ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 922 เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 922 เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 922 เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ

จ้าวจื่อเฉิงสำลักออกมาคราหนึ่ง คิดเพียงว่าหรงซิวกำลังล้อกันเล่นเท่านั้น

ซั่งกวนเยว่ในตอนนั้นเดิมทีมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเหนือปรมาจารย์โดยแท้ ทว่าในตอนนั้นนางเองก็ยังเป็นปรมาจารย์ขั้นแปด ย่อมไม่สามารถสอนวิถีพลังของปรมาจารย์ขั้นแปดแก่หรงซิวได้

ดูแล้วเขาคงไม่อยากพูดถึงเท่าไร

เพียงแต่ว่าจ้าวจื่อเฉิงไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย การฝึกปราณของปรมาจารย์และการฝึกวรยุทธนั้นไม่เหมือนกัน ปกติแล้วจำเป็นต้องได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ตัวต่อตัว

การก่อตัวของความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์เช่นนี้ จึงเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมมากยิ่งขึ้น

หรงซิวปฏิเสธที่จะป่าวประกาศเรื่องอาจารย์ บางทีเขาอาจจะคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว

อย่างใดเสีย บนโลกใบนี้มีผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวเยอะมาก ทั้งไม่ชอบการเปิดใบหน้า และไม่ชอบการเผยตัวตนแก่ผู้ใด

ทว่าผู้ที่สามารถอบรมสั่งสอนหรงซิวผู้นี้ให้เป็นศิษย์ได้… ย่อมมิใช่บุคคลธรรมดาสามัญ

จ้าวจื่อเฉิงประสานมือเข้าด้วยกัน ไม่เอ่ยถามอันใดอีก จากนั้นก็หมุนกายเดินโซเซจากไป

ก่อนหน้านี่แผ่นหลังกว้างใหญ่นั่นดูแข็งแรงห้าวหาญ ทว่าบัดนี้กลับมีความโดดเดี่ยวอ้างว้าง

“เจ้ากำลังจะบอกว่า ข้าเป็นคนสอนให้เจ้า?”

เมื่อเห็นหรงซิวเดินมาหา ฉู่หลิวเยว่ก็หรี่ตาลงแล้วเอ่ยถาม

บัดนี้นางฟื้นฟูกลับมาเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นหกและไม่ได้ทะลวงระดับไปที่ขั้นเจ็ดสักพักแล้ว ซึ่งพลังที่เขาแสดงให้ดูเมื่อครู่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่นางจะสอนได้

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่ามีลูกศิษย์ที่โดดเด่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? อีกทั้ง… ลูกศิษย์ผู้นี้ยังทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าได้ด้วย”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยพลางตวัดสายตาชำเลืองมองไปทางเสวี่ยเสวี่ยที่บินขึ้นบินลงอย่างมีความสุขอยู่ข้างกายหรงซิว

การเคลื่อนไหวของเสวี่ยเสวี่ยพลันแข็งทื่อ จะเดินหน้าต่อก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่กล้า

เมื่อถูกสายตาของฉู่หลิวเยว่จดจ้องระยะประชิด เสวี่ยเสวี่ยพลันบังเกิดความรู้สึกผิด มันส่ายศีรษะเป็นการใหญ่พลางมองซ้ายมองขวา

ไอหยา จริงๆ แล้วมันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนางเสียหน่อย!

หากมิใช่ว่าเจ้านายออกคำสั่งแล้วล่ะก็ มันจะไปหลอกนางได้อย่างใดกัน!

หรงซิวพลันส่งเสียงหัวเราะ

“พวกเราเล่นหมากรุกมาด้วยกันตั้งหลายครั้ง แม้จะไม่อยากเรียนรู้ แต่ก็เข้าใจอันใดมาบ้าง”

ฉู่หลิวเยว่ชะงัก นางเพิ่งได้เข้าใจความหมายของหรงซิวก็ตอนนี้

หมากรุกและค่ายกล หากมองจากมุมมองเดียวกันแล้วมีความเหมือนกันสูง อีกทั้งยังสามารถทดสอบระดับของความคล่องแคล่วว่องไวและความเฉียบแหลม

ยามปกติเวลานางเล่นหมากรุก บางครั้งก็มักนำมาผสมกับการวางค่ายกล

ซึ่งหรงซิวพูดเช่นนี้… เหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่บ้าง

ทว่าความเคลือบแคลงในใจของฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์

แม้หรงซิวเพียงแค่เอ่ยหยอกล้อ แต่พลังและพรสวรรค์อันอยู่จุดสูงสุดที่เขาได้แสดงออกมานั้น ย่อมมิใช่ข้อผิดพลาด

นางมิรู้มาก่อนว่าเขาจะแข็งแกร่งเหนือปรมาจารย์และไร้ผู้ใดเทียมทานเช่นนี้!

บนร่างของเขาราวกับว่ามีปริศนาลึกลับมากมาย อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่นางยุ่มย่ามด้วยไม่ได้

แต่ว่ายามที่สายตาคู่นั้นจ้องมองมาที่นาง มันช่างจริงใจและใสสะอาด ชะล้างทุกสิ่งโดยไร้สิ่งใดเจือปน

นางสัมผัสได้ถึงจิตใจของเขา และมีความรู้สึกหนึ่งที่บรรยายไม่ได้คอยบอกนางว่า ไม่ว่าจะอย่างใด เขาก็จะยังยืนอยู่ข้างนาง คอยปกป้องนางจากลมฝน

ความจริงแล้ว นางไม่ใช่คนที่เชื่อใจคนง่ายเพียงนั้น ทว่ายามเผชิญหน้ากับหรงซิว ความไว้ใจและการพึ่งพากันและกันดูจะกลายเป็นสัญชาตญาณ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมชาติ

ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองซั่งกวนโหยว

“ท่านพ่อ ข้าอยากคุยกับหรงซิวเพียงลำพัง”

ซั่งกวนโหยวไหนเลยจะดูมิออกว่าฉู่หลิวเยว่มีเรื่องอยากถามหรงซิว จึงตอบตกลงโดยพลัน

“อย่างใดเสียข้าก็ได้พบเขาแล้ว เยว่เอ๋อนั้นมีสายตากว้างไกล หากมีเรื่องอันใด พวกเจ้าก็ไปพูดคุยจัดการกันเองเถิด”

พูดจบ เขาก็ตบบ่าหรงซิวแฝงความนัย จากนั้นก็ปลีกตัวจากไป

ผู้อาวุโสเฉินเค่อเดิมทีอยากจะซักถามสักสองสามประโยค ทว่าเมื่อเห็นซั่งกวนโหยวจากไปแล้ว ก็ทำได้แค่กลืนคำพูดที่เหลือลงคอ แล้วเดินตามผู้อาวุโสที่เหลือออกไป

หลังเดินจากไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ผู้อาวุโสเฉินเค่อก็ยังคงวางท่าองอาจ

หรงซิวผู้นี้ ดูไปแล้วคงมิได้ธรรมดาอย่างที่แสดงออกกระมัง…

หลังรอให้คนโดยรอบจากไปจนเกือบหมด ฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“พวกเรากลับไปคุยกันที่ตำหนักเจาเยว่เถอะ”

หรงซิวก้าวไปข้างหน้าพลางคว้ามือนางเอาไว้ ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มพะเน้าพะนอเอาใจนาง

“ได้”

ฉู่หลิวเยว่ตวัดสายตามองเขาอย่างรำคาญแวบหนึ่ง

“ทำอันใด?”

หรงซิวผินใบหน้ากลับมา พลันยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกหน่อยแล้วหัวเราะเสียงต่ำ

“ใช้สิทธิ์ของคู่หมั้นอย่างใดล่ะ”

ข่าวคราวที่ว่าองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเย่าเฉินเป็นคู่หมั้นของฉู่หลิวเยว่แพร่ไปในวังอย่างรวดเร็ว ราวกับติดปีกบินก็มิปาน!

ในขณะเดียวกัน เรื่องของจ้าวจื่อเฉิงที่ขอร้องให้ฉู่หลิวเยว่แต่งงานกับตน ทว่าสุดท้ายกลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนในทันที

คนส่วนใหญ่เมื่อได้ยินข่าวแรก ล้วนเพียงแค่ตื่นตะลึงและคาดไม่ถึงเท่านั้น

แต่พอมาคิดดูดีๆ แท้จริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องปกติ

อย่างใดก็ตาม เดิมทีฉู่หลิวเยว่เองก็เคยเป็นหญิงสาวจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ ที่ถูกกดขี่มาแต่งงานเกี่ยวดองกับองค์ชาย ที่จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของการสานสัมพันธไมตรี

แต่ข่าวที่สองดูอย่างใดก็ไม่ถูกต้อง!

จ้าวจื่อเฉิงน่ะใครกัน?

คุณชายรองบุตรของฮูหยินใหญ่จากตระกูลจ้าว! อัจฉริยะวัยเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลจ้าว!

แม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้อยู่ที่ซีหลิง ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังจำได้ว่าเขานั้นมีพรสวรรค์ล้ำเลิศและเก่งกาจเพียงใด!

ได้ยินว่ากลับมาครานี้ เขาฝ่าบุกทะลวงสำเร็จ และกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นแปดแล้วเรียบร้อย!

แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าคนชื่อหรงซิวนั่นกลับเอาชนะเขาได้!?

ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!

ซึ่งสิ่งนี่พิสูจน์ได้แล้วมิใช่หรือ ว่าเขาโดดเด่นเสียยิ่งกว่าจ้าวจื่อเฉิงเสียอีก?

องค์ชาย… ที่มีภูมิหลังครอบครัวมาจากแคว้นเมืองขึ้นนั่นน่ะ?

เรื่องราวเหล่านี้ทำให้บังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ภายในเมืองซีหลิงทันที

อีกทั้งหรงซิวนามนี้ ก็ได้กลายเป็นจุดสนใจและหัวข้อสนทนาของทุกคนอย่างรวดเร็ว!

แม้ว่าคลื่นใต้น้ำภายนอกจะโหมแรงเป็นระลอก ทว่าภายในตำหนักเจาเยว่ บัดนี้กลับเงียบสงบอย่างมาก

ข้ารับใช้ของฉู่หลิวเยว่พากันปลีกตัวออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงนางกับหรงซิว

อ้อ แล้วก็ยังมีเสวี่ยเสวี่ย

หลังจากเข้ามาข้างใน เสวี่ยเสวี่ยก็ไล่หามุมห้องแล้วเอนตัวลงอย่างรู้สำนึก เป็นท่าทีการรับผิดที่สร้างปัญหาอย่างซื่อตรง

เมื่อมองดูท่าทีหลุบตาเช่นนั้นแล้ว คนไม่รู้ก็คงคิดว่ามันเพิ่งประสบกับการทุบตีอย่างใหญ่หลวงมา!

แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าสิงโตขาวหน้าตาเหงาหงอยตัวนี้ กับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ฉีกกระชากค่ายกลระดับแปดได้ในกรงเล็บเดียวเมื่อครู่ก่อนนั้นเป็นตัวเดียวกัน!

ว่าไปแล้ว ท่าทีรับผิดอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ของเสวี่ยเสวี่ย กลับทำให้ฉู่หลิวเยว่ค่อนข้างพอใจไม่น้อย

…เทียบกับเจ้านายมันแล้ว หากพูดกันตามตรง มันน่ารักกว่าเยอะ

ฉู่หลิวเยว่มองไปยังหรงซิวพลางหรี่ตาลงอย่างน่ากลัว

“หรงซิว เจ้าไม่มีอันใดจะพูดกับข้าหรือ?”

ขนตายาวของหรงซิวไหวเล็กน้อย เขาเอ่ยแกมหัวเราะว่า

“เยว่เอ๋ออยากฟังสิ่งใดเล่า?”

ยังมีหน้ามาถามอีก!

ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองเขาทั่วร่างรอบหนึ่ง

“เช่นนั้น… เริ่มจากเรื่องวิถีพลังของเจ้าก็แล้วกัน! ตอนนี้เจ้าคงจะเป็นปรมาจารย์ขั้นเก้าแล้วสินะ?”

ริมฝีปากของหรงซิวขยับเล็กน้อย เดิมทีคิดจะตอบว่าไม่ ทว่าคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากกลับถูกกลืนลงคอไป

เขาผงกศีรษะ

ได้ยินเขายอมรับด้วยตนเองเช่นนี้ แม้จะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่หว่างคิ้วของฉู่หลิวเยว่ก็ยังกระตุกไม่หยุด!

กระทั่งตัวนางในตอนนี้ยังไม่สามารถก้าวผ่านเกณฑ์ของปรมาจารย์ขั้นเก้าได้ คิดไม่ถึงว่าหรงซิวจะแซงหน้าไปก่อนเช่นนี้!

“เหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่ยอมบอกข้า?”

ในน้ำเสียงของฉู่หลิวเยว่แฝงไปด้วยเจตนาบริภาษสายหนึ่ง

หรงซิวกะพริบตาปริบๆ แฝงด้วยความซื่ออยู่บ้าง

“เจ้าไม่ได้ถามข้านี่”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

คำพูดนี้จะอย่างใดก็หาทางโต้ตอบไม่ได้จริงๆ!

“เช่นนั้นข้าถามเจ้า นอกจากจะกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นเก้าแล้ว เจ้ายังฝึกการเป็นเซียนหมอด้วยใช่หรือไม่?”

ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยถาม

หรงซิวค่อยๆ เอนพิงเก้าอี้ มือข้างหนึ่งเคาะบนโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะ

ทันใดนั้น เขาก็เลื่อนสายตาขึ้นมา นัยน์ตาประหนึ่งมีประกายแสงระยิบถี่ซ่อนเร้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเอื่อยเฉื่อย

“เจ้าคิดว่าอย่างใดล่ะ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด