พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 518 เมืองผนึกกระบี่

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 518 เมืองผนึกกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 518 เมืองผนึกกระบี่

เมื่อเห็นท่าทีไม่ยินยอมของหลิงตู้ฉิง อันหยวนตู่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ

อันหยวนตู่บ่นอุบ “ท่านนี่มันช่างขี้เหนียวจริง ๆ ข้าอุตส่าห์เล่าเรื่องมาตั้งยืดยาว แต่กลับไม่ให้กำไรข้าบ้างสักหน่อยเลย เฮ้อน่าเหนื่อยใจจริง ๆ แต่ก็ช่างเถอะ ข้าจะเสริมข้อมูลให้อีกหน่อยก็แล้วกัน”

“ท่านคงจะรู้จัก หลินเย่ แห่งตระกูลหลินที่เพิ่งทะลวงขอบเขตได้แล้วใช่ไหม? ส่วนตระกูลเย่ก็มีข่าวว่าพวกเขาได้รับมรดกจากบรรพบุรุษเทพกระบี่ของพวกเขาและในตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปในสุสานกระบี่ชั้นที่ห้า ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาที่พวกเขาจะเข้าไป และอีกอย่างท่านรู้แล้วรึยังว่ามีคนของตระกูลตงฟางมาที่นี่และมาอ้างว่าตนเองเป็นเทพกระที่กลับชาติมาเกิด?”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าพึ่งมาจากอาณาเขตวิญญาณโลหิต!”

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็แปลว่าท่านคงรู้แล้ว ว่าแต่ท่านรู้รึเปล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้ตระกูลกู๋ได้เริ่มการตามหาสุสานของตัวตนระดับสูงอย่างลับ ๆ?” อันหยวนตู่เอ่ยถาม

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าไม่รู้ แต่ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้อมูลแค่นี้มันเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์แล้วล่ะก็มันคงยังไม่เพียงพอ!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เย้ยหยันในใจ ตระกูลกู๋กล้าที่จะปล่อยข่าวออกมาแล้วงั้นเหรอ?

พวกมันต้องเผชิญกับหายนะอย่างแน่นอน!

อันหยวนตู่ตบหน้าผากของตัว จากนั้นเขาพูดต่อ “ข้ารู้ว่ามันไม่เพียงพอสำหรับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ แต่ถ้าหากข้าบอกว่าตระกูลกู๋นั้นจริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้กำลังมองหาสุสานของตัวตนระดับสูง แต่เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวตนระดับสูงอยู่อาศัยเมื่อในอดีตล่ะ?”

เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ หลิงตู้ฉิงถึงกับตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลกู๋จะสืบหาความลับของแผนที่นั้นได้ไวขนาดนี้ที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ

หลิงตู้ฉิงเก็บอาการ จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งว่า “ต่อให้มันเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอยู่ดี”

“มันจะไม่เกี่ยวข้องกับท่านได้ยังไง? ด้วยข้อมูลนี้ท่านสามารถลองไปเสี่ยงโชคที่นั่นได้เชียวนะ!” อันหยวนตู่รีบเอ่ยตอบ “วิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นมันอยู่ในอาณาเขตเทียนหยู ซึ่งถ้าหากท่านไปที่นั่นและเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นได้ มันก็หมายถึงว่าท่านจะรวยเลยเชียวนะ!”

“อยู่ในอาณาเขตเทียนหยูงั้นเหรอ?” เย่ชิงเฉิงอุทานขึ้น “งั้นมันก็หมายความว่ามันอยู่ไม่ไกลจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราเลยน่ะสิ?”

อันหยวนตู่พยักหน้า “ใช่แล้ว ระยะทางจากอาณาเขตอักขระศักดิ์สิทธิ์ ไปยัง อาณาเขตเทียนหยูนั่นนับว่าไม่ได้ห่างกันมากสักเท่าไหร่เลย”

จากนั้นอันหยวนตู่ไม่ได้ถามไถ่อะไรเกี่ยวกับสถานะของเย่ชิงเฉิงว่าเป็นอะไรกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เขาหันไปหาหลิงตู้ฉิงและพูดต่อ “ด้วยข้อมูลนี้ ข้าคิดว่ามันคงเพียงแล้วใช่ไหมที่จะแลกกับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ของท่าน?”

“หากข้อมูลที่เจ้าเอ่ยมาเป็นความจริงมันก็เพียงพอ!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

สำหรับคนอื่น ข้อมูลนี้มันอาจจะไร้ค่าแต่สำหรับเขามันคือข้อมูลที่สำคัญมากที่สุด

เนื่องจากกุญแจวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นมันอยู่กับเขา!

และด้วยความพอดิบพอดีที่เขาเองยังไงก็ต้องไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่เขาเสร็จธุระที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เขาจะต้องไปต่อที่อาณาเขตเทียนหยวนแน่นอน

หลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงก็ทำการเขียนสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ให้กับอันหยวนตู่ และจากนั้นเขาก็รับข้อมูลการเดินทางของเทพกระบี่มาและเมื่อการแลกเปลี่ยนทุกอย่างเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็พาคนของเขาออกจากหอการค้าเชื่อมสวรรค์ทันที

เมื่อได้รับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ อันหยวนตู่ก็ไม่สนใจหลิงตู้ฉิงอีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นกับตัวเอง “หากข้าบ่มมันเสร็จเมื่อไหร่ ข้าก็รวยเมื่อนั้น ตอนนี้ข้าจะต้องรีบให้คนของข้าออกไปหาส่วนผสมมันโดยด่วน ฮ่าฮ่าฮ่า”

“มุ่งหน้าไปที่เมืองผนึกกระบี่!” หลิงตู้ฉิงสั่งหลงเฉินให้ออกเดินทางทันที

เขาตัดสินใจที่จะไปที่แรกที่ทาสกระบี่ไปเยือนมาเมื่อมาถึงอาณาเขตสุสานกระบี่ก่อน เนื่องจากทาสกระบี่นั้นได้อาศัยอยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นมันต้องเป็นไปได้ที่ทาสกระบี่จะต้องมีลูกหลานที่เขาทิ้งไว้ให้อยู่ที่นี่

ตราบใดที่เขาแกะรอยเส้นทางการใช้ชีวิตของทาสกระบี่ เขามั่นใจว่าเขาจะต้องหาลูกหลานของเทพกระบี่พบอย่างแน่นอน

ต่อให้เมื่อก่อนทาสกระบี่จะไม่กล้าเปิดเผยว่าใครเป็นลูกของตนเอง แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้มาเกิดใหม่แล้ว เขาจะทำให้เหล่าลูกหลานของทาสกระบี่ได้ออกมาเปิดเผยตนเองอย่างภาคภูมิ

อันที่จริงตามแผนที่ที่อันหยวนตู่ให้มา หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ในตอนนี้เขาได้กลับมาอยู่ในจุดเริ่มต้นตอนที่เขาเข้ามาในอาณาเขตสุสานกระบี่

มันคือจุดที่เขาเคยอยู่เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่เขาเข้ามาในอาณาเขตแห่งนี้ ซึ่งเขาได้แยกทางกับเด็กน้อยที่มีนามว่า มู่เฉียนซ่ง

หลังจากที่พวกเขาได้เดินทางตามแผนที่ของอันหยวนตู่ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองผนึกกระบี่

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าไปในเมืองผนึกกระบี่ พวกเขาก็ได้พบหน้าผาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กัน ซึ่งมันมีอักษรสลักไว้ที่หน้าผาว่า ‘ผาผนึกกระบี่’

“ในอดีต ผู้อาวุโสเทพกระบี่ได้ทำการผนึกกระบี่ของเขาไว้ที่นี่!” ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งที่เดินผ่านพวกเขาได้หยุดยืนที่ข้างกลุ่มของหลิงตู้ฉิงและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเชยชม “พวกท่านรู้ไหมว่ากระบี่อะไรที่ผู้อาวุโสเทพกระบี่ผนึกเอาไว้? มันคือกระบี่อาญาสวรรค์! ผู้อาวุโสเทพกระบี่ได้ทำการผนึกกระบี่อาญาสวรรค์เอาไว้ที่นี่ ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันเจตจำนงกระบี่ของมันก็ยังคงอยู่…”

หลิงตู้ฉิงมองไปยังทิศทางเดียวกับที่นิ้วของผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นชี้ ซึ่งเขาก็รู้ได้ว่าอักษรที่สลักอยู่บนหน้าผานั้นเกิดจากรอยฟันของกระบี่ แต่มันจะเป็นรอยฟันของกระบี่อาญาสวรรค์ที่เขาสร้างให้กับทาสกระบี่ในตอนนั้นหรือไม่นั้นเขายังบอกไม่ได้

หลิงตู้ฉิงหันกลับไปหาหมิงยู่ และพูดว่า “พาข้าบินเข้าไปยังจุดที่อักษรถูกสลัก”

หมิงยู่พยักหน้า จากนั้นนางก็พาเขาบินขึ้นไปอยู่ตรงหน้าอักษรที่สลักอยู่ในทันที

“ไอ้หยา เดี๋ยวก่อน พวกท่านจะเข้าไปใกล้มันไม่ได้นะ ในอักษรเหล่านั้นมันยังคงมีเจตจำนงกระบี่สถิตอยู่!” ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นรีบตะโกนขึ้น

น่าเสียดายที่แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นจะเอ่ยเตือน แต่หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สนใจฟังแม้แต่น้อย เมื่อเขาไปถึงด้านหน้าอักษรที่สลักไว้และสำรวจมันสักพัก เขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่มันไม่ได้เกิดจากกระบี่อาญาสวรรค์ที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อกลับมาถึงรถม้าอีกครั้ง

หากมันเป็นรอยกระบี่ที่เกิดจากกระบี่อาญาสวรรค์จริง เขาคงจะสามารถหาเบาะแสเพิ่มเติมจากมันได้บ้าง

เมืองผนึกกระบี่นั้นเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ผาผนึกกระบี่ แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่มันก็ยังคงใหญ่กว่าเมืองจันทราของเขา

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองผนึกกระบี่ สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือทั่วทุกที่นั้นมีแต่ป้ายที่เกี่ยวเทพกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารที่ชื่อว่า ของโปรดเทพกระบี่ โรงเตี๊ยมที่มีชื่อว่า ห้องพักเทพกระบี่ ร้านเหล้าที่ชื่อว่า เทพกระบี่เมามาย หรือแม้กระทั่งหอนางโลมที่ชื่อว่า สถานหย่อนใจของเทพกระบี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย

เมื่อเห็นภาพอันแปลกประหลาดแบบนี้ หลิงตู้ฉิงก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

แต่ในทางกลับกัน เสี่ยวเยว่เฟิงและคนอื่น ๆ กลับคิดชื่นชมในความโด่งดังของเทพกระบี่

เนื่องจากบุคคลที่ตายไปแล้วกว่า 30,000 ปี กลับยังมีผู้คนรำลึกถึงขนาดนี้มันนับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่อยู่ในระดับสุดยอดที่ทุกคนใฝ่ฝันจะเป็นให้ได้บ้าง

หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่นับได้ว่าเก่งกาจในยุคของตัวเองทั่วไปเอาแค่เวลาผ่านไป 10,000 ปีหลังจากตายไปแล้ว แม้แต่ลูกหลานก็คงแทบจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเรือนของตระกูลมู่อยู่ที่ไหนในเมือง?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยถามกับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่อยู่เดินผ่านเขา

หลิงตู้ฉิงจำได้ว่ามู่เฉียนซ่งเคยบอกกับเขาไว้ว่าตระกูลมู่นั้นอาศัยอยู่ในเมืองผนึกกระบี่ ดังนั้นในตอนนี้ที่เขามาที่นี่เขาจึงถือโอกาสที่จะไปเยือนบ้านของไอ้เด็กคนนั้นเพื่อถามอีกรอบว่าจะยอมมาเป็นศิษย์ในนามของเขารึเปล่า และอีกอย่างก็คือในเมื่อเขาตั้งใจว่าจะมาหาเบาะแสของทาสกระบี่ที่นี่แล้ว ดังนั้นการที่เขาเริ่มต้นจากการสืบถามจากตระกูลในพื้นที่ก่อนย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสม

หลังจากถามผู้คนไปได้สักพัก ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็ได้ข้อมูลที่อยู่ของตระกูลมู่และเดินทางไปที่นั่นทันที

“ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการอะไร?” พ่อบ้านของตระกูลมู่เอ่ยถามขึ้น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อตามหา มู่เฉียนซ่ง”

สิ่งที่ทำให้หลิงตู้ฉิงรู้สึกนึกไม่ถึงก็คือ ตระกูลมู่นั้นเล็กเป็นอย่างมาก ขนาดของเรือนพวกเขานั้นใหญ่แค่พอ ๆ กับคฤหาสน์สราญรมย์เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากเปียบเทียบกับตระกูลที่อยู่นอกอาณาเขตทะเลชางหมางแล้วมันนับได้ว่าเล็กเป็นอย่างมาก

“ท่านมาหานายน้อยสามงั้นเหรอ? ถ้างั้นโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปตามนายน้อยมาให้” พ่อบ้านตระกูลมู่เอ่ยตอบ

ในขณะเดียวกับที่พ่อบ้านตระกูลมู่กลับเข้าไป เย่ชิงเฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าตระกูลที่เล็กขนาดนี้กลับมีทายาทที่เป็นอัจฉริยะได้อย่าง มู่เฉียนซ่ง แล้วยิ่งถ้าหากเขายังไม่สามารถหาเต๋ากระบี่ของตนเองได้เจอ ในอนาคตของเขาคงจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

สามารถเข้าไปฝึกฝนตนเองในเหวมรณะคนเดียวได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น มันไม่แปลกที่จะเรียกได้ว่ามู่เฉียนซ่งนั้นคืออัจฉริยะผู้หนึ่ง

หลิงตู้ฉิงยิ้มและเอ่ยตอบว่า “กับคนที่กล้ายึดมั่นในหลักการว่าจะก้าวผ่านเทพกระบี่ให้ได้ มันถือว่าความทะเยอทะยานของเขานั้นไม่เลวเลย ข้าคิดว่าอนาคตของเขาคงจะไม่ตกต่ำสักเท่าไหร่หรอก”

ในขณะเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ เสียงของมู่เฉียนซ่งก็ลอยออกมาจากด้านในเรือน

“ไหนใครมาตามหาข้า? เอ๋…นี่พวกท่านเองงั้นเหรอ!?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 518 เมืองผนึกกระบี่

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 518 เมืองผนึกกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 518 เมืองผนึกกระบี่

เมื่อเห็นท่าทีไม่ยินยอมของหลิงตู้ฉิง อันหยวนตู่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ

อันหยวนตู่บ่นอุบ “ท่านนี่มันช่างขี้เหนียวจริง ๆ ข้าอุตส่าห์เล่าเรื่องมาตั้งยืดยาว แต่กลับไม่ให้กำไรข้าบ้างสักหน่อยเลย เฮ้อน่าเหนื่อยใจจริง ๆ แต่ก็ช่างเถอะ ข้าจะเสริมข้อมูลให้อีกหน่อยก็แล้วกัน”

“ท่านคงจะรู้จัก หลินเย่ แห่งตระกูลหลินที่เพิ่งทะลวงขอบเขตได้แล้วใช่ไหม? ส่วนตระกูลเย่ก็มีข่าวว่าพวกเขาได้รับมรดกจากบรรพบุรุษเทพกระบี่ของพวกเขาและในตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปในสุสานกระบี่ชั้นที่ห้า ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาที่พวกเขาจะเข้าไป และอีกอย่างท่านรู้แล้วรึยังว่ามีคนของตระกูลตงฟางมาที่นี่และมาอ้างว่าตนเองเป็นเทพกระที่กลับชาติมาเกิด?”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าพึ่งมาจากอาณาเขตวิญญาณโลหิต!”

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็แปลว่าท่านคงรู้แล้ว ว่าแต่ท่านรู้รึเปล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้ตระกูลกู๋ได้เริ่มการตามหาสุสานของตัวตนระดับสูงอย่างลับ ๆ?” อันหยวนตู่เอ่ยถาม

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าไม่รู้ แต่ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้อมูลแค่นี้มันเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์แล้วล่ะก็มันคงยังไม่เพียงพอ!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เย้ยหยันในใจ ตระกูลกู๋กล้าที่จะปล่อยข่าวออกมาแล้วงั้นเหรอ?

พวกมันต้องเผชิญกับหายนะอย่างแน่นอน!

อันหยวนตู่ตบหน้าผากของตัว จากนั้นเขาพูดต่อ “ข้ารู้ว่ามันไม่เพียงพอสำหรับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ แต่ถ้าหากข้าบอกว่าตระกูลกู๋นั้นจริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้กำลังมองหาสุสานของตัวตนระดับสูง แต่เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวตนระดับสูงอยู่อาศัยเมื่อในอดีตล่ะ?”

เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ หลิงตู้ฉิงถึงกับตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลกู๋จะสืบหาความลับของแผนที่นั้นได้ไวขนาดนี้ที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ

หลิงตู้ฉิงเก็บอาการ จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งว่า “ต่อให้มันเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอยู่ดี”

“มันจะไม่เกี่ยวข้องกับท่านได้ยังไง? ด้วยข้อมูลนี้ท่านสามารถลองไปเสี่ยงโชคที่นั่นได้เชียวนะ!” อันหยวนตู่รีบเอ่ยตอบ “วิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นมันอยู่ในอาณาเขตเทียนหยู ซึ่งถ้าหากท่านไปที่นั่นและเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นได้ มันก็หมายถึงว่าท่านจะรวยเลยเชียวนะ!”

“อยู่ในอาณาเขตเทียนหยูงั้นเหรอ?” เย่ชิงเฉิงอุทานขึ้น “งั้นมันก็หมายความว่ามันอยู่ไม่ไกลจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราเลยน่ะสิ?”

อันหยวนตู่พยักหน้า “ใช่แล้ว ระยะทางจากอาณาเขตอักขระศักดิ์สิทธิ์ ไปยัง อาณาเขตเทียนหยูนั่นนับว่าไม่ได้ห่างกันมากสักเท่าไหร่เลย”

จากนั้นอันหยวนตู่ไม่ได้ถามไถ่อะไรเกี่ยวกับสถานะของเย่ชิงเฉิงว่าเป็นอะไรกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เขาหันไปหาหลิงตู้ฉิงและพูดต่อ “ด้วยข้อมูลนี้ ข้าคิดว่ามันคงเพียงแล้วใช่ไหมที่จะแลกกับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ของท่าน?”

“หากข้อมูลที่เจ้าเอ่ยมาเป็นความจริงมันก็เพียงพอ!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

สำหรับคนอื่น ข้อมูลนี้มันอาจจะไร้ค่าแต่สำหรับเขามันคือข้อมูลที่สำคัญมากที่สุด

เนื่องจากกุญแจวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นมันอยู่กับเขา!

และด้วยความพอดิบพอดีที่เขาเองยังไงก็ต้องไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่เขาเสร็จธุระที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เขาจะต้องไปต่อที่อาณาเขตเทียนหยวนแน่นอน

หลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงก็ทำการเขียนสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ให้กับอันหยวนตู่ และจากนั้นเขาก็รับข้อมูลการเดินทางของเทพกระบี่มาและเมื่อการแลกเปลี่ยนทุกอย่างเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็พาคนของเขาออกจากหอการค้าเชื่อมสวรรค์ทันที

เมื่อได้รับสูตรน้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ อันหยวนตู่ก็ไม่สนใจหลิงตู้ฉิงอีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นกับตัวเอง “หากข้าบ่มมันเสร็จเมื่อไหร่ ข้าก็รวยเมื่อนั้น ตอนนี้ข้าจะต้องรีบให้คนของข้าออกไปหาส่วนผสมมันโดยด่วน ฮ่าฮ่าฮ่า”

“มุ่งหน้าไปที่เมืองผนึกกระบี่!” หลิงตู้ฉิงสั่งหลงเฉินให้ออกเดินทางทันที

เขาตัดสินใจที่จะไปที่แรกที่ทาสกระบี่ไปเยือนมาเมื่อมาถึงอาณาเขตสุสานกระบี่ก่อน เนื่องจากทาสกระบี่นั้นได้อาศัยอยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นมันต้องเป็นไปได้ที่ทาสกระบี่จะต้องมีลูกหลานที่เขาทิ้งไว้ให้อยู่ที่นี่

ตราบใดที่เขาแกะรอยเส้นทางการใช้ชีวิตของทาสกระบี่ เขามั่นใจว่าเขาจะต้องหาลูกหลานของเทพกระบี่พบอย่างแน่นอน

ต่อให้เมื่อก่อนทาสกระบี่จะไม่กล้าเปิดเผยว่าใครเป็นลูกของตนเอง แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้มาเกิดใหม่แล้ว เขาจะทำให้เหล่าลูกหลานของทาสกระบี่ได้ออกมาเปิดเผยตนเองอย่างภาคภูมิ

อันที่จริงตามแผนที่ที่อันหยวนตู่ให้มา หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ในตอนนี้เขาได้กลับมาอยู่ในจุดเริ่มต้นตอนที่เขาเข้ามาในอาณาเขตสุสานกระบี่

มันคือจุดที่เขาเคยอยู่เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่เขาเข้ามาในอาณาเขตแห่งนี้ ซึ่งเขาได้แยกทางกับเด็กน้อยที่มีนามว่า มู่เฉียนซ่ง

หลังจากที่พวกเขาได้เดินทางตามแผนที่ของอันหยวนตู่ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองผนึกกระบี่

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าไปในเมืองผนึกกระบี่ พวกเขาก็ได้พบหน้าผาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กัน ซึ่งมันมีอักษรสลักไว้ที่หน้าผาว่า ‘ผาผนึกกระบี่’

“ในอดีต ผู้อาวุโสเทพกระบี่ได้ทำการผนึกกระบี่ของเขาไว้ที่นี่!” ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งที่เดินผ่านพวกเขาได้หยุดยืนที่ข้างกลุ่มของหลิงตู้ฉิงและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเชยชม “พวกท่านรู้ไหมว่ากระบี่อะไรที่ผู้อาวุโสเทพกระบี่ผนึกเอาไว้? มันคือกระบี่อาญาสวรรค์! ผู้อาวุโสเทพกระบี่ได้ทำการผนึกกระบี่อาญาสวรรค์เอาไว้ที่นี่ ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันเจตจำนงกระบี่ของมันก็ยังคงอยู่…”

หลิงตู้ฉิงมองไปยังทิศทางเดียวกับที่นิ้วของผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นชี้ ซึ่งเขาก็รู้ได้ว่าอักษรที่สลักอยู่บนหน้าผานั้นเกิดจากรอยฟันของกระบี่ แต่มันจะเป็นรอยฟันของกระบี่อาญาสวรรค์ที่เขาสร้างให้กับทาสกระบี่ในตอนนั้นหรือไม่นั้นเขายังบอกไม่ได้

หลิงตู้ฉิงหันกลับไปหาหมิงยู่ และพูดว่า “พาข้าบินเข้าไปยังจุดที่อักษรถูกสลัก”

หมิงยู่พยักหน้า จากนั้นนางก็พาเขาบินขึ้นไปอยู่ตรงหน้าอักษรที่สลักอยู่ในทันที

“ไอ้หยา เดี๋ยวก่อน พวกท่านจะเข้าไปใกล้มันไม่ได้นะ ในอักษรเหล่านั้นมันยังคงมีเจตจำนงกระบี่สถิตอยู่!” ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นรีบตะโกนขึ้น

น่าเสียดายที่แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นจะเอ่ยเตือน แต่หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สนใจฟังแม้แต่น้อย เมื่อเขาไปถึงด้านหน้าอักษรที่สลักไว้และสำรวจมันสักพัก เขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่มันไม่ได้เกิดจากกระบี่อาญาสวรรค์ที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อกลับมาถึงรถม้าอีกครั้ง

หากมันเป็นรอยกระบี่ที่เกิดจากกระบี่อาญาสวรรค์จริง เขาคงจะสามารถหาเบาะแสเพิ่มเติมจากมันได้บ้าง

เมืองผนึกกระบี่นั้นเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ผาผนึกกระบี่ แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่มันก็ยังคงใหญ่กว่าเมืองจันทราของเขา

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองผนึกกระบี่ สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือทั่วทุกที่นั้นมีแต่ป้ายที่เกี่ยวเทพกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารที่ชื่อว่า ของโปรดเทพกระบี่ โรงเตี๊ยมที่มีชื่อว่า ห้องพักเทพกระบี่ ร้านเหล้าที่ชื่อว่า เทพกระบี่เมามาย หรือแม้กระทั่งหอนางโลมที่ชื่อว่า สถานหย่อนใจของเทพกระบี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย

เมื่อเห็นภาพอันแปลกประหลาดแบบนี้ หลิงตู้ฉิงก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

แต่ในทางกลับกัน เสี่ยวเยว่เฟิงและคนอื่น ๆ กลับคิดชื่นชมในความโด่งดังของเทพกระบี่

เนื่องจากบุคคลที่ตายไปแล้วกว่า 30,000 ปี กลับยังมีผู้คนรำลึกถึงขนาดนี้มันนับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่อยู่ในระดับสุดยอดที่ทุกคนใฝ่ฝันจะเป็นให้ได้บ้าง

หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่นับได้ว่าเก่งกาจในยุคของตัวเองทั่วไปเอาแค่เวลาผ่านไป 10,000 ปีหลังจากตายไปแล้ว แม้แต่ลูกหลานก็คงแทบจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเรือนของตระกูลมู่อยู่ที่ไหนในเมือง?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยถามกับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่อยู่เดินผ่านเขา

หลิงตู้ฉิงจำได้ว่ามู่เฉียนซ่งเคยบอกกับเขาไว้ว่าตระกูลมู่นั้นอาศัยอยู่ในเมืองผนึกกระบี่ ดังนั้นในตอนนี้ที่เขามาที่นี่เขาจึงถือโอกาสที่จะไปเยือนบ้านของไอ้เด็กคนนั้นเพื่อถามอีกรอบว่าจะยอมมาเป็นศิษย์ในนามของเขารึเปล่า และอีกอย่างก็คือในเมื่อเขาตั้งใจว่าจะมาหาเบาะแสของทาสกระบี่ที่นี่แล้ว ดังนั้นการที่เขาเริ่มต้นจากการสืบถามจากตระกูลในพื้นที่ก่อนย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสม

หลังจากถามผู้คนไปได้สักพัก ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็ได้ข้อมูลที่อยู่ของตระกูลมู่และเดินทางไปที่นั่นทันที

“ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการอะไร?” พ่อบ้านของตระกูลมู่เอ่ยถามขึ้น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อตามหา มู่เฉียนซ่ง”

สิ่งที่ทำให้หลิงตู้ฉิงรู้สึกนึกไม่ถึงก็คือ ตระกูลมู่นั้นเล็กเป็นอย่างมาก ขนาดของเรือนพวกเขานั้นใหญ่แค่พอ ๆ กับคฤหาสน์สราญรมย์เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากเปียบเทียบกับตระกูลที่อยู่นอกอาณาเขตทะเลชางหมางแล้วมันนับได้ว่าเล็กเป็นอย่างมาก

“ท่านมาหานายน้อยสามงั้นเหรอ? ถ้างั้นโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปตามนายน้อยมาให้” พ่อบ้านตระกูลมู่เอ่ยตอบ

ในขณะเดียวกับที่พ่อบ้านตระกูลมู่กลับเข้าไป เย่ชิงเฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าตระกูลที่เล็กขนาดนี้กลับมีทายาทที่เป็นอัจฉริยะได้อย่าง มู่เฉียนซ่ง แล้วยิ่งถ้าหากเขายังไม่สามารถหาเต๋ากระบี่ของตนเองได้เจอ ในอนาคตของเขาคงจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

สามารถเข้าไปฝึกฝนตนเองในเหวมรณะคนเดียวได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น มันไม่แปลกที่จะเรียกได้ว่ามู่เฉียนซ่งนั้นคืออัจฉริยะผู้หนึ่ง

หลิงตู้ฉิงยิ้มและเอ่ยตอบว่า “กับคนที่กล้ายึดมั่นในหลักการว่าจะก้าวผ่านเทพกระบี่ให้ได้ มันถือว่าความทะเยอทะยานของเขานั้นไม่เลวเลย ข้าคิดว่าอนาคตของเขาคงจะไม่ตกต่ำสักเท่าไหร่หรอก”

ในขณะเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ เสียงของมู่เฉียนซ่งก็ลอยออกมาจากด้านในเรือน

“ไหนใครมาตามหาข้า? เอ๋…นี่พวกท่านเองงั้นเหรอ!?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+