ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 757 ค้นหา

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 757 ค้นหา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 757 ค้นหา

ทันทีที่ประโยคนั้นดังขึ้น ทุกคนล้วนหันไปมองหน้านางอย่างเร็ว

แม้แต่เจียงอวี่เฉิงเองยังขมวดคิ้วมุ่น และมองนางอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย

“หว่านเอ๋อร์ ตอนนี้ทุกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องอพยพโดยเร็วที่สุด ข้าเกรงว่าหากไปทะเลสาบกระจกยามนี้ คงไม่เหมาะเท่าไร?”

ซั่งกวนหว่านเม้มปากพร้อมขมวดคิ้วแน่น

“แต่ถ้าไม่ไปก็จะไม่ได้วัตถุสำหรับปรุงโอสถให้ท่านพ่อนะ”

หากนางกลับไปยังซีหลิงมือเปล่าด้วยสภาพซมซานเช่นนี้ ได้ถูกคนทั้งโลกวิจารณ์เย้ยหยันเป็นแน่

ยิ่งไปกว่า ชีพจรดั้งเดิมในร่างกายของนาง ก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่เลย!

เมื่อกลับไปซีหลิงแล้ว นางคงจัดการทุกอย่างไม่ได้ง่ายๆ เสมือนยามอยู่ที่นี่

แค่ครั้งนี้เท่านั้น มันคือโอกาสสุดท้ายของนางแล้ว ถ้าจะให้ยอมแพ้แล้วถอยกลับ แน่นอนว่านางไม่มีวันทำเช่นนั้น!

“นอกจากนี้ แม้จะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นที่ป่าหมอกมายา แต่มันอาจไม่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบกระจกก็ได้ แดนภังคะนั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต ถ้าพวกเรามาที่ป่าหมอกมายาเพียงครั้งเดียว แล้วจากไปมือเปล่า…เช่นนั้นแล้ว การเดินทางครั้งนี้จะมีความหมายอันใด?”

เจียงอวี่เฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง

ถึงเจียงอวี่เฉิงจะรู้ว่าตอนนี้ซั่งกวนหว่านกำลังพูดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ที่นางพูดมานั่นก็สมเหตุสมผล

ทุกคนในซีหลิงรู้เกี่ยวกับการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่

หากกลับไปทั้งๆ แบบนี้ คงดูไม่ดีเสียเท่าไร

หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลง

“ตกลง เช่นนั้นเราจะไปทะเลสาบกระจกกัน แต่ถ้าพบอันตรายเช่นนี้อีก จักต้องรีบอพยพคนออกมาทันทีโดยไม่ลังเล!”

ซั่งกวนหว่านตอบตกลง

ในเมื่อสองคนที่มีสถานะสูงสุดได้ลงมติเช่นนี้ คนที่เหลือจึงต้องเชื่อฟัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการก็ตาม

ทหารม้าทมิฬจำนวนมากมองหน้ากัน พวกเขาทั้งหมดเห็นความไม่เต็มใจในใจในดวงตาของกันและกัน

พวกเขาเป็นทหารของราชวงศ์เทียนลิ่งก็จริง แต่พวกเขาแตกต่างจากทหารที่ประจำการอยู่ในซีหลิง

นายทหารเกือบทั้งหมดที่มายังแดนภังคะในครั้งนี้ ล้วนเคยต่อสู้ในสถานที่แห่งนี่มาก่อน และผ่านความเป็นความตายมามาก

พวกเขารู้มานานแล้วว่าสถานที่นี้อันตรายเพียงใด ซึ่งก่อนที่จะมาพวกเขาต่างก็เตรียมตัวอย่างดี และไม่มีใครกลัวความตาย

ทว่าตอนนี้…สภาพจิตใจของพวกเขานั้น ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ซั่งกวนหว่านไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แถมยังสร้างความเสียหายให้กับชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงขององค์หญิงใหญ่อีก!

สำหรับพวกเขาแล้ว มันคือสิ่งที่ผ่านไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นเมื่อเทียบกับตอนแรกที่เข้ามา ยามนี้บรรยากาศภายในกองทัพทหารม้าทมิฬ ได้ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ซั่งกวนหว่านไม่มีทางโน้มน้าวพวกเขาได้อีกแล้ว!

ขณะนี้ การพังทลายของพื้นดินบริเวณด้านนอกของป่าหมอกมายาได้หยุดลงแล้ว แม้ว่าหน้าดินจะขรุขระ แต่ทุกคนก็ยังออกไปได้อย่างราบรื่น

แต่กระนั้น ที่ด้านหลังกลุ่มทหาร

มู่หงอวี่และคนอื่นๆ กลับไม่ขยับ พวกเขายืนอยู่ข้างฉินอีด้วยท่าทางกังวล

“พี่ใหญ่ฉิน ตอนนี้ท่านจับสัมผัสได้หรือไม่ว่าฉู่หลิวเยว่อยู่ที่ใด?”

ฉินอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางส่ายหัวเบาๆ

“ด้านล่างมีพลังบางอย่างที่ปิดกั้นทุกสิ่ง ทำให้ไม่สามารถตรวจจับได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ พลังนั้นมาจากข้างใต้ต้นไม้ต้นแม่ ดังนั้น…ต้นไม้ทั่วทั้งป่าหมอกมายาจะกลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ และไม่สามารถตัดความสัมพันธ์กับต้นแม่ได้แน่นอน”

เย่หรานหร่านกุมมือทั้งสองข้างและถามอย่างกังวล

“ชะ เช่นนั้นหลิวเยว่ก็น่าจะอยู่ใต้ต้นแม่ต้นนั้นใช่หรือไม่? สมมุติถ้าเราลงไปข้างล่าง เราจะหานางเจอหรือไม่?”

ฉินอีถอนหายใจเบาๆ

ถ้าเรื่องมันง่ายแบบนั้นก็ดีน่ะสิ

ความจริงเขารู้อยู่แล้วว่าฉู่หลิวเยว่อยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น

เนื่องจากพลังอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมานั้น น่าจะปะทุขึ้นหลังจากที่อักขระของผลึกแตกออก

แถมเชียงหว่านโจวเองก็มั่นใจว่านางยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นนางจักต้องอยู่ใต้ต้นไม้นั่นแน่นอน

ทว่าตัวเขาและพี่เหลยสี่ที่เฝ้าดูอยู่ที่นี่มานานเกือบสองปี ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วข้างล่างนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่

แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ดูท่าพวกเขาคงไม่สามารถบุกเข้าไปได้ และยิ่งไม่ต้องถามถึงความสงสัยที่ไร้คำตอบนั่น

“หลิวเยว่…ยังมีชีวิตอยู่หรือ?”

จู่ๆ ก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจและประหลาดใจดังขึ้น

จนพวกเขาต้องหันไปมอง

“ศิษย์พี่จู้หง?”

มู่หงอวี่กวาดตามองไปทั่วร่างของจู้หงอย่างรวดเร็ว

บนร่างกายของเขามีบาดแผลเล็กน้อย ถือว่ายังไม่ได้สาหัสจนน่าเป็นห่วง และยังมีคนสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ซึ่งทั้งหมดเป็นสาวกของสำนักภูเขาเขี้ยวมังกร

“พวกเจ้าไม่ได้ไปกับพวกเขาหรอกหรือ?”

มู่หงอวี่ถามด้วยความสงสัย

จู้หงส่ายหน้า

“เจตจำนงของพวกเราคือช่วยเหลือหลิวเยว่ จะให้เราทิ้งนายแล้วจากไปได้อย่างใด?”

เมื่อครู่ก่อนเขาเองก็คิดว่าฉู่หลิวเยว่ตายไปแล้ว จึงรู้สึกสลดใจอยู่เป็นเวลานาน

แต่พอเห็นว่าพวกของมู่หงอวี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จึงเกิดสงสัยแล้วเดินเข้ามาทักถาม

ก่อนจะบังเอิญไปได้ยินว่าพวกเขากำลังหารือกันว่าจะลงไปหาตัวฉู่หลิวเยว่อย่างใด

นอกจากนี้ ฉินอีกับพี่เหลยสี่นั้นแข็งแกร่งมาก การที่พวกเขามั่นใจว่าฉู่หลิวเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแน่นอน

ก่อนหน้านี้เขาจำต้องทำใจยอมรับว่าหลิวเยว่ตายแล้ว แต่พอได้ยินว่านางยังอยู่รอดปลอดภัย เขาก็อยากจะลงไปช่วยตามหานางอีกแรง

เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว จู้หงก็มองไปยังฉินอี และทำความเคารพอย่างเคร่งขรึม

เขาสามารถบอกได้ว่าในบรรดาคนเหล่านี้ ฉินอีคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดราวกระดูกสันหลังที่พยุงคนกลุ่มนี้ไว้

และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ฉินอียินดีช่วยตามหาฉู่หลิวเยว่!

“คุณชายฉิน พวกข้ารู้ดีว่าพวกข้าทั้งอ่อนแอและบาดเจ็บ จึงอาจไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้มากนัก แต่หลิวเยว่นั้นมีบุญคุณต่อพวกข้าอย่างมาก พวกข้าอยากตอบแทนนาง! ฉะนั้น หากท่านต้องการความช่วยเหลือใดๆ สามารถเรียกใช้พวกข้าได้ทุกกรณี!”

แม้จะช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็เต็มใจจะทำ!

ฉินอีชำเลืองมองอีกฝ่าย แววตาของเขาอ่อนลงเล็กน้อย พลันส่ายหัว

“ข้ารู้ถึงเจตจำนงอันแรงกล้าของพวกเจ้า แต่ที่นี่อันตรายมาก พวกเจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่”

ทันใดนั้น ใบหน้าของพวกจู้หงก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“พลังที่ซ่อนอยู่ที่นี่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อมันปะทุ แม้แต่ข้าหรือพี่สี่ก็มิอาจปกป้องพวกเจ้าได้ และหากมีการสูญเสียเกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับว่าเจตจำนงที่พวกเจ้าอยากลงไปช่วยนางนั้น สูญเปล่าเลยมิใช่หรือ?”

น้ำเสียงของฉินอีฟังดูสงบนิ่งมาก แต่ทุกคำที่เขาพูดออกมานั้น เปรียบเสมือนก้อนหินที่หล่นทับหัวใจของทุกคน

จู้หงยิ้มเยาะเบาๆ

เขาทราบดี คำพูดของฉินอีนั้นฟังดูสละสลวยทว่าเฉียบคมนัก

กลุ่มของพวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า

ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ช่วยแล้ว เกรงว่าจะกลายเป็นตัวถ่วงอีกด้วย!

เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกเบาๆ

“คุณชายฉินพูดถูก เช่นนั้น…ข้าขอฝากเรื่องตามหาหลิวเยว่ไว้กับพวกท่านด้วย!”

ฉินอีพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย

ศิษย์ของภูเขาเขี้ยวมังกรกลุ่มนี้นิสัยดีและค่อนข้างรู้ความเลยทีเดียว

แสดงว่าฝีมือการอบรมสั่งสอนของเจี่ยนชูเย่นั้นไม่เลวเลย

ตรงข้ามกับซ่งชิงเหนียน ที่พอได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมาก ก็รีบหันหลังวิ่งตามขบวนของซั่งกวนหว่านไปอย่างเร็ว

จู้หงหันมองมู่หงอวี่

ตอนแรกเขาจะชวนมู่หงอวี่ให้หลบไปด้วยกัน แต่ครั้นคิดว่านางเป็นเพื่อนสนิทของฉู่หลิวเยว่ แน่นอนว่านางย่อมไม่ทิ้งเพื่อนไป เขาจึงไม่ได้เอ่ยคำนั้นออกไป

“หงอวี่ พวกเจ้าเองก็ระวังตัวด้วย”

มู่หงอวี่ไม่ได้รับบาดเจ็บ แถมยังมีร่างซวีหยวนอีก นางจักเป็นกำลังให้พวกของฉินอีได้

มู่หงอวี่พยักหน้าตอบ

“พวกศิษย์พี่ชายหญิงเองก็ระวังตัวด้วยเช่นกัน”

ไม่นานจู้หงและคนอื่นๆ ก็เดินตามขบวนทหารไป

โดยเหลือเพียงพวกของฉินอีที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

พร้อมกับต้นแม่ที่กำลังเฉาตายอย่างรวดเร็ว!

หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง ซั่งกวนหว่านก็มองย้อนกลับไป และเห็นคนสองสามคนยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน

นางหรี่ตาลง

เดิมเฉินอีกับพี่เหลยสี่ก็ไม่ใช่คนของนางอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติการที่พวกเขาจะไม่ตามนาง

แต่สามคนนั้นเล่า…เหตุใดถึงยังยืนอยู่ตรงนั้น?

เจียงอวี่เฉิงมองตามสายตาของนาง พลันขมวดคิ้ว

“คนพวกนั้นยืนรออันใดกัน?”

ซั่งกวนหว่านยิ้มเยาะในใจ

ยืนรอให้ฉู่หลิวเยว่ฟื้นจากความตายหรือไร?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด