ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 525 สายเลือดของราชวงศ์เทียนลิ่ง [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 525 สายเลือดของราชวงศ์เทียนลิ่ง [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 525 สายเลือดของราชวงศ์เทียนลิ่ง [รีไรท์]

หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็หดเล็กลงตามไปด้วย

ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนอายุสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างเอวสอบ สวมชุดคลุมยาวสีขนอีกาเหลือบเขียว เขาเหมือนดาบที่ไร้ฝัก ดูลึกลับและน่ากลัว

ตอนที่ฉู่หลิวเห็นใบหน้าของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็เบิกตากว้างขึ้น!

คิ้วคมราวดาบ จมูกเป็นสัน สันกรามชัดเจน ดวงตาเป็นสีดำขลับราวกับหยกสีดำ ทำให้ดูลึกลับอย่างมาก!

สรุปแล้ว หน้าตาหล่อเหลาคมคาย

แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่หลิวเยว่ตกใจนั้น ไม่ใช่ใบหน้าฟ้าประทานของเขา แต่เป็น…

นี่คือใบหน้าของปฐมกษัตริย์!

ศาลบรรพชนของราชวงศ์เทียนลิ่ง ได้แขวนรูปเหมือนของปฐมกษัตริย์เอาไว้!

ใบหน้าของผู้ชายคนนี้เหมือนกับปฐมกษัตริย์ไม่มีผิดเพี้ยน!

ไม่ บางทีอาจจะพูดว่า…ภาพนั้นวาดได้เหมือนผู้ชายคนนี้อย่างมาก!

ในสมองของฉู่หลิวเยว่ตอนนี้ขาวโพลน หัวใจก็เต้นแรงอย่างมาก เสียงฟ้าผ่าโครมครามที่อยู่ในหูของนางก็ทำให้นางเจ็บปวด!

นี่คือ…ปฐมกษัตริย์หรือ?

เขาคือ…ปฐมกษัตริย์!

ผู้ชายคนนั้นมองดูหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ในมือของตนเองอยู่สักครู่ ในแววตายังมีความประหลาดใจอยู่ด้วย

”ดูไม่ออกเลย ว่าสาวน้อยอย่างเจ้าจะมีของที่หายากเช่นนี้อยู่ด้วย…”

เมื่อพูดจบ ก็เงยหน้ามามองฉู่หลิวเยว่ เมื่อเห็นว่าสาวน้อยคนนั้นเหม่อมองตนเองอยู่ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ราวกับว่าโง่ไปแล้ว

เขาจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

“ทำท่าอันใดของเจ้าน่ะ? ข้าแค่สงสัยเลยเอามาดูเท่านั้นเอง ไม่ได้จะแย่งของของเจ้าหรอก”

เมื่อพูดจบเขาก็ยกมือขึ้น หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยมาอยู่ที่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่

“ในเมื่อเจ้าสามารถทะลวงค่ายกลที่ข้าวางเอาไว้ได้ อีกทั้งสามารถเก็บของลงไปได้แล้ว ของชิ้นนี้ก็ถือว่าเป็นของเจ้าแล้ว ข้าไม่เอามันกลับคืนมาหรอก”

ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าแรงกดดันที่มีค่อยๆ หายไปแล้ว

นางเอื้อมมือออกไปอย่างแข็งค้าง แล้วหยิบหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์กลับมา แต่สายตาก็ยังจ้องอยู่ที่คนผู้นั้นท่าทางตกตะลึงอย่างมาก

ปฐมกษัตริย์…คาดไม่ถึงว่านางจะได้เจอกับปฐมกษัตริย์

แม้ว่าในชาติที่แล้ว นางจะวางแผนเข้ามาอาณาจักรเทพเทียนลิ่งมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถเจอปฐมกษัตริย์ได้!

นางรู้สึกอบอุ่น และแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย

ผู้ชายคนนั้นคิดว่าเมื่อคืนของนางไปแล้ว นางไม่น่าจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้อีก

แต่คิดไม่ถึงว่านางไม่เพียงมองเหมือนเดิม แต่ดวงตากลับแดงขึ้นมามากกว่าเดิมด้วย!

เมื่อมองดูแววตาแดงก่ำ เหมือนลูกกระต่าย เขาก็อดรู้สึกใจเสียขึ้นมาไม่ได้

“เฮ้ย สาวน้อย เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด?”

ซั่งกวนจิ้งไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวเพียงอย่างเดียวคือคนร้องไห้

อีกทั้งคนคนนั้นยังเป็นแม่นางน้อยด้วย

นี่…เขาก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น แม่นางคนนี้เหตุใดเห็นเหมือนข้ากลั่นแกล้งนางขนาดนั้นเล่า?

เขาก็แค่ส่งแรงกดดันไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ยังไม่ทำร้ายนางเลย ยิ่งไปกว่านั้นภายในร่างกายของนางยังมีพลังแห่งสวรรค์ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย!

“เจ้า อย่าร้องสิ! ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าของชิ้นนี้เป็นของเจ้าแล้ว?” ซั่งกวนจิ้งทำอันใดไม่ถูก “ถ้าเช่นนั้น…สมบัติที่อยู่ในห้องนี้เจ้าเอาไปให้หมดเลยดีหรือไม่?”

บนโลกนี้มีคนไม่ชอบเงินด้วยหรือ?

ตอนนั้นเองฉู่หลิวเยว่ถึงได้สติขึ้นมา ริมฝีปากสั่นสะท้านเล็กน้อย

“ขอบคุณ…ขอบคุณท่านอาวุโส”

นางเกือบจะหลุดพูดคำว่า “ปฐมกษัตริย์” ออกไปแล้ว!

นางพยายามควบคุมสติของตัวเองให้ดีที่สุด แต่น้ำเสียงของนางก็ยังสั่นเครืออยู่ ทำให้เห็นว่านางยังคงรู้สึกสับสนอยู่เช่นเดิม

ซั่งกวนจิ้งเห็นว่านางรับปากแล้ว จึงถอนหายใจออกมา

แต่ว่าเขาเองก็รู้สึกสงสัยในปฏิกิริยาที่สาวน้อยคนนี้มีต่อตนเองเล็กน้อย เหมือนกับว่ามันค่อนข้างเหมือน…

น่าจะเป็นเพราะเขาปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันล่ะมั้ง?

คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็โบกมือ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

“ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นเพียงจิตวิญญาณที่อยู่ที่กระบี่หลงหยวนเท่านั้น”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ ในใจก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ที่แท้นี่ไม่ใช่จิตวิญญาณของท่านปฐมกษัตริย์…

“เจ้ามีชื่อว่าอันใด? มาจากที่ไหน? เข้ามาที่นี่ได้อย่างใด?” ซั่งกวนจิ้งเห็นว่านางสงบสติลงได้แล้ว จึงเริ่มสอบถาม “นี่คืออาณาจักรเทพเทียนลิ่ง มีเพียงคนในราชวงศ์เทียนลิ่งเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้”

เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้มีสายเลือดของราชวงศ์เทียนลิ่งเลย

อีกทั้งเขาก็รู้ว่าด้านนอกมีคนเข้ามาจำนวนไม่น้อยเลย

ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้า แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า

“ข้าน้อย ฉู่หลิวเยว่ มาจากนอกพรมแดนม่านฟ้า แคว้นเย่าเฉิน ที่มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานหมื่นทูร…”

หลังจากนั้น นางก็อธิบายถึงเรื่องราวโดยสังเขปให้เขาฟัง

เมื่อซั่งกวนจิ้งได้ฟังจนจบ ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น

เขาไม่คิดว่าระยะเวลาหลายพันปีผ่านมา ราชวงศ์เทียนลิ่งจะโง่เขลาขึ้นขนาดนี้

เพราะเขาไม่ต้องการให้คนนอกราชวงศ์เทียนลิ่งเข้ามาที่นี่ อีกทั้ง…งานหมื่นทูรที่ว่านี้ เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่

คนส่วนใหญ่ไม่สามารถอยู่ในนี้ได้นานเกินไป เพราะอาจจะได้รับบาดเจ็บจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย

ก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ?

“เจ้าบอกว่าองค์หญิงสามซั่งกวนหว่าน เป็นคนที่ใช้อำนาจตัดสินใจจัดงานนี้ขึ้นมาหรือ?” ซั่งกวนจิ้งถามขึ้น

“เจ้าค่ะ”

“เจ้ารู้ได้อย่างใดว่าซั่งกวนหว่านมีอันใดผิดปกติ?”

“เรื่องนี้…”

ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

แน่นอนว่านางรู้ว่าเหตุใดซั่งกวนหว่านถึงมีปัญหา…นั่นเป็นเพราะชีพจรของนางถูกทำลายมากกว่าหนึ่งปีมาแล้ว!

ถ้าเป็นอาการบาดเจ็บธรรมดา หมอหลวงที่อยู่ในราชวงศ์เทียนลิ่งย่อมต้องรักษาได้

แต่ว่าชีพจรของซั่งกวนหว่านนั้น ถูกชีพจรเทียนจิงของนางทำลาย

หากอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ก็ยากเหมือนขึ้นสวรรค์นั่นแหละ!

แต่เพราะช่วงนี้ที่นางอยู่ในแคว้นซีหลิง หลังจากนางสืบเรื่องราวอย่างลับๆ นางก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ว่าเรื่องที่ชีพจรของซั่งกวนหว่านนั้น ยังไม่แพร่กระจายออกไป

หากมาคิดดูดีๆ แล้ว

หากมีคนรู้ว่านางถูกทำลายชีพจร ซ้ำยังไม่มีหนทางรักษา นางไม่มีทางนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างแน่นอน

แม้จะไม่รู้ว่านางใช้วิธีการใดกันแน่ แต่นางก็สามารถซ่อนความลับนี้ได้สำเร็จ

จริงสิ นอกจากเจียงอวี่เฉิง

“ข้าว่า ปัญหาของนางอยู่ที่การฝึกตนใช่หรือไม่”

ซั่งกวนจิ้งถามขึ้นมาอีกครั้ง

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างมั่นใจ

“ข้าน้อยได้ยินมาว่า เหมือนว่าชีพจรของนางจะมีปัญหา…”

“มิน่าล่ะ…”

ใบหน้าของซั่งกวนจิ้งแสดงออกมาคิดเอาไว้อยู่แล้ว

ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น

ท่าทางของปฐมกษัตริย์ เหมือนจะรู้แล้วว่าเหตุใดซั่งกวนหว่านถึงได้จัดงานหมื่นทูรขึ้นมา?

“ผู้อาวุโส ที่ท่านพูดเช่นนี้…หมายความว่าอย่างใด?” นางถามขึ้นเสียงเบา

ใบหน้าของซั่งกวนจิ้งก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้นหลายเท่า เขาเอามือไพล่หลัง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“ช่างเถอะๆ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้จะดีกว่า สรุปแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่น่าละอายที่ราชวงศ์เทียนลิ่งมีทายาทเช่นนี้”

ฉู่หลิวเยว่ก็อยากจะถามอันใดอีกสักหน่อย แต่คิดไปคิดมา ก็ยังไม่ยอมพูดออกไป

ทันใดนั้นก็เหมือนว่าซั่งกวนจิ้งจะนึกอันใดขึ้นมาได้ แล้วมองนางขึ้นลงอย่างสำรวจ

“จะว่าไปแล้ว เจ้าเข้ามาในท้องพระโรงนี้ได้อย่างใด?”

ฉู่หลิวเยว่มองไปยังอินทรีสามตาที่อยู่ด้านข้าง แล้วกระแอมไออย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ขอตอบตามตรง ที่ข้ามาครั้งนี้ เพื่อมาตามหาโครงกระดูกเหล่านี้ นี่…อสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของข้า มีเพียงจิตวิญญาณ ข้าอยากช่วยทำให้เขามีกายเนื้อ จึงบุกมาที่นี่เจ้าค่ะ”

“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้”

ซั่งกวนจิ้งมีสีหน้าแปลกๆ ไป

“เจ้าอาจจะไม่รู้ ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงแห่งนี้ มีเพียงคนที่มีสายเลือดราชวงศ์เทียนลิ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดมันได้”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *