พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 465 เทพกระบี่

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 465 เทพกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 465 เทพกระบี่ จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรทะยาน หยูไท่ฉวนมองดูหลิงตู้ฉิง และอู๋หลิงซีจากไปอย่างตกตะลึง เมื่อเขามองไปที่ซากปรักหักพังของเมืองหลวง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนั้นน่ากลัวเพียงใด ภายใต้เจตจำนงของอู๋หลิงซี อาคารทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหลวงได้พังทลายลง อย่างไรก็ตามไม่มีชีวิตมนุษย์สักคนเดียวที่ได้รับอันตราย หากใช้ความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในการฆ่า ผู้คนเมืองหลวงทั้งหมดคงจะตายภายในพริบตา หลังจากที่เขามองไปที่ซากปรักหักพังในเมืองแล้ว สายตาของเขาก็มาหยุดลงที่หยูเฉิงฮุย ซึ่งในดวงตาของเขาตอนนี้มันมีแต่ความรังเกียจ เป็นลูกชายคนนี้ที่นำความหายนะมาสู่อาณาจักรมังกรทะยานของเขา อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกก็คือเขาจะต้องมุ่งความสนใจไปที่การสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ เมื่อครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก หยูไท่ฉวนก็เริ่มออกคำสั่งให้คนของเขาเริ่มแผนการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ ในขณะนี้ หยูเฉิงฮุยก็จ้องมองไปที่สภาพอันเละเทะของเมืองหลวงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยการที่หลิงว่านถิงชอบเขาและถ้าเขาตอบรับนางด้วยความจริงใจ และแต่งนางเป็นภรรยาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต? โอกาสนี้ดีแค่ไหนทำไมเขาถึงเอาแต่ยึดติดกับร่างกายแก่นแท้ปฐพีเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเขาถูกเปิดโปงแล้วทำไมเขาถึงไม่กลับใจแต่กลับทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง? ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยมีผู้สนับสนุนที่สูงศักดิ์และสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็เป็นเขาเองที่ผลักไสผู้สนับสนุนผู้นั้นออกไป เขาเพิ่งรู้ว่าเขาประเมินผู้สนับสนุนของเขาต่ำไปแล้ว แน่นอนว่าทุกอย่างเหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วในตอนนี้ นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าในอนาคตร่างกายของเขากำลังจะค่อย ๆ เน่าเปื่อยไป แล้วจากนั้นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของเขากำลังจะเริ่มขึ้น ในเวลานี้ อู๋หลิงซีกำลังบินไปยังสำนักเต๋าสวรรค์พร้อมกับหลิงว่านถิงและซือโถวเหวินหยวน ตอนนี้เขาต้องพาหลิงว่านถิงกลับไปที่สำนักเต๋าสวรรค์โดยเร็วที่สุด และใช้ทรัพยากรทั้งหมดของสำนักเต๋าสวรรค์เพื่อเลี้ยงดูนาง “ท่านบรรพบุรุษ จากวิธีที่ท่านพูดกับนายท่านดูเหมือนท่านจะรู้จักเขา?” ซือโถวเหวินหยวนอดไม่ได้ที่จะถาม ในขณะที่เขานึกถึงภาพที่อู๋หลิงซีและหลิงตู้ฉิงคุยกัน อู๋หลิงซีอดไม่ได้ที่จะทำให้พาหนะวิเศษบินช้าลง จากนั้นเขาเหลือบมองไปที่หลิงว่านถิง และถอนหายใจ “อาจพูดได้ว่าข้ารู้จักเขา หรืออาจพูดได้ว่าข้าไม่ได้รู้จักเขา!” “ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงอะไร?” หลิงว่านถิงถามอย่างสงสัย นางอยากรู้ด้วยว่าท่านพ่อของนางคือใคร อู๋หลิงซีถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน และพูดว่า “ตอนนี้เราพึ่งเข้ามาในภูมิภาคเป่ยหมิง ซึ่งเจ้าน่าจะรู้ว่าตอนนี้มีพื้นที่ใกล้เคียงที่หนึ่งที่เรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ใช่ไหม?” ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้า “เรียนท่านบรรพบุรุษ ข้ารู้จักอาณาเขตสุสานกระบี่!” “แล้วเจ้ารู้ไหมว่า ทำไมอาณาเขตสุสานกระบี่ ถึงเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่?” อู๋หลิงซีถาม ซือโถวเหวินหยวนเกาหัว “ว่ากันว่ามีผู้เชี่ยวชาญในอดีตผู้หนึ่งที่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดแยกปฐพีออกจากกันได้ด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว และเมื่อเขาตายลง ร่างของเขาก็ถูกฝังอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหลังจากนั้นดินแดนที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไป” อู๋หลิงซีพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว สาเหตุที่ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ก็เพราะหลุมฝังศพของเทพกระบี่ตั้งอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และภายในสุสานกระบี่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเต๋ากระบี่ของเขาเอาไว้อีกด้วย ซึ่งนับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมายันปัจจุบัน เต๋ากระบี่ของเขายังคงเป็นเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลก” “ในปีนั้นข้าได้ลองไปที่สุสานกระบี่เช่นกัน และข้าก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลกนั้นเป็นการส่วนตัว ตัวข้าเองนั้นทดสอบผ่านได้ไปถึงกระบวนท่าที่สามและแต่เมื่อข้าเผชิญกับกระบวนท่าที่สี่ ข้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ในเวลานั้นการบ่มเพาะของข้ายังค่อนข้างตื้นเขินและข้ายังอยู่เพียงขอบเขตนภา แต่แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ ในที่สุดข้าก็สามารถรักษาชีวิตของข้าไว้ได้” “ซึ่งจุดสำคัญมันอยู่ที่กระบวนท่าที่ข้าพ่ายแพ้ก็คือสิ่งเดียวกับที่พ่อของว่านถิงแสดงให้ข้าเห็น มันถูกเรียกว่า กระบี่ทะลวงยมโลก! ซึ่งคือกระบี่ที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ มันเป็นกระบี่ที่ไว้ใช้สำหรับโจมตีวิญญาณของคู่ต่อสู้โดยตรง ข้าไม่มีทางจำมันผิดแน่นอนเพราะมันเป็นกระบี่ที่ข้าเคยพ่ายแพ้มาจนกลายเป็นความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในหัวมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้” ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยความตกใจ “ท่านบรรพบุรุษ ท่านหมายถึง หลิงตู้ฉิง คือ เทพกระบี่ ที่กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?” อู๋หลิงซีถอนหายใจและพูดว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีก แม้ว่าวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จะอยู่ในสุสานกระบี่ แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้าไปทดสอบในสุสานกระบี่และได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาเลยสักคน อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงการได้รับมันมา แม้แต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านที่ต้องรับมือกับเพลงกระบี่ที่สี่นี้ก็มีจำนวนน้อยมาก ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะกลับมาจริง ๆ ข้ากลัวว่าโลกจะปั่นป่วนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำอีกครั้งก็คราวนี้นี่แหละ” ซือโถวเหวินหยวนรู้สึกมึนงง เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะมีภูมิหลังที่ทรงพลังเช่นนี้ ในทางกลับกัน หลิงว่านถิงกลับรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ พ่อของนางเป็นเทพกระบี่จริง ๆ งั้นเหรอ? มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่นา? เพราะจากมุมมองของนางเอง เต๋ากระบี่นั้นเป็นเพียงหนึ่งในเต๋าที่พ่อของนางรู้แน่นอน เนื่องจากนางเคยเห็นพ่อของนางสำแดงมันมาแล้ว แต่…พ่อของนางก็ไม่ได้เข้าใจแค่เต๋ากระบี่เพียงอย่างเดียวซะหน่อย มันยังมีเต๋าอีกมากมายที่พ่อของนางเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น เต๋าแห่งเพลิง เต๋าแห่งมิติ เต๋าแห่งหมัด และเต๋าอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ไม่อย่างนั้นพ่อของนางคงไม่สามารถชี้แนะพี่น้องของนางแต่ละคนให้บ่มเพาะไปคนละวิถีเต๋าได้อย่างเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นพ่อของนางจึงไม่น่าจะเป็นเทพกระบี่อย่างแน่นอน! อย่างไรก็ตามนางไม่ได้แก้ไขคำพูดของอู๋หลิงซี ในอีกด้านหนึ่ง สีเป่ยเซียะและลั่วหยุนต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างแปลกประหลาด สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู๋หลิงซี เคยพบเจ้ามาก่อนงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อย “เขาคงจำผิดคน” ลั่วหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “เขาคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ความจำของเขาจะเลอะเลือนจนถึงขนาดจำคนผิดได้ยังไง?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลั่วหยุน และพูดขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพบข้าครั้งแรก เจ้าเองก็จำข้าผิดไม่ต่างจากเขาจริงไหม?” ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนที่หลิงตู้ฉิงทำมุทราของตำหนักเทพโชคลาภของพวกเขา ซึ่งมันทำให้เขานึกไปว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเจ้านายของตำหนักเทพโชคลาภเช่นกัน สีเป่ยเซียะมองไปที่ลั่วหยุนด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าไปทำยังไง อู๋หลิงซีถึงได้ยอมโอนอ่อนให้กับเจ้าได้แบบนั้น?” สีเป่ยเซียะถามขึ้น ทุกคนเห็นว่าในตอนแรก อู๋หลิงซีนั้นมีท่าทีที่ภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาการหยิ่งผยองแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้เห็นหลิงตู้ฉิงเป็นภัยคุกคามสักเท่าไหร่ แต่ต่อมาอู๋หลิงซีกลับลดท่าทีลงจนคล้ายกับว่าเขาหวาดกลัวอยู่ด้วยซ้ำ หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “มันคงเป็นเพราะข้าได้แสดงรูปแบบของวิชาหนึ่งให้เขาเห็น ซึ่งมันคงไปดึงความทรงจำของเขากลับมาจนมันทำให้เขาเข้าใจผิด” “แต่วิชาที่ท่านแสดงนั่นมันไม่ได้มีพลังอะไรเลยสักหน่อย!” ลั่วหยุนเอ่ยขัดขึ้น “ข้าสัมผัสมันได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นเพียงการแสดงวิชาแบบปลอม ๆ” หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ลั่วหยุนและพูดว่า “ข้าแสดงให้เขาเห็นถึงกระบี่รูปแบบที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ กระบี่ทะลวงยมโลก! เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ดังนั้นการโจมตีที่มีผลต่อวิญญาณโดยตรงเท่านั้นถึงจะสามารถคุมคามเขาได้ ข้าเลยแสดงมันไปให้เขาดู” “กระบี่ทะลวงยมโลก กระบี่ทำลายวิญญาณ?” ลั่วหยุนอุทานขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านคือ เทพกระบี่ งั้นเหรอ?” ลั่วหยุนร้องเสียงหลง เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเช่นเดียวกับอู๋หลิงซี “เทพกระบี่?” หลิงตู้ฉิงทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง ลั่วหยุนพยักหน้าและพูดว่า “ก็ผู้ที่ใช้กระบี่นี้ได้ก็มีแต่ เทพกระบี่ ที่ถูกฝังอยู่ในสุสานกระบี่” “สุสานกระบี่?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วงุนงงหนักกว่าเดิม ลั่วหยุนส่ายหัวและถอนหายใจ “เดิมทีสถานที่แห่งนั้นไม่ได้ถูกเรียกว่าอาณาเขตสุสานกระบี่ แต่มันเป็นเทพกระบี่เสียชีวิตลงที่นั่น สถานที่แห่งนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาเขตสุสานกระบี่ ซึ่งในตอนนี้มันได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในโลก” “สำหรับในสุสานกระบี่ มันยังคงมีวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเอาไว้ด้านใน เพื่อทดสอบใครก็ตามที่รับมือกับมันได้ หากผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของสุสานกระบี่ไปได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จากเจตจำนงของเทพกระบี่ที่เหลืออยู่ในสุสาน แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันยังไม่มีใครที่เคยผ่านระดับที่สี่ของการทดสอบแม้แต่คนเดียว หลายคนที่เข้าไปทดสอบสามารถเข้าใจการโจมตีที่เกิดขึ้นในนั้นได้เพียงสามท่าเท่านั้น ไม่มีใครสามารถเข้าใจหรือเรียนรู้ท่าที่สี่ได้และตอนนี้ท่านเพิ่งใช้ท่าที่สี่…” ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาคือ ถ้าท่านไม่ใช่เทพกระบี่ แล้วเทพกระบี่จะเป็นใครไปได้?

บทที่ 465 เทพกระบี่

จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรทะยาน หยูไท่ฉวนมองดูหลิงตู้ฉิง และอู๋หลิงซีจากไปอย่างตกตะลึง

เมื่อเขามองไปที่ซากปรักหักพังของเมืองหลวง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนั้นน่ากลัวเพียงใด

ภายใต้เจตจำนงของอู๋หลิงซี อาคารทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหลวงได้พังทลายลง

อย่างไรก็ตามไม่มีชีวิตมนุษย์สักคนเดียวที่ได้รับอันตราย

หากใช้ความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในการฆ่า ผู้คนเมืองหลวงทั้งหมดคงจะตายภายในพริบตา

หลังจากที่เขามองไปที่ซากปรักหักพังในเมืองแล้ว สายตาของเขาก็มาหยุดลงที่หยูเฉิงฮุย ซึ่งในดวงตาของเขาตอนนี้มันมีแต่ความรังเกียจ

เป็นลูกชายคนนี้ที่นำความหายนะมาสู่อาณาจักรมังกรทะยานของเขา

อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกก็คือเขาจะต้องมุ่งความสนใจไปที่การสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่

เมื่อครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก หยูไท่ฉวนก็เริ่มออกคำสั่งให้คนของเขาเริ่มแผนการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่

ในขณะนี้ หยูเฉิงฮุยก็จ้องมองไปที่สภาพอันเละเทะของเมืองหลวงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ด้วยการที่หลิงว่านถิงชอบเขาและถ้าเขาตอบรับนางด้วยความจริงใจ และแต่งนางเป็นภรรยาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต? โอกาสนี้ดีแค่ไหนทำไมเขาถึงเอาแต่ยึดติดกับร่างกายแก่นแท้ปฐพีเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเขาถูกเปิดโปงแล้วทำไมเขาถึงไม่กลับใจแต่กลับทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง?

ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยมีผู้สนับสนุนที่สูงศักดิ์และสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็เป็นเขาเองที่ผลักไสผู้สนับสนุนผู้นั้นออกไป

เขาเพิ่งรู้ว่าเขาประเมินผู้สนับสนุนของเขาต่ำไปแล้ว

แน่นอนว่าทุกอย่างเหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วในตอนนี้ นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าในอนาคตร่างกายของเขากำลังจะค่อย ๆ เน่าเปื่อยไป แล้วจากนั้นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของเขากำลังจะเริ่มขึ้น

ในเวลานี้ อู๋หลิงซีกำลังบินไปยังสำนักเต๋าสวรรค์พร้อมกับหลิงว่านถิงและซือโถวเหวินหยวน

ตอนนี้เขาต้องพาหลิงว่านถิงกลับไปที่สำนักเต๋าสวรรค์โดยเร็วที่สุด และใช้ทรัพยากรทั้งหมดของสำนักเต๋าสวรรค์เพื่อเลี้ยงดูนาง

“ท่านบรรพบุรุษ จากวิธีที่ท่านพูดกับนายท่านดูเหมือนท่านจะรู้จักเขา?” ซือโถวเหวินหยวนอดไม่ได้ที่จะถาม ในขณะที่เขานึกถึงภาพที่อู๋หลิงซีและหลิงตู้ฉิงคุยกัน

อู๋หลิงซีอดไม่ได้ที่จะทำให้พาหนะวิเศษบินช้าลง จากนั้นเขาเหลือบมองไปที่หลิงว่านถิง และถอนหายใจ “อาจพูดได้ว่าข้ารู้จักเขา หรืออาจพูดได้ว่าข้าไม่ได้รู้จักเขา!”

“ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงอะไร?” หลิงว่านถิงถามอย่างสงสัย

นางอยากรู้ด้วยว่าท่านพ่อของนางคือใคร

อู๋หลิงซีถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน และพูดว่า “ตอนนี้เราพึ่งเข้ามาในภูมิภาคเป่ยหมิง ซึ่งเจ้าน่าจะรู้ว่าตอนนี้มีพื้นที่ใกล้เคียงที่หนึ่งที่เรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ใช่ไหม?”

ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้า “เรียนท่านบรรพบุรุษ ข้ารู้จักอาณาเขตสุสานกระบี่!”

“แล้วเจ้ารู้ไหมว่า ทำไมอาณาเขตสุสานกระบี่ ถึงเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่?” อู๋หลิงซีถาม

ซือโถวเหวินหยวนเกาหัว “ว่ากันว่ามีผู้เชี่ยวชาญในอดีตผู้หนึ่งที่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดแยกปฐพีออกจากกันได้ด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว และเมื่อเขาตายลง ร่างของเขาก็ถูกฝังอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหลังจากนั้นดินแดนที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไป”

อู๋หลิงซีพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว สาเหตุที่ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ก็เพราะหลุมฝังศพของเทพกระบี่ตั้งอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และภายในสุสานกระบี่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเต๋ากระบี่ของเขาเอาไว้อีกด้วย ซึ่งนับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมายันปัจจุบัน เต๋ากระบี่ของเขายังคงเป็นเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลก”

“ในปีนั้นข้าได้ลองไปที่สุสานกระบี่เช่นกัน และข้าก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลกนั้นเป็นการส่วนตัว ตัวข้าเองนั้นทดสอบผ่านได้ไปถึงกระบวนท่าที่สามและแต่เมื่อข้าเผชิญกับกระบวนท่าที่สี่ ข้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ในเวลานั้นการบ่มเพาะของข้ายังค่อนข้างตื้นเขินและข้ายังอยู่เพียงขอบเขตนภา แต่แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ ในที่สุดข้าก็สามารถรักษาชีวิตของข้าไว้ได้”

“ซึ่งจุดสำคัญมันอยู่ที่กระบวนท่าที่ข้าพ่ายแพ้ก็คือสิ่งเดียวกับที่พ่อของว่านถิงแสดงให้ข้าเห็น มันถูกเรียกว่า กระบี่ทะลวงยมโลก! ซึ่งคือกระบี่ที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ มันเป็นกระบี่ที่ไว้ใช้สำหรับโจมตีวิญญาณของคู่ต่อสู้โดยตรง ข้าไม่มีทางจำมันผิดแน่นอนเพราะมันเป็นกระบี่ที่ข้าเคยพ่ายแพ้มาจนกลายเป็นความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในหัวมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้”

ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยความตกใจ “ท่านบรรพบุรุษ ท่านหมายถึง หลิงตู้ฉิง คือ เทพกระบี่ ที่กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?”

