พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ!

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ!

เสียงที่ดังก้องขึ้นนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณเขตแดนหมอกต่างได้ยินมันอย่างชัดเจน

ทันใดนั้นหมอกสีเทาที่อยู่รอบ ๆ ก็ม้วนตัวกลับเข้ามาปกคลุมเส้นทางที่เฉินจี้ซีเคยเปิดออก และกลืนกินเฉินจี้ซีกับเล้งเจี้ยนชิวที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น และบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายทั้งสาม ส่วนคนอื่น ๆ นั้นกลับถูกผลักออกจากเขตแดนหมอกไปจนหมด จนท้ายที่สุดเขตแดนหมอกก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่ด้านนอกของเขตแดนหมอก บรรดาผู้คนที่ถูกผลักออกมาต่างก็จ้องไปที่เขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างอยู่สักพัก ก่อนที่กรีดร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น!

คนของสำนักพวกเขาถูกดูดเข้าไปในหมอกอีกแล้ว!

รอบนี้ความสูญเสียของพวกเขานั้นหนักหนากว่ารอบที่แล้วอีกต่างหาก เนื่องจากรอบนี้บรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายของพวกเขาถึงสามคนถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน แถมยังจะมีเฉินจี้ซีที่เป็นแขกพวกเขาถูกดูดเข้าไป รวมไปถึงเล้งเจี้ยนชิว ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักก็ถูกดูดเข้าไปเช่นกัน!

“ไอ้หมอกบ้านี่มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมมันถึงมีการตอบสนองเอาตอนที่พวกเรากำลังจะฝ่าเข้าไปในพื้นที่ศูนย์กลางของมัน?” หานเว่ยฮุยเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดขึ้นราวกับว่าเขากำลังถามสวรรค์

ส่วนทางด้านเล้งหวง เขาจ้องไปยังเขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างโดยไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้

เขาคือผู้ที่เชิญเฉินจี้ซีมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วตอนนี้เฉินจี้ซีกลับทำให้สำนักของเขาต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง แล้วแบบนี้เขาจะเอาอะไรไปอธิบายกับคนในสำนัก?

คนอื่น ๆ ของสำนักที่ไม่ได้เข้าไปในเขตแดนหมอกตั้งแต่ตอนแรก เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็กระเด็นลอยออกมาจากเขตแดนหมอกและแสดงสีหน้าตกตะลึง พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น? เปิดหมอกตรงพื้นที่จุดศูนย์กลางได้รึยัง? ว่าแต่เฉินจี้ซีไปไหนแล้ว?”

แม้จะได้ยินคำถามมากมายที่ประดังประเดเข้ามา กลุ่มของหานเว่ยฮุยก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่เหม่อมองไปที่เขตแดนหมอก

ในขณะนี้ ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน หานหลิงอู่ก็ได้มาถึงที่ด้านหน้าเขตแดนหมอกแล้วเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของหานเว่ยฮุย เขาก็พอจะเดาอะไรออกได้บางอย่าง เขาจึงรีบถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไป?”

ในตอนนี้ในใจของเขานั้นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่มันจะเป็นความจริง ซึ่งนั่นก็คือบรรดาบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลถูกหมอกดูดเข้าไป!

หลังจากอยู่ในอาการตกตะลึงค้างอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหานเว่ยฮุยก็ชี้ไปทางเขตแดนหมอกและเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาทั้งหมดติดอยู่ข้างใน! ที่สำคัญไอ้เขตแดนนี้มันมีชีวิต! เมื่อกี้ข้าได้ยินอย่างชัดเจนว่ามันพูดกับพวกเรา และจากนั้นมันก็ดูดเหล่าบรรพบุรุษเข้าไปและส่งพวกเรากระเด็นลอยออกมา”

เมื่อได้ยินคำพูดของหานเว่ยฮุย สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที

ในเวลาที่ผ่านมาพวกเขาคิดมาโดยตลอดว่าเขตแดนหมอกนี้มันเกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา พวกเขาจึงมีความมั่นใจว่าจะแก้ไขมันได้หากใช้วิธีที่ถูกต้อง

แต่แล้วตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามันมีชีวิตและจิตสำนึกของตัวเอง?

แล้วถ้าหากมันมีจิตสำนึกของตัวเองแบบนี้ แล้วพวกเขาไปก่อกวนมันมาก ๆ จนมันโมโห มันไม่พาลมาพังสำนักของพวกเขางั้นเหรอ?

“เร็วเข้า รีบไปตามทุกคนให้มารวมกันที่ห้องโถงใหญ่ให้เร็วที่สุด พวกเราต้องปรึกษากันทันทีว่าจะเอายังไงกับมัน!” หานหลิงอู่ตะโกนสั่งขึ้น

ในตอนนี้ระดับความอันตรายของเขตแดนหมอกในสายตาของพวกเขาถูกยกขึ้นมาอีกระดับจนพวกเขาไม่สามารถใจเย็นได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา พวกเขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งหากหมอกนี้เคลื่อนตัวมาปกคลุมสำนักของพวกเขาทั้งสำนัก วันนั้นมันคงเป็นวันอวสานของพวกเขาโดยที่พวกเขาคงไม่อาจจะต้านทานอะไรได้ พวกเขาจำเป็นต้องรีบปรึกษาหาทางออกทันที

ผู้เชี่ยวชาญทั้งสำนักที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าขอบเขตราชันต่างถูกเรียกให้มาที่ห้องโถงใหญ่ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าบรรพบุรุษที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเป็นเวลานานก็ถูกเชิญออกมาเช่นกัน

แม้แต่มู่หลงหยานที่เพิ่งทะลวงขอบเขตเสร็จ และยังไม่ทันได้ปรับระดับการบ่มเพาะของตนเองให้มั่นคงก็ยังถูกเรียกตัวมาด้วยเช่นกัน

เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มู่หลงหยานก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เนื่องจากความเสียหายในรอบนี้มันหนักหนาเป็นอย่างมาก บรรพบุรุษที่เป็นดั่งรากฐานสำคัญของสำนักถึงสามคนกลับถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน นี่มันถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

“พวกท่านคิดว่าอย่างไร?” หานเว่ยฮุยถามขึ้นกลางห้องโถง

“ตามความคิดของข้า ข้าคิดว่าหากฝั่งตรงข้ามนั้นมีจิตสำนึก มันก็แปลว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตและเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตเราก็สามารถต่อรองกับเขาได้ เราต้องลองเข้าไปคุยกับเขาดูว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ และให้ในสิ่งที่เขาต้องการเพื่อให้เขาจากไปหรือไม่อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาปล่อยคนของเราออกมา” หยูหงเว่ยกล่าวขึ้น

หยูหงเว่ย คือ ผู้นำตระกูลหยูคนปัจจุบัน ดังนั้นคำพูดของเขาก็เปรียบได้กับคำพูดของคนทั้งตระกูลหยู และอีกอย่างตำแหน่งของเขาในสำนักก็เป็นถึงผู้อาวุโส

หานหลิงอู่หยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปหามู่หลงหยาน และถามขึ้น “ภรรยาท่านเจ้าสำนัก ท่านล่ะมีความว่ายังไง? อ๋อจริงสิ ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยที่สามารถทะลวงขอบเขตจักรพรรดิได้สำเร็จในระหว่างที่สำนักของเรากำลังยืนอยู่บนเส้นด้าย มันมีความหมายหมายกับสำนักของเรามากในช่วงเวลาแบบนี้”

“พี่หาน ชมข้าเกินไปแล้ว” มู่หลงหยานตอบกลับ “แต่อันที่จริงข้ามีคำถามอยากจะถามพวกท่านเช่นกัน”

หานหลิงอู่และหยูหงเว่ย ทั้งคู่รีบตอบรับทันที “เชิญถามมาได้เลย!”

มู่หลงหยานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เขตแดนหมอกนี้ปรากฏขึ้นมาก็หลายพันปีแล้ว ที่ผ่านมามันเคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม?”

“มันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากเท่าไหร่” หานหลิงอู่ตอบกลับพร้อมกับแสดงรอยยิ้มอันขมขื่น “แต่เราก็บอกไม่ได้ว่ามันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถ้าจะถามว่าในตอนนี้เราควรปล่อยมันไว้อย่างนั้นเฉย ๆ จะดีไหม? ในตอนนี้เมื่อเราพิสูจน์ได้แล้วว่ามันคือสิ่งมีชีวิต เรายิ่งไม่สามารถปล่อยมันไว้เฉย ๆ แบบนั้นได้อีกแล้ว”

หยูหงเว่ยกล่าวเสริมขึ้นต่อ “และอีกอย่าง กลิ่นอายของมันก็กำลังข่มมหาวิถีเต๋าของเราอยู่ ซึ่งมันทำให้เราไม่สามารถพัฒนาสำนักไปได้มากกว่านี้ พวกเราไม่สามารถปล่อยมันไว้เฉย ๆ แบบนี้ได้อีกแล้ว!”

มู่หลงหยานพยักหน้า “แน่นอนว่าพวกเราต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง! แต่นี่มันก็กี่พันปีมาแล้วล่ะที่พวกเรายังคงไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย! ในทางกลับกัน ยิ่งเราไปยุ่งกับมัน เราก็ยิ่งมีความสูญเสียมากขึ้น และผลสุดท้ายสิ่งที่เราเสียไปกลับไม่มีอะไรได้คืนมาเลย”

“ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเราจึงออกตามหาผู้ถูกชะตากำหนด ผู้ที่สามารถทำให้หมอกนี้หายไปได้ ผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาให้เราได้ และจากความพยายามอย่างหนักของพวกเราในที่สุดเราก็เจอกับเขาผู้นั้น และเพื่อที่จะเอาชนะใจผู้ถูกชะตากำหนดให้มาที่สำนักของเรา ข้าถึงขนาดยอมยกลูกสาวของตัวเองไปให้กับเขา!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก พวกเขานั้นได้เจอผู้ถูกชะตากำหนดจริง แถมยังเชิญคนผู้นั้นมาที่สำนักได้แล้วด้วย แต่พวกเขากลับไม่สนใจผู้ถูกชะตากำหนดเลยแม้แต่น้อย…

เย่ฉิงเสี่ยวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรา หรือแม้กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิยังไม่สามารถทำอะไรกับเขตแดนหมอกนั่นได้ แล้วไอ้หนุ่มนั่นที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณจะทำอะไรกับมันได้ยังไง?”

มู่หลงหยานตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากท่านอยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกับเขา ท่านสามารถดึงยันต์สั่งสวรรค์อันนั้นออกมาได้ไหม?”

เย่ฉิงเสี่ยวก้มหน้าลงหยุดพูดทันที เนื่องจากเขารู้ว่าตัวเองไม่มีวันทำได้

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่หานหลิงอู่จะพูดขึ้นเป็นคนแรก “ข้าเข้าใจในความหมายของท่าน! ดังนั้นในเมื่อเขาเป็นลูกเขยของท่าน ท่านภรรยาเจ้าสำนักช่วยไปพูดกับเขาหน่อยได้ไหม ให้เขาช่วยพวกเราจัดการกับเขตแดนหมอกนี้ที”

ในตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมีวิธีการไหนที่พอเป็นไปได้บ้าง พวกเขาก็ต้องการที่จะลองเสี่ยง

มู่หลงหยานเบะปากและเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปพูดให้เขามาช่วยพวกเราได้ยังไง?”

“ก็ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกเขยของท่านไม่ใช่เหรอ?” หยูหงเว่ยตอบกลับ “มันจะง่ายกว่ามากถ้าท่านไปพูดกับเขาให้พวกเรา แล้วยิ่งถ้าหากเขาสามารถทำได้สำเร็จ ผลประโยชน์มันก็จะตกมาสู่ท่านด้วย”

“ลูกเขย?” มู่หลงหยานแสดงสีหน้าเย้ยหยัน “แต่ก่อนหน้านี้ พวกท่านยังบอกอยู่เลยว่าเขาไม่ใช่ลูกเขยของข้าแถมยังบีบบังคับให้ลูกสาวของข้าต้องแต่งงานใหม่อีก แล้วแบบนี้จะให้ข้าไปอธิบายกับเขาว่ายังไง?”

บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องโถงในวันนั้น ต่างแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

แต่แล้วหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เอาแบบนี้ไหม ท่านก็ไปเชิญเขาออกมาก่อน หากเขาสามารถแก้ปัญหาหมอกนั่นได้จริง ๆ และพาคนของเราออกมา พวกข้าจะยอมก้มหัวขอขมาเขาเลยเป็นไง?”

หยูยงเห่าก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอับอายเช่นกัน “หากเขาสามารถช่วยบรรพบุรุษตระกูลข้าได้จริง ๆ ข้าจะยอมคุกเข่าขอขมากับเขาทันที!”

“แบบนี้ท่านคิดว่ายังไง ท่านภรรยาเจ้าสำนัก?” หานหลิงอู่ยิ้มพลางเอ่ยถาม

มู่หลงหยานถอนหายใจ “เฮ้อ ยังไงซะข้าเองก็ต้องการช่วยสามีของข้าเช่นกัน เอาเป็นว่าพวกเราค่อยพูดกันเรื่องนั้นทีหลังก็แล้วกัน”

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปเชิญเขาออกไปที่เขตแดนหมอกกันก่อนเถอะ!” หยูหงเว่ยหัวเราะ

“ไปกัน!” กลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างพากันออกจากห้องโถง และมุ่งหน้าไปที่ เรือนของเย่ชิงเฉิงทันที!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ!

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 556 ได้เวลาขอความช่วยเหลือ!

เสียงที่ดังก้องขึ้นนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณเขตแดนหมอกต่างได้ยินมันอย่างชัดเจน

ทันใดนั้นหมอกสีเทาที่อยู่รอบ ๆ ก็ม้วนตัวกลับเข้ามาปกคลุมเส้นทางที่เฉินจี้ซีเคยเปิดออก และกลืนกินเฉินจี้ซีกับเล้งเจี้ยนชิวที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น และบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายทั้งสาม ส่วนคนอื่น ๆ นั้นกลับถูกผลักออกจากเขตแดนหมอกไปจนหมด จนท้ายที่สุดเขตแดนหมอกก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่ด้านนอกของเขตแดนหมอก บรรดาผู้คนที่ถูกผลักออกมาต่างก็จ้องไปที่เขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างอยู่สักพัก ก่อนที่กรีดร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น!

คนของสำนักพวกเขาถูกดูดเข้าไปในหมอกอีกแล้ว!

รอบนี้ความสูญเสียของพวกเขานั้นหนักหนากว่ารอบที่แล้วอีกต่างหาก เนื่องจากรอบนี้บรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายของพวกเขาถึงสามคนถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน แถมยังจะมีเฉินจี้ซีที่เป็นแขกพวกเขาถูกดูดเข้าไป รวมไปถึงเล้งเจี้ยนชิว ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักก็ถูกดูดเข้าไปเช่นกัน!

“ไอ้หมอกบ้านี่มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมมันถึงมีการตอบสนองเอาตอนที่พวกเรากำลังจะฝ่าเข้าไปในพื้นที่ศูนย์กลางของมัน?” หานเว่ยฮุยเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดขึ้นราวกับว่าเขากำลังถามสวรรค์

ส่วนทางด้านเล้งหวง เขาจ้องไปยังเขตแดนหมอกด้วยสายตาแข็งค้างโดยไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้

เขาคือผู้ที่เชิญเฉินจี้ซีมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วตอนนี้เฉินจี้ซีกลับทำให้สำนักของเขาต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง แล้วแบบนี้เขาจะเอาอะไรไปอธิบายกับคนในสำนัก?

คนอื่น ๆ ของสำนักที่ไม่ได้เข้าไปในเขตแดนหมอกตั้งแต่ตอนแรก เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็กระเด็นลอยออกมาจากเขตแดนหมอกและแสดงสีหน้าตกตะลึง พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น? เปิดหมอกตรงพื้นที่จุดศูนย์กลางได้รึยัง? ว่าแต่เฉินจี้ซีไปไหนแล้ว?”

แม้จะได้ยินคำถามมากมายที่ประดังประเดเข้ามา กลุ่มของหานเว่ยฮุยก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่เหม่อมองไปที่เขตแดนหมอก

ในขณะนี้ ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน หานหลิงอู่ก็ได้มาถึงที่ด้านหน้าเขตแดนหมอกแล้วเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของหานเว่ยฮุย เขาก็พอจะเดาอะไรออกได้บางอย่าง เขาจึงรีบถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไป?”

ในตอนนี้ในใจของเขานั้นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่มันจะเป็นความจริง ซึ่งนั่นก็คือบรรดาบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลถูกหมอกดูดเข้าไป!

หลังจากอยู่ในอาการตกตะลึงค้างอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหานเว่ยฮุยก็ชี้ไปทางเขตแดนหมอกและเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาทั้งหมดติดอยู่ข้างใน! ที่สำคัญไอ้เขตแดนนี้มันมีชีวิต! เมื่อกี้ข้าได้ยินอย่างชัดเจนว่ามันพูดกับพวกเรา และจากนั้นมันก็ดูดเหล่าบรรพบุรุษเข้าไปและส่งพวกเรากระเด็นลอยออกมา”

เมื่อได้ยินคำพูดของหานเว่ยฮุย สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที

ในเวลาที่ผ่านมาพวกเขาคิดมาโดยตลอดว่าเขตแดนหมอกนี้มันเกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา พวกเขาจึงมีความมั่นใจว่าจะแก้ไขมันได้หากใช้วิธีที่ถูกต้อง

แต่แล้วตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามันมีชีวิตและจิตสำนึกของตัวเอง?

แล้วถ้าหากมันมีจิตสำนึกของตัวเองแบบนี้ แล้วพวกเขาไปก่อกวนมันมาก ๆ จนมันโมโห มันไม่พาลมาพังสำนักของพวกเขางั้นเหรอ?

“เร็วเข้า รีบไปตามทุกคนให้มารวมกันที่ห้องโถงใหญ่ให้เร็วที่สุด พวกเราต้องปรึกษากันทันทีว่าจะเอายังไงกับมัน!” หานหลิงอู่ตะโกนสั่งขึ้น

ในตอนนี้ระดับความอันตรายของเขตแดนหมอกในสายตาของพวกเขาถูกยกขึ้นมาอีกระดับจนพวกเขาไม่สามารถใจเย็นได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา พวกเขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งหากหมอกนี้เคลื่อนตัวมาปกคลุมสำนักของพวกเขาทั้งสำนัก วันนั้นมันคงเป็นวันอวสานของพวกเขาโดยที่พวกเขาคงไม่อาจจะต้านทานอะไรได้ พวกเขาจำเป็นต้องรีบปรึกษาหาทางออกทันที

ผู้เชี่ยวชาญทั้งสำนักที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าขอบเขตราชันต่างถูกเรียกให้มาที่ห้องโถงใหญ่ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าบรรพบุรุษที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเป็นเวลานานก็ถูกเชิญออกมาเช่นกัน

แม้แต่มู่หลงหยานที่เพิ่งทะลวงขอบเขตเสร็จ และยังไม่ทันได้ปรับระดับการบ่มเพาะของตนเองให้มั่นคงก็ยังถูกเรียกตัวมาด้วยเช่นกัน

เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มู่หลงหยานก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เนื่องจากความเสียหายในรอบนี้มันหนักหนาเป็นอย่างมาก บรรพบุรุษที่เป็นดั่งรากฐานสำคัญของสำนักถึงสามคนกลับถูกดูดเข้าไปพร้อม ๆ กัน นี่มันถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

“พวกท่านคิดว่าอย่างไร?” หานเว่ยฮุยถามขึ้นกลางห้องโถง

“ตามความคิดของข้า ข้าคิดว่าหากฝั่งตรงข้ามนั้นมีจิตสำนึก มันก็แปลว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตและเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตเราก็สามารถต่อรองกับเขาได้ เราต้องลองเข้าไปคุยกับเขาดูว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ และให้ในสิ่งที่เขาต้องการเพื่อให้เขาจากไปหรือไม่อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาปล่อยคนของเราออกมา” หยูหงเว่ยกล่าวขึ้น

หยูหงเว่ย คือ ผู้นำตระกูลหยูคนปัจจุบัน ดังนั้นคำพูดของเขาก็เปรียบได้กับคำพูดของคนทั้งตระกูลหยู และอีกอย่างตำแหน่งของเขาในสำนักก็เป็นถึงผู้อาวุโส

หานหลิงอู่หยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปหามู่หลงหยาน และถามขึ้น “ภรรยาท่านเจ้าสำนัก ท่านล่ะมีความว่ายังไง? อ๋อจริงสิ ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยที่สามารถทะลวงขอบเขตจักรพรรดิได้สำเร็จในระหว่างที่สำนักของเรากำลังยืนอยู่บนเส้นด้าย มันมีความหมายหมายกับสำนักของเรามากในช่วงเวลาแบบนี้”

“พี่หาน ชมข้าเกินไปแล้ว” มู่หลงหยานตอบกลับ “แต่อันที่จริงข้ามีคำถามอยากจะถามพวกท่านเช่นกัน”

หานหลิงอู่และหยูหงเว่ย ทั้งคู่รีบตอบรับทันที “เชิญถามมาได้เลย!”

มู่หลงหยานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เขตแดนหมอกนี้ปรากฏขึ้นมาก็หลายพันปีแล้ว ที่ผ่านมามันเคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม?”

“มันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากเท่าไหร่” หานหลิงอู่ตอบกลับพร้อมกับแสดงรอยยิ้มอันขมขื่น “แต่เราก็บอกไม่ได้ว่ามันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถ้าจะถามว่าในตอนนี้เราควรปล่อยมันไว้อย่างนั้นเฉย ๆ จะดีไหม? ในตอนนี้เมื่อเราพิสูจน์ได้แล้วว่ามันคือสิ่งมีชีวิต เรายิ่งไม่สามารถปล่อยมันไว้เฉย ๆ แบบนั้นได้อีกแล้ว”

หยูหงเว่ยกล่าวเสริมขึ้นต่อ “และอีกอย่าง กลิ่นอายของมันก็กำลังข่มมหาวิถีเต๋าของเราอยู่ ซึ่งมันทำให้เราไม่สามารถพัฒนาสำนักไปได้มากกว่านี้ พวกเราไม่สามารถปล่อยมันไว้เฉย ๆ แบบนี้ได้อีกแล้ว!”

มู่หลงหยานพยักหน้า “แน่นอนว่าพวกเราต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง! แต่นี่มันก็กี่พันปีมาแล้วล่ะที่พวกเรายังคงไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย! ในทางกลับกัน ยิ่งเราไปยุ่งกับมัน เราก็ยิ่งมีความสูญเสียมากขึ้น และผลสุดท้ายสิ่งที่เราเสียไปกลับไม่มีอะไรได้คืนมาเลย”

“ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเราจึงออกตามหาผู้ถูกชะตากำหนด ผู้ที่สามารถทำให้หมอกนี้หายไปได้ ผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาให้เราได้ และจากความพยายามอย่างหนักของพวกเราในที่สุดเราก็เจอกับเขาผู้นั้น และเพื่อที่จะเอาชนะใจผู้ถูกชะตากำหนดให้มาที่สำนักของเรา ข้าถึงขนาดยอมยกลูกสาวของตัวเองไปให้กับเขา!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก พวกเขานั้นได้เจอผู้ถูกชะตากำหนดจริง แถมยังเชิญคนผู้นั้นมาที่สำนักได้แล้วด้วย แต่พวกเขากลับไม่สนใจผู้ถูกชะตากำหนดเลยแม้แต่น้อย…

เย่ฉิงเสี่ยวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรา หรือแม้กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิยังไม่สามารถทำอะไรกับเขตแดนหมอกนั่นได้ แล้วไอ้หนุ่มนั่นที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณจะทำอะไรกับมันได้ยังไง?”

มู่หลงหยานตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากท่านอยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกับเขา ท่านสามารถดึงยันต์สั่งสวรรค์อันนั้นออกมาได้ไหม?”

เย่ฉิงเสี่ยวก้มหน้าลงหยุดพูดทันที เนื่องจากเขารู้ว่าตัวเองไม่มีวันทำได้

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่หานหลิงอู่จะพูดขึ้นเป็นคนแรก “ข้าเข้าใจในความหมายของท่าน! ดังนั้นในเมื่อเขาเป็นลูกเขยของท่าน ท่านภรรยาเจ้าสำนักช่วยไปพูดกับเขาหน่อยได้ไหม ให้เขาช่วยพวกเราจัดการกับเขตแดนหมอกนี้ที”

ในตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมีวิธีการไหนที่พอเป็นไปได้บ้าง พวกเขาก็ต้องการที่จะลองเสี่ยง

มู่หลงหยานเบะปากและเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปพูดให้เขามาช่วยพวกเราได้ยังไง?”

“ก็ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกเขยของท่านไม่ใช่เหรอ?” หยูหงเว่ยตอบกลับ “มันจะง่ายกว่ามากถ้าท่านไปพูดกับเขาให้พวกเรา แล้วยิ่งถ้าหากเขาสามารถทำได้สำเร็จ ผลประโยชน์มันก็จะตกมาสู่ท่านด้วย”

“ลูกเขย?” มู่หลงหยานแสดงสีหน้าเย้ยหยัน “แต่ก่อนหน้านี้ พวกท่านยังบอกอยู่เลยว่าเขาไม่ใช่ลูกเขยของข้าแถมยังบีบบังคับให้ลูกสาวของข้าต้องแต่งงานใหม่อีก แล้วแบบนี้จะให้ข้าไปอธิบายกับเขาว่ายังไง?”

บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องโถงในวันนั้น ต่างแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

แต่แล้วหานเว่ยฮุย จู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เอาแบบนี้ไหม ท่านก็ไปเชิญเขาออกมาก่อน หากเขาสามารถแก้ปัญหาหมอกนั่นได้จริง ๆ และพาคนของเราออกมา พวกข้าจะยอมก้มหัวขอขมาเขาเลยเป็นไง?”

หยูยงเห่าก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอับอายเช่นกัน “หากเขาสามารถช่วยบรรพบุรุษตระกูลข้าได้จริง ๆ ข้าจะยอมคุกเข่าขอขมากับเขาทันที!”

“แบบนี้ท่านคิดว่ายังไง ท่านภรรยาเจ้าสำนัก?” หานหลิงอู่ยิ้มพลางเอ่ยถาม

มู่หลงหยานถอนหายใจ “เฮ้อ ยังไงซะข้าเองก็ต้องการช่วยสามีของข้าเช่นกัน เอาเป็นว่าพวกเราค่อยพูดกันเรื่องนั้นทีหลังก็แล้วกัน”

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปเชิญเขาออกไปที่เขตแดนหมอกกันก่อนเถอะ!” หยูหงเว่ยหัวเราะ

“ไปกัน!” กลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างพากันออกจากห้องโถง และมุ่งหน้าไปที่ เรือนของเย่ชิงเฉิงทันที!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+