ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 696 กลับไปไม่ได้

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 696 กลับไปไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 696 กลับไปไม่ได้

เฮือก!

แต่ทันใดนั้น ก็มีลมปราณที่เย็นเยียบและรุนแรงพุ่งมาจากทางด้านข้าง!

แววตาของฉู่หลิวเยว่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา!

เชียงหว่านโจวชักกระบี่ขึ้นมา!

ฟิ้ว!

ฉู่หลิวเยว่สามารถได้ยินเสียงลูกธนูที่พุ่งฉิวเข้ามาในระยะสายตาได้อย่างชัดเจน!

ผมหน้าม้าของเชียงหว่านโจวปลิวไปตามลมปราณที่พัดเข้ามา

ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหว่างคิ้ว

พร้อมกระบี่เทพเมฆาสำริดที่ถูกยกขึ้นมาขวางกั้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้!

หากลูกธนูนั่นเข้ามาใกล้กว่านี้ คงได้ถูกเขาสับเป็นชิ้นๆ แน่!

ทว่าตอนนี้ลูกธนูนั่นหยุดอยู่ห่างจากพวกเขาสองคนไปเพียงสามก้าวเท่านั้น!

ฉู่หลิวเยว่สามารถมองเห็นคลื่นพลังปราณที่กระเพื่อมอยู่ในอากาศได้!

มันเหมือนกับการโยนก้อนหินลงไปในทะเลสาบ จนทำให้เกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน!

นี่คือลูกธนูก้านยาวสีดำที่ทำจากเหล็กกล้าชั้นดี

ทั้งลายเส้นที่เนียนกริบและคมชัด

มันแตกต่างจากลูกธนูไม้เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังไอสังหารที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจนด้วย!

ฉู่หลิวเยว่หันมองทิศทางที่ลูกธนูพุ่งออกมา พลันหรี่ตาลง

“ถึงคราวจบเรื่องนี้กันเสียที เจ้าเองก็ออกมาได้แล้ว! เล่นซ่อนแอบต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”

สิ้นเสียงตวาด ก็เกิดความเงียบขึ้นทั่วทั้งผืนป่า

เชียงหว่านโจวยังกำกระบี่ของเขาแน่น และระมัดระวังอย่างมาก

มู่หงอวี่กับเย่หรานหร่านเองก็ทำใจสู้ แล้วหันไปมองยังทิศทางนั้น

ผ่านไปสักพัก ก็มีชายร่างกำยำคนหนึ่งก้าวออกมา

เขามีดวงตาที่กลมโต พร้อมกับคิ้วหนาได้รูป อีกฝ่ายสวมชุดที่ทำจากผ้ากระสอบเนื้อหยาบ และมีผิวสีแทนสวย รวมทั้งมัดกล้ามเป็นล่อน เขาตัวสูงและดูแข็งแรงมาก

ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งระคนตกใจ

ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายและดูแข็งแรงกำยำขนาดนี้ แต่เมื่อครู่นางกลับมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา และไม่ได้ยินแม้แต่เสียงก้าวเดินเลยสักนิด!

ถ้านางไม่รู้สึกถึงลมปราณของเขาเสียก่อน คงไม่รู้ว่ามีคนแบบนี้ติดตามพวกนางมาตลอด!

เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งมาก!

แต่ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่เพิ่งทะลวงได้ถึงระดับห้า ดังนั้นนางจึงไม่สามารถมองทะลุขั้นพลังปราณของเขาได้

ทว่าหากวัดจากลมปราณรอบตัวของเขา…อย่างน้อยก็น่าจะเป็นระดับเจ็ดขั้นกลาง!

แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นสูงสุดเช่นกัน!

เขาถือคันธนูไว้ในมือและสะพายกระบอกลูกธนูไว้ที่หลัง

แสดงว่าเมื่อครู่ลูกธนูนั้น เป็นฝีมือของเขา

แต่ที่แปลกก็คือค้อนสีดำที่เหน็บไว้บริเวณเอวของเขามากกว่า

ตัวค้อนมีสีทึมๆ ส่วนด้านล่างนั้นเหมือนจะถูกสลักด้วยลวดลายสีเงินสดใส

เพียงแต่จากมุมของฉู่หลิวเยว่แล้ว นางมองไม่เห็นว่ามันคือลวดลายอันใด

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของผู้ที่เผยตัวออกมา ทั้งมู่หงอวี่และเย่หรานหร่านต่างก็รู้สึกประหม่ามากขึ้น

คนผู้นี้…ต่อให้พวกเขาผนึกกำลังช่วยกันสู้ก็จริง แต่เกรงอีกฝ่ายคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะรับมือได้!

ซึ่งเรื่องนี้ ฉู่หลิวเยว่เองก็มองออก

ดังนั้น นางจึงตบบ่าเชียงหว่านโจวเบาๆ

“เสี่ยวโจว ถอยไปก่อน”

แต่เชียงหว่านโจวไม่ยอมถอย พลันมีไอเย็นเฉียบปรากฏขึ้นเหนือกระบี่เทพเมฆาสำริด!

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้!

และหลังจากผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจเด็ดขาดและทุ่มเทกับการต่อสู้อย่างสุดกำลัง

ฉู่หลิวเยว่แอบรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“เสี่ยวโจว เราจะไม่สู้กับเขา”

และถึงสู้ไป ก็มีแต่พวกเขาที่เสียเปรียบ

แล้วมันคุ้มกันหรือ?

ฉู่หลิวเยว่คิดเท่าทันเหตุการณ์ในปัจจุบันเสมอ

ถ้าสู้ได้ก็สู้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ควรหนี

แต่ประเด็นก็คือ นางไม่มั่นใจว่าจะพาผองเพื่อนหนีได้พ้นจากเงื้อมมือของชายคนนี้หรือไม่

ฉะนั้นแล้ว…การนั่งคุยเจรจากัน ก็ฟังดูไม่เลวเลย!

ในที่สุด เชียงหว่านโจวก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว แต่ก็ยังระวังตัวอยู่ ก่อนจะมองไปยังชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความระแวดระวัง

แต่ชายคนนั้นกลับดูมิได้ใส่ใจใยดี อีกทั้งยังหัวเราะดังลั่น

“เจ้านี่ช่างมีไหวพริบ!”

เขามองออกตั้งนานแล้วว่าเด็กสาวชุดแดงผู้นี้คือ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม

ฉู่หลิวเยว่เองก็หัวเราะออกมา

“ตัวข้ามีนามว่าฉู่หลิวเยว่ มิทราบว่าท่านมีนามว่าเช่นไร?”

เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กล้าถามอย่างตรงไปตรงมา เขาจึงตอบกลับไปอย่างห้าวหาญ

“พี่เหลยสี่!”

พี่เหลยสี่?

ไม่เห็นเหมือนชื่อจริงเลย แต่ฟังดูเหมือนชื่อเล่นเสียมากกว่า

แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่สามารถไปเค้นความจริงจากอีกฝ่ายมากไปกว่านี้ได้

พี่เหลยสี่ยกมือขึ้น พลันปรากฏชั้นพลังปราณหนาบนมือขนาดใหญ่ของเขา

และเพียงเขากระดิกนิ้ว ลูกธนูที่ค้างเติงอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจว ก็ลอยกลับไปอย่างรวดเร็ว

เขาคว้ามันไว้แล้วพลิกข้อมือโยนมันกลับลงไปในกระบอกเก็บด้านหลัง

“พวกเจ้าดูเด็กนัก อีกทั้งยังดูเหมือนลูกหลานคนรวยด้วย? ทว่าเหตุใดจึงเข้ามาที่นี่กันตามลำพัง?”

พี่เหลยสี่เอ่ยขึ้นเสียงเล็กน้อย พลางกอดอกยืนพิงต้นไม้ผิวขรุขระที่อยู่ด้านข้าง

“ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นของพวกเจ้า!”

เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาอาฆาตมาดร้ายต่อพวกของตน นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้น

เพราะถ้าเขาต้องการฆ่าพวกนางจริงๆ เขาคงลงมือไปตั้งแต่แรกแล้ว

ฉู่หลิวเยว่คิดทบทวน ก่อนเอ่ยว่า

“พูดตามสัจจริง ครั้งนี้พวกข้ามากับขบวนเสด็จขององค์หญิงสาม…”

“องค์หญิงสามไหนกัน?!”

ฉู่หลิวเยว่พูดได้แค่ครึ่งเดียว แต่สีหน้าของพี่เหลยสี่กลับเปลี่ยนไปทันที พร้อมแสงอันรุนแรงที่ฉายชัดในดวงตาของเขา

หมายความว่าพี่เหลยสี่ คงจะรู้จักซั่งกวนหว่านสินะ?

ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่สักพัก พลางเอ่ยปากออกมา

“ไม่ใช่ราชวงศ์เทียนลิ่งมีองค์หญิงสามอยู่องค์เดียวหรอกหรือ?”

ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าของพี่เหลยสี่ก็มืดมนลงทันควัน เขาชักลูกธนูยาวอีกดอกออกมา

พลันง้างลูกธนู จนคันธนูยกโก่งโค้งขึ้น!

ลูกธนูที่เย็นยะเยือกและแหลมคมชี้ตรงไปที่ฉู่หลิวเยว่!

“พวกเจ้าเป็นคนของนาง!”

บนใบหน้าของพี่เหลยสี่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่ชัดเจนและรุนแรง

“ถ้าเช่นนั้น ก็จงตายไปเสีย!”

เสียงของคันธนูที่ถูกดึงยืดออกจนสุด ทำให้หัวใจของทุกคนตึงเครียด!

เมื่อสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย เชียงหว่านโจวก็กระชับกระบี่ในมือแน่น!

ทันใดนั้น เปลวเพลิงรูปนกยูงสีฟ้าก็พวยพุ่งขึ้น!

พี่เหลยสี่ชำเลืองมองเขาด้วยหางตา พลันหรี่ตาลงแล้วพูดอย่างเย็นชา

“พวกเจ้า มีกระบี่เล่มนี้ด้วยหรือ?”

เขาถามพลางเตรียมปล่อยลูกธนู!

ฉู่หลิวเยว่จึงรีบเอ่ยแทรกทันที

“พวกข้ามิใช่คนของซั่งกวนหว่าน!”

ครั้นได้ยินชื่อนั้น ดวงตาของพี่เหลยสี่ก็ยิ่งกระตุกถี่ยิบ

เขาหัวเราะเย้ยหยัน

“เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่ามากับนางอยู่เลย ไฉนตอนนี้กลับบอกไม่ใช่คนของนางแล้วเล่า? ปลิ้นปล้อนสิ้นดี!”

ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้น พร้อมกดข้อมือของเชียงหว่านโจวเพื่อบังคับให้เขาลดกระบี่ลง

พลันก้าวไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง และพูดเน้นทีละคำว่า

“พวกข้ามากับขบวนของนางก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกข้าเป็นคนของนาง และอันที่จริง ครานี้นางเกณฑ์คนถึงพันคนเพื่อเคลื่อนพลมายังสถานที่แห่งนี้”

พี่เหลยสี่ตกใจอย่างยิ่ง

“อันใด? นางพาคนมากมายมาที่นี่เหตุใดกัน!?”

ฉู่หลิวเยว่จึงรีบอธิบายให้เขาฟังคร่าวๆ

“…ดังนั้น พวกเราหลายคนจึงต้องเดินทางมาที่นี่ แต่ไม่นานมานี้ ในขณะที่คนทั้งหมดเข้ามาในป่าด้วยกัน พวกข้าก็ได้แยกตัวออกมา พวกข้าแยกมาทางนี้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”

เมื่อฟังจบ สีหน้าของพี่เหลยสี่ก็ค่อยๆ อ่อนลง

“เจ้าบอกว่าพวกเจ้าเป็นคนของชงซูเก๋อหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า แล้วหันไปมองมู่หงอวี่

“ส่วนนางมาจากภูเขาเขี้ยวมังกร แต่ว่าเราเป็นเพื่อนกัน”

“ภูเขาเขี้ยวมังกร…เหอะ!”

พี่เหลยสี่สบทอย่างเย็นชา แต่เจตนาฆ่าฟันในดวงตาของเขาหายไปแล้ว

ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

และเหมือนว่านางจะเดาถูก พี่เหลยสี่ผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อคนของชงซูเก๋อและภูเขาเขี้ยวมังกร

“เห็นแก่เจ้าสำนักชงซูเก๋อ ครานี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป! รีบไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”

พี่เหลยสี่โบกมือไล่พัลวัน

ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองค่ายกลหลากสีด้านข้าง ทว่าไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

มาถึงที่นี่ทั้งที จะให้นางกลับไปมือเปล่าได้อย่างใด?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด