ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1065 อย่าเข้าใจผิด ข้าแค่มองไม่เห็นท่านเพียงเท่านั้น

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 1065 อย่าเข้าใจผิด ข้าแค่มองไม่เห็นท่านเพียงเท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1065 อย่าเข้าใจผิด ข้าแค่มองไม่เห็นท่านเพียงเท่านั้น

หลังจากนั้นชั่วครู่ แม่นางร่างสูงเพรียวผู้หนึ่งก็เดินอย่างเนิบนาบเข้ามา

ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว นางสวมชุดกระโปรงสีขาว บนเอวคอดกิ่วผูกไว้ด้วยพู่หยกห้อยสีเขียวแกมน้ำเงิน และเรือนผมสีดำเงางามดั่งเส้นไหมก็พลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน

โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของนาง ใสซื่อบริสุทธิ์ตราตรึงใจ อ่อนโยนและนุมนวลดุจสายน้ำ ริมฝีปากแดงที่มักจะเชิดขึ้นอยู่ตลอดพกพาความมีไหวพริบแฝงติดมาอยู่บ้าง

รูปลักษณ์และเสน่ห์หมดจดเช่นนี้ เดิมย่อมนับว่าเป็นความงามอันหาผู้ใดมาแทนเทียบ น่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับบุรุษตรงหน้านางอาจจะดูเฉยชาไปกว่าบ้าง

ผู้คนที่ได้เห็นรูปลักษณ์ดั่งเทพเซียนของหรงซิวมาแล้วก่อนหน้านี้ บัดนี้เมื่อพบเจอคนผู้อื่น ความรู้สึกตื่นตาประหลาดใจก็จางหายไปด้วย

ทว่า เมื่อเทียบกับแม่นางมากมายภายในโถงของตำหนักใหญ่แล้ว คนทั้งคู่ก็ยังงดงามกว่าเป็นไหนๆ

เมื่อมองเห็นผู้มาใหม่ ฉู่หลิวเยว่ก็หรี่ดวงตาคู่งามลงเล็กน้อย พลางยิ้มอย่างครุ่นคิด

คนผู้นี้คงจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงหนาหูในข่าวลือ…คุณหนูใหญ่เจียงผู้นั้นกระมัง?

หรงซิวก้าวขายาวๆ กลับเข้ามาภายในโถงใหญ่ ทำประหนึ่งว่ามิได้สดับยินถึงคำพูดของนางก็มิปาน

เจียงจื่อหยวนตื่นตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็รีบตามเขาเข้ามาอย่างรีบร้อน

เมื่อครู่นางกำลังปรึกษาหารือเรื่องของสำนักวิชากับหรงซิวอยู่ฝั่งทางโน้น จากนั้นเยี่ยนชิงก็เดินกลับมา ไม่รู้ว่าเขาไปพูดอันใด หลังจากนั้นหรงซิวก็ดูจะสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

ถ้าหากมิใช่เพราะกังวลเรื่องสำนัก เกรงว่าเขาอาจจะทนไม่ไหว และผุดลุกขอปลีกตัวออกไปตั้งนานแล้ว

จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ งานเลี้ยงต้อนรับกำลังจะเริ่มแล้ว เขาจึงได้เดินก้าวฉับๆ อย่างรีบร้อนตรงมาทางนี้

ดูไปแล้วก็ราวกับเขากังวลว่าตนจะมางานสายก็มิปาน

ทว่านี่แหละ เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่สุด

หรงซิวฐานะสูงส่งดั่งโอรสสวรรค์ ต่อให้ปล่อยคนพวกนี้รออยู่ที่นี่ไปอีกสักชั่วยามหนึ่ง พวกเขาก็คงมิกล้าเอ่ยขัดอันใดมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มักวางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่าย มิเคยแสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อน…

จะพูดอย่างใดดี นี่มันท่าทีที่ราวกับรีบร้อนไปทำเรื่องสักเรื่องก็มิปานน่ะ

เจียงจื่อหยวนยังไม่ทันจะได้ออกปากถามให้ละเอียด ก็จำต้องรีบเดินรุดตามมาเสียแล้ว

นางมองตามครรลองสายตาของหรงซิวเข้าไปตามทิศทางในโถงตำหนักใหญ่โดยสัญชาตญาณ

น่าเสียดายที่ภายในโถงนั้นมีคนมากมายเกินไป นางจึงมองได้ไม่ชัดนักว่าหรงซิวกำลังมองใครอยู่กันแน่

บัดนี้เองผู้คนภายในโถงตำหนักใหญ่ก็ตอบสนองกันโดยไว และพากันรีบร้อนหยัดกายลุกขึ้นคำนับ

“พระโอรสเสด็จแล้ว!”

ก่อนหน้านี้ บรรดาประมุขและผู้นำตระกูลส่วนใหญ่เคยพบเจอหรงซิวมาแล้ว ยามนี้จึงมิได้ตื่นตระหนกตกใจอันใด

ทว่าแม่นางจำนวนมากที่มารวมตัวกันอยู่ ณ ขณะนี้ เพิ่งเคยได้เจอโอรสสวรรค์ในข่าวลือเป็นครั้งแรก

คนจำนวนไม่น้อยล้วนใบหน้าขึ้นสี ดวงตาเบิกกว้างยามจดจ้องไปยังบุรุษที่กำลังก้าวเข้ามา

ช่างน่ายำเกรง!

และน่าหวาดหวั่น!

ข้างนอกต่างมีข่าวลือหนาหูว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ โหดเหี้ยมอำมหิต เป็นพวกเผด็จการชอบกดขี่ข่มเหง!

ดังนั้นเมื่อพูดถึงเขา ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของคนส่วนใหญ่คือเป็นผู้น่ายำเกรง!

ทว่าบัดนี้เมื่อพบเห็นด้วยตาของตนแล้ว ก็รู้ได้ว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้มีรูปลักษณ์งดงาม ไร้ผู้ใดเทียบเทียม!

แค่ใบหน้าที่ราวกับเทพเซียนดวงนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ในใจของแม่นางจำนวนมากเต้นระส่ำ

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ซึ่งกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ!

บุรุษเช่นนี้ จะมีแม่นางสักกี่คนเชียวที่ไม่หวั่นไหวต่อความงามของเขา?

หลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้อง หรงซิวพลันก้าวเปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

เพราะแบบนั้นเอง สายตาของคนทุกผู้ ก็ล้วนมองตามเขาไปด้วยเช่นกัน

“นี่…เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าพระโอรสกำลังเดินมาทางพวกเราล่ะ!?”

แม่นางผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างฉู่หลิวเยว่หน้าแดงก่ำ นัยน์ตาเบิกกว้างพลางพึมพำเสียงเบา

“จะเป็นไปได้อย่างใด!? พระโอรสเป็นคนประเภทใด เหตุใดจึงได้…เดี๋ยวนะ! เขาเดินมาทางนี้จริงด้วย!”

“เขากำลังมองใครน่ะ!? คงไม่ใช่ว่ากำลังมองพวกเราหรอกกระมัง?”

คุณหนูอีกสองนางที่เหลือเองก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

มีเพียงตู๋กูเยว่ที่หลุบตาลง มือก็รินสุราจอกหนึ่งให้ตนอย่างผ่อนคลาย

“ประมุขหลิน”

หรงซิวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลินเทียนเฟิง ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“ฝ่า ฝ่าบาท!?”

บัดนี้ในใจหลินเทียนเฟิงเองก็เปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น

“หลินเทียนเฟิงแห่งผาแดนสวรรค์ ถวายบังคมพระโอรส พ่ะย่ะค่ะ!”

หลินเทียนเฟิงเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเช่นกัน และในฐานะของผู้นำหุบผา โดยปกติแล้วลมปราณและรัศมีแรงกดดันของเขานั้นไม่อ่อนแอเลย

ทว่ายามที่ยืนอยู่ต่อหน้าหรงซิว เขาพลันรู้สึกว่าตนตัวเล็กและอ่อนแอลงไปมาก ท่วงท่าอันสง่างามเองก็ดูตกต่ำลงมาก

แม้จะยืนอยู่ใกล้ แต่หลินเทียนเฟิงก็ยังมิกล้ามองบุรุษตรงหน้าตรงๆ เลยเสียด้วยซ้ำ

รัศมีสูงส่งที่ใช้เวลาหลายปีในการสั่งสมบนร่างของเขานั้น หาที่เปรียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!

หรงซิวเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังพลางฉีกยิ้มน้อยๆ

“ประมุขหลินพาคนตรงมาที่นี่ รีบร้อนเหน็ดเหนื่อยกันมิใช่น้อย คงจะลำบากมากเลยกระมัง?”

เสียงทุ้มต่ำของบุรุษฟังดูแล้วรื่นหูนัก

ทว่าผู้คนภายในโถงตำหนักใหญ่กลับพากันเงียบกริบในพริบตา!

คนส่วนใหญ่พลันมีสีหน้าทึ่มทื่อในทันตา

โอ้ โอรสสวรรค์เพิ่งพูดว่ากระไรนะ?

เขาเพิ่งถามหลินเทียนเฟิงว่าลำบากมากเลยใช่หรือไม่!?

ตระกูลต่างๆ มากหน้าหลายตาในที่แห่งนี้ ไหนบ้างที่ไม่รีบร้อนเดินทางมา ไหนบ้างที่ไม่ลำบากเหนื่อยกาย?

เหตุใดเขาจึงเดินไปถามแค่หลินเทียนเฟิงผู้เดียวเล่า?!

หลายปีมานี้ ผาแดนสวรรค์ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายตระกูลอื่นๆ ฉะนั้นโดยปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ แค่โอกาสจะก้าวไปข้างหน้ายังมิมี แล้ววันนี้มันเกิดอันใดขึ้นกัน?

ไม่เพียงแต่ได้รับการจัดที่นั่งให้อยู่แถวแรก กระทั่งพระโอรสเองยังเสด็จมาสอบถามด้วยตนเอง!?

ช่างถือเป็นเกียรติอันใดเช่นนี้!?

“ขอบพระทัยพระโอรสที่ทรงเป็นห่วง พวกเราไม่…ไม่ลำบากเลยแม้แต่น้อย”

หลินเทียนเฟิงเองก็ตะลึงงันเช่นเดียวกัน

เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งถึงดึงสติกลับมาได้ รีบร้อนเอ่ยตอบกลับไปว่า

“งานฉลองพระชนมพรรษาของพระโอรส แค่พวกเราสามารถมาเข้าร่วมได้ก็ถือเป็นเกียรติอย่างมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

คำพูดนี้ไม่ถือว่ากล่าวเกินจริงนัก

ในบรรดาตระกูลทั้งหลาย ผู้มีคุณสมบัติมาที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ได้แท้จริงแล้วมีไม่มาก

มิใช่ว่าก่อนหน้านี้หลินเทียนเฟิงจะมิเคยมาที่นี่ แต่โดยพื้นฐานแล้วเขามักจะยืนอยู่ตรงมุม เป็นการดำรงอยู่ที่ถูกลืมโดยแท้จริง

ไม่เคยมีครั้งใดได้รับความสนใจจากผู้คนดั่งเช่นในตอนนี้

กระทั่งโอรสสวรรค์เองยังเริ่มเอ่ยทักทายเขาก่อน!

เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กระทั่งหลินเทียนเฟิงเองที่เคยพบเจอคนที่เป็นดั่งพายุโหมกระหน่ำมามากมาย บัดนี้ในใจก็ยังเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดหวั่น

“ประมุขหลินมิต้องเป็นกังวลไป ข้าเพียงแค่คิดอยากถามไถ่เท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่นใด”

ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย สายตาของเขาเบนออกไป ครรลองเลื่อนสบเข้ากับผู้คนที่อยู่เบื้องหลังของหลินเทียนเฟิง

“ท่านเหล่านี้คงเป็นผู้ที่ติดตามมาด้วยกันกับประมุขหลินกระมัง”

หลินเทียนเฟิงรีบหันศีรษะไปโดยพลัน รีบขยิบส่งสายตาให้คนเหล่านั้น

คนเหล่านั้นที่ยังคงเหม่อไม่รู้สึกตัว จึงทยอยพากันคำนับทีละคน

“ถวายบังคมพระโอรสเพคะ!”

คุณหนูผู้หนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นเอื้อนเอ่ย แต่อาจเป็นเพราะประหม่าเกินไป นางจึงเผลอทำโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าตนขยับไปด้วย

ฉู่หลิวเยว่เพิ่งรินสุราได้ที ยังไม่ทันจะได้หยิบขึ้นมา สุราก็กระฉอกออกมาเสียครึ่งจอก

คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกขึ้น

“คุณหนูเหล่านี้เป็นคนของผาแดนสวรรค์ทั้งหมดเลยหรือ?”

ในใจหลินเทียนเฟิงตื่นตระหนก เขารีบผงกหัวรับโดยพลัน จากนั้นก็รีบร้อนตอบไปว่า

“สามคนนี้ใช่ แต่คุณหนูตู๋กูนั้นมิใช่”

ในนัยน์ตาของหรงซิวพลันมีประกายสนใจใคร่รู้วาบผ่าน

“คุณหนู…ตู๋กูหรือ?”

หลินเทียนเฟิงหันศีรษะไปโดยสัญชาตญาณ กลับพบภาพที่ทุกคนนั้นล้วนยืนคำนับกันพร้อมเพรียง มีเพียงฉู่หลิวเยว่ที่ยังคงนั่งอยู่

นางไม่คิดจะเงยศีรษะขึ้นมาด้วยซ้ำ อีกทั้งยังกำลังรินสุราให้ตัวเองอยู่

หางตาของหลินเทียนเฟิงกระตุกอย่างแรง

นี่มันยามไหนเข้าไปแล้ว นางยังนั่งดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์เช่นนั้นอีก!?

นางรู้หรือไม่กันแน่ว่าคนตรงหน้าคือโอรสสวรรค์น่ะ!

“คุณหนูตู๋กู ดูท่าจะมิค่อยมีความสุขเท่าใดที่ได้เห็นโถงตำหนักใหญ่นี้?”

ฉู่หลิวเยว่จึงได้ตวัดสายตาขึ้นมาพลางหัวเราะเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นของนางเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าจอกสุราที่สะท้อนแสงไฟอยู่ในมือนางเสียอีก และเป็นประกายเสียจนทำให้ผู้คนลุ่มหลงได้

นางฉีกยิ้มพลางกล่าว

“พระโอรสทรงเข้าใจผิดแล้ว”

“เมื่อครู่ข้าแค่มองไม่เห็นท่านเพียงเท่านั้น”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด