รึไง?”

หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ผลของค่ายกลรบก็คือการให้โอกาสผู้ที่อ่อนแอจำนวนมากสามารถสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ และความแข็งแกร่งของค่ายกลรบนั้นผลของมันไม่ใช่แค่เอาความแข็งแกร่งของผู้คนในค่ายกลมาทำการ1+1ให้กลายเป็น 2 แต่ ค่ายกลรบที่ทรงพลังสามารถทำให้ 1+1 กลายเป็นมากกว่า 3 หรือมากกว่า 4 ได้ ซึ่งค่ายกลรบที่ลูกชายของข้าใช้นั้นไม่ใช่แค่ค่ายกลรบธรรมดา ๆ!”

ค่ายกลรบของหลิงว่านจุนนั้นพัฒนามาจากวิชามังกรศักดิ์สิทธิ์จำแลงกายของเขา

ซึ่งเมื่อนำมันมารวมกัน มันจึงกลายเป็นค่ายกลรบที่สมบูรณ์แบบ!

สีเป่ยเซียะส่ายหัวและพูดว่า “ยังไงก็ไร้ประโยชน์! แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันและใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ร้อยเท่า แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถทะลุผ่านอาณาเขตสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำเป็นผู้สร้างได้อยู่ดี นอกจากนี้จากการคาดการณ์ของข้า กองทัพเต่าดำเองก็คงสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำได้เช่นกัน”

“ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นไงข้าถึงให้อีกกองทัพหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังจู่โจมของพวกเขา!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม

การสนทนาระหว่างทั้งสองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสนใจของคนอื่น ๆ เนื่องจากตอนนี้ทุกคนต่างก็จดจ่อกับผลการรบกองทัพของพวกเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ากองทัพของฝั่งตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

หลิงยี่เทียนพูดกับลั่วหยุน “ผู้อาวุโสลั่ว โปรดคอยระวังให้พี่สี่ของข้าด้วย หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้าขอให้ผู้อาวุโสโปรดเข้าไปช่วยพวกเขาทีและสังหารฝั่งตรงข้ามให้หมด”

ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อย

ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังคุยกับสีเป่ยเซียะหันกลับมา และพูดกับหลิงยี่เทียนหลังจากได้ยินคำพูดของเขา “พลังของเจตจำนงแห่งการสังหารในสนามรบนั้นจะต้องเกิดมาจากการรบที่อาจหาญ หากเจ้าสั่งให้ลั่วหยุนลงมือเช่นนี้ เจ้าจะทำลายสมดุลของสนามรบไปทั้งหมด ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถควบแน่นพลังที่ลั่วหยุนจะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาได้”

หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าในอนาคตข้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่จะรวบรวมพลังเหล่านั้นในสนามรบ ฉะนั้นสำหรับในตอนนี้ข้าเห็นว่าความปลอดภัยของพี่สี่นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องขึ้นมา เราจะต้องตัดปัญหาทุกอย่างโดยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของลูกชายตนเองเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก

ในเวลานี้ หลิงว่านจุนและกองทัพมังกรกว่าห้าหมื่น ซึ่งอยู่ข้างนอกได้ประสานค่ายกลกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ที่มีความยาวกว่า 300 เมตรเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นด้วยความไม่ประมาท หลิงว่านจุนจึงโคจรพลังของค่ายกลจนถึงจุดสูงสุด ซึ่งพวกเขาก็ได้ประจักษ์ว่าอันที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นคือระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุด

ยังไงซะนี่เป็นเพียงพลังของกองทัพมังกรเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับความแข็งแกร่งของกองทัพของหลิงฉุยฟง ที่ในขณะนี้ได้หายตัวเข้าไปอยู่ในร่างของมังกรยักษ์เรียบร้อยแล้ว

จากนั้นร่างของหลิงว่านจุนก็ปรากฏขึ้นบนหัวของมังกรยักษ์ และเขาพูดกับปู้ไป่เต๋า “ข้าคือจอมทัพหลิงว่านจุน ผู้นำกองทัพมังกรจากอาณาจักรจันทรา!”

ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงว่านจุนและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “น่าสนใจดีจริง ๆ! ถ้าพวกเจ้าต้องการเล่นงั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้า!”

ตามคำสั่งของเขา กองทัพเต่าดำ 30,000 คนก็รวมตัวกันกลายเป็นเต่าสีดำขนาดมหึมา

และเช่นเดียวกับที่สีเป่ยเซียะได้พูดไว้ ความแข็งแกร่งของกองทัพเต่าดำนั้นเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแล้วระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พุ่งไปถึงระดับระดับเหนือล้ำขั้นต้นเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของบรรดาทหารในกองทัพเต่าดำแต่ละคนล้วนแต่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราขึ้นไปทั้งสิ้น และเมื่อเทียบกับทหารภายในกองทัพมังกรที่บางคนยังคงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย ดังนั้นต่อให้แม้ว่ากองทัพมังกรจะมีคนมากกว่าแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี

เมื่อกองทัพเต่าดำแห่งอาณาจักรมังกรทะยานแปรค่ายกลรบของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับกองทัพมังกรของหลิงว่านจุนทันที

สำหรับปู้ไป่เต๋า เขายังไม่ได้เข้าร่วมการปะทะของกองทัพทั้งสอง เนื่องจากกองทัพของศัตรูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งแค่เพียงระดับหลุดพ้นสามัญ ซึ่งถ้าเทียบกับกองทัพเต่าดำของเขาที่อยู่ในระดับเหนือล้ำแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรกับกองทัพมังกรแน่นอน

และด้วยอารมณ์ที่เขาขี้เกียจรอให้การต่อสู้ของทั้งสองกองทัพจบลง ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหารถม้าและตะโกนขึ้น “พวกเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน จงโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

เขาสัมผัสได้ว่า ‘รถม้า’ คันนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมากและเดาว่ามันน่าจะยังมีคนอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังวิญญาณของเขาและตั้งใจว่าจะยิงลำแสงดัชนีเข้าใส่รถม้าเพื่อทำลายมันและเปิดเผยคนที่อยู่ด้านใน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยลำแสง โม่เอ๋อก็ออกมาจากรถม้าและยกมือขึ้นเพื่อหยุดปู้ไป่เต๋า

“ถ้าเจ้าอยากจะสู้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้า!” โม่เอ๋อยิ้ม “แต่ถ้าเจ้ายังไม่ต้องการที่จะสู้ในตอนนี้ เจ้าก็จงยืนดูทุกอย่างอยู่เฉย ๆ ไปซะ!”

เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของนางตอนนี้คือระดับเหนือล้ำ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปู้ไป่เต๋า ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้นางออกมาปรามปู้ไป่เต๋าเอาไว้ก่อน

เมื่อปู้ไป่เต๋าเห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับเหลือล้ำโผล่ออกมาจากในรถม้า คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน

ดูจากสถานการณ์แล้ว กลุ่มคนที่มาเยือนนั้นไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขากลับมีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังติดตามมาด้วย

“พวกเจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?” ปู้ไป่เต๋าถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

โม่เอ๋อเหลือบมองไปที่ปู้ไป่เต๋า แล้วพูดว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าพวกข้าต้องการทำอะไร แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนดูเฉย ๆ ก็พอถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็ไม่ได้เคลื่อนไหวและพูดตอบโต้อะไรต่อ เนื่องจากในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันเริ่มจะแปลกมากเกินไปแล้ว

แต่ถึงเขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้องมากยังไง เขาก็อยู่ในสภาวะพร้อมทุกเมื่อหากโม่เอ๋อยื่นมือเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของกองทัพทั้งสอง

นี่เป็นเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพเต่าดำก็ควรจะเป็นฝ่ายชนะการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพด้านล่าง

ยังไงซะ ในขณะที่กองทัพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน แสงสีแดงเลือดก็สว่างวาบไปทั่วร่างของมังกรยาว 300 เมตร ซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมังกรที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุดได้ทะลวงผ่านไปยังระดับเหนือล้ำทันที

แต่ปรากฏการณ์ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ยังคงไม่หมด เนื่องจากในพริบตาถัดมาแสงสีน้ำตาลอีกดวงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นบนร่างของมังกร ซึ่งทำให้พลังป้องกันของมันเพิ่มขึ้นทันที 7-8 เท่า และจากนั้นแสงสีเขียวก็สว่างขึ้นอีกครั้งและตามมาติด ๆ ด้วยแสงสีเหลือง ซึ่งทั้งสองสีนี้เป็นตัวแทนพลังแห่งพิษและพลังชีวิตเข้าไปหลอมรวมกับร่างของมังกรยักษ์ ต่อจากนั้นแสงแห่งกฎโลหะ แสงแห่งกฎแห่งโลก… จนท้ายที่สุดแล้วกฎที่แตกต่างกันทั้งหมดถึง 17 ชนิดต่างหลอมรวมเข้าไปในร่างของมังกรขนาดมหึมา

จากนั้นเมื่อหลอมรวมพลังอำนาจแห่งกฎทุกอย่างเข้าไปในร่างเรียบร้อยแล้ว มังกรยักษ์ ก็พุ่งเข้าหากองทัพเต่าดำ และใช้เล็บสีแดงอมดำของมันที่อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งเพลิงและกฎแห่งพิษ เข้าฉีกกระชากเต่าดำยักษ์ที่เกิดขึ้นจากค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำ จนค่ายกลรบของพวกเขาแตกกระจุย บรรดาทหารต่างกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าสังเวช

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการตกตะลึง

แต่หลิงตู้ฉิงที่เห็นภาพเช่นนี้กลับทำหน้ามุ่ยและพูดว่า “น่าเบื่อจริง ๆ! ข้าก็นึกว่าไอ้ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้นั้นมันจะเป็นผู้นำการรบด้วยตัวเอง แต่นี่มันกลับยืนเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้จุนเอ๋อจะไปมีโอกาสได้แสดงอำนาจที่แท้จริงของค่ายกลรบได้ยังไง? เฮ้อช่างเถอะ รีบจับไอ้คนพวกนี้เอาไว้แล้วรีบไปต่อกันจะดีกว่า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+