อู๋หลิงซีถอนหายใจและพูดว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีก แม้ว่าวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จะอยู่ในสุสานกระบี่ แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้าไปทดสอบในสุสานกระบี่และได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาเลยสักคน อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงการได้รับมันมา แม้แต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านที่ต้องรับมือกับเพลงกระบี่ที่สี่นี้ก็มีจำนวนน้อยมาก ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะกลับมาจริง ๆ ข้ากลัวว่าโลกจะปั่นป่วนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำอีกครั้งก็คราวนี้นี่แหละ”

ซือโถวเหวินหยวนรู้สึกมึนงง เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะมีภูมิหลังที่ทรงพลังเช่นนี้

ในทางกลับกัน หลิงว่านถิงกลับรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่

พ่อของนางเป็นเทพกระบี่จริง ๆ งั้นเหรอ? มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่นา? เพราะจากมุมมองของนางเอง เต๋ากระบี่นั้นเป็นเพียงหนึ่งในเต๋าที่พ่อของนางรู้แน่นอน เนื่องจากนางเคยเห็นพ่อของนางสำแดงมันมาแล้ว แต่…พ่อของนางก็ไม่ได้เข้าใจแค่เต๋ากระบี่เพียงอย่างเดียวซะหน่อย มันยังมีเต๋าอีกมากมายที่พ่อของนางเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น เต๋าแห่งเพลิง เต๋าแห่งมิติ เต๋าแห่งหมัด และเต๋าอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ไม่อย่างนั้นพ่อของนางคงไม่สามารถชี้แนะพี่น้องของนางแต่ละคนให้บ่มเพาะไปคนละวิถีเต๋าได้อย่างเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นพ่อของนางจึงไม่น่าจะเป็นเทพกระบี่อย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตามนางไม่ได้แก้ไขคำพูดของอู๋หลิงซี

ในอีกด้านหนึ่ง สีเป่ยเซียะและลั่วหยุนต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างแปลกประหลาด สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู๋หลิงซี เคยพบเจ้ามาก่อนงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อย “เขาคงจำผิดคน”

ลั่วหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “เขาคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ความจำของเขาจะเลอะเลือนจนถึงขนาดจำคนผิดได้ยังไง?”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลั่วหยุน และพูดขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพบข้าครั้งแรก เจ้าเองก็จำข้าผิดไม่ต่างจากเขาจริงไหม?”

ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนที่หลิงตู้ฉิงทำมุทราของตำหนักเทพโชคลาภของพวกเขา ซึ่งมันทำให้เขานึกไปว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเจ้านายของตำหนักเทพโชคลาภเช่นกัน

สีเป่ยเซียะมองไปที่ลั่วหยุนด้วยความสงสัย

“แล้วเจ้าไปทำยังไง อู๋หลิงซีถึงได้ยอมโอนอ่อนให้กับเจ้าได้แบบนั้น?” สีเป่ยเซียะถามขึ้น

ทุกคนเห็นว่าในตอนแรก อู๋หลิงซีนั้นมีท่าทีที่ภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาการหยิ่งผยองแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้เห็นหลิงตู้ฉิงเป็นภัยคุกคามสักเท่าไหร่ แต่ต่อมาอู๋หลิงซีกลับลดท่าทีลงจนคล้ายกับว่าเขาหวาดกลัวอยู่ด้วยซ้ำ

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “มันคงเป็นเพราะข้าได้แสดงรูปแบบของวิชาหนึ่งให้เขาเห็น ซึ่งมันคงไปดึงความทรงจำของเขากลับมาจนมันทำให้เขาเข้าใจผิด”

“แต่วิชาที่ท่านแสดงนั่นมันไม่ได้มีพลังอะไรเลยสักหน่อย!” ลั่วหยุนเอ่ยขัดขึ้น “ข้าสัมผัสมันได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นเพียงการแสดงวิชาแบบปลอม ๆ”

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ลั่วหยุนและพูดว่า “ข้าแสดงให้เขาเห็นถึงกระบี่รูปแบบที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ กระบี่ทะลวงยมโลก! เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ดังนั้นการโจมตีที่มีผลต่อวิญญาณโดยตรงเท่านั้นถึงจะสามารถคุมคามเขาได้ ข้าเลยแสดงมันไปให้เขาดู”

“กระบี่ทะลวงยมโลก กระบี่ทำลายวิญญาณ?” ลั่วหยุนอุทานขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย

“ท่านคือ เทพกระบี่ งั้นเหรอ?” ลั่วหยุนร้องเสียงหลง

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเช่นเดียวกับอู๋หลิงซี

“เทพกระบี่?” หลิงตู้ฉิงทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง

ลั่วหยุนพยักหน้าและพูดว่า “ก็ผู้ที่ใช้กระบี่นี้ได้ก็มีแต่ เทพกระบี่ ที่ถูกฝังอยู่ในสุสานกระบี่”

“สุสานกระบี่?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วงุนงงหนักกว่าเดิม

ลั่วหยุนส่ายหัวและถอนหายใจ “เดิมทีสถานที่แห่งนั้นไม่ได้ถูกเรียกว่าอาณาเขตสุสานกระบี่ แต่มันเป็นเทพกระบี่เสียชีวิตลงที่นั่น สถานที่แห่งนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาเขตสุสานกระบี่ ซึ่งในตอนนี้มันได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในโลก”

“สำหรับในสุสานกระบี่ มันยังคงมีวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเอาไว้ด้านใน เพื่อทดสอบใครก็ตามที่รับมือกับมันได้ หากผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของสุสานกระบี่ไปได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จากเจตจำนงของเทพกระบี่ที่เหลืออยู่ในสุสาน แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันยังไม่มีใครที่เคยผ่านระดับที่สี่ของการทดสอบแม้แต่คนเดียว หลายคนที่เข้าไปทดสอบสามารถเข้าใจการโจมตีที่เกิดขึ้นในนั้นได้เพียงสามท่าเท่านั้น ไม่มีใครสามารถเข้าใจหรือเรียนรู้ท่าที่สี่ได้และตอนนี้ท่านเพิ่งใช้ท่าที่สี่…”

ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาคือ ถ้าท่านไม่ใช่เทพกระบี่ แล้วเทพกระบี่จะเป็นใครไปได้?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 465 เทพกระบี่

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 465 เทพกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 465 เทพกระบี่ จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรทะยาน หยูไท่ฉวนมองดูหลิงตู้ฉิง และอู๋หลิงซีจากไปอย่างตกตะลึง เมื่อเขามองไปที่ซากปรักหักพังของเมืองหลวง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนั้นน่ากลัวเพียงใด ภายใต้เจตจำนงของอู๋หลิงซี อาคารทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหลวงได้พังทลายลง อย่างไรก็ตามไม่มีชีวิตมนุษย์สักคนเดียวที่ได้รับอันตราย หากใช้ความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในการฆ่า ผู้คนเมืองหลวงทั้งหมดคงจะตายภายในพริบตา หลังจากที่เขามองไปที่ซากปรักหักพังในเมืองแล้ว สายตาของเขาก็มาหยุดลงที่หยูเฉิงฮุย ซึ่งในดวงตาของเขาตอนนี้มันมีแต่ความรังเกียจ เป็นลูกชายคนนี้ที่นำความหายนะมาสู่อาณาจักรมังกรทะยานของเขา อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกก็คือเขาจะต้องมุ่งความสนใจไปที่การสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ เมื่อครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก หยูไท่ฉวนก็เริ่มออกคำสั่งให้คนของเขาเริ่มแผนการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ ในขณะนี้ หยูเฉิงฮุยก็จ้องมองไปที่สภาพอันเละเทะของเมืองหลวงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยการที่หลิงว่านถิงชอบเขาและถ้าเขาตอบรับนางด้วยความจริงใจ และแต่งนางเป็นภรรยาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต? โอกาสนี้ดีแค่ไหนทำไมเขาถึงเอาแต่ยึดติดกับร่างกายแก่นแท้ปฐพีเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเขาถูกเปิดโปงแล้วทำไมเขาถึงไม่กลับใจแต่กลับทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง? ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยมีผู้สนับสนุนที่สูงศักดิ์และสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็เป็นเขาเองที่ผลักไสผู้สนับสนุนผู้นั้นออกไป เขาเพิ่งรู้ว่าเขาประเมินผู้สนับสนุนของเขาต่ำไปแล้ว แน่นอนว่าทุกอย่างเหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วในตอนนี้ นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าในอนาคตร่างกายของเขากำลังจะค่อย ๆ เน่าเปื่อยไป แล้วจากนั้นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของเขากำลังจะเริ่มขึ้น ในเวลานี้ อู๋หลิงซีกำลังบินไปยังสำนักเต๋าสวรรค์พร้อมกับหลิงว่านถิงและซือโถวเหวินหยวน ตอนนี้เขาต้องพาหลิงว่านถิงกลับไปที่สำนักเต๋าสวรรค์โดยเร็วที่สุด และใช้ทรัพยากรทั้งหมดของสำนักเต๋าสวรรค์เพื่อเลี้ยงดูนาง “ท่านบรรพบุรุษ จากวิธีที่ท่านพูดกับนายท่านดูเหมือนท่านจะรู้จักเขา?” ซือโถวเหวินหยวนอดไม่ได้ที่จะถาม ในขณะที่เขานึกถึงภาพที่อู๋หลิงซีและหลิงตู้ฉิงคุยกัน อู๋หลิงซีอดไม่ได้ที่จะทำให้พาหนะวิเศษบินช้าลง จากนั้นเขาเหลือบมองไปที่หลิงว่านถิง และถอนหายใจ “อาจพูดได้ว่าข้ารู้จักเขา หรืออาจพูดได้ว่าข้าไม่ได้รู้จักเขา!” “ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงอะไร?” หลิงว่านถิงถามอย่างสงสัย นางอยากรู้ด้วยว่าท่านพ่อของนางคือใคร อู๋หลิงซีถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน และพูดว่า “ตอนนี้เราพึ่งเข้ามาในภูมิภาคเป่ยหมิง ซึ่งเจ้าน่าจะรู้ว่าตอนนี้มีพื้นที่ใกล้เคียงที่หนึ่งที่เรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ใช่ไหม?” ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้า “เรียนท่านบรรพบุรุษ ข้ารู้จักอาณาเขตสุสานกระบี่!” “แล้วเจ้ารู้ไหมว่า ทำไมอาณาเขตสุสานกระบี่ ถึงเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่?” อู๋หลิงซีถาม ซือโถวเหวินหยวนเกาหัว “ว่ากันว่ามีผู้เชี่ยวชาญในอดีตผู้หนึ่งที่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดแยกปฐพีออกจากกันได้ด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว และเมื่อเขาตายลง ร่างของเขาก็ถูกฝังอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหลังจากนั้นดินแดนที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไป” อู๋หลิงซีพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว สาเหตุที่ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ก็เพราะหลุมฝังศพของเทพกระบี่ตั้งอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และภายในสุสานกระบี่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเต๋ากระบี่ของเขาเอาไว้อีกด้วย ซึ่งนับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมายันปัจจุบัน เต๋ากระบี่ของเขายังคงเป็นเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลก” “ในปีนั้นข้าได้ลองไปที่สุสานกระบี่เช่นกัน และข้าก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลกนั้นเป็นการส่วนตัว ตัวข้าเองนั้นทดสอบผ่านได้ไปถึงกระบวนท่าที่สามและแต่เมื่อข้าเผชิญกับกระบวนท่าที่สี่ ข้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ในเวลานั้นการบ่มเพาะของข้ายังค่อนข้างตื้นเขินและข้ายังอยู่เพียงขอบเขตนภา แต่แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ ในที่สุดข้าก็สามารถรักษาชีวิตของข้าไว้ได้” “ซึ่งจุดสำคัญมันอยู่ที่กระบวนท่าที่ข้าพ่ายแพ้ก็คือสิ่งเดียวกับที่พ่อของว่านถิงแสดงให้ข้าเห็น มันถูกเรียกว่า กระบี่ทะลวงยมโลก! ซึ่งคือกระบี่ที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ มันเป็นกระบี่ที่ไว้ใช้สำหรับโจมตีวิญญาณของคู่ต่อสู้โดยตรง ข้าไม่มีทางจำมันผิดแน่นอนเพราะมันเป็นกระบี่ที่ข้าเคยพ่ายแพ้มาจนกลายเป็นความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในหัวมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้” ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยความตกใจ “ท่านบรรพบุรุษ ท่านหมายถึง หลิงตู้ฉิง คือ เทพกระบี่ ที่กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?” อู๋หลิงซีถอนหายใจและพูดว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีก แม้ว่าวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จะอยู่ในสุสานกระบี่ แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้าไปทดสอบในสุสานกระบี่และได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาเลยสักคน อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงการได้รับมันมา แม้แต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านที่ต้องรับมือกับเพลงกระบี่ที่สี่นี้ก็มีจำนวนน้อยมาก ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะกลับมาจริง ๆ ข้ากลัวว่าโลกจะปั่นป่วนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำอีกครั้งก็คราวนี้นี่แหละ” ซือโถวเหวินหยวนรู้สึกมึนงง เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะมีภูมิหลังที่ทรงพลังเช่นนี้ ในทางกลับกัน หลิงว่านถิงกลับรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ พ่อของนางเป็นเทพกระบี่จริง ๆ งั้นเหรอ? มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่นา? เพราะจากมุมมองของนางเอง เต๋ากระบี่นั้นเป็นเพียงหนึ่งในเต๋าที่พ่อของนางรู้แน่นอน เนื่องจากนางเคยเห็นพ่อของนางสำแดงมันมาแล้ว แต่…พ่อของนางก็ไม่ได้เข้าใจแค่เต๋ากระบี่เพียงอย่างเดียวซะหน่อย มันยังมีเต๋าอีกมากมายที่พ่อของนางเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น เต๋าแห่งเพลิง เต๋าแห่งมิติ เต๋าแห่งหมัด และเต๋าอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ไม่อย่างนั้นพ่อของนางคงไม่สามารถชี้แนะพี่น้องของนางแต่ละคนให้บ่มเพาะไปคนละวิถีเต๋าได้อย่างเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นพ่อของนางจึงไม่น่าจะเป็นเทพกระบี่อย่างแน่นอน! อย่างไรก็ตามนางไม่ได้แก้ไขคำพูดของอู๋หลิงซี ในอีกด้านหนึ่ง สีเป่ยเซียะและลั่วหยุนต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างแปลกประหลาด สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู๋หลิงซี เคยพบเจ้ามาก่อนงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อย “เขาคงจำผิดคน” ลั่วหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “เขาคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ความจำของเขาจะเลอะเลือนจนถึงขนาดจำคนผิดได้ยังไง?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลั่วหยุน และพูดขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพบข้าครั้งแรก เจ้าเองก็จำข้าผิดไม่ต่างจากเขาจริงไหม?” ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนที่หลิงตู้ฉิงทำมุทราของตำหนักเทพโชคลาภของพวกเขา ซึ่งมันทำให้เขานึกไปว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเจ้านายของตำหนักเทพโชคลาภเช่นกัน สีเป่ยเซียะมองไปที่ลั่วหยุนด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าไปทำยังไง อู๋หลิงซีถึงได้ยอมโอนอ่อนให้กับเจ้าได้แบบนั้น?” สีเป่ยเซียะถามขึ้น ทุกคนเห็นว่าในตอนแรก อู๋หลิงซีนั้นมีท่าทีที่ภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาการหยิ่งผยองแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้เห็นหลิงตู้ฉิงเป็นภัยคุกคามสักเท่าไหร่ แต่ต่อมาอู๋หลิงซีกลับลดท่าทีลงจนคล้ายกับว่าเขาหวาดกลัวอยู่ด้วยซ้ำ หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “มันคงเป็นเพราะข้าได้แสดงรูปแบบของวิชาหนึ่งให้เขาเห็น ซึ่งมันคงไปดึงความทรงจำของเขากลับมาจนมันทำให้เขาเข้าใจผิด” “แต่วิชาที่ท่านแสดงนั่นมันไม่ได้มีพลังอะไรเลยสักหน่อย!” ลั่วหยุนเอ่ยขัดขึ้น “ข้าสัมผัสมันได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นเพียงการแสดงวิชาแบบปลอม ๆ” หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ลั่วหยุนและพูดว่า “ข้าแสดงให้เขาเห็นถึงกระบี่รูปแบบที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ กระบี่ทะลวงยมโลก! เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ดังนั้นการโจมตีที่มีผลต่อวิญญาณโดยตรงเท่านั้นถึงจะสามารถคุมคามเขาได้ ข้าเลยแสดงมันไปให้เขาดู” “กระบี่ทะลวงยมโลก กระบี่ทำลายวิญญาณ?” ลั่วหยุนอุทานขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านคือ เทพกระบี่ งั้นเหรอ?” ลั่วหยุนร้องเสียงหลง เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเช่นเดียวกับอู๋หลิงซี “เทพกระบี่?” หลิงตู้ฉิงทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง ลั่วหยุนพยักหน้าและพูดว่า “ก็ผู้ที่ใช้กระบี่นี้ได้ก็มีแต่ เทพกระบี่ ที่ถูกฝังอยู่ในสุสานกระบี่” “สุสานกระบี่?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วงุนงงหนักกว่าเดิม ลั่วหยุนส่ายหัวและถอนหายใจ “เดิมทีสถานที่แห่งนั้นไม่ได้ถูกเรียกว่าอาณาเขตสุสานกระบี่ แต่มันเป็นเทพกระบี่เสียชีวิตลงที่นั่น สถานที่แห่งนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาเขตสุสานกระบี่ ซึ่งในตอนนี้มันได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในโลก” “สำหรับในสุสานกระบี่ มันยังคงมีวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเอาไว้ด้านใน เพื่อทดสอบใครก็ตามที่รับมือกับมันได้ หากผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของสุสานกระบี่ไปได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จากเจตจำนงของเทพกระบี่ที่เหลืออยู่ในสุสาน แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันยังไม่มีใครที่เคยผ่านระดับที่สี่ของการทดสอบแม้แต่คนเดียว หลายคนที่เข้าไปทดสอบสามารถเข้าใจการโจมตีที่เกิดขึ้นในนั้นได้เพียงสามท่าเท่านั้น ไม่มีใครสามารถเข้าใจหรือเรียนรู้ท่าที่สี่ได้และตอนนี้ท่านเพิ่งใช้ท่าที่สี่…” ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาคือ ถ้าท่านไม่ใช่เทพกระบี่ แล้วเทพกระบี่จะเป็นใครไปได้?

บทที่ 465 เทพกระบี่

จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรทะยาน หยูไท่ฉวนมองดูหลิงตู้ฉิง และอู๋หลิงซีจากไปอย่างตกตะลึง

เมื่อเขามองไปที่ซากปรักหักพังของเมืองหลวง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนั้นน่ากลัวเพียงใด

ภายใต้เจตจำนงของอู๋หลิงซี อาคารทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหลวงได้พังทลายลง

อย่างไรก็ตามไม่มีชีวิตมนุษย์สักคนเดียวที่ได้รับอันตราย

หากใช้ความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในการฆ่า ผู้คนเมืองหลวงทั้งหมดคงจะตายภายในพริบตา

หลังจากที่เขามองไปที่ซากปรักหักพังในเมืองแล้ว สายตาของเขาก็มาหยุดลงที่หยูเฉิงฮุย ซึ่งในดวงตาของเขาตอนนี้มันมีแต่ความรังเกียจ

เป็นลูกชายคนนี้ที่นำความหายนะมาสู่อาณาจักรมังกรทะยานของเขา

อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกก็คือเขาจะต้องมุ่งความสนใจไปที่การสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่

เมื่อครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก หยูไท่ฉวนก็เริ่มออกคำสั่งให้คนของเขาเริ่มแผนการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่

ในขณะนี้ หยูเฉิงฮุยก็จ้องมองไปที่สภาพอันเละเทะของเมืองหลวงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ด้วยการที่หลิงว่านถิงชอบเขาและถ้าเขาตอบรับนางด้วยความจริงใจ และแต่งนางเป็นภรรยาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต? โอกาสนี้ดีแค่ไหนทำไมเขาถึงเอาแต่ยึดติดกับร่างกายแก่นแท้ปฐพีเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเขาถูกเปิดโปงแล้วทำไมเขาถึงไม่กลับใจแต่กลับทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง?

ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยมีผู้สนับสนุนที่สูงศักดิ์และสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็เป็นเขาเองที่ผลักไสผู้สนับสนุนผู้นั้นออกไป

เขาเพิ่งรู้ว่าเขาประเมินผู้สนับสนุนของเขาต่ำไปแล้ว

แน่นอนว่าทุกอย่างเหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วในตอนนี้ นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าในอนาคตร่างกายของเขากำลังจะค่อย ๆ เน่าเปื่อยไป แล้วจากนั้นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของเขากำลังจะเริ่มขึ้น

ในเวลานี้ อู๋หลิงซีกำลังบินไปยังสำนักเต๋าสวรรค์พร้อมกับหลิงว่านถิงและซือโถวเหวินหยวน

ตอนนี้เขาต้องพาหลิงว่านถิงกลับไปที่สำนักเต๋าสวรรค์โดยเร็วที่สุด และใช้ทรัพยากรทั้งหมดของสำนักเต๋าสวรรค์เพื่อเลี้ยงดูนาง

“ท่านบรรพบุรุษ จากวิธีที่ท่านพูดกับนายท่านดูเหมือนท่านจะรู้จักเขา?” ซือโถวเหวินหยวนอดไม่ได้ที่จะถาม ในขณะที่เขานึกถึงภาพที่อู๋หลิงซีและหลิงตู้ฉิงคุยกัน

อู๋หลิงซีอดไม่ได้ที่จะทำให้พาหนะวิเศษบินช้าลง จากนั้นเขาเหลือบมองไปที่หลิงว่านถิง และถอนหายใจ “อาจพูดได้ว่าข้ารู้จักเขา หรืออาจพูดได้ว่าข้าไม่ได้รู้จักเขา!”

“ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงอะไร?” หลิงว่านถิงถามอย่างสงสัย

นางอยากรู้ด้วยว่าท่านพ่อของนางคือใคร

อู๋หลิงซีถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน และพูดว่า “ตอนนี้เราพึ่งเข้ามาในภูมิภาคเป่ยหมิง ซึ่งเจ้าน่าจะรู้ว่าตอนนี้มีพื้นที่ใกล้เคียงที่หนึ่งที่เรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ใช่ไหม?”

ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้า “เรียนท่านบรรพบุรุษ ข้ารู้จักอาณาเขตสุสานกระบี่!”

“แล้วเจ้ารู้ไหมว่า ทำไมอาณาเขตสุสานกระบี่ ถึงเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่?” อู๋หลิงซีถาม

ซือโถวเหวินหยวนเกาหัว “ว่ากันว่ามีผู้เชี่ยวชาญในอดีตผู้หนึ่งที่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดแยกปฐพีออกจากกันได้ด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว และเมื่อเขาตายลง ร่างของเขาก็ถูกฝังอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหลังจากนั้นดินแดนที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไป”

อู๋หลิงซีพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว สาเหตุที่ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า อาณาเขตสุสานกระบี่ ก็เพราะหลุมฝังศพของเทพกระบี่ตั้งอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และภายในสุสานกระบี่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเต๋ากระบี่ของเขาเอาไว้อีกด้วย ซึ่งนับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมายันปัจจุบัน เต๋ากระบี่ของเขายังคงเป็นเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลก”

“ในปีนั้นข้าได้ลองไปที่สุสานกระบี่เช่นกัน และข้าก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับเต๋ากระบี่อันดับหนึ่งของโลกนั้นเป็นการส่วนตัว ตัวข้าเองนั้นทดสอบผ่านได้ไปถึงกระบวนท่าที่สามและแต่เมื่อข้าเผชิญกับกระบวนท่าที่สี่ ข้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ในเวลานั้นการบ่มเพาะของข้ายังค่อนข้างตื้นเขินและข้ายังอยู่เพียงขอบเขตนภา แต่แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ ในที่สุดข้าก็สามารถรักษาชีวิตของข้าไว้ได้”

“ซึ่งจุดสำคัญมันอยู่ที่กระบวนท่าที่ข้าพ่ายแพ้ก็คือสิ่งเดียวกับที่พ่อของว่านถิงแสดงให้ข้าเห็น มันถูกเรียกว่า กระบี่ทะลวงยมโลก! ซึ่งคือกระบี่ที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ มันเป็นกระบี่ที่ไว้ใช้สำหรับโจมตีวิญญาณของคู่ต่อสู้โดยตรง ข้าไม่มีทางจำมันผิดแน่นอนเพราะมันเป็นกระบี่ที่ข้าเคยพ่ายแพ้มาจนกลายเป็นความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในหัวมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้”

ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยความตกใจ “ท่านบรรพบุรุษ ท่านหมายถึง หลิงตู้ฉิง คือ เทพกระบี่ ที่กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?”

อู๋หลิงซีถอนหายใจและพูดว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีก แม้ว่าวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จะอยู่ในสุสานกระบี่ แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้าไปทดสอบในสุสานกระบี่และได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาเลยสักคน อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงการได้รับมันมา แม้แต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านที่ต้องรับมือกับเพลงกระบี่ที่สี่นี้ก็มีจำนวนน้อยมาก ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะกลับมาจริง ๆ ข้ากลัวว่าโลกจะปั่นป่วนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำอีกครั้งก็คราวนี้นี่แหละ”

ซือโถวเหวินหยวนรู้สึกมึนงง เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะมีภูมิหลังที่ทรงพลังเช่นนี้

ในทางกลับกัน หลิงว่านถิงกลับรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่

พ่อของนางเป็นเทพกระบี่จริง ๆ งั้นเหรอ? มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่นา? เพราะจากมุมมองของนางเอง เต๋ากระบี่นั้นเป็นเพียงหนึ่งในเต๋าที่พ่อของนางรู้แน่นอน เนื่องจากนางเคยเห็นพ่อของนางสำแดงมันมาแล้ว แต่…พ่อของนางก็ไม่ได้เข้าใจแค่เต๋ากระบี่เพียงอย่างเดียวซะหน่อย มันยังมีเต๋าอีกมากมายที่พ่อของนางเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น เต๋าแห่งเพลิง เต๋าแห่งมิติ เต๋าแห่งหมัด และเต๋าอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ไม่อย่างนั้นพ่อของนางคงไม่สามารถชี้แนะพี่น้องของนางแต่ละคนให้บ่มเพาะไปคนละวิถีเต๋าได้อย่างเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นพ่อของนางจึงไม่น่าจะเป็นเทพกระบี่อย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตามนางไม่ได้แก้ไขคำพูดของอู๋หลิงซี

ในอีกด้านหนึ่ง สีเป่ยเซียะและลั่วหยุนต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างแปลกประหลาด สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู๋หลิงซี เคยพบเจ้ามาก่อนงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อย “เขาคงจำผิดคน”

ลั่วหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “เขาคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ความจำของเขาจะเลอะเลือนจนถึงขนาดจำคนผิดได้ยังไง?”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลั่วหยุน และพูดขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพบข้าครั้งแรก เจ้าเองก็จำข้าผิดไม่ต่างจากเขาจริงไหม?”

ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนที่หลิงตู้ฉิงทำมุทราของตำหนักเทพโชคลาภของพวกเขา ซึ่งมันทำให้เขานึกไปว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเจ้านายของตำหนักเทพโชคลาภเช่นกัน

สีเป่ยเซียะมองไปที่ลั่วหยุนด้วยความสงสัย

“แล้วเจ้าไปทำยังไง อู๋หลิงซีถึงได้ยอมโอนอ่อนให้กับเจ้าได้แบบนั้น?” สีเป่ยเซียะถามขึ้น

ทุกคนเห็นว่าในตอนแรก อู๋หลิงซีนั้นมีท่าทีที่ภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาการหยิ่งผยองแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้เห็นหลิงตู้ฉิงเป็นภัยคุกคามสักเท่าไหร่ แต่ต่อมาอู๋หลิงซีกลับลดท่าทีลงจนคล้ายกับว่าเขาหวาดกลัวอยู่ด้วยซ้ำ

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “มันคงเป็นเพราะข้าได้แสดงรูปแบบของวิชาหนึ่งให้เขาเห็น ซึ่งมันคงไปดึงความทรงจำของเขากลับมาจนมันทำให้เขาเข้าใจผิด”

“แต่วิชาที่ท่านแสดงนั่นมันไม่ได้มีพลังอะไรเลยสักหน่อย!” ลั่วหยุนเอ่ยขัดขึ้น “ข้าสัมผัสมันได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นเพียงการแสดงวิชาแบบปลอม ๆ”

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ลั่วหยุนและพูดว่า “ข้าแสดงให้เขาเห็นถึงกระบี่รูปแบบที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ กระบี่ทะลวงยมโลก! เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ดังนั้นการโจมตีที่มีผลต่อวิญญาณโดยตรงเท่านั้นถึงจะสามารถคุมคามเขาได้ ข้าเลยแสดงมันไปให้เขาดู”

“กระบี่ทะลวงยมโลก กระบี่ทำลายวิญญาณ?” ลั่วหยุนอุทานขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย

“ท่านคือ เทพกระบี่ งั้นเหรอ?” ลั่วหยุนร้องเสียงหลง

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเช่นเดียวกับอู๋หลิงซี

“เทพกระบี่?” หลิงตู้ฉิงทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง

ลั่วหยุนพยักหน้าและพูดว่า “ก็ผู้ที่ใช้กระบี่นี้ได้ก็มีแต่ เทพกระบี่ ที่ถูกฝังอยู่ในสุสานกระบี่”

“สุสานกระบี่?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วงุนงงหนักกว่าเดิม

ลั่วหยุนส่ายหัวและถอนหายใจ “เดิมทีสถานที่แห่งนั้นไม่ได้ถูกเรียกว่าอาณาเขตสุสานกระบี่ แต่มันเป็นเทพกระบี่เสียชีวิตลงที่นั่น สถานที่แห่งนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาเขตสุสานกระบี่ ซึ่งในตอนนี้มันได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในโลก”

“สำหรับในสุสานกระบี่ มันยังคงมีวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเอาไว้ด้านใน เพื่อทดสอบใครก็ตามที่รับมือกับมันได้ หากผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของสุสานกระบี่ไปได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จากเจตจำนงของเทพกระบี่ที่เหลืออยู่ในสุสาน แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันยังไม่มีใครที่เคยผ่านระดับที่สี่ของการทดสอบแม้แต่คนเดียว หลายคนที่เข้าไปทดสอบสามารถเข้าใจการโจมตีที่เกิดขึ้นในนั้นได้เพียงสามท่าเท่านั้น ไม่มีใครสามารถเข้าใจหรือเรียนรู้ท่าที่สี่ได้และตอนนี้ท่านเพิ่งใช้ท่าที่สี่…”

ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาคือ ถ้าท่านไม่ใช่เทพกระบี่ แล้วเทพกระบี่จะเป็นใครไปได้?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+