ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 781 คิดคำนวณ

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 781 คิดคำนวณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 781 คิดคำนวณ

ประกายแสงสีเขียวเข้มน้ำทะเลสายนั้นหยุดลงตรงหน้าเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์

ในขณะนั้น มันจะก้าวต่อไปก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ไหว น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก

มุมปากของฉู่หลิวเยว่หุบลงเล็กน้อย นัยน์ตาของนางมีประกายเจ้าเล่ห์สายหนึ่งวาบผ่าน

ที่นี่คืออาณาเขตเทพเซียนของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเลยว่ามันสามารถดึงความแข็งแกร่งจากภายนอกได้

พลังของป่าหมอกมายาผลาญไปจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าด้านข้างยังมีทะเลทรายจันทราสีชาดและทะเลสาบกระจก!

พละกำลังที่บรรจุอยู่ภายในสองแห่งนั้น เมื่อเทียบกับป่าหมอกมายาแล้ว มีเยอะกว่าอย่างมาก

ถ้าหากมันยังคงอยู่ในรูปแบบนี้ ดูดซับพลังจากโลกภายนอกอย่างไม่หยุดหย่อนและสามารถแซงความเร็วของการดูดกลืนพลังของฉู่หลิวเยว่แล้วล่ะก็ เมื่อนั้นฉู่หลิวเยว่ก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น พลังกลุ่มนี้ดูเหมือนจะวุ่นวายปนเป ฉู่หลิวเยว่นั้นรังเกียจมันอย่างมาก เลือกได้ก็ไม่ต้องการ

ได้มาจับคู่กับเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ ช่างเสียเปล่าโดยแท้

องค์ไท่จู่กระแอมไอออกมาสุ้มเสียงหนึ่ง

คนที่อาจหาญถึงขั้นกล้าพูดเช่นนี้กับเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ หากนับดูแล้วก็มีไม่มาก…

เดิมที พลังนั่นถูกดึงไปเองโดยเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นการใช้พลังเองจึงไม่ใช่เรื่องผิด

ทว่าเมื่อถูกฉู่หลิวเยว่พูดเช่นนี้ กลายเป็นว่ามันกลับดูไร้ค่าโดยไม่มีเหตุผล

กระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกเอือมระอาอยู่บ้าง

แน่นอนว่าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แสงกลุ่มนั้นก็สลายหายไปพร้อมด้วยเสียง “ปัง”!

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“นี่ถือว่าไม่เลว”

มุมปากขององค์ไท่จู่กระตุก

ครั้นสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่แผ่ออกมาจากเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ ในใจขององค์ไท่จู่นั้นรู้สึกกังวลอย่างมาก

แม่หนูผู้นี้ทำทุกสิ่งอย่างโดยอาศัยม่านน้ำนั้นจริงๆ …

ฉู่หลิวเยว่มิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจมากนัก นางหันศีรษะไปมองนาฬิกาทรายแวบหนึ่ง

ดูแล้ว ราวกับว่าผ่านไปแล้วหลายเดือน

แต่สำหรับคำคนภายนอก แท้จริงแล้วผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

อีกทั้งยังไม่รู้ว่าหงอวี่กับเสี่ยวโจวเป็นอย่างใดบ้าง…

นางนั้นติดแหง็กอยู่ที่นี่ ไร้ซึ่งหนทางจะติดต่อกับพวกเขาได้

คิดดูแล้วพวกเขาก็คงจะกังวลใจกันมาก

ถ้าหากมีคนช่วยนำข่าวของนางไปส่งให้คงจะดีมาก…

คิดมาถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่พลันนึกถึงสุ้มเสียงหนึ่งที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้

หนึ่งในนั้นตะโกนเรียกชื่อของนางอย่างชัดเจน

ถ้าหากคนเหล่านั้นสามารถช่วยนางได้ล่ะก็…

ฉู่หลิวเยว่เหลือบขึ้นไปมองข้างบนแวบหนึ่ง

ทั่วทั้งฟ้ามืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใดและไม่ได้ยินเสียงอันใดเลย

สุ้มเสียงเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นเวลานานแล้ว

นางเลื่อนสายตาที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยบางส่วนกลับมา ประกายสงสัยพลันผ่านวาบขึ้นในใจ

นางจำไม่ได้ว่าตนเคยรู้จักคนเช่นนี้ด้วย ทว่าพวกเขากลับดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยและใกล้ชิดกับตนเสียเหลือเกิน

นางเม้มริมฝีปากของตนเล็กน้อย

นางรู้สึกได้เลือนรางว่าตนเองนั้นราวกับว่าลืมเรื่องบางอย่างไปจริงๆ

แต่นางถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าตนนั้นแท้จริงแล้วลืมความทรงจำไปถึงขั้นไหน

เพราะว่าภายในความคิดของนางเอง ไม่มีช่วงเวลาใดขาดหายไปแม้แต่อันเดียว

ในสายตาของนางเอง ความทรงจำของนางนั้นครบถ้วนสมบูรณ์

สิ่งนี้ทำให้ในใจของนางบังเกิดเป็นระลอกคลื่นสายหนึ่ง

แล้วก็ ชายชุดดำที่อยู่บนหน้าผาผู้นั้น สรุปแล้วเป็นใครกันแน่?

ณ ทะเลทรายจันทราสีชาด

ดวงอาทิตย์ที่สาดส่องแผดเผาอยู่บนท้องฟ้าทิ่มแทงแสงลงมาจนคนแทบลืมตาไม่ขึ้น

พื้นทรายนั้นร้อนฉ่า ราวกับถูกเผาด้วยถ่านไฟก็มิปาน

คลื่นความร้อนแผ่กระจายโดยรอบ พื้นที่ว่างใกล้ๆ บิดเบี้ยวไปบ้างเนื่องด้วยความร้อนที่แผดเผา ไร้ซึ่งลมพัดผ่านแม้แต่น้อย

สถานที่เช่นนี้ หากพูดว่าสามารถเอาคนมาย่างได้ก็คงไม่ผิดนัก

บนทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไร้ซึ่งเงาร่างคนโดยสิ้นเชิง

ทว่าด้านบนของเนินทรายที่พูนขึ้นและทรุดลงอย่างมิหยุดหย่อน กลับมีเงาร่างกำยำร่างหนึ่งเคลื่อนผ่านไปด้วยความรวดเร็ว

นั่นคือเสวี่ยเสวี่ย!

หากมีใครมองลงมาจากด้านบนในเวลานี้ ก็จะเห็นได้เลยว่าเนินทรายภายในทะเลทรายจันทราสีชาดเรียงรูปแบบตามกฎอันใดบางอย่าง

และเมื่อเวลาผ่านไป เนินทรายเหล่านี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยบงการควบคุมทุกอย่าง เปลี่ยนตำแหน่งของเนินทรายเหล่านี้ได้ตามใจนึก

และเสวี่ยเสวี่ยเอง…ก็กำลังวิ่งวนไปวนมาอยู่บนยอดเนินทรายเหล่านี้

…ตามที่ท่านผู้นั้นกล่าว มันต้องวิ่งอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ และทุกครั้งก็จะหยุดพักได้แค่บนยอดเนินทรายเท่านั้น ทิ้งร่องรอยได้มากที่สุดไม่เกินสองอุ้งเท้า

เรื่องนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่กินแรงและสิ้นเปลืองพลังอย่างมาก

นั่นเป็นเพราะว่าทะเลทรายจันทราสีชาดอันกว้างใหญ่แห่งนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายตรงข้าม

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เสวี่ยเสวี่ยแทบจะวิ่งวนรอบทั่วทั้งทะเลทรายจันทราสีชาดไปแล้วหลายครั้ง

ขนที่เดิมทีเป็นสีขาวราวหิมะก็ถูกย้อมไปด้วยทรายสีเหลือง กลายเป็นสีขาวเหลืองแสนสกปรก

การวิ่งเป็นเวลานานแทบจะทำให้พละกำลังของเสวี่ยเสวี่ยสูญสิ้น

มันเงยหน้าขึ้นมองครั้งหนึ่ง

ไร้ซึ่งเมฆปกคลุม มีแต่แดดร้อนแผดเผา!

และตรงหน้าก็ยังมีเนินทรายปรากฏขึ้นมาไม่หยุดหย่อน!

เกรงว่าแม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่สามารถทนการทรมานเช่นนี้ได้!

“ช้าเกินไปแล้ว!”

ทันใดนั้นสุ้มเสียงหนึ่งที่คล้ายกับทารกก็ดังขึ้นข้างหู!

เสวี่ยเสวี่ยตื่นตระหนกอย่างมากและถูกบังคับให้เร่งความเร็วขึ้นอีก

ไร้ทางเลือก แม้ว่าคนเหล่านั้นจะออกมาได้เพียงแค่ในคืนที่มีพระจันทร์สีชาด ทว่าการจับตาดูมันนั้นก็ยังคงง่ายประดุจดั่งพลิกฝ่ามือ

ในใจเสวี่ยเสวี่ยขมขื่นยิ่ง รู้สึกเสียใจเป็นหมื่นครั้งที่ทำพันธะกับหรงซิว และเริ่มเพ้อฝันถึงการหนีออกจากบ้านรอบที่หมื่นอีกครั้งหนึ่ง

รอมันสิ้นสุดการรับโทษที่นี่ก่อนเถอะ หัวเด็ดตีนขาดอย่างใดก็จะไม่กลับไปเด็ดขาด!

มันอยากติดตามเดินทางไปกับฉู่หลิวเยว่ด้วย!

ฮือๆ คิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นแบบนั้นเหลือเกิน…

เสวี่ยเสวี่ยยอมจำนนต่อชะตากรรมและเริ่มออกวิ่งไปด้านหน้า

“พี่เป่า ท่านจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยแล้วกระมัง? ดูเจ้า เกล็ดหิมะน้อยเหนื่อยเสียอย่างกับอันใดดี? ขนบนร่างของมันดีๆ กลายเป็นหญ้าแห้งหมดแล้ว จิ๊ๆ”

หลานเซียวเอ่ยปากอย่างเฉยเมย

“ถ้าจะโทษ ก็ไปโทษหรงซิวเถอะ เจ้าจะระบายอารมณ์ใส่ เกล็ดหิมะน้อยเหตุใดเล่า?”

ตู๋กูโม่เป่าแค่นเสียงเยาะเย้ยเย็นเยียบ

“หรงซิวนำมันมาส่งไว้ที่นี่ด้วยตนเองเพื่ออันใด พวกเจ้ายังเดาไม่ออกอีกหรือ? ถ้าไม่ให้มันได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง หรงซิวก็จะถือว่าเราไปรังแกมันอีก!”

หลานเซียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ยังไงก็ตาม อย่าปล่อยหรงซิวไปเพียงเพราะเจ้าได้ทรมานเกล็ดหิมะน้อยก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลา จะจัดการยังไงก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน”

ขอเพียงแค่ไม่ไปช่วย เกล็ดหิมะน้อยจนสำเร็จก็พอ

ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าเอ่ยอย่างช้าๆ

“เหอๆ มิใช่ว่าเจ้าเกลียดหรงซิวหรอกหรือ? รอเขามาเสียก่อนเจ้าค่อยลงมือด้วยตัวเองก็ยังไม่สายนี่?”

หลานเซียวถอนหายใจออกมา

“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไร? ไปแตะหรงซิวเข้า ถ้านังหนูรู้แล้วจะปล่อยข้าไปหรือ? ข้ากับพี่เป่าไม่เหมือนกันสักหน่อย”

“เจ้าคนโรคจิตนี่ เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก!”

“เป็นใบ้หรือไม่ๆ สำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องดูดี”

“…”

ตู๋กูโม่เป่าถอนหายใจอย่างหนักหน่วงออกมาครั้งหนึ่ง

“บนร่างของนังหนูเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หรงซิวรู้แก่ใจแต่ไม่แจ้ง เดิมทีเขาก็มีความผิดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรตัวนั้นที่อยู่ข้างเขา ก็เกือบถูกเขากำจัดทิ้ง พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเขาส่งมันมาที่นี่เพียงเพื่อให้มันได้รับผิดแทนตัวเอง?”

“เจ้าเด็กนั่นวางแผนให้ข้าช่วยมันฝึกสัตว์อสูรน่ะสิ!”

หรงซิวที่เพิ่งเดินมานอกตำหนักจามออกมาครั้งหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด