ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 769 ผนึกของของใคร

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 769 ผนึกของของใคร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 769 ผนึกของของใคร

ปัง!

เมื่อได้ยินเสียงดังสนั่น มู่หงอวี่และคนอื่นๆ ที่กำลังรอฉู่หลิวเยว่อยู่ในป่าหมอกมายา ก็พลันหันกลับมองทันที

เย่หรานหร่านเบิกตากว้าง

“เหมือนนั่นจะเป็นสัญญาณจากองค์ชายใหญ่เจียงนะ…”

มู่หงอวี่ที่แอบหมั่นไส้พวกของเจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วมุ่น

“ยามนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาหนีไปตั้งนานแล้วหรือ?”

เย่หรานหร่านจึงอธิบาย

“แต่เหมือนพวกเขากำลังเรียกรวมพลเลยนะ…บางทีอาจจะเป็นสัญญาณบอกให้เรากลับไปก็ได้?”

หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน

เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกนั้นเผ่นกันไปตั้งนานแล้ว ไฉนยังหวังดีรอพวกเขาอยู่อีก?

“ทางนั้นคือสามแยกที่เป็นศูนย์กลางของแดนภังคะ”

ฉินอีหันไปมอง พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“พวกเขาคงวางแผนกันว่าจะรอพวกเจ้าก่อนสักพักค่อยเดินทัพกลับไป แต่ก็คงรอไม่นาน”

หากพวกเขาต้องการให้มู่หงอวี่และคนอื่นๆ กลับไปด้วยกันตั้งแต่แรก เช่นนั้นต้องส่งสัญญาณมาตั้งนานแล้ว เหตุใดจะรอให้ถึงยามนี้แล้วค่อยแจ้ง?

คงคิดว่าในเมื่อวางเท้าบนค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว ต่อให้ส่งสัญญาณเรียกคนเร็วหน่อยหรือช้าหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจสินะ

มู่หงอวี่ส่ายหน้า ยืนหยัดอยู่ที่เดิม

“ข้าจะรอฉู่หลิวเยว่อยู่ที่นี่”

“ข้าก็ด้วย” เย่หรานหร่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น

เชียงหว่านโจวที่ยืนอยู่ด้านข้างมิได้เอ่ยตอบ

แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจหันไปมองสัญญาณนั่นเลยด้วยซ้ำ

เพราะตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ความสนใจของพวกเขาล้วนจดจ่ออยู่ที่ต้นแม่ต้นนั้นทั้งสิ้น

พี่เหลยสี่มองดูดอกไม้ไฟที่ค่อยๆ สลายไปและเย้ยหยัน

“ปลอมเปลือกยิ่งนัก!”

เขามองออกตั้งนานแล้วว่าเจียงอวี่เฉิงเป็นคนเช่นไร

เดิมทีบุรุษผู้นั้นไม่ได้สนใจชีวิตน้อยๆ เหล่านี้สักนิด

แต่ไม่รู้เพราะเหตุอันใด ถึงเปลี่ยนใจทำเช่นนี้

ทว่าในสายตาของพี่เหลยสี่แล้ว อย่างใดมันก็ดูไม่น่าไว้ใจอยู่ดี

หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ต้องการทำสัญญากับกษายะหางวายุ พวกเขาคงเด็ดหัวเจียงอวี่เฉิงไปแล้ว

ไหนจะซั่งกวนหว่านนั่นอีก…

อย่างใดก็ตาม ตอนนี้ไก่ฟ้าเก้าสีนั้นได้ทะลวงผ่านและกลายเป็นกษายะหางวายุเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องคุ้มกันที่นี่อีกต่อไป เมื่อองค์หญิงใหญ่ออกมาได้ พวกเขาก็สามารถออกจากที่นี่พร้อมทุกๆ คนได้

เพื่อการนั้นแล้ว พวกเขาต้องอดทน!

สัญญาณนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเลย

ครั้นไถ่ถามกันสองสามประโยคแล้ว พวกเขาก็ปัดเรื่องนี้ออกไปจากสมอง แล้วหันไปเพ่งความสนใจกับเรื่องของฉู่หลิวเยว่ต่อ

มู่หงอวี่และเย่หรานหร่านที่อยู่ด้านข้าง เริ่มทำการฝึกปราณต่อตามคำขอของฉินอี

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าฉู่หลิวเยว่จะโผล่ออกมาเมื่อไร ดั้งนั้นการรวบรวมและฝึกพลังปราณไว้ จึงเป็นการดีที่สุด

รวมทั้งเชียงหว่านโจว…

ที่หลังจากกลืนเม็ดยาลงไป ก็เข้าสู่สภาวะตั้งรับมากขึ้น

ในตอนแรกฉินอีไม่ได้สนใจนัก เขาคิดว่ายาอายุวัฒนะ มีไว้สำหรับรักษาบาดแผลของอีกฝ่ายเท่านั้น

แต่ไม่นานเขาก็รับรู้ได้ว่า ลมปราณของเชียงหว่านโจวแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งประเด็นก็คือ เขาไม่ได้พัฒนาความแข็งแกร่งด้วยการดูดซับพลังปราณของสวรรค์และโลก แต่กลายเป็นว่า…พลังเหล่านั้นแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาแทน!

ดังนั้น แม้เขาจะไม่ได้ฝึกฝนอย่างมู่หงอวี่หรือเย่หรานหร่าน ทว่าฐานพลังปราณของเขากลับค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ!

ร่างกายของเชียงหว่านโจวค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ

แม้แต่พื้นใต้เท้าของเขาก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

อากาศที่เย็นยะเยือกไหลออกมาจากร่างกายของเขา แต่เหนือปลายกระบี่เทพเมฆาสำริดนั้น มีเปลวไฟสีฟ้าเหมือนนกยูงลุกโชนอยู่เสมอ

พลังของฉู่หลิวเยว่ส่วนหนึ่งถูกบรรจุอยู่ในกระบี่เทพเมฆาสำริดเล่มนี้ ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถสัมผัสถึงลมปราณของนางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ด้วยประการฉะนั้น เชียงหว่านโจวที่อยู่ภายใต้พลังปราณร้อนเย็นสองชนิดที่รุนแรงสุดขั้ว ก็ใช้เวลานี้รอฉู่หลิวเยว่ และ พัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองไปพร้อมกัน

“เจ้าหนุ่มนั่นทำอันใดของเขา?”

ในที่สุด พี่เหลยสี่ก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ และอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา

เขาไม่เคยเห็นใครฝึกปราณแบบนี้มาก่อน

ฉินอีหรี่ตาลง

“กายของเขาน่าจะมีลมปราณเหมันต์อยู่ภายใน และลมปราณเหมันต์นี้มีพลังมากมาย ตราบใดที่ความเยือกเย็นของมันยังคงอยู่ ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ”

พี่เหลยสี่แอบคิดว่าดวงตาของพี่ใหญ่ของเขานั้นช่างเอาเรื่อง และอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้เขา

“พี่ใหญ่ เจ้าเองก็มิใช่เซียนหมอ เหตุใดจึงรู้เรื่องพรรค์นี้?”

ฉินอียิ้มเยาะเบาๆ

“แค่เดาเอาน่ะ”

เมื่อเชียงหว่านโจวได้ยิน ก็หันหัวไปมองคนทั้งสองทันควัน

สายตาของเขาจรดอยู่บนใบหน้าของฉินอีพักหนึ่ง เรียวคิ้วและดวงตาที่ถูกเส้นผมสั้นๆ สีบลอนด์ปกคลุม ขมวดมุ่นเล็กน้อย พร้อมกับสัญญาณเตือนที่ถูกกระตุ้นโดยไม่รู้ตัว

นอกจากตัวเขาแล้ว คนเดียวที่รู้ว่าเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขาคือ ฉู่หลิวเยว่

แต่ฉินอีผู้นี้…กลับรู้ได้เช่นไร?

ถึงเจ้าตัวจะพูดว่าเดา แต่เชียงหว่านโจวไม่เชื่อ

เดาบ้าอันใดจะแม่นขนาดนี้!

ราวกับมองเห็นความสงสัยของหนุ่มน้อย ฉินอีเลิกคิ้วขึ้น

“เจ้าไม่ต้องมองข้าแบบนั้นก็ได้ ข้าแค่เคยเห็นเรื่องราวเช่นนี้ในตำราเล่มหนึ่ง และพอเห็นท่าทีของเจ้า ข้าเลยนึกขึ้นมาได้ก็เท่านั้น”

ใบหน้าของเชียงหว่านโจวฉายแววประหลาดใจ

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็อ้าปากและถามอย่างลังเลว่า

“เจ้าบอกว่า…เจ้าเคยเห็นพลังปราณแบบข้าจากตำราหรือ?”

ฉินอีพยักหน้า

“ตามตำราว่าไว้ สุดท้ายคนผู้นั้นก็สามารถกำหนดลมปราณเหมันต์ในร่างกายของเขาได้ และทะลวงผ่านจนกลายเป็นขุมพลังชั้นยอด เพียงแต่ขั้นตอนระหว่างทะลวงนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก เสียจนคนธรรมดาไม่สามารถยืนหยัดได้”

ทว่าความจริงอีกอย่างที่เขาไม่ได้พูดออกไปก็คือ มันไม่ได้มีแค่ตัวอย่างเช่นนี้ในตำรา

อันที่จริงแล้วยังมีผู้คนหลายแสนคนที่ประสบกับสถานการณ์เช่นนี้!

แต่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ก็มีเพียงคนเดียวที่สามารถประสบความสำเร็จได้!

ส่วนคนที่พลาดก็จำต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

หรือก็คือ นอกจากเชียงหว่านโจวแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่เป็นแบบเขา

แต่คงมีแค่เชียงหว่านโจวคนเดียวที่ทะลวงผ่านแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อ

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้อันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

เชียงหว่านโจวขมวดคิ้ว

“…มันคือตำราประเภทใดกัน? ข้าขอดูได้หรือไม่?”

ตั้งแต่จำความได้ ร่างกายของเขาก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว

ตัวเขานั้นไร้ซึ่งบุพการี แถมเพื่อนสนิทก็ยังไม่มี เขาเติบโตขึ้นมาในชายแดนทางใต้ที่แห้งแล้งและป่าเถื่อน ไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด

หากต่อมาเขาไม่ได้เจอกับคนผู้นั้น…เขาคงตายในทะเลสาบหมื่นรังกาไปแล้ว

“ตำราเล่มนั้นมิใช่ของข้า อีกทั้ง มันคงหายสาบสูญไปแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของฉินอีก็ฉายแววเหงาหงอยเล็กน้อย

พอเห็นแบบนั้น เชียงหว่านโจวจึงไม่ได้ถามต่อ

ต่างจากฉินอีที่หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็โพล่งถามขึ้นมา

“ยาเม็ดที่เจ้ากินไปเมื่อครู่ น่าจะช่วยคลายลมปราณเหมันต์ให้เจ้าได้ใช่หรือไม่?”

เชียงหว่านโจวพยักหน้า

“แล้วเจ้าไปเอายานั่นมาจากที่ใด?”

เชียงหว่านโจวตอบอย่างไม่เต็มใจนัก

“หลิวเยว่กลั่นมันขึ้นมา”

และก็เป็นอย่างที่คิด

องค์หญิงใหญ่เองก็เคยอ่านตำราเล่มนั้น ไม่แปลกที่นางจะกลั่นมันได้

ฉินอียิ้มบาง

“เจ้าโชคดีมากจริงๆ”

เพราะเขาคือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว

เชียงหว่านโจวพยักหน้าตอบอย่างขะมักเขม้น

เขานั้นโชคดีจริงๆ แหละ

โชคดีที่ได้มาเจอดีๆ เช่นนี้

ทันใดนั้น ลวดลายจางๆ ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา

ฉินอีผงะทันที!

“ร่างของเจ้ามีผนึกหรือ?”

เชียงหว่านโจวเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างลังเล

แม้แต่ฉู่หลิวเยว่ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ

เพราะผนึกนั่นเองก็ถูกลมปราณเหมันต์ปกคลุมไว้อย่างมิดชิด

ตอนนี้ลมปราณเหมันต์ในร่างกายของเขาค่อยๆ ละลายกระจายออกไป รวมทั้งผนึกที่ค่อยๆ เปิดเผย

อย่างใดก็ตาม เนื่องจากผนึกไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เขาจึงไม่สนใจ

ฉินอีตกใจและรีบถาม

“ใครเป็นคนฝังผนึกนี่ไว้ให้เจ้า!?”

นั่นมัน…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด