ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 567 ข้าอนุญาต [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 567 ข้าอนุญาต [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 567 ข้าอนุญาต [รีไรท์]

วิธีนี้มันอันตรายเกินไป มีหรือที่เขาจะยอมให้ฉู่หลิวเยว่ทำเช่นนั้น?

“วันนี้เจ้าเพิ่งทะลวงผ่านระดับสี่ จะไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้อย่างใด! และถ้าต้องมีใครสักคนทำมัน ก็ควรจะเป็นเหล่าผู้อาวุโส!”

เขาคือเจ้าสำนักชงซูเก๋อ และไม่มีใครที่เหมาะสำหรับหน้าที่นี้ไปมากกว่าเขาแล้ว

ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับส่ายหน้า

“ท่านอาจารย์ สภาพร่างกายของท่านเป็นเช่นไร ท่านน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี”

อวี้ฉือซงขมวดคิ้วฉับ

“อย่างใดก็ต้องไม่ใช่เจ้า!”

บนโลกนี้ มีที่ไหนเขาให้ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ทำเรื่องเช่นนี้กันบ้าง!

“ถ้าหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ เช่นนั้นก็ใช้วิธีอื่น! ให้ตายข้าก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด!”

ฉู่หลิวเยว่คิดไว้แล้วว่าเขาต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้

ความจริงแล้วเดิมทีนางไม่ได้ตั้งใจจะบอกอวี้ฉือซง แต่ที่นี่คือชงซูเก๋อ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำของนางจะรอดพ้นสายตาของเขา

ซึ่งทำให้มันชัดเจนไปเลยตอนนี้ ย่อมดีกว่ามานั่งวุ่นวายกันทีหลัง

นางยืนรออยู่ด้านข้างเงียบๆ กระทั่งอวี้ฉือซงพูดจบ ถึงได้รีบชี้แจ้งออกไป

“ท่านอาจารย์ นี่เป็นทางออกเดียวในตอนนี้ที่เป็นไปได้มากที่สุด หากไม่สามารถแก้ไขได้โดยเร็วที่สุด ภูเขาชิงหยวนทั้งหมดจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ท่านจะยอมให้มันเป็นเช่นนั้นหรือ?”

ชงซูเก๋ออยู่มาได้ตั้งหลายร้อยปี และถูกสร้างขึ้นบนภูเขาชิงหยวนมาตั้งแต่อดีตกาล

หากเขาคิดจะทอดทิ้งภูเขาชิงหยวน ก็ไม่ต่างจากการปาระเบิดลูกใหญ่ใส่สาวกทั้งหมดของชงซูเก๋อ

“ท่านปกป้องชงซูเก๋อมาด้วยความยากเย็นถึงเพียงนี้ ท่านจะยอมให้เกิดภาพนั้นขึ้นจริงๆ หรือ?”

อวี้ฉือซงหลับตาด้วยความเจ็บปวด

“แน่นอนว่าข้าไม่มีวันยอม ตราบใดที่รักษาชงซูเก๋อไว้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็ยอม และข้าจะไม่มีวันลังเล! แต่หลิวเยว่…มันต้องไม่ใช่เจ้า…ไม่ได้เด็ดขาด…”

“ท่านอาจารย์ ที่ข้ามาแจ้งให้ท่านทราบ ก็เพราะข้ามั่นใจว่าตัวเองจะทำสำเร็จ” ฉู่หลิวเยว่เน้นย้ำคำต่อคำ

อวี้ฉือซงขมวดคิ้วและมองไปที่ฉู่หลิวเยว่

หว่างคิ้วของเด็กสาวตรงหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตัวและมุ่งมั่นของคนรุ่นเยาว์

ทว่าการแสดงออกของนางนั้นดูนิ่งมาก ดวงตากลมเสมือนหยกสีดำคู่นั้นมีเพียงความเงียบสงบ

บ่งบอกว่านางมั่นใจมากเพียงใด!

หากใครก็ตามที่เห็นสีหน้าของนางในตอนนี้ ก็เกรงว่าจะถูกนางโน้มน้าวใจเอาได้ง่ายๆ

อวี้ฉือซงหลับตา และในที่สุดก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจ้องมองดวงตาของฉู่หลิวเยว่อย่างจริงจัง

“หลิวเยว่ ข้าซาบซึ้งในสิ่งที่เจ้าต้องการจะทำมาก แต่ถ้ามันคือสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อตัวเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำแน่ๆ เว้นเสียแต่ว่า…เจ้าจะพิสูจน์ให้ข้าเห็น ว่าเจ้าสามารถรับมือกับมันได้จริงๆ”

มันคือการยื่นหมูยื่นแมวเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของนาง

แน่นอนว่า อวี้ฉือซงรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่นั้น มีมากกว่าที่ปรากฏให้คนทั่วไปได้เห็นเสียอีก

และการที่นางคว้าอันดับหนึ่งจากงานหมื่นทูรมาได้นั้น ก็ถือเป็นคำอธิบายข้อสงสัยต่างๆ นาๆ ได้แล้ว

ทว่าสำหรับเรื่องนี้มันซับซ้อนมาก จนเขาไม่กล้าเสี่ยง

ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา มุมริมฝีปากของนางขยับยกเล็กน้อย

“ย่อมได้”

พลันทั่วทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ

ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆ ปิดตาของนางช้าๆ

และในชั่วพริบตา พลังดั้งเดิมอันทรงพลังก็หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของนาง!

ความกดดันอันน่าสะพรึงแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง!

ระดับสี่ขั้นต้นแน่หรือ!

อวี้ฉือซงจ้องฉู่หลิวเยว่ตาไม่กะพริบ และต้องการดูว่านางไปเอาความมั่นใจนี้มาจากแห่งใด

เพราะวิทยายุทธ?

หรือวัตถุโบราณที่อยู่ในครอบครอง?

หรือเป็นอย่างอื่น?

แต่ในไม่ช้า เขาก็เริ่มตระหนักว่าลมปราณในร่างกายของฉู่หลิวเยว่กำลังเพิ่มขึ้น!

และในไม่กี่อึดใจ นางก็ทะลวงได้ถึงระดับสี่ขั้นกลางแล้ว!

อวี้ฉือซงเบิกตาโพล่งอย่างตกใจ

เป็นไปได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ ฉู่หลิวเยว่จะซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางไว้?

หรือความจริงแล้ว ขอบเขตของนางจะผ่านพ้นระดับสี่ขั้นต้นไปนานแล้ว…

ไม่สิ!

ลมปราณรอบตัวนางยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!

จนจะถึงจุดสูงสุดของระดับสี่อยู่แล้ว!

อวี้ฉือซงเอ่ยปากถามอย่างลืมตัว

“นาง…ความจริงแล้วนางอยู่ระดับใดกัน?”

คำถามนี้ถูกส่งไปยังเชียงหว่านโจวที่อยู่ข้างกัน

เชียงหว่านโจวตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ข้าเองก็ไม่ทราบ”

สาบานเลยว่าเขาไม่รู้จริงๆ

และรู้เพียงว่าฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งกว่าเขา ก็เท่านั้น

และไม่นานอวี้ฉือซงก็จำต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อลมปราณและแรงดันรอบตัวฉู่หลิวเยว่ พุ่งทะลวงขึ้นสู่นักรบระดับห้า!

ทว่าสิ่งที่ทำให้อวี้ฉือซงรู้สึกอึ้งยิ่งกว่าเดิมก็คือ ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตั้งใจจะหยุดอยู่แค่นี้!

แต่กลับยิ่งทะยานสูงขึ้น…

ระดับห้าขั้นกลาง!

ระดับห้าขั้นสูง!

ระดับหก!

อวี้ฉือซงแทบหยุดหายใจ

แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่หยุดแค่นั้น!

ระดับหกขั้นกลาง!

ระดับหกขั้นสูง!

อวี้ฉือซงรีบตอบสนองในเวลานี้ ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วสร้างค่ายกลปกคลุมทั่วทั้งห้องโถง!

ถ้าการแผ่ขยายนี้กระจายออกไป ก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้เกิดผลกระทบมากน้อยแค่ไหน…

ฉู่หลิวเยว่เริ่มขมวดคิ้ว

พลันพลังดั้งเดิมในหยดน้ำ ก็พุ่งออกมาอีกครั้ง!

หึ่ง!

แล้วทะลวงสู่ระดับเจ็ด!

เมื่อถึงจุดนี้ ในที่สุด การคลุ้มคลั่งของลมปราณในกายของฉู่หลิวเยว่ ก็หยุดลง!

และเมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ลืมตา อวี้ฉือซงถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวี้ฉือซงเคยประสบพบเจอกับเรื่องต่างๆ มานับไม่ถ้วน แต่วันนี้เขากลับต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่พักใหญ่ และไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้สักคำ

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพลางเอ่ย

“ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าทะลวงขึ้นไปอีกหรือไม่?”

หัวใจที่เพิ่งสงบของอวี้ฉือซง ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง!

“จะ จะยังทำต่ออีกหรือ!?”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบจริงจัง

“ใช่แล้ว! เพราะถ้าท่านยังไม่เชื่อในพลังของข้า เช่นนั้นข้าจะ…”

“พอ! พอแล้ว!”

เปลือกตาของอวี้ฉือซงกระตุกถี่ยิบ

อารมณ์ไม่ไว้ใจในตัวฉู่หลิวเยว่เมื่อครู่หายไปทันตา

ทว่ากลับมีความสงสัยมากมายพุ่งขึ้นมาในใจของเขาแทน!

ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้…ทำเช่นนั้นได้อย่างใด!

“เจ้า…เจ้าซ่อนระดับพลังที่แท้จริงของตัวเอง…”

อวี้ฉือซงเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก

ปีนี้ฉู่หลิวเยว่เพิ่งอายุสิบสี่ปีเองมิใช่หรือ?

ไฉนถึงทะลวงสู่ระดับเจ็ดได้กัน?

“อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เป็นนักรบระดับเจ็ดอย่างที่ท่านคิด ข้าแค่…มีพลังที่แข็งแกร่งอยู่ในกาย”

ฉู่หลิวเยว่พยายามหาคำที่เหมาะสมมาอธิบาย

อวี้ฉือซงเงียบไปครู่หนึ่ง พลางมองหลิวเยว่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน และในที่สุดก็กล่าวว่า

“ข้ายอมรับเจ้า”

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกยินดีอย่างมาก จากนั้นนางก็ดับลมปราณที่หมุนวนอยู่รอบตัวเสีย

ความผันผวนเหล่านั้น กลับไปยังหยดน้ำที่ลอยอยู่ในจุดตันเถียนอย่างเงียบๆ

การทะลวงขอบเขตด้วยพลังเหล่านี้ ไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อหยดน้ำได้แม้แต่น้อย

เสมือนหยาดฝนที่ตกลงสู่ทะเล หายไปจากผิวหน้าอย่างเงียบเชียบ

นางรอจนพลังดั้งเดิมกลับคืนสู่ที่ของมัน แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกมา

แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงพลังงานที่เก็บไว้ในหยดน้ำ และไม่ใช่พลังของนาง

แต่โชคดีที่เมื่อความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้น ฝีมือในการการควบคุมหยดน้ำของนาง ก็เริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย

และทุกวันนี้ นางก็พยายามรวบรวมพลังจากมัน มาช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายของตัวเอง

อวี้ฉือซงจ้องมองนางอย่างเคร่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เหมือนจะเข้าใจอันใดบางอย่างได้

“พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้า…เจ้าสามารถยืมพลังดั้งเดิมจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นมาใช้ได้?”

ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง

ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นหรือ?

อย่าบอกนะว่า อวี้ฉือซงคิดว่าในตัวของนางมีผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่าสถิตอยู่?

นางต้องการจะอธิบาย แต่พอคิดไปคิดมา กลับรู้สึกว่าการสันนิษฐานของเขานั้นฟังดูน่าเชื่อถือกว่าความจริงของนางเสียอีก

สุดท้ายหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง นางก็ยอมผงกศีรษะลง

“ใช่แล้ว”

อวี้ฉือซงผงะไปทันที

เป็นเช่นนี้นี่เอง

หรือว่าบางทีตอนอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่ง นางก็อาศัยพลังลึกลับและทรงพลังนี้ เพื่อคว้าชัยชนะมาหรือ?

แต่ไม่ว่าอย่างใด เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

“เช่นนั้นก็ดี…ดีแล้ว…”

ฉู่หลิวเยว่พอใจเมื่อรู้ว่าเขายอมรับ แต่ไม่นาน คิ้วเรียวสวยก็จำต้องขมวดแน่นเป็นปม

ก่อนจะมีเสียงเยาะเย้ยที่ดังมากจากส่วนลึกในจิตใจ

“ยัยหนู ข้าอนุญาตให้เจ้ายืมพลังของข้าได้”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *