ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 153 เยี่ยมเยียน

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 153 เยี่ยมเยียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 153 เยี่ยมเยียน

ผู้อาวุโสซุนให้คนพาฉู่หนิงส่งกลับบ้าน และหาคนดูแลเป็นพิเศษเพราะกลัวว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น

เขาเข้าใจความรู้สึกของฉู่หนิงเป็นอย่างดี แต่สภาพของเขาในตอนนี้ หากไปคนเดียวแล้ว เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่

ทำไมเขาจะไม่รู้สึกโศกเศร้าเสียใจล่ะ

ตอนแรกเขาถูกชะตากับฉู่หลิวเยว่มากขนาดนั้น จนถึงขั้นรับนางมาเป็นศิษย์ของตน ถ้าหากว่าเขาไม่ถูกท่านอาจารย์ลุงแย่งนางไปล่ะก็ บางทีตอนนี้เขาอาจจะเป็นซือฝุของนางไปแล้วจริงๆ ก็ได้

เมื่อเห็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมาตายตกไปกับตาตนเอง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยความสามารถ ในใจของผู้อาวุโสเองก็ทุกข์ระทมยากที่จะเอ่ยเช่นกัน

หลังจากส่งฉู่หนิงออกไปแล้ว ผู้อาวุโสเองก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาเป็นเวลานาน

ฉู่เยี่ยนที่หายใจรวยรินถูกคนนำตัวส่งกลับไปยังตระกูลฉู่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใด ทั้งยังถูกหลายคนหัวเราะเยาะซ้ำเติมอีก

ตั้งแต่คราวก่อนที่ฉู่หลิวเยว่มาก่อความวุ่นวาย แล้วแบ่งเอาสมบัติของตระกูลฉู่ไปจำนวนไม่น้อย คนในตระกูลฉู่หลายคนก็รู้สึกเกลียดแค้นฉู่เยี่ยนและลู่เหยาสองสามีภรรยาจนเข้ากระดูกดำ

สองคนนี้ ผู้หนึ่งอาศัยสถานะนายน้อยสามของตนใช้อำนาจในทางมิชอบ ส่วนอีกผู้หนึ่งใช้โอกาสที่ตนเป็นผู้จัดการทรัพย์สินแล้วโกยเข้ากระเป๋าตนเอง จนทำให้ทรัพย์สมบัติของตระกูลฉู่หมดแทบเกลี้ยง!

ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าต้องการให้พวกเขาสองคนไม่สามารถอุดหลุมนี้ คนในตระกูลฉู่ก็ไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้หรอก

ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เซียนหมิ่นอยู่ในจวนรัชทายาทก็มีสถานะเป็นเพียงแค่นางสนมเท่านั้น ไม่มีทางไต่เต้าขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้ ทว่าพวกเขากลับยิ่งกำเริบเสิบสาน

แล้วยังจะมีผู้ใดเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอีกเล่า

บ่าวรับใช้นำข่าวนี้มารายงานแก่ผู้อาวุโสใหญ่ แต่ก็ได้รับเพียงเสียงหัวเราะเย็นชากลับไปเท่านั้น

“เขารนหาที่ตายเอง ไปหาเรื่องยั่วโมโหฉู่หนิงแบบนั้น แล้วจะโทษผู้ใดได้!”

ฉู่หลิวเยว่ตายแล้ว ตระกูลฉู่ของพวกเขาก็หมดเสี้ยนหนาม ใครจะไม่แอบดีใจบ้างเล่า

คนในตระกูลฉู่มีตั้งมากมาย กลับมีเพียงฉู่เยี่ยนผู้เดียวที่โง่ไปหาฉู่หนิงเอง!

ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ฉู่หนิงก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าแล้ว ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เด็ดขาด มีเพียงแค่คนโง่เง่าเต่าตุ่นเท่านั้นที่คิดจะต่อกรกับฉู่หนิงซึ่งๆ หน้า!”

“ผู้อาวุโสใหญ่ขอรับ ฉู่หนิงในฐานะผู้บัญชาการทหารองครักษ์ ตีท่านชายสามจนเกือบตายเช่นนั้นคงไม่เหมาะสมกระมัง…หรือว่า จะยื่นฎีกาถึงฝ่าบาทดีหรือไม่ขอรับ”

มุมปากของผู้อาวุโสใหญ่กระตุก

“เขาโง่เอง พวกเจ้าก็ไร้สมองตามเขาเช่นกัน! ฉู่หลิวเยว่เพิ่งตาย ฉู่หนิงกำลังอยู่ในความโศกเศร้า ฝ่าบาทจะเอาความเรื่องนี้ในเพลานี้ได้อย่างไร อีกอย่าง ฉู่เยี่ยนเป็นฝ่ายไปยั่วยุเขาก่อน ตอนนั้นผู้คนมากมายที่อยู่ในเหตการณ์ได้ยินเรื่องเหลวไหลที่เขาพูดอย่างชัดเจน ต่อให้รายงานฝ่าบาทก็ฟังไม่ขึ้น มิสมเหตุสมผลเลยสักนิด ทางที่ดีควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างเงียบเชียบและเฉียบขาดก็พอแล้ว”

“ที่ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวมาก็ถูกต้อง แต่…ทำเช่นนี้ฉู่หนิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…”

เวลานี้ถ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมเขาให้จมลงไปได้อีกถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ!

ผู้อาวุโสใหญ่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา

“พวกเราไม่ต้องออกแรง ฉู่หนิงเองก็คงต้านรับไม่ไหว ฉู่หลิวเยว่เป็นดั่งความหวังเดียวของเขา ตอนนี้นางตายไปแล้ว เขาก็คงจะเสียสติไปแล้วล่ะ เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์เมื่อหลายปีก่อนในครั้งนั้นทำให้เขาต้องตกอับไปสิบปี ถึงกระนั้นเขาก็ต้องอาศัยฉู่หลิวเยว่ถึงจะมีชีวิตดั่งเช่นวันนี้ได้ ทว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ดันมาตายจากไป ตอนนี้เขาสิ้นไร้ไม้ตอกแล้ว คนแบบนี้ก็มิต่างอะไรกับมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย”

เหลือเพียงฉู่หนิงเพียงผู้เดียวแล้ว อนาคตค่อยๆ จัดการเขาก็ได้มิใช่หรือ

“น่าเสียดาย…ฉู่หลิวเยว่ไปตายข้างนอกอย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างไม่คุ้มเลยจริงๆ…”

ผู้อาวุโสใหญ่พึมพำเสียงทุ้มต่ำ

มีเพียงทางเดียวคือสังหารนางด้วยน้ำมือตนเองถึงจะสาสมกับความแค้นในใจของเขา!

“ได้ข่าวคืบหน้าจากทางรัชทายาทบ้างหรือไม่ เหตุใดระยะนี้ฝ่าบาทถึงได้ทรงเย็นชากับรัชทายาทเช่นนี้” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่อง

“ในรั้ววังปิดข่าวอย่างเข้มงวด พวกเราแอบสืบอยู่หลายครั้งแต่ก็มิได้ความอะไรกลับมา มีบางอย่างน่าสงสัยมากขอรับ ในค่ำคืนวันเข้าหอของรัชทายาทและคุณหนูสาม รัชทายาทถูกเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน โดยไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าฝ่าบาทตรัสสิ่งใดกับรัชทายาท หลังจากที่ออกมาแล้ว รัชทายาทก็เสด็จกลับจวนและไม่ออกมาอีกเลย ก่อนหน้านั้น องค์ชายสามยังเคยเสด็จเข้าวังอีกด้วยขอรับ…”

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับองค์ชายสาม”

“ไม่แน่ใจขอรับ ตอนนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้องค์ชายสามประทับอยู่แต่ในเมืองหลวง ไม่ได้เสด็จกลับค่ายทหารที่ซีเป่ย เกรงว่าพระองค์ก็คงไม่นิ่งดูดายนะขอรับ”

ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วเป็นปม

ไม่กี่วันก่อนเขาส่งเทียบเชิญเป็นการส่วนตัว แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของรัชทายาทแย่กว่าที่คาดไว้

เขารู้สึกว่าสถานะของรัชทายาทดูเหมือนจะตกอยู่ในอันตราย

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับรัชทายาทมาโดยตลอด ทั้งลงเรือลำเดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลานี้การสนับสนุนองค์ชายองค์อื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ

เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องหาวิธีช่วยรัชทายาทฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้!

มู่หงอวี๋สลบเหมือดไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมาแล้วก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง นางดูเหมือนถูกสูบพลังออกไปจนหมด ไม่มีแม้แต่กระทั่งความโกรธใดๆ

สมองของนางว่างเปล่าขาวโพลน ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในบรรพตวั่นหลิงกลับยังคงลอยวนเวียนซ้ำๆ อยู่ในหัว

ฉากทั้งหมดถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความชัดเจนที่ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเปรยได้ และมันก็ทำให้นางรู้สึกทรมานเจียนตาย

ถ้าหากว่าตอนนั้น พวกเขาสามารถห้ามฉู่หลิวเยว่เอาไว้ได้ ทุกอย่างก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่

เป็นเพราะพวกเขาชะล่าใจเกินไป เป็นเพราะพวกเขาประมาทเกินไป!

ไม่ว่าฉู่หลิวเยว่จะเก่งกาจมากแค่ไหน แต่นางก็เป็นเพียงนักเรียนคนหนึ่งเหมือนกับพวกเขา อีกทั้งนางยังเข้าเรียนในสำนักช้ากว่าพวกเขามากกว่าครึ่งปี!

พวกเขาจะปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับเจ็ดเพียงลำพังได้อย่างไร!

นั่นมันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งปานใด!

แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แล้วนับประสาอะไรกับฉู่หลิวเยว่กันเล่า!

มู่หงอวี๋คิดอย่างเหม่อลอย น้ำตาของนางไหลรินลงมาเงียบๆ จากนั้นนางก็ตบหน้าตัวเองอย่างแรง!

เพี๊ยะ!

เสียงตบอันคมชัดนั้นดังชัดเจนภายในห้องที่เงียบสงบ

ความเจ็บปวดรวดร้าวบนใบหน้าของนางเทียบไม่ได้เลยกับการโทษตัวเองและความรู้สึกผิดในใจของนาง!

“ฮึอ…”

ลูกหมีแผงคอทองคำตสังเกตเห็นความโศกเศร้าที่แผ่ออกมาจากนาง และดูเหมือนว่าจะสื่อสารถึงกันได้ มันจึงคลานต้วมเตี้ยมไปจับแขนของนางและส่งเสียงครางเบาๆ

มู่หงอวี๋ซุกศีรษะไว้ในอ้อมแขนของมันแล้วสะอื้นไห้เงียบๆ

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก

มู่หงอวี๋เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง ก่อนจะลากสังขารที่เหนื่อยล้าและเจ็บปวดของตนเพื่อเดินไปเปิดประตู

“ผู้ใดน่ะ”

เมื่อนางเห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่นอกอย่างชัดเจน สีหน้าของมู่หงอวี๋ก็เย็นชาทันที

นางปิดประตูทันทีโดยไม่พูดอะไร

แม้ว่าคนผู้นั้นจะมาพร้อมผ้าคลุมหน้าและเผยให้เห็นดวงตาเพียงคู่เดียว แต่นางก็จำได้ในพริบตา เพราะว่านั่นคือ ฉู่เซียนหมิ่น!

“นี่…เดี๋ยวก่อน!”

ฉู่เซียนหมิ่นดึงประตูด้วยมือข้างเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้มู่หงอวี๋เคลื่อนไหว

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็เลยมาเยี่ยมเจ้าสักหน่อย เจ้าจะรีบปิดประตูทำไมเล่า”

ฉู่เซียนหมิ่นพูดพลางกวาดสายตามองหน้ามู่หงอวี๋อย่างรวดเร็ว และหางตาของนางก็กระตุกเล็กน้อย

มู่หงอวี๋รู้สึกหงุดหงิดกับสายตาของนาง จากนั้นนางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า เจ้ารีบไปซะ! เจ้ามายั่วยุข้า มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้าหรอกนะ!”

มู่หงอวี๋มีสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“ตอนที่เจ้ายังสุขสบาย เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เจ้าบาดเจ็บ การข่มขู่เช่นนี้ มันไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น”

“เจ้ากำลังพยายามทำสิ่งใดกันแน่!” มู่หงอวี๋หมดความอดทนแล้ว

ฉู่เซียนหมิ่นก้าวเข้ามาใกล้นางอีกก้าว ดวงตาฉายแววชั่วร้าย ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา

“ฉู่หลิวเยว่ตายไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสองคนสนิทกันมาก ดังนั้นข้าก็เลยมาเยี่ยมเจ้า ดูสภาพของเจ้า นางต้องตายอย่างน่าอนาถมากแน่ๆ ใช่หรือไม่”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *