ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 433 ไก่ฟ้าเก้าสี [รีไรท์]

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 433 ไก่ฟ้าเก้าสี [รีไรท์] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 433 ไก่ฟ้าเก้าสี [รีไรท์]

ชีหานลังเลสักพักก่อนจะทำตาม

คำสั่งขององค์หญิงนั้น สือซานเยว่ทำได้เพียงเชื่อฟังตลอดมา

เมื่อเขาปลดผ้าคลุมหน้าและหมวกออกแล้ว หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็เต้นแรงทันที!

เห็นเพียงใบหน้าข้างซ้ายและคอของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยแผลไฟไหม้

ใบหน้าที่เดิมทีแล้วหล่อเหลาสุดๆ วันนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว!

เหลือเพียงดวงตาเรียวเล็กและเย็นชาเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิมอยู่!

“เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงต้อง…”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยปากอย่างยากลำบาก เพิ่งจะพูดเพียงไม่กี่คำก็เหมือนสำลักอันใดบางอย่างแล้ว

“เมื่อรู้ว่าองค์หญิงตกอยู่ในอันตรายแล้ว สือซานเยว่จะหนีไปได้อย่างใด? ถ้าข้าไม่สามารถช่วยชีวิตองค์หญิงได้ ก็แสดงว่าข้าไร้ประโยชน์!”

ชีหานไม่ได้ใส่ใจที่รูปลักษณ์และร่างกายของตัวเองถูกทำลาย

สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือตอนที่เขากลับไปถึงช้าเกินไป และไม่สามารถปกป้ององค์หญิงเอาไว้ได้

ฉู่หลิวเยว่ไม่พูดไม่จาอยู่นาน

นางคิดอยู่ตลอดว่าตอนนั้นตัวเองตายอย่างโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่า…ที่จริงแล้วในวันนั้น สือซานเยว่ได้กลับไปแล้ว

“หลังจากนั้นล่ะ?”

“ต่อมาเจียงอวี่เฉิงได้แอบส่งคนมาลอบฆ่าพวกเรา กระหม่อมจึงคิดจะร่วมมือกันกับคนอื่นๆ เพื่อแก้แค้นให้ท่าน แต่…”

“แต่พวกเขาส่วนใหญ่ต่างหักหลังข้าแล้วใช่หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอ่อน พร้อมกับแววตาที่นิ่งเฉยราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่

ชีหานลังเลสักพักจึงเอ่ยปาก

“ที่จริงแล้วคนที่ทรยศท่านนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น…แต่เพราะคนส่วนหนึ่งในนั้นเป็นบุคคลสำคัญ ฉะนั้นเรื่องราวจึงค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน แล้วข้าก็เป็นองครักษ์คุ้มครองท่าน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอันใดมากนัก ฉะนั้น…”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ

ต่อให้ชีหานไม่พูด นางก็พอจะเดาได้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างใด

“ลำบากพวกเจ้าจริงๆ ที่ให้ไปทำแบบนั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

เจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านจะไม่ปล่อยองครักษ์สือซานเยว่ไปง่ายๆ และพวกเขาจะต้องถูกฆ่าตายแน่นอน

“ตอนนี้คนอื่นๆ ในบรรดาองครักษ์สือซานเยว่เป็นอย่างใดบ้าง?”

ชีหานกำหมัดแน่น

“ท่านวางใจเถิด คนอื่นยังสบายดี”

อารมณ์ของฉู่หลิวเยว่จึงดีขึ้นมาหน่อย

ตอนนี้ คนที่นางสามารถพึ่งพาได้ในบรรดาองครักษ์สือซานเยว่เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว

“งั้นก็ดี งั้นก็ดี…แต่ ชีหาน เหตุใดถึงมีเพียงเจ้าที่มาออกรับหน้า? แล้วเจ้าหาข้าเจอได้อย่างใด?”

นี่คือสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่สงสัยมากที่สุด

เพราะแม้แต่นางเองก็รู้สึกว่าการที่มายืมร่างเพื่อสิงนั้นก็เป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติมากแล้ว แล้วชีหานหาเจอได้อย่างใด?

อีกอย่างดูจากท่าทางเมื่อก่อนของเขาแล้วก็เหมือนว่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว

มาวันนี้ เหมือนกับว่าเขามาเพียงแค่ยืนยันตัวตนเท่านั้น

“สนมจักรพรรดิ ไม่เพียงแต่กระหม่อมเท่านั้น องครักษ์สือซานเยว่คนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้อยู่ในราชวงศ์เทียนลิ่งแล้วเช่นกัน…ตอนที่…หนึ่งเดือนหลังจากเกิดเพลิงไหม้ในห้องเก็บอัฐิบรรพบุรุษ เจียงอวี่เฉิงก็ได้ใส่ร้ายพวกข้าว่าเป็นกบฏ และเป็นเพราะได้ยินถึงทุกการกระทำของพวกกระหม่อม ท่านจึงได้หลงเข้าไปในตอนที่ฝึกซ้อม…หลังจากนั้น เขาก็ได้ออกคำสั่งให้นำจับพวกกระหม่อม และหลังจากองครักษ์สิบสามได้หารือกันแล้วจึงพากันออกจากดินแดนสวรรค์ทันที”

สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ยิ่งเย็นชามากขึ้นไปอีก

“เจียงอวี่เฉิงรังแกผู้คนเกินไปแล้ว!”

บีบคั้นนางให้จนมุม แล้วยังสาดโคลนไปบนตัวขององครักษ์สือซานเยว่อีก

หลังจากที่นางตายแล้ว ก็มีซั่งกวนเยี่ยคอยช่วยเหลือ จนเขาเกือบจะครอบครองราชวงศ์เทียนลิ่งได้แล้ว!

ภายใต้สถานการณ์นี้ องครักษ์สือซานเยว่จึงเลือกที่จะออกมา และเป็นสิ่งที่เลือกได้อย่างถูกต้องด้วย

“ที่จริงแล้วพวกเจ้าออกจากราชวงศ์เทียนลิ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องออกจากดินแดนสวรรค์ก็ย่อมได้ พวกเจ้าแต่ละคนมีความสามารถสูงและแข็งแกร่ง เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว ก็จะถูกบดบังไปเสียจนหมด…”

ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกเสียดาย

ชีหานส่ายหน้า

“สนมจักรพรรดิ ท่านไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่กระหม่อมเลือกออกจากดินแดนสวรรค์ก็เพราะจดหมายฉบับหนึ่ง”

ฉู่หลิวเยว่เอะใจ “จดหมายอันใดรึ?”

“จดหมายฉบับหนึ่ง…ที่เกี่ยวข้องกับท่าน!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว จู่ๆ ชีหานก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะจ้องมองฉู่หลิวเยว่

“ในจดหมายฉบับนั้นเขียนเอาไว้ว่า…ถ้าอยากจะแก้แค้นให้กับท่าน ก็ต้องออกจากดินแดนสวรรค์!”

ฉู่หลิวเยว่ตกใจ

“ใครเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นรึ?”

“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อ พวกกระหม่อมต่างไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน แต่…ในสถานการณ์ตอนนั้น กระหม่อมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงเลือกที่จะทำตาม…”

“อันใดกัน?”

ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความตกตะลึง

“เพียงแค่จดหมายฉบับเดียว พวกเจ้าก็พากันเชื่อแล้ว มิหนำซ้ำ…ยังทำตามอีกด้วย?”

นางเป็นคนอบรมบ่มเพาะนิสัยของเหล่าองครักษ์สือซานเยว่ แต่ละคนต่างเป็นคนที่มีความสามารถและมีความรอบคอบเป็นอย่างดี

เหตุใดถึงได้เลือกที่จะทำเช่นนี้เพียงเพราะจดหมายไม่มีมูลฉบับเดียวได้?

นี่มันเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว!

สีหน้าของชีหานเริ่มแปลกไป

“เกราะ…เพราะลายมือของจดหมายฉบับนั้น…เหมือนกันกับลายมือของท่าน! ที่สำคัญก็คือ ในนั้นยังมีสัญลักษณ์ของท่านอีกด้วย!”

ฉู่หลิวเยว่เกือบจะนึกว่าตัวเองฟังผิดไป จึงขมวดคิ้ว

หลายคนเคยเห็นลายมือของนางมาแล้ว ถ้ามีคนคิดจะเลียนแบบจริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

องครักษ์สือซานเยว่ไม่ควรจะหลงเชื่อคำพูดที่อยู่บนจดหมายเพียงเพราะแค่ลายมือที่คล้ายกันเท่านั้น

ในจดหมายฉบับนั้นมีสัญลักษณ์อยู่ด้วย จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญและมีผลต่อการตัดสินใจเป็นอย่างมาก

“สัญลักษณ์อันใดรึ?”

“ขนเส้นหนึ่งของไก่ฟ้าเก้าสี!”

ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งอยู่กับที่!

ไก่ฟ้าเก้าสี เป็นสัตว์อสูรของนางในตอนนั้น!

ตอนนั้นนางเลือกที่จะปลิดชีพของตัวเองแล้วปล่อยไก้ฟ้าเก้าสีออกไปทันที เพื่อที่จะไว้ชีวิตของมัน

แต่ต่อมาเมื่อดูจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนี้ก็ได้ตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้วเช่นกัน!

ส่วนขนของไก่ฟ้าเก้าสีก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก! และเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของเขา!

คนธรรมดานั้นแม้จะจับก็ยังไม่สามารถทำได้ การที่จะดึงออกมาได้เส้นหนึ่งนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง!

ก่อนที่นางจะตาย ขนของไก้ฟ้าเก้าสีก็ยังคงจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่!

แต่เมื่อมันตายแล้ว เหตุใดถึงมีคนเอาขนของมันไปได้!?

…แล้วขนนกที่อยู่ในจดหมายฉบับนี้ มาจากที่ใด!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *