ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 361 ห้ามไป [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 361 ห้ามไป [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 361 ห้ามไป [รีไรท์]

หรงจิ้นรีบซ่อนกระดิ่งคู่ทันทีแล้วหันกลับไปมอง

คนที่เดินเข้ามาคือ ซือถูซิงเฉิน

“เจ้ามาได้อย่างไร องค์หญิงใหญ่” หรงจิ้นเอ่ยพลางยิ้มบาง

ซือถูซิงเฉินดูไม่ออกว่าสีหน้าของเขาผิดไปจากปกติ เพราะรอยยิ้มที่ยังคงแต่งแต้มบนใบหน้านั่น

“พอดีน้ำเมาทำพิษ ข้ารู้สึกเวียนหัวนิดๆ จึงออกมาสูดอากาศข้างนอก แต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเดินมาเจอท่าน”

หรงจิ้นพยักหน้าตอบแบบขอไปที ในใจเขายังคงคิดถึงแต่เรื่องของหรงเจิน

ซือถูซิงเฉินเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง พลันเอ่ยถามอย่างลังเล

“ท่าทางแบบนี้ ท่านมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า?”

หรงจิ้นเผยยิ้มจอมปลอม “องค์หญิงใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้มีปัญหาอันใดเลย”

ริมฝีปากบางของซือถูซิงเฉินแย้มยิ้ม พร้อมพวงแก้มแดงเรื่อ ระคนเขินอายหน่อยๆ

“ข้ากับองค์รัชทายาทได้ทำสัญญาสมรสกันเรียบร้อยแล้ว แต่ท่านก็ยังเรียกข้าเช่นนี้อยู่ ฟังแล้วดูแปลกหูยิ่งนัก หากไม่ลำบากเกินไป ท่านสามารถเรียกชื่อข้าได้นะ”

หรงจิ้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นริ้วสีแดงจางๆ บนใบหน้างามแลดูบริสุทธิ์ผุดผ่องนั่น เขาก็อดใจเต้นตึกตักขึ้นมาไม่ได้

“ซิงเฉิน”

ซือถูซิงเฉินทำเพียงส่งเสียง “อืม” เบาๆ อย่างนุ่มนวลราวกับสายลมอันสงบที่พัดผ่านหัวใจของหรงจิ้น

“หากท่านมีเรื่องไม่สบายใจ สามารถระบายกับซิงเฉินได้นะ การเก็บงำความเครียดไว้ในใจคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

คำพูดของซือถูซิงเฉินเปรียบเสมือนเวทย์มนตร์บางอย่าง ที่ทำให้หรงจิ้นคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย

“…ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น” เขาเริ่มหลุดปากออกมา

โชคดีที่การสมรสของเขากับซือถูซิงเฉินถูกยอมรับแล้ว มิเช่นนั้นหากภารกิจนี้ล้มเหลว เดาไม่ออกเลยว่าหากกลับไปแล้ว เขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

ซือถูซิงเฉินมองหรงจิ้นเงียบๆ และวางตัวเป็นผู้ฟังที่ดี

หรงจิ้นดื่มเหล้ามา จึงไม่ค่อยมีสติยั้งคิดมากนัก และเมื่อเห็นซือถูซิงเฉินมองเขาด้วยแววตาเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกวูบวาบและหุนหันพลันแล่น จนเผลอหลุดปากออกไป

“ความจริงแล้วเกิดเรื่องขึ้นกับน้องสาวข้า”

ซือถูซิงเฉินกะพริบตาปริบๆ “องค์หญิงสี่หรือ?”

หรงจิ้นพยักหน้า เขายังวางท่าทางให้ดูสง่างาม

“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นองค์หญิงสี่กับฉู่หลิวเยว่อยู่ด้วยกัน พวกนางเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน เหตุใดตอนนี้จึงเกิดเรื่องบาดหมางขึ้นได้” ซือถูซิงเฉินถามด้วยความสงสัย

หรงจิ้นตกใจสุดขีด

“เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้าเห็นนางอยู่กับฉู่หลิวเยว่อย่างนั้นหรือ”

ซือถูซิงเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว! ประมาณสองวันก่อนที่ข้าจะกลับมาที่นี่”

หรงจิ้นทวนความจำเรื่องวันเวลาทันที พลันต้องตกใจเมื่อมันตรงกับวันที่หรงเจินหายตัวไปจริงๆ!

เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วคว้าไหล่ของซือถูซิงเฉินไว้ และถามอย่างร้อนใจ

“เจ้าเห็นพวกนางที่ใด รู้หรือไม่ว่าตอนนั้นพวกนางกำลังทำอันใดกันอยู่”

ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของซือถูซิงเฉิน พลันหลับตาลงซ่อนความรังเกียจในดวงตาของตัวเอง

“องค์ชาย ท่านทำข้าเจ็บ”

หรงจิ้นรีบปล่อยมือทันควัน “ขออภัย ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย แต่ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นั่นจริงหรือ”

ซือถูซิงเฉินมองเขาด้วยความประหลาดใจ ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้

“ใช่แล้ว วันนั้นข้าวางแผนจะกลับไปเอาของที่ห้องพัก แต่ดันบังเอิญไปเห็นฉู่หลิวเยว่และองค์หญิงสี่เดินออกไปด้วยกัน มีชายแก่คนหนึ่งเดินตามหลังพวกนางไป แต่ข้าอยู่ไกลมาก จึงมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร ส่วนเรื่องที่พวกนางจะไปไหนนั้น…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มีเหตุใดกัน นี่มันสำคัญมากเลยหรือ?”

ร่างกายของหรงจิ้นสั่นเทิ้ม เขาเงียบไปครู่ใหญ่

ชายแก่ที่ตามพวกนางไป จะต้องเป็นซือเมิ้งแน่ๆ

พูดมาขนาดนี้ แสดงว่าการหายตัวไปของหรงเจินนั้นเกี่ยวข้องกับฉู่หลิวเยว่จริงๆ

เมื่อก่อนท่านแม่ก็เคยพูดบางอย่าง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่รู้ว่าท่านแม่ไม่ชอบฉู่หลิวเยว่ และไม่อยากเกี่ยวข้องกับนาง

พอมาลองคิดดูตอนนี้ หรือบางทีอาจจะถูกของท่านแม่

เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างหรงเจินกับฉู่หลิวเยว่

การที่ซือเมิ้งอยู่ที่นั่น ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหรงเจินเป็นคนขอให้เขาพานางออกจากวัง และเป็นไปได้ว่านางจะขอไปเจอฉู่หลิวเยว่ก่อน

หากว่าตามนิสัยของนาง เรื่องทั้งหมดจะต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ

แต่เขาแค่คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะกลับมาแบบไร้รอยขีดข่วน และกลายเป็นหรงเจินที่หายตัวไปอย่างลึกลับแทน!

ราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่ในหัวใจของเขา!

“…องค์ชาย องค์ชาย”

ซือถูซิงเฉินเอ่ยเรียกเขาสองครั้ง ความกังวลปรากฏบนใบหน้าสวยหวาน

พลันนัยน์ตาของหรงจิ้นก็ทอแสงวาววาบ

“ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่อยู่ที่สำนักไท่เหยี่ยนใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ เหตุใดจู่ๆ องค์ชายถึงต้องการพบนางหรือ?”

หรงจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า

“ซิงเฉิน ข้าจะขอไหว้วานเจ้าได้หรือไม่”

ซือถูซิงเฉินยิ้มหวาน พลางเอ่ยตอบอย่างนุ่มนวล

“หากต้องการให้ข้าช่วยเรื่องใด องค์ชายบอกข้าได้เลย”

ผู้อาวุโสมั่วชังรีบถ่อมายังหอสมุดอย่างไว

เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นฉู่หลิวเยว่ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น ก็พลอยใจเต้นอย่างลิงโล้ด เช่นนี้แสดงว่านางตั้งใจจะกลับไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินข่าว เขายังไม่ปักหลักเชื่อ

อัจฉริยะทุกคนที่ชนะอันดับหนึ่งในงานสมาคมเยาวชน จะใช้โอกาสที่พวกเขาได้รับเป็นเวลาหนึ่งเดือนนี่อย่างคุ้มค่าที่สุด

เพราะโอกาสเช่นนี้หายากมาก

ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับใช้เวลาเพียงสิบวันเท่านั้น

ผู้อาวุโสมั่วชังทั้งประหลาดใจและปลื้มปิติยินดี แต่เมื่อเขาเห็นกองสมุดบันทึก ทันใดนั้นอารมณ์ดีๆ เมื่อครู่ ก็ถูกปกคลุมด้วยม่านสีดำทมิฬทันที

แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะอยู่ที่นี่แค่สิบวัน แต่นางก็เห็นสิ่งในที่คนอื่นไม่เคยเห็นภายในเวลาไม่ถึงเดือน!

ตอนนี้เขาทำได้แค่หวังว่า ฉู่หลิวเยว่คงเปิดอ่านตำราเหล่านั้นแค่ลวกๆ ไม่ได้จริงจังอะไร

“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าตัดสินใจจะไปแล้วใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสมั่วชังไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง

“ไม่ใช่ว่าท่านหวังเช่นนั้นอยู่แล้วหรอกหรือ”

ผู้อาวุโสมั่วชังตวาดอย่างเย็นชา

“เจ้าเองก็อย่าได้ใจเกินไปนัก ระวังอย่าเผลอทำอะไรเกินตัวเข้าล่ะ”

ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจ และหัวเราะเบาๆ

“วางใจเถิดผู้อาวุโสมั่วชัง ข้ารู้ตัวข้าดี”

ผู้อาวุโสมั่วชังกวาดตามองฉู่หลิวเยว่ขึ้นลง ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าวันนี้ฉู่หลิวเยว่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ใครก็ตามที่ได้รับโอกาสเช่นนี้ ได้ยืมหนังสือฟรีจำนวนมาก หรือแม้แต่ได้ปลดผนึกตำราศิลปะการการต่อสู้ระดับตี้หนึ่งเล่ม เป็นใครก็ย่อมมีความสุข

แต่เขาได้รับข่าวยืนยันแล้วว่า หลังจากวันนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่พบตำราศิลปะการต่อสู้ระดับตี้เล่มอื่นอีก

ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจได้แล้ว อย่างนั้น…ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่ประตูสำนัก แล้วเจ้าก็เดินออกไปเอง!”

เนื่องด้วยกฎอันเข้มงวดของสำนักไท่เหยี่ยน ฉู่หลิวเยว่จึงต้องได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโสมั่วชังเสียก่อน จึงจะกลับออกไปได้

นางพยักหน้าตอบรับ

“อย่างนั้นก็ขอรบกวนผู้อาวุโสมั่วชังด้วยเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสมั่วชังเยาะเย้ยในใจ แต่เดิมเขาไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว พลันหมุนตัวก้าวออกไป

“ไปได้แล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจความคิดของเขา ร่างบางยกเท้าขึ้นและเดินตามไป

กระทั่งคนทั้งสองเดินไปถึงประตูใหญ่ของสำนักวิชา

ระหว่างทาง ผู้อาวุโสมั่วชังยังคงทำหน้าเย็นชาและไม่เอ่ยอันใด

ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ได้สนใจจะชวนพูดคุยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นางได้สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดแล้ว และการเยาะเย้ยเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดแก่นาง

ผู้อาวุโสมั่วชังยื่นมืออกมา ก่อนจะกางวงแหวนปราณ

ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างๆ และรออย่างเงียบๆ

ทันใดนั้นก็มีเสียงต่ำและเย็นชาเอ่ยแทรกขึ้นมา

“ข้าไม่อนุญาต!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